คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 6 ท้องฟ้าก่อนพายุ
กรกฎถอนหายใจแรง ทรุดนั่งบนม้าไม้ข้างระเบียงสวน ดวงตาสีเม็ดนิลทอดมองทิวทัศน์ร่มรื่นด้วยเงาแมกไม้ หากความรู้สึกภายในใจกลับตีรวน จนกระสับกระส่าย
ทำแบบนี้ดีแน่แล้วหรือ? กรกฎถามตัวเอง เขาเริ่มรู้สึกผิดกับคำพูดทำร้ายจิตใจที่มอบให้วิธวินท์ด้วยความขาดสติ เพราะเกลียดสภาวะถูกกดดันเป็นทุนเดิม สีหน้าของคนรักยามได้ฟังนั้น แลดูร้าวรานและตกตะลึงเป็นยิ่ง กรกฎเหลียวมองห้องพักปิดประตูแน่นสนิท ที่ตนจากมาเมื่อหลายนาทีที่แล้ว ก่อนจะผ่อนลมหายใจอย่างแรงอีกครั้ง
ถัดมาไม่ไกลนัก เขาเห็นร่างร่างหนึ่งเดินเหวี่ยงเท้าเตะก้อนหินเล่นสะเปะสะปะตามประสา ด้วยความสงสัย กรกฎจึงเพ่งมอง ครั้นพิศให้ดีก็รู้ว่าคือ การัณ เพื่อนเก่าแก่ในอดีต
“อ้าว ว่าไง คุยกันเรียบร้อยแล้วหรือ?” เจ้าของดวงตาปราดเปลี่ยวมีสีหน้าแปลกใจ พลันก็พบความอ่อนใจฉายชัดบนดวงหน้าคู่สนทนา “มีเรื่องกันมาล่ะสิ?”
“อืม ก็นิดหน่อย” กรกฎตอบตามตรง
“คงเป็นเพราะเราเข้าไปยุ่มย่ามไม่เข้าเรื่อง ขอโทษด้วย”
การัณกล่าวขอโทษอย่างรู้สึกผิด ทั้งที่ในใจกำลังกระหยิ่มยิ้มย่อง ฝ่ายกรกฎฟังแล้วได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธอย่างอ่อนใจ พล่ามบอกว่ามิใช่ความผิดของเขา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวล
ร่างเพื่อนรักเก่าขยับยิ้มน้อยๆ คิดไม่ผิดที่เลือกใช้ผลพลอยได้จากการมองโลกในแง่บวกให้เป็นดังคมมีดที่ย้อนกลับมาทำร้ายอีกฝ่ายจนร้าวราน
“ไปเดินเล่นกับเราไหม?” การัณเบี่ยงประเด็น
เนื่องจากอากาศวันนี้ค่อนข้างแจ่มใสปลอดโปร่งดี ทั้งยังไม่ร้อนจนเกิดไป จึงเหมาะสำหรับการเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจ ผู้ถูกถามนิ่งไตร่ตรอง สักพักจึงยิ้มปฏิเสธอย่างสุภาพ
“ผมว่าจะไปเรียนรู้งานสักหน่อย เอาไว้วันหลังนะ” อีกไม่นาน ชายหนุ่มคงต้องขึ้นรับตำแหน่งประธานใหญ่ของเครือข่าย ซึ่งไม่ใช่เรื่องเล่นๆ สำหรับนักธุรกิจหนุ่มที่ไร้ประสบการณ์บริหารโดยสิ้นเชิงอย่างเขา
“เอาไว้วันไหนว่าง ไว้ค่อยมาเดินเล่นกับเราก็ได้” การัณยิ้มตอบไม่ถือสา
ทั้งสองล่ำลาง่ายๆ กรกฎเป็นฝ่ายปลีกตัวจากมาก่อน โดยมีสายตาคู่ปราดเปลี่ยวจับจ้องไม่วาง พลันความคิดพิเรนทร์น่าสนใจก็พุดขึ้นในหัว เรียกรอยยิ้มแสยะเบาบางบนริมฝีปาก
ชายหนุ่มมองแผ่นหลังบอบบางของคู่อริที่แลดูไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อย ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมวิธวินท์จึงได้ปกป้องทะนุถนอมคนรักเสียยิ่งกว่าไข่ในหิน
ผิดกับในโลกของเขา ที่ความอ่อนแอไร้เดียงสานั้น เปรียบเสมือนดังจุดอ่อน ยิ่งมีมาก ก็รั้งแต่จะทำให้ตัวตกต่ำ ดิ่งลงสู่ก้นเหวลึก ในท้ายที่สุดแล้ว หากไม่เปลี่ยนตนเองให้เข็มแข็งขึ้น จุบจบของคนเหล่านี้มีแค่เพียงประการเดียว นั่นคือ ‘การมีชีวิตอยู่ในที่ที่ไม่ต่างจากขุมนรก’
“เอาล่ะ หมากของเราพร้อมแล้ว เหลือเพียงแค่รอเวลาเริ่มเกมเท่านั้น มาดูกันซิ ว่าเราจะทำอะไรได้บ้างในเกมนี้...”
--------------------
กรกฎเดินทางมาพบพิธิวัฒน์ที่ห้องทำงานชั้นหนึ่งของโรงแรม หลังแยกตัวจากการัณเพื่อนเก่า เนื่องจากเขาไม่มีกระจิตกระใจกลับไปหาวิธวินท์ มือเรียวเคาะประตูห้องให้เกิดเสียงพอได้ยิน
เสียงฝีเท้าแผ่วๆ ดังขึ้นจากภายหลัง เป็นจังหวะสม่ำเสมอใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งแผ่นไม้ถูกเปิดออกเผยให้เห็นร่างสูงแกร่งผู้เป็นเจ้าของห้อง
“สวัสดีครับ คุณกรกฎ หายดีแล้วหรือครับ” ผู้บริหารหนุ่มทักทายอย่างมีมารยาท ดวงตาคู่คมสะท้อนแววห่วงใยล้ำลึก
“ครับ ดีขึ้นมากแล้วครับ” ร่างโปร่งยิ้มตอบ ก่อนจะวกเข้าประเด็นหลัก “เอ่อ... ไม่ทราบว่าพอมีเวลาว่างหรือเปล่าครับ”
“ครับ? มีเรื่องอะไรให้รับใช้หรือ” พิธิวัฒน์ถามอย่างสนอกสนใจ กรกฎจึงรีบอธิบายพลัน
“คือผมอยากเรียนรู้งานสักหน่อย...” เขาเริ่มอึกอัก เมื่อต้องอธิบายถึงสาเหตุที่ตนไร้ประสบการณ์ด้านธุรกิจโดยสิ้นเชิง “คือ... อย่างที่คุณทราบว่า ผมเรียนจบจากคณะมัณฑนศิลป์ เรื่องประสบการณ์เองก็...”
“ไม่เป็นไรครับ เชิญข้างในก่อนเถอะ” ผู้บริหารหนุ่มตัดบท ยิ้มให้อย่างเข้าอกเข้าใจ กรกฎเห็นแล้วก็รู้สึกโล่งอกตามไปด้วย ร่างโปร่งเดินตามเจ้าของแผ่นหลังหนา เข้าไปภายในห้องทำงาน อันประกอบด้วยโซฟาขนสัตว์ โต๊ะกลมสำหรับรับแขก พื้นที่และโต๊ะทำหรับนั่งทำงาน และตู้เก็บเอกสารอีกจำนวนหนึ่ง ที่เหลือเป็นของอำนวยความสะดวกสรรพเพเหระตามแต่จะสรรหา
ผู้บริหารหนุ่มบอกให้เขานั่งพักตามสบาย ส่วนตนสั่งให้เลขานำเครื่องดื่มและของว่างมาเพื่อรองรับแขก หลังได้ของที่ต้องการแล้ว ชายหนุ่มจึงโบกมือเป็นเชิงให้นางออกไป เพื่อจะได้พูดคุยธุระสะดวกขึ้น
“อยากเรียนรู้งานหรือครับ” ชายหนุ่มถามอย่างอ่อนโยนจนน่าแปลกใจ
กรกฎพยักหน้ารับอย่างไม่มีทางเลือก “ครับ รบกวนด้วยนะครับ ผมไม่ค่อยมีประสบการณ์เท่าไหร่...”
เขายิ้มแห้งเจือน พูดให้ถูกคือ ชายหนุ่มไม่เคยลงมือตัดสินใจด้านธุรกิจเองสักครั้ง กระทั่งเข้าบริษัทใหญ่ยังแทบนับคราได้ ส่วนหนึ่งเพราะมีวิธวินท์ที่จบด้านบริหารโดยตรง ทั้งยังเป็นทายาทรับช่วงกิจการโรงแรมชื่อดัง คอยดูแลจัดการเรื่องนี้แล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องทะเยอทะยานนัก ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดมาโดยตลอด
“ครับ” พิธิวัฒน์รับคำอย่างไม่รังเกียจ “ผมว่าพื้นฐานที่คุณควรรู้เป็นอย่างน้อยคือสถานภาพของโรงแรมในตอนนี้ ส่วนเรื่องเอกสารหรือการตัดสินใจ ผมจะค่อยๆ สอนไปทีละนิดนะครับ”
กล่าวจบจึงลุกขึ้นจากโซฟา ผู้บริหารหนุ่มรื้อเอกสารประกอบการอธิบายบนโต๊ะทำงานของเขา หยิบจำนวนหนึ่งติดมือกลับมา ร่างสูงยื่นมันให้ว่าที่ประธานอายุน้อย ก่อนทรุดนั่งอย่างเก่าแล้วเริ่มอธิบาย
“สถานการณ์โดยรวมของคุ้มคำญวนนับว่าค่อนข้างดีในไตรมาสนี้ หลังปรับโครงสร้างภายในบางส่วน ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับโรมแรมเล็กๆ อย่างเรา ...ขอโทษนะครับ” ร่างสูงเขยิบกายเข้ามาจนใกล้กรกฎ ถือวิสาสะสอดมือจากด้านหลัง ประคองเอกสารในมืออีกฝ่าย กรกฎสะดุ้งตัวเกร็ง ไออุ่นจากร่างแข็งแกร่งชวนให้นึกถึงแผงอกคนรักเสียเหลือเกิน
พิธิวัฒน์ฉวยกระดาษแผ่นหนึ่งจากปึกในมือกรกฎ มันคือกราฟแสดงรายได้เปรียบเทียบของไตรมาสต่างๆ “จากตรงนี้ คุณจะเห็นได้ว่า แท่งกราฟของไตรมาสนี้มีสถิติสูงที่สุด แสดงให้เห็นว่าแผนโครงสร้างของเราค่อนข้างลงตัว อีกทั้งยังอยู่ในช่วง High Season จึงถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีทีเดียว”
เล่ามาถึงจุดนี้ สีหน้าผู้บริหารหนุ่มมีท่าทีเครียดขรึมขึ้น
“มีอะไรหรือเปล่าครับ” กรกฎฝืนถาม พยายามบังคับให้น้ำเสียงนิ่ง มั่นคงเพราะไม่อยากเสียมารยาทนัก ครั้นแล้วผู้บริหารหนุ่มจึงยอมคลายอ้อมกอดกรายๆ นั้นออก
“อย่างไรเสียมาตรฐานโรงแรมคุ้มคำญวนก็ยังไม่มากพอสำหรับรองรับแขกระดับสูงเหมือนอย่างโฟลริด โรส การจะนำเสนอตนให้เป็นที่รู้จักในวงการกว้าง ควรตรวจสอบโรงแรมให้แน่ใจเสียก่อนว่ามีมาตรฐานดีพอหรือไม่อย่างไร ซึ่งในจุดนี้ยังต้องปรับปรุงอีกมาก”
กรกฎรับฟังอย่างตั้งใจ
ไม่แปลกใจเลย เพราะเดิมทีเครือข่ายแกรนด์ พาราไดซ์นั้น มิได้สอดมือข้องเกี่ยวกับตลาดการโรงแรมแต่อย่างใด สินค้าตัวตั้งตัวตีเก่าล้วนเป็นผลิตภัณฑ์จำพวกนมเนย ซึ่งเป็นผลผลิตจากการทำฟาร์มปศุสัตว์ กรกฎทราบมาเลาๆ ว่าบิดาเขามีฟาร์มขนาดใหญ่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศ แต่ภายหลังจับมือกับโฟริด โรส จึงขยายเครือข่ายเขาครอบคลุมด้านการโรมแรมและการท่องเที่ยว โดยผันตัวสู่ตลาดโรงแรมในชื่อ ‘แกรนด์ พาราไดซ์’ นั่นเอง
ผู้บริหารหนุ่มจัดแจงเอกสารออกเป็นชุดๆ ชี้ให้เห็นถึงข้อดีข้อเสีย และจุดเด่นของโรงแรมอย่างละเอียด ทั้งคู่ซักถามกันเพลิน รู้สึกตัวอีกทีก็เพราะว่าที่ประธานหนุ่มมีไข้และปวดศีรษะจัด
“ทานยาก่อนไหมครับ คุณกรกฎ หน้าตาคุณดูซีดเซียว” มือหนาสัมผัสแก้มนุ่มนิ่มเบาๆ จนกรกฎสะดุ้ง ผงะหนีพัลวัน
“มะ ไม่เป็นไรครับ ผมสบายดี” ร่างโปร่งปฏิเสธเสียงสั่น
ผู้บริหารหนุ่มมีสีหน้าครุ่นคิด สักครู่ถึงลุกไปหยิบแผงยาสามัญโดยมิต้องถามซ้ำอีกครา เขาส่งมันให้ว่าที่ประธานพร้อมทั้งจัดแจงเลื่อนแก้วน้ำให้เจ้าตัว
“ทานยาเถอะครับ หน้าตาคุณดูไม่สู้ดีเลย” เขาพูดอย่างอ่อนโยน น้ำเสียงเป็นมิตรทำให้กรกฏคลายใจขึ้นบาง จึงยอมทานอย่างว่าง่าย
“ขอบคุณครับ”
“ไม่ต้องครับ หน้าที่ของผมคือการรับใช้คุณอยู่แล้ว” ผู้บริหารหนุ่มยิ้มอบอุ่น ผิดจากท่าทางปกติที่มักเย็นชาเป็นนิจ น่าแปลกที่ชายหนุ่มให้ความรู้สึกอบอุ่น น่าพักพิงเวลาอยู่กับเขาเสมอๆ
กรกฎมุ่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยด้วยความฉงนใจ ประโยคสั้นๆ ที่คล้ายเคยได้ยินจากที่ใดสักแห่งยังตกค้างอยู่ภายในใจโดยไร้สาเหตุ หากเขากลับนึกไม่ออกว่าตนได้ฟังมากจากที่ใดกันแน่...
ทว่ายังไม่ทันคิดไปไกล พิธิวัฒน์ก็ถามขัดเสียก่อน “ไม่ทราบว่าเย็นนี้ว่างหรือเปล่าครับ ถ้าไม่เป็นการรบกวน... ผมอยากชวนคุณไปทานข้าวด้วย”
ร่างสูงพยายามซ่อนประกายคาดหวังไว้ภายใน เพราะไม่อยากกดดันคู่สนทนา ทว่าก็ไม่อาจเก็บมันได้มิดชิด กรกฎยิ้มแหย ทีแรกตั้งใจจะปฏิเสธ หากเมื่อหวนคิดถึงเรื่องราวที่ตนก่อให้กับวิธวินท์ก็เกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน
“ครับ สะดวกครับ”
“ขอบคุณครับ” ผู้บริหารหนุ่มค้อมศีรษะเล็กน้อย “เป็นเกียรติมากครับ ถ้าอย่างนั้น... พบกันตอนหกโมงเย็นที่ด้านหน้าโรงแรมนะครับ”
“ครับ” กรกฏรับคำไปอย่างนั้น พูดให้ถูกคือเขาไม่คิดจะลุกจากห้องพิธิวัฒน์ด้วยซ้ำ “เอ่อ... หากไม่เป็นการรบกวน ผมขออยู่ที่นี่จนกว่าจะถึงตอนเย็นได้ไหมครับ”
พิธิวัฒน์ไม่ตอบ หากคลี่ยิ้มอย่างอิ่มเอมใจ เขากุมมือเรียวนุ่มไว้ ยกขึ้นแล้วบรรจงจุมพิตอย่างสุภาพ กรกฎตกใจชักมือหนี เรียกเสียงหัวเราะสงวนท่าทีจากชายหนุ่ม ครั้นแล้ว ร่างโปร่งถึงรู้ว่าตนถูกกลั่นแกล้ง
โดยที่พวกเขาไม่อาจรู้เลยว่าสัญญาข้อนี้ ได้นำไปสู่อีกปัญหาหนึ่งที่ใหญ่ยิ่งกว่า...
---------------------------------------------------------------------
ลงแทนคำขอโทษที่ช้าอีกตอนเจ้าค่ะ จบตอนสี่แล้ว จะนำมาลงแบบดีๆ มีระเบียบนะคะ แหะๆๆๆ ^^''
ความคิดเห็น