ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บ่วงแค้นบ่วงเสน่หา [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 7 แก้วร้าวนั้น ยากจะประสาน

    • อัปเดตล่าสุด 22 พ.ค. 56


    ช่วงเย็น หลังเสร็จจากงานต่างๆ พิธิวัฒน์พากรกฎมาที่ร้านอาหารหรูริมน้ำ ตั้งอยู่หน้าปากทางเข้าโรงแรมตามสัญญา ร้านอาการแห่งนี้เป็นร้านที่ขึ้นชื่อที่สุดในย่าน เลื่องชื่อด้านการใช้วัตถุดิบที่สะอาด ให้รสชาติยังถูกปากและมีเอกลักษณ์เป็นของตน

     

    โดยปกติ ร้านจะคับคั่งไปด้วยผู้คนจากทุกสารทิศ ทยอยกันเข้ามาลิ้มชิมรสชาติอันหาที่ใดเปรียบยาก แทบไม่มีโอกาสเลยที่พวกเขาจะเดินเข้ามา แล้วบังเอิญเจอโต๊ะว่างสักตัว

     

    กรกฎมองฝูงชนผ่านกระจกบานใสขนาดใหญ่ริมหน้าต่าง เนื่องจากเรือนกลางสร้างจากกระจกใสแทบทั้งหลัง และเปิดเฉพาะแค่ในตอนกลางคืน ร่างโปร่งจึงสามารถมองเห็นภาพบรรยากาศเบียดเสียดน่าอึดอัดของฝูงได้ถนัดตา นับว่าโชคดีที่พิธิวัฒน์จองโต๊ะไว้ล่วงหน้าก่อน ปัญหาเหล่านี้จึงถูกตัดทิ้งไป

     

    “เป็นอย่างไรบ้างครับ ประทับใจหรือเปล่า?” ผู้บริหารนุ่มเอ่ยถามคนที่เอาแต่เหม่อลอย

     

    “ครับ ประทับใจมากครับ ขอบคุณที่พาออกมาเปิดหูเปิดตานะครับ” กรกฎยิ้มขอบคุณจากใจ

     

    “ไม่ต้องขอบคุณหรอกครับ แค่คุณตกลงมาทานข้าว ผมก็เป็นเกียรติมากแล้ว” พิธิวัฒน์กล่าวอย่างอ่อนโยน กรกฎสะดุ้ง เมื่อจู่ๆ มือหนาเลื่อนมากุมมือเขาไว้ เจ้าของดวงหน้าค่อนข้างหวานเอาการมีท่าทีกลืนไม่เข้าคลายไม่ออก

     

    ผู้บริหารหนุ่มเห็นสีหน้าไม่สู้ดีจึงยอมปล่อย “ขอโทษที่เสียมารยาทครับ”

     

    “มะ ไม่เป็นไร” กรกฎฝืนปั้นยิ้ม

     

    พิธิวัฒน์โบกมือเรียกบริกรสาวเพื่อสั่งอาหาร เขารับแฟ้มเมนูหนังมา ก่อนยื่นเล่มหนึ่งให้กรกฏ มือเรียวเปิดอ่านรายการอาหาร ไล่พลิกพินิจทีละหน้า

     

    “อยากทานอะไรเป็นพิเศษไหมครับ?” ผู้บริหารหนุ่มถาม

     

    กรกฏส่ายหน้าปฏิเสธและวางเมนูลง เนื่องจากตนไม่คิดอยากอาหารเท่าไร“ไม่ครับ ผมทานอะไรก็ได้ทั้งนั้น”

     

    “แน่ใจนะครับ?” ร่างโปร่งผงกศีรษะย้ำ เนื่องจากเขายังไม่อยากอาหารเท่าไรนัก ภายหลังจากบริกรสาวทวนรายการอาหารเสร็จเรียบร้อย นางก็ปลีกตัวจากไปยังด้านเคาน์เตอร์ซึ่งอยู่ไกลออกไป 

     

    “ทานยาแล้ว ดีขึ้นบ้างไหมครับ” ร่างสูงถามอย่างเป็นกังวล มือหนายกขึ้น ตั้งท่าเอื้อมมาแตะหน้าผาก แต่ร่างโปร่งผละหลบได้ทันกาล

     

    “ครับ ดีขึ้นมากแล้ว”

     

    “ขอโทษนะครับ ถ้าผมทำให้คุณระแวงการกระทำของผม” ชายหนุ่มชักมือกลับ ยิ้มอ่อนโอนและเป็นมิตรให้ กรกฎไม่รู้เลยว่าเขาแสดงสีหน้าหวาดระแวงแค่ไหน ยามถูกอีกฝ่ายจับต้องเนื้อตัว “ผมแค่เป็นห่วง...”

     

    “ครับ ไม่เป็นไร” ร่างโปร่งพยายามข่มใจไม่ถือสา เป็นเวลาเดียวกันกับบริกรสาวนำออร์เดิร์ฟมาเสิร์ฟ

     

    “ทานรองท้องก่อนสิครับ” ร่างสูงชักชวน มือหนาดันจานบรรจุของขบเขี้ยวให้ว่าที่ประธานหนุ่ม กรกฎใช้ซ้อมจิ้มเฟรนช์ฟรายชิ้นหนึ่งจากจาน แล้วส่งเข้าปาก ความหวานละเอียดลิ้น ผสมกับกลิ่นทอดสดใหม่ของมันกรุ่นในโพรงปากจนเผลอยิ้มออกมาอย่างไม่ตั้งใจ

     

    “ถูกปากหรือเปล่าครับ?” ร่างโปร่งพยักหน้าหงึกหงักโดยไม่ต้องคิด ชายหนุ่มนึกได้ว่าเขายังไม่ได้ทานอะไรเลย หลังจากหลับไปสามวันเต็ม

     

    “ถ้าอย่างนั้น ก็ทานเยอะๆ เลยสิครับ ถือเสียว่าผมเลี้ยงฉลองต้อนรับคุณกรกฎอย่างเป็นทางการก็ได้”

     

    กรกฎเห็นรอยยิ้มพิมพ์ใจบนใบหน้าครามคมของผู้บริหารหนุ่มอายุน้อย เขาก็เผลอคลี่ยิ้มตาม คิดให้ดีอีกฝ่ายก็ไม่แย่เท่าไรนัก ยกเว้นแต่เรื่องที่ชอบทำรุ่มร่ามกับเขาด้วยความตั้งใจหรือไม่ก็ตาม

     

    ไม่กี่นาทีต่อมาอาหารชุดหลักถูกนำมาเสิร์ฟพร้อมข้าวสวยร้อนๆ ในโถ บริกรสาวสวยบรรจงใช้ทัพพีข้าวตักใส่จานเซรามิคก้นแบน ในปริมาณพอดิบพอดีไม่มากจนเกินไป พวกนางรินเหยือกเติมน้ำในแก้วที่พร่องไปให้เต็ม ก่อนค้อมศีรษะ ปลีกตัวจากไปเมื่อหมดหน้าที่

     

    “ผมไม่แน่ใจว่าคุณชอบทานอาหารแบบไหน” ผู้บริหารหนุ่มอธิบาย กรกฏเลื่อนสายตามองอาหารนานาชนิดที่ถูกนำมาเสิร์ฟวาง กลิ่นหอมของพวกมันโชยเตะจมูก ท้องก็พลันหิวขึ้นมากะทันหัน กรกฏกล่าวขอบคุณอีกครั้ง ก่อนจะเริ่มลงมือรับประทานอาหาร น่าพิศวงใจนักที่ตนเองเอาแต่ตั้งหน้าตั้งตากินอย่างตะกละตะกลาม จวบจนร่างที่นั่งตรงกับข้ามปรามอย่างห่วงใย

     

    “ค่อยๆ ทานก็ได้ครับ” คนถูกปรามหัวเราะแหยๆ ก่อนลดความเร็วในการกินให้ช้าลง

     

    “ขอโทษครับ”

     

    พิธิวัฒน์ยิ้มขบขันไม่ถือสา ทั้งคู่สนทนาเรื่อยเปื่อยตามประสา จวบจนกรกฏเริ่มรู้สึกอิ่ม มือเรียวจึงรวบช้อนส้อมวางช้อนลงเคียงขอบจาน กล่าวขอบคุณซ้ำซากไม่รู้เบื่อ

     

    “ไม่เป็นไรหรอกครับ ถือเสียว่าเป็นความตั้งใจจริงของผม” พิธิวัฒน์ยิ้มละมุนละไม มือหนาเลื่อนมากอบกุมอุ้งมือบางทันที ร่างที่ไม่ทันตั้งตัวสะดุ้งโหยง หากก็พยายามรักษาสีหน้าท่าทางและมารยาท “ช่วยรับฟังสิ่งที่ผมจะพูดต่อไปนี้หน่อยได้หรือไม่”

     

    ดวงตาคู่คมกริบที่มักเย็นชาอยู่เป็นนิจเจือประกายเว้าวอน กรกฎชั่งใจ แต่ไม่อาจหาเหตุผลใดมาปฏิเสธ

     

    “ครับ” ได้แต่ขานรับแผ่วๆ

     

    ผู้บริหารหนุ่มเผยรอยยิ้มยินดี มือหนาที่กอบกุมอุ้งมืออีกฝ่ายไว้ถูกยกขึ้น ริมฝีปากหนาโน้มลงประทับจุมพิตอย่างอ่อนโยน ทะนุถนอมดุจของรัก จนกรกฎนึกสะท้าน เขาไม่อาจขัดขืนได้เพราะมารยาทค้ำคอ ได้แต่ปล่อยให้การกระทำรุ่มร่ามดำเนินต่อไป ขณะที่ในใจร้อนรนดุจมีไฟแผดเผา

     

    “คุณกรกฏ ผม...”

     

    หากประโยคชะงักลงเพียงแค่นั้น หลังเสียงกระแอมปริศนาขัดขึ้นกลางคัน ร่างโปร่งได้โอกาสจึงดึงมือกลับอย่างสุภาพ ด้วยความสนเท่ เขาหันกลับไปสอดส่ายหาต้นเสียง ดวงตาสีเม็ดนิลพลันชะงักค้างอย่างตื่นตระหนก เมื่อร่างนั้นสืบเท้าเข้ามาประชิดโต๊ะ แสยะยิ้มคล้ายอารมณ์ดี ไม่ต่างจากท้องฟ้าในคืนก่อนพายุ

     

    “ไม่ทราบว่าขอนั่งด้วยคนได้หรือไม่”

     

     

    “ไม่ทราบว่าขอนั่งด้วยคนได้หรือไม่” เขาถามเสียงเรียบ กรกฏชะงัก ได้แต่นั่งตัวเกร็งประดุจรูปปั้น ร่างสูงตรงหน้าไม่ใช่ใครที่ไหน เขาคือวิธวินท์ ชายคนรัก! กรกฏหน้าซีดคล้ำ แทบไม่อยากคิดเลยว่าชายหนุ่มเห็นภาพบาดตาใดไปบ้าง สีหน้าเรียบเฉยเมยทำให้เดาไม่ออกว่าภายในใจรู้สึกอย่างไร

     

    “ได้สิครับ” ผู้บริหารหนุ่มคลี่ยิ้มเป็นมิตร น่าแปลกที่นัยน์ตากลับสะท้อนเพียงแววเฉยชา ชายหนุ่มเรียกให้บริการนำเก้าอี้มาเพิ่มอีกหนึ่งตัว ก่อนเชิญผู้มาเยือนนั่งลงตามมารยาท

     

    ฝ่ายกรกฎมีสีหน้าเครียดเกร็ง เหงื่อเม็ดใหญ่ๆ ไหลซึมตามไรผม วิธวินท์สังเกตเห็นจึงเย้าหยอกแกมเสียดสีด้วยความต่ำอกต่ำใจ

     

    “หืม? ไม่สบายหรือครับ คนดูเกร็งเหลือเกิน อย่างกับคนกำลังปกปิดความผิด” มือหนาแตะดวงหน้าคนรัก อีกฝ่ายก็ยิ่งถดตัวหนีคล้ายไม่ต้องการสมานฉันท์ ดวงตาคู่ดำสนิทเป็นประกายระริกจนนึกความหวาดหวั่น รู้ทั้งรู้อยู่แก่ใจว่า คนรักเกลียดการถูกบีบคั้นกดดันเป็นทุนเดิม แต่ชายหนุ่มยังเลือกที่จะทำ ต้องร่างโปร่งให้จนมุมและคายทุกอย่างออกมาเหมือนที่เขามักทำเสมอๆ

     

    แต่เมื่อไม่ได้คำตอบจากคนรัก วิธวินท์จึงเปลี่ยนไปให้ความสนใจ ชายผู้กุมตำแหน่งผู้บริหารคุ้มคำญวนไว้ในมือแทน ร่างสูงจ้องหน้าชายผู้บริหารตรงๆ ถามเสียงนิ่ง หากลึกล้ำเกินคาดเดา

     

    “คุณพากรกฎออกมาข้างนอกทำไม?”

     

    “ผมเพียงแค่อยากให้คุณกรกฎได้เปิดหูเปิดตาบ้าง เห็นว่าเขานอนอุดอู้อยู่ในห้องนานแล้ว คงเบื่อเท่านั้น” พิธิวัฒน์อ้าง สีหน้าอบอุ่นเมื่อสักครู่พลันถูกแช่แข็งด้วยความเย็นชืด

     

    “คุณไม่ควร เขากำลังป่วย” วิธวินท์แย้ง

     

    “อย่าห่วงไปเลย เขาสบายดีกว่าที่คุณคิด” ผู้บริหารหนุ่มคลี่ยิ้มเย็น วิธวินท์มองคนรักอย่างห่วงใยลึกๆ ต้องยอมรับว่าดวงหน้าซีดเซียวนั้นมีชีวิตชีวาและดูสดใสขึ้นกว่าช่วงเช้านัก แต่ก็ยังซีดขาวอยู่บ้างเพราะความหวั่นเกรง

     

    “แต่คุณควรอยู่ดี คุณก็รู้ว่าเขาเพิ่งหายป่วย อีกอย่าง...” นักธุรกิจหนุ่มเว้นวรรคหายใจ “คุณไม่มีสิทธิ์มาทำยุ่มย่ามกับคนของผม

     

    ถ้อยคำนั้นเป็นดังประกาศิตร้ายแรงบาดลึกในใจผู้ฟัง ชั่วครู่หนึ่งชายหนุ่มมองเห็นประกายแข็งกร้าวในดวงตาคมกริบที่พยายามซ่อนเร้นไว้ด้วยเปลือกความสุขุม พิธิวัฒน์หัวเราะกลั้วหัวเราะพอสุภาพ

     

    “หากคุณไม่พอใจ คงต้องโทษตัวคุณเองนะครับ คุณวิธวินท์ เพราะนั่นเกิดจากความสะเพร่าปล่อยปะละเลย คุณกรกฎจึงได้ออกมาทานข้าวกับผม” รอยยิ้มอย่างผู้ชนะถูกจุดขึ้นท่ามกลางบรรยากาศอึมครึม กรกฎยืดตัวปรามห้ามศึก แต่วิธวินท์ขัดขึ้นก่อน

     

    “คิดจะขโมยของคนอื่นกินหรือไง” ร่างสูงชักมีอารมณ์ฉุนเฉียวพูดไปโดยไม่ทันฉุกคิด

     

    “วิทย์ พอเถอะ” กรกฏรั้งต้นแขนคนรัก เมื่อเรื่องราวชักไปกันใหญ่

     

    “นั่นเป็นเรื่องที่แล้วแต่คุณจะคิดไตร่ตรอง” น้ำเสียงเย็นประดุจก้อนน้ำแข็งเอ่ย “ในเมื่อทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพราะความสะเพร่าของคุณทั้งนั้น”

     

    ถ้อยคำนั้นทำให้สติวิธวินท์ขาดผึง ฝ่ามือหนาทุบโต๊ะเสียงดังเล่น ก่อนผลุนผลันลุกขึ้นทันที กรกฎทำท่าจะรั้งตัวไว้เพื่อปรับความเข้าใจก่อน แต่ฝ่ายนั้นสะบัดข้อแขนทิ้งอย่างไม่ใยดี ร่างโปร่งจึงต้องรีบเร่งฝีเท้าตามไป

     

    “ขอโทษนะครับ คุณพิธิวัฒน์ ขอบคุณสำหรับอาหารมื้อนี้มากนะครับ” เขาบอกลาเป็นครั้งสุดท้าย พิธิวัฒน์คลี่ยิ้มที่อ่านความหมายไม่ออกตอบรับ ไม่รั้งตัวอีกฝ่ายไว้แต่อย่างใด

     

    กรกฏเร่งฝีเท้าตามวิธวินท์ที่ก้าวยาวๆ ออกจากปากประตูร้าน ร่างโปร่งร้องเรียกชื่อคนรัก ทว่าฝ่ายนั้นกลับทำเมินมิสนใจ พวกเขาคลาดกันหลังต้องฝ่าฝูงชนคับคั่งที่ออกันอยู่หน้าร้าน บ้างก็รอสั่งอาหาร บ้างก็จองโต๊ะ ยืนรีรอรวมตัวกันเป็นกลุ่มก้อนมวลชนแออัดขนาดใหญ่ กรกฏหอบแฮ่ก ภายหลังสามารถดันตัวเองฝ่ายฝูงชนแออัดที่แทบไม่ต่างอะไรจากปลากระป๋องอย่างยากลำบาก ร่างโปร่งสอดส่ายตาหาคนรักโดยไม่ละความพยายาม

     

    กรกฎรีรออยู่สักพักก็รีบเร่งควานหาตัวต่อ เขาเดินสอดส่ายหาตามสถานที่ต่างๆ ในเขตร้านอาหาร ทว่าไม่พบร่างที่คะนึงหา ร่างโปร่งถอนใจเฮือก หมดหวังเพราะคิดว่าอีกฝ่ายคนกลับไปเสียแล้ว หากขณะที่กำลังเดินผ่านลาดจอดรถซึ่งล้อมรอบด้วยแมกไม้สูงชะรูดใหญ่โต สายตาพลันสะดุดเข้ากับเงาสายหนึ่งยืนพิงต้นไม้แน่นิ่ง

     

    “วิธวินท์” เขาเรียกชื่อ และเดินปรี่ตรงเข้าไปอย่างเร่งร้อน เจ้าของชื่อปราดดวงตามองชั่วครู่หนึ่งก็เบนกลับ

     

    “มาทำไม? ไม่อยากอยู่กับมันต่อแล้วหรือ” ร่างสูงบิดยิ้มหยัน น้ำเสียงที่ใช้นั้นเยือกสนิทจนคนฟังนึกหวั่น

     

    “วิทย์ ถ้าคุณคิดว่าผมคิดอะไรกับคุณพิธิวัฒน์ล่ะก็ ผมบอกได้เลยว่ามันไม่ใช่”

     

    “แล้วที่ผมเห็นมันจูบคุณล่ะ คุณจะว่ายังไง?” คำถามเถรตรงดังน้ำเย็นสาดใส่ร่างจังๆ กรกฏหน้าชา ฝืนตอบฝืดๆ

     

    “มัน... แค่เรื่องบังเอิญ ผมไม่ได้ตั้งใจให้เป็นแบบนั้น”

     

    “งั้นหรือ?” ร่างสูงเค้นเสียงหึในลำคอคล้ายเยาะเย้ยให้ความโง่ของตน “คิดว่าผมโง่รึไง เห็นกันอยู่ชัดๆ ว่าคุณยอมให้มันทำตามใจชอบทุกอย่าง คุณเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่ คุณกรกฎ?”

     

    ร่างใต้เงาดำต้นสนยืดขึ้นเต็มความสูง นิ้วยาวได้รูปเชยปรายคางมนขึ้นเพ่งพิศ ดวงตามิมีแววล้อเล่นอย่างเคย

     

    “ผมถามว่าคุณเปลี่ยนไปตั้งแต่เมื่อไหร่!” ความสงบเยือกเย็นแปรเปลี่ยนเป็นฉุนเฉียวทันใด ร่างโปร่งน้ำท่วมปากพูดอะไรไม่ออก

     

    ชายหนุ่มทราบดีว่าพื้นเพอารมณ์คนรักค่อนข้างฉุนเฉียวและรับมือยาก กรกฏเลือกใช้ไม้อ่อนเข้าสงบศึก หวังให้อะไรๆ คลี่คลายด้วยความเข้าใจ ทว่ากลับกลายเป็นการราดน้ำมันรดบนกองไฟ จุดประกายเพลิงโทสะโหมกระหน่ำรุนแรง

     

    “คุณดูถูกความไว้วางใจผมเกินไปแล้วกรกฎ! คิดว่าผมจะโง่เชื่อข้ออ้างคุณไปหมดหรือยังไง” วิธวินท์ตวาดกร้าว มือหนากระชับทาบไหล่มน ดันร่างโปร่งติดต้นไม้อย่างฉุนเฉียว ดวงตาคู่เม็ดนิลเบิกกว้างด้วยความตื่นตระหนก ด้วยไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะกล้าลงไม้ลงมือกับตนขนาดนี้

     

    “ปล่อยเถอะวิทย์” เขาพยายามอ้อนวอน ดวงตาเป็นประกายสั่นระริก ร่างพลันสะดุ้งโหยง เมื่อมือหนาสอดรัดบั้นเอวไว้ โน้มปลายจมูกซุกไซร้ต้นคอ ความตกใจทำให้กรกฎสะบัดร่างจากพันธนาการ ผลักแผงอกกว้างออกอย่างแรง

     

    “คุณทำอะไร!” กรกฎตวาดลั่น

     

    “เตือนสติไง!” ร่างสูงตะคอกใส่ไม่แพ้กัน “ลืมแล้วหรือว่าคุณเป็นของผม!

     

    “ไม่มีใครเป็นของใครทั้งนั้น” ประโยคพรั่งพรูด้วยความกรุ่นโกรธขาดสติทำให้วิธวินท์ชะงักอึ้ง มองคนรักด้วยแววตาเหลือเชื่อ “รู้ไหม วิธวินท์ คุณกำลังบ่อนทำลายความเชื่อใจที่ผมมอบให้คุณ...”

     

    ดวงตาสีเม็ดนิลช้อนมองอย่างรวดร้าว ทลายความขุ่นเคืองใจวิธวินท์จนสิ้น ชายหนุ่มเหมือนน้ำท่วมปากชั่วขณะหนึ่ง มือหนาเอื้อมมาสัมผัสแก้มเนียนนิ่มคล้ายต้องการปลอบโยน แต่กรกฏเบี่ยงตัวออก

     

    “พอเถอะ... ผมไม่อยากทำร้ายคุณอีก” รอยยิ้มเศร้าสร้อยปรากฏขึ้นตรงมุมปาก “ขอโทษนะครับ ถ้าหากผมทำลายความรู้สึกคุณมากมาย”

     

    กล่าวจบจึงหมุนตัวจากมา โดยความมืดซ่อนสายตารวดร้าวไว้อย่างมิดชิด ใช่ว่าเขาไม่รู้สึกรู้สากับสิ่งที่พูดไป ตัวเขาก็เสียดแทงไม่แพ้กัน ร่างโปร่งปล่อยให้น้ำตาไหลรินฉาบแก้มเป็นทางยาว ใจหนึ่งอยากแทรกแผ่นดินหนีไปให้พ้นๆ เสีย หากอีกใจก็อยากให้วิธวินท์ตามมารั้งตัวไว้เหลือเกิน

     

    “โธ่เว้ย!” เขาได้ยินเสียงสบถแว่วตามหลังมา เดาได้ว่าคนรักคงโกรธและเสียใจไม่น้อยไปกว่าตน ร่างโปร่งประคองกายเดินสะง่อนสะแง่นกลับโรงแรมด้วยขาทั้งสองข้าง ระยะทางที่เคยคิดว่าใกล้ บัดนี้กลับไกลจนแทบหมดกำลังใจก้าวต่อ ในที่สุดกรกฏก็พาร่างปวกเปียกของตนกลับสู่ห้องพักสำเร็จ...




     

     

    555+ ตอนนี้รู้สึกเหมือนหนุ่มๆ กำลังเผยด้านมืดเล็กๆ ของตัวเองยังไงไม่รู้ วิธวินท์ที่ปกติออกจะเทคแคร์คนรัก สุดหวานน้ำตาลขึ้น ตอนนี้ดูเอาแต่ใจแปลกๆ (หรือเป็นที่อารมณ์คนเขียนนะ?) ส่วนพ่อพิชญ์ เขามากินข้าวด้วยทีสองทีก็ชักเอาใหญ่ จับมือถือแขนหนูปูซะแล้ว อิอุ ด้านมืดค่อยๆ เผยที่ละนิดรึ?

    ปล.ตอนนี้รีไรท์เสร็จแล้ว ว่างๆ จากการเรียนจะทยอยอัพตอนใหม่แล้วค่า

    ปลล.เมลล่าเลิกเรียนหกโมงทุกวัน เรียนหนักการบ้านเยอะมากค่า อาจจะช้าบ้าง เพี้ยนบ้างอะไรบ้าง อภัยๆ ให้เจ้าคนหัวเบลอๆ หน่อยนะคะ

    ปลลล.ขอบคุณพี่ๆ นักอ่านที่ช่วยเม้นเป็นกำลังในนะคะ ถึงจะเป็นกำลังใจเล็กๆ น้อยๆ แต่เมลล่าก็ดีใจมากค่า

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×