ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Part Angel

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่1 : ร่วง

    • อัปเดตล่าสุด 7 ต.ค. 55


    อืม...ที่นี่ที่ไหนเนี่ย

    อ๋อ ผมกำลังลอยอยู่บนท้องฟ้าสินะ กำลังร่วงลงไปบนพื้น

    นั่นสิ ไม่เห็นแปลก เป็นเรื่องธรรมดาสำหรับผม ก็แค่มองไปข้างหน้าแล้วก็กางปีกออก

    ...

    เฮ้ย!

    ปีกกางไม่ออก!


           บทที่1 ร่วง

       ย้อนไปเมื่อชั่วโมงที่แล้ว


           “เอาล่ะนักเรียนชั้นมัธยมต้นปีสามทุกคน ขอให้มารวมกันที่สวนสองพันปีได้แล้ว ครูใหญ่มาถึงเวลานัดก่อนนักเรียนมันใช้ได้ที่ไหนเนี่ย แหะๆ” เสียงชายชราขี้เล่นดังก้องไปทั่วโรงเรียน

           เป็นเวลาสิบวันแล้วตั้งแต่เปิดเทอมใหม่ ทุกๆปีนักเรียนมอต้นปีสามทุกคนที่เป็นนักเรียนชาวสวรรค์ หรือก็คือที่คนทั่วไปบนโลกเรียกว่าเทวดา เทพ หรืออะไรอีกมากมายนับไม่ถ้วน บนสวรรค์เองก็มีโรงเรียนเช่นกัน แล้วก็มีไม่ใช่น้อยด้วย โรงเรียนแห่งนี้เป็นโรงเรียนใหญ่ประจำจังหวัดที่มีชื่อว่า“อาเธเซีย” อันที่จริงคุณไม่จำเป็นต้องจำชื่อของโรงเรียนนี้เลยก็ได้ เพราะต่อจากนี้ไปโรงเรียนนี้อาจจะไม่มีบทบาทเลยก็ได้ ใช่แล้ว ตัวเอกของเราเป็นนักเรียนมัธยมปลายปีสามของโรงเรียนอาเธเซีย ซึ่งมีนโยบายว่าหลังจากเปิดเรียนได้สิบวัน ทุกๆคนจะต้องลงไปศึกษาที่โลกมนุษย์เป็นเวลาหนึ่งปีเต็มๆ และไม่ใช่เพียงแค่อาเธเซีย โรงเรียนอื่นๆบนสวรรค์ก็ได้รับนโยบายเดียวกันนี้จากกระทรวงศึกษาธิการเช่นกัน

           “พี่บอสเตรียมตัวเรียบร้อยแล้วนะ”

           เด็กหญิงคนหนึ่งวิ่งไปหาพี่ชายที่กำลังแบกกระเป๋ากองใหญ่ขึ้นบนบ่า พี่ชายที่ชื่อว่าบอสนี้ยิ้มแป้นให้น้องสาวที่กำลังทำหน้ามุ่ย 

           “พี่ไปแค่ปีเดียวเอง”

           “เองเหรอ” น้องสาวตอบกลับด้วยเสียงที่ดังกว่าเดิม “ตั้งหนึ่งปีนะ หนูจะต้องทำงานบ้านเองทั้งหมดในช่วงที่พี่ไม่อยู่เลยเหรอเนี่ย” เธอเริ่มน้ำตาคลอ

           “อะไรกัน ที่แท้ก็ห่วงเรื่องนี้เองเหรอ” บอสถอนหายใจประชด

           “แต่พี่ก็รู้นี่ ตามที่เราเรียนมา โลกมนุษย์มีแต่พวกผู้คนที่หลงใหลในวิทยาการ แล้วโลกก็เสื่อมโทรมลงทุกวันๆ มีแต่ขยะกับสวะเพิ่มพูนขึ้น บ้านป่าเมืองเถื่อนแบบนี้ยังจะให้ไปอยู่ตั้งปีนึง นโยบายนี่มันแกล้งกันชัดๆ” หยดน้ำตาเอ่อล้นลงมา ผู้เป็นพี่ชายเดินเข้าไปใกล้ๆน้องสาวที่ดูท่าทางอายุจะไม่ห่างกันสักเท่าไหร่ เขาเอามือลูบหัวน้องสาวที่ตอนนี้ยกมือขึ้นมาปาดคราบน้ำตาออก

           “ไม่หรอก ในบันทึกของพ่อกับแม่เคยบอกไว้ว่าโลกมนุษย์เป็นสิ่งที่สวยงาม จะไม่เชื่อพ่อกับแม่เลยเหรอ ไม่เอาน่า” เขาพูดพลางยิ้มๆ น้องสาวในตอนนี้สามารถยิ้มออกมาได้บ้างเล็กน้อย

           “อะไรกัน! ครูใหญ่ประกาศไปตั้งรอบหนึ่งแล้วนี่นา ว่าให้มาเร็วๆอย่าให้ครูรอ หนอยๆไอ้พวกมาไม่ตรงเวลา เดี๋ยวจัดการลงโทษซะนี่” เสียงชายชราตะคอกดังผ่านสัญลักษณ์เวทมนตร์ที่ติดไว้ทั่วโรงเรียน คาดว่าวิธีใช้คล้ายๆกันกับโทรโข่งบนโลกมนุษย์

           “เอาล่ะ พี่ก็เลทมากแล้วคงต้องรีบไป เดี๋ยวครูใหญ่แกวีนเอา” บอสวิ่งกลับไปเก็บสัมภาระที่ทิ้งไว้บนพื้นเมื่อครู่ “อยู่คนเดียวก็ดูแลตัวเองด้วยนะ อย่าโดดเรียนล่ะ”

           “หนูเคยโดดที่ไหนเล่า พี่ก็ดูแลตัวเองด้วยนะ”

           ทั้งสองโบกมือลากันก่อนที่บอสจะวิ่งออกไป

           สวนสองพันปีเป็นสนามหญ้าวงกลมขนาดยักษ์ลอยอยู่กลางอากาศ อันที่จริงมันไม่น่าจะถูกเรียกว่าสวน เพราะนอกจากหญ้าที่ตัดเสียจนเลี่ยนแล้ว ก็ไม่มีพันธุ์ไม้ชนิดอื่นถูกปลูกอยู่เลยสักต้น รอบๆสนามหญ้าเป็นอัฒจันทร์ขนาดไม่ใหญ่มาก อาจารย์ที่สอนที่นี่ได้สอนประวัติศาสตร์ให้นักเรียนว่า สมัยก่อนสวนสองพันปีนี้ถูกใช้เป็นสนามที่ใช้ทำกิจกรรมสำคัญต่างๆเช่นฝึกกีฬาหรือเข้าแถวเคารพธงชาติทุกเช้า กิจกรรมเคารพธงชาติถูกยกเลิกออกไปเมื่อเกือบหกร้อยปีที่แล้ว เนื่องจากเปลี่ยนคณะสภากระทรวงศึกษาใหม่ทั้งชุด กระทรวงชุดใหม่แลเห็นว่าการเข้าแถวเคารพธงชาติเป็นกิจกรรมที่ชาวสวรรค์ได้ไอเดียมาจากมนุษย์ ดูแล้วเป็นการกระทำที่ไร้ประโยชน์และเสียเวลาชีวิตเปล่าๆจึงได้ยกเลิกทิ้งไป การยกเลิกกิจกรรมนี้ไม่มีผู้ต่อว่า ติติง หรือประท้วงเลยแม้แต่คนเดียว ดูเหมือนชาวสวรรค์ทั้งหมดจะเห็นด้วยกันเกือบทั้งดาว

           เมื่อพันแปดร้อยปีก่อน สวนสองพันปีนี้ถูกใช้เป็นสนามรบระหว่างนักเรียนเอเธเซียกับพวกปีศาจที่มารุกราน แทบเรียกได้ว่าเป็นสงครามทีเดียว เป็นโศกนาฏกรรมที่พรากชีวิตชาวสวรรค์ไปเกือบครึ่งดาว เพื่อเป็นอนุสรสถาน สองฝั่งของฟากอัฒจันทร์จึงเป็นรูปใบหน้าผู้พิชิตที่ขับไล่ปีศาจออกไปจากดาว กับอีกฝั่งเป็นรูปใบหน้าของราชาดาวปีศาจ ใบหน้าที่มีรูปลักษณ์เป็นเหมือนมนุษย์ทั่วไป แต่แฝงพลังปีศาจไว้ภายใน

           “จาฏุพจน์ นักเรียนดีเด่นอย่างเธอไม่น่าจะมาช้าเลยนะ” ครูผู้หญิงคนหนึ่งทำหน้าผิดหวังและยื่นกระเป๋าเดินทางให้กับบอส ข้างในกระเป๋ามีรายชื่อประเทศ เมือง ที่อยู่ โรงเรียนที่ต้องไปศึกษา และข้อมูลสำคัญอีกมากมายที่ทางโรงเรียนจัดไว้ให้แบบสุ่มๆ บอสยังไม่เปิดดูข้างในเลยทันที เพราะดูเหมือนมีสายตามากมายจากแถวของนักเรียนมอต้นปีสามหันมาเขม่นคนที่มาช้าเช่นเขา

           “เอาล่ะ ฟังไปเรื่อยๆนะ ระหว่างนี้จะให้อาจารย์ประจำชั้นเช็คชื่อ” ชายชราที่ชื่อ ฟาเรียส นีล คาเบรียโล ผู้นี้คือผู้อำนวยการหรือคนที่ก่อตั้งโรงเรียนนี้ขึ้นมา อายุจริงๆนั้นไม่มีผู้ใดทราบ ที่ผ่านมามีอาจารย์หลายๆคนในโรงเรียนพยายามลอบสังหารชายชราผู้นี้เพื่อที่จะเอาตำแหน่งผู้อำนวยการมาเป็นของตัวเอง ทว่าผู้ใดที่ทำเช่นนี้มักจะศพไม่สวยทุกราย เป็นผู้อำนวยการที่ดูแต่ภายนอกไม่ได้จริงๆ

           “ขอย้ำเตือนเป็นครั้งสุดท้าย ทั้งๆที่ย้ำเตือนมาตลอดทั้งปีตั้งแต่พวกเธออยู่มอต้นปีสอง” ผอ.คนนี้พูดเล่นเหมือนเคย “ห้ามกางปีก ใช้เวทมนตร์ หรือแสดงอะไรก็ตามที่แสดงตัวว่าตนไม่ใช่มนุษย์ต่อหน้ามนุษย์เด็ดขาด แม้แต่เรื่องคอขาดบาดตายก็ควรจะเอาตัวรอดด้วยกำลังเช่นมนุษย์ทั่วไป มิเช่นนั้นจะผิดวัตถุประสงค์หลักที่ทางโรงเรียนได้ส่งตัวลงไป ถ้าผู้ใดกระทำดังกล่าวข้างต้นแล้วถูกจับได้จะถือว่าฝ่าฝืนกฎและจะถูกปรับตกในชั้นปีนี้ทันที สำหรับนักเรียนคนใดที่ต้องการเป็นอันดับหนึ่งของชั้นปีก็อย่าลืมข้อสำคัญข้อนี้แล้วกันนะ แหะๆ ขอให้โชคดีทุกท่าน”

           หลังจากที่ผู้อำนวยการกล่าวจบและอาจารย์ทุกท่านเช็คชื่อนักเรียนเรียบร้อยแล้วผู้อำนวยการก็ดีดนิ้วครั้งหนึ่งและตะโกนเสียงดังลั่น

           “บง โวยาจ!”

    ภาพสุดท้ายที่ผมเห็นคือแสงสีม่วงประหลาด...

    ...

           ใช่แล้ว นี่คือการส่งพวกเขาลงไปยังโลกมนุษย์ โดยถูกทำให้หลับแล้วส่งลงผ่านชั้นบรรยากาศ ในหนังสือเรียนถูกเขียนไว้ว่าโลกมนุษย์อยู่ที่ด้านล่างของดาวสวรรค์ ถึงแม้พวกเขาจะไม่เคยมองเห็นโลกมนุษย์จากดาวของเขาก็ตาม แต่ก็คงเป็นแบบนั้น เพราะตอนนี้บอส จาฏุพจน์ เด็กชายผมดำสั้นตรงระเบียบเป๊ะกำลังลอยอยู่กลางอากาศและกำลังจะร่วงลงไปข้างล่าง

           “ทำไมกัน ทำไมกางปีกไม่ออกเนี่ย” บอสร้องโวยวายอยู่คนเดียว

    จะบอกว่าเป็นนโยบายของโรงเรียนที่ไม่ให้ใช้ปีกก็ไม่น่าจะใช้ เพราะผอ.ก็ยังพยายามเตือนเราว่าอย่าใช้ ไม่ได้หมายความว่าใช้ไม่ได้สักหน่อย ผอ.เหรอ ผอ. อืม...

           “ว๊าก!” เขาตะโกนขึ้นเหมือนจะนึกอะไรออก “หรือว่านี่เป็นการลงโทษคนไปสายที่ผอ.บอกเนี่ย”

           หน้าซีดเผือดลง ใกล้จะถึงพื้นโลกเข้าทุกทีๆ ตอนนี้โผล่พ้นชั้นบรรยากาศ ภาพสีฟ้าที่ถูกเมฆปกคลุมมากมายถูกเปลี่ยนเป็นภาพจุดเล็กๆมากมายกำลังเคลื่อนไหวอยู่ตามพื้นที่ที่เต็มไปด้วยสีเทา เขากำลังจะตกไปยังเมืองแห่งหนึ่งที่เต็มไปด้วยตึกสูง

           “เอาไงดี”

           ใจเย็นๆ หนึ่งในกลุ่มคนที่ถูกคาดหวังว่าเป็นพวกที่มีภูมิปัญญาสูงสุดในชั้นปีอย่างฉันต้องค่อยๆคิด

           อีกไม่กี่สิบเมตรร่างของเขาก็จะหล่นลงถึงพื้นแล้ว

           “ถึงเป็นเรื่องคอขาดบาดตายก็ห้ามใช้เวทมนตร์ จงเอาตัวรอดด้วยวิธีของมนุษย์” มนุษย์ตัวเปล่าที่กำลังร่วงลงสู่พื้นทำยังไงกันนะ ตามที่เคยเรียนมามนุษย์ไม่น่าจะมีกำลังภายในหรืออพลังพิเศษอะไรนี่นา

           ตอนนี้เหมือนกลุ่มคนบางกลุ่มจะสังเกตเห็นวัตถุบางอย่างกำลังดิ่งตรงลงมาและเริ่มชี้ไม้ชี้มือให้กันดู

           “วิธีของมนุษย์ที่จะเอาตัวรอดบนฟ้า...มันไม่มีเลยนี่หว่า อะไรกันเนี่ย!!!”

    กันตายไว้ก่อนล่ะวะ! จากที่เรียนมาทั้งหมดจนถึงมอต้นปีสาม เวทมนตร์ที่ใช้เป็นตอนนี้มีแค่เวทมนตร์ขั้นพื้นฐานสุดๆ เวทมนตร์ที่สร้างขึ้นจากธรรมชาติ ที่ใช้เอาตัวรอดได้ตอนนี้คงมีบทเดียวสินะ

           เขาพยายามบิดตัวให้หัวชี้ลงพื้น แล้วเอามือยื่นลงพื้นล่างที่ตอนนี้ห่างไม่ถึงสิบเมตรแล้ว

    นี่เป็นครั้งแรกที่ใช้เวทมนตร์แบบเอาจริงเอาจังด้วยสิ ลงพื้นท่านี้ ถ้าไม่สำเร็จก็เสร็จแหงแก๋ ต้องตั้งสมาธิ!

           “โอม ลมแห่งโลกใบนี้ ท่านได้ยินเสียงแห่งข้าหรือไม่ เป็นครั้งแรกที่เราได้พานพบกัน ข้ามาจากต่างแดนไม่เคยพบกับพวกท่าน ตอนนี้ข้าไม่ต้องการงานเลี้ยงต้อนรับหรือแม้แต่ไวน์ชั้นดี ข้าขอเพียงท่านช่วยมาเป็นกำลังให้ข้า ให้ข้ายังมีชีวิตต่อบนโลกอันแสนสวยของท่านใบนี้ด้วย หากท่านตอบรับจงมาสถิตที่ฝ่ามือของข้า”

           ลิ้นของบอสพันกันไปมาด้วยความกลัวที่หัวของตนจะทิ่มลงพื้นเสียก่อน

           “พายุโหมกระหน่ำ เทมเปสต์!”

           สิ้นเสียงของเด็กชาย ฝ่ามือของเขาก็มีรูปบางอย่างเรืองแสงขึ้น ทันใดนั้นเองแสงนั้นก็ค่อยๆไหลออกจากฝ่ามือแล้วพันกันเป็นเกลียวเร็วขึ้นเรื่อยๆจนกลายเป็นลมพายุชนาดย่อม

           “กรี๊ดดดดดด”

           “อะไรน่ะ”

           “การแสดงเหรอ”

           ผู้คนมากมายที่อยู่บริเวณนั้นพากันแตกตื่น ถึงแม้จะเป็นลมพายุที่ไม่ใหญ่นักแต่ก็อาจทำให้บอสลดแรงกระแทกลงได้ ทันใดนั้นเพียงเสี้ยววินาที ด้วยสัญชาตญาณบางอย่างเขาก็เหลือบไปเห็นเด็กสาวคนหนึ่งที่กำลังยืนดูอยู่แถวนั้นพอดี สมองของเด็กชายประมวลผลบางอย่างด้วยความรวดเร็วขณะที่กำลังลอยอยู่บนพายุหมุน เขาขว้างกระเป๋าเดินทางของโรงเรียนทิ้งไป ในที่สุดปีกสีขาวนวลของเขาก็แผ่กางออกอย่างสง่างาม แล้วบินไปโฉบเด็กหญิงคนนั้นหายไปลับตา 

           ในที่อันไกลแสนไกลห่างจากตัวเมืองเมื่อสักครู่พอสมควร แถวริมหาดทรายติดทะเลอันเงียบสงบแห่งหนึ่ง บอสปล่อยหญิงสาวคนนั้นลง

           “กรี๊ดดด” หญิงสาวล้มลงบนพื้นทราย เผยให้เห็นดวงตากลมโตสวย กับผมดำยาวสลวยที่ถูกจับมัดรวบเป็นหางม้า

           บอสหุบปีก และเดินตรงดิ่งมาด้วยความรวดเร็ว ตอนนี้สายตาของเขาดูหงุดหงิดมาก และเหมือนความเยือกเย็นเมื่อครู่จะหายไปเสียแล้ว

           “เธอ!” เขาเดินมาใกล้มากเอามือสองข้างจับไหล่เด็กสาวแล้วกดลงกับพื้น “เธอเป็นสปายที่ถูกทางสวรรค์ส่งมาให้ตามดูความประพฤติของพวกเราใช่มั้ย” บอสถามเสียงดัง

           เขาลุกขึ้นมาด้วยความโมโห “จบกัน จบกันตั้งแต่วันแรก ฉันฝ่าฝืนกฎ ฉันใช้เวทมนตร์ กางปีกด้วย มนุษย์มากมายเห็นกันหมดแล้ว” ตอนนี้ดูเหมือนบอสจะเสียสติไปแล้ว เขาเอามือกุมหัวแล้วเดินหันหลังให้กับเด็กสาวไปทางทะเล “อะไรกันเนี่ย อุตส่าห์สัญญากับน้องสาวไว้แล้ว”

           “เอ่อ...” หญิงสาวที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นสปาย พูดขึ้น

    หึหึหึ เป็นไปตามที่คำนวณไว้ ชาวสวรรค์จะมีสัญชาตญาณพิเศษที่รับรู้ถึงตัวตนของพวกเดียวกันเองได้ ใช่แล้ว ผู้หญิงคนนี้ต้องเป็นสปายที่ถูกทางโรงเรียนส่งตัวมาล่วงหน้าก่อนแน่นอน เพื่อจับตาดูว่ามีนักเรียนคนไหนฝ่าฝืนกฎหรือไม่ แต่ผิดแล้ว เสียใจด้วยนะ นักเรียนที่มีมันสมองอยู่แนวหน้าอย่างเราจำได้ว่าในหนังสือ‘สงครามพันปี’ที่เป็นวิชาประวัติศาสตร์ของชั้นมอปลายปีหนึ่งบอกไว้ว่าชาวสวรรค์สามารถแยกแยะพวกเดียวกันเองได้ด้วยสัญชาตญาณ ฉันใช้สัญชาตญาณนี้จึงสามารถรู้ได้ว่าเธอคนนี้เป็นชาวสวรรค์ แต่ถ้าเป็นนักเรียนที่มาถึงก่อนหน้านี้ก็จะใส่เครื่องแบบเดินทางที่ได้รับแจก เพราะฉะนั้นเธอคนนี้จึงเป็นสปายอย่างแน่นอนตามที่คำนวณไว้ วันนี้เพิ่งเป็นวันแรกที่พวกเราลงมา ถ้าเล่นบทโศกใส่สักหน่อยคงจะปล่อยๆไปเองแหละ เรานี่มันอัจฉริยะแท้ๆ

           “เธอไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นแหละ เธอไม่เข้าใจหรอกว่าการที่ถูกคาดหวังไว้มันกดดันแค่ไหน” บอสเล่นบทโศกน้ำตาคลอ “ทั้งๆที่สัญญากับน้องสาวไว้แท้ๆ” เขานั่งคุกเข่าลงเอากำปั้นทุบพื้นทราย

           “คือ คุณพูดอะไรฉันไม่รู้เรื่อง” หญิงสาวตอบ

           “ไม่ต้องปิดบังตัวตนหรอก เปิดเผยตัวตนที่แท้จริงออกมาซะ เธอก็น่าจะรู้ว่าพวกเราสามารถแยกแยะพวกเดียวกันเองได้” บอสบ่นหน้ามุ่ย “แต่ถ้าเธอจะยอมปล่อยฉันไปครั้งนี้...”

           “เอ๋ เราทำอย่างนี้ได้ด้วยสินะ เราสามารถแยกพวกเดียวกันเองได้ด้วยใช่มั้ย มิน่าล่ะตอนเห็นคุณครั้งแรกฉันก็เลยมีความร็สึกแปลกๆ” หญิงสาวทำท่าตื่นเต้นเหมือนดีใจ กลับกันฝ่ายบอสเองนั้นกำลังมึนงงถึงขั้นสูงสุด

    เธอคนนี้พูดอะไรน่ะ

           “คุณก็เป็นชาวมีปีกใช่มั้ย”

           
    จบคำถามสุดท้ายที่ทำให้บอสงงถึงขีดสุด



    ติดตามชมตอนต่อไป
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×