ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บ่วงแค้นบ่วงเสน่หา [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 6 ท้องฟ้าก่อนพายุ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 125
      2
      8 พ.ค. 56

    กรกฎถอนหายใจแรง ทรุดนั่งบนม้าไม้ข้างระเบียงสวน ดวงตาสีเม็ดนิลทอดมองทิวทัศน์ร่มรื่นด้วยเงาแมกไม้ หากความรู้สึกภายในใจกลับตีรวน จนกระสับกระส่าย

     

    ทำแบบนี้ดีแน่แล้วหรือ? กรกฎถามตัวเอง เขาเริ่มรู้สึกผิดกับคำพูดทำร้ายจิตใจที่มอบให้วิธวินท์ด้วยความขาดสติ เพราะเกลียดสภาวะถูกกดดันเป็นทุนเดิม สีหน้าของคนรักยามได้ฟังนั้น แลดูร้าวรานและตกตะลึงเป็นยิ่ง กรกฎเหลียวมองห้องพักปิดประตูแน่นสนิท ที่ตนจากมาเมื่อหลายนาทีที่แล้ว ก่อนจะผ่อนลมหายใจอย่างแรงอีกครั้ง

     

    ถัดมาไม่ไกลนัก เขาเห็นร่างร่างหนึ่งเดินเหวี่ยงเท้าเตะก้อนหินเล่นสะเปะสะปะตามประสา ด้วยความสงสัย กรกฎจึงเพ่งมอง ครั้นพิศให้ดีก็รู้ว่าคือ การัณ เพื่อนเก่าแก่ในอดีต

     

    “อ้าว ว่าไง คุยกันเรียบร้อยแล้วหรือ?” เจ้าของดวงตาปราดเปลี่ยวมีสีหน้าแปลกใจ พลันก็พบความอ่อนใจฉายชัดบนดวงหน้าคู่สนทนา “มีเรื่องกันมาล่ะสิ?”

     

    “อืม ก็นิดหน่อย” กรกฎตอบตามตรง

     

    “คงเป็นเพราะเราเข้าไปยุ่มย่ามไม่เข้าเรื่อง ขอโทษด้วย”

     

    การัณกล่าวขอโทษอย่างรู้สึกผิด ทั้งที่ในใจกำลังกระหยิ่มยิ้มย่อง ฝ่ายกรกฎฟังแล้วได้แต่ส่ายหน้าปฏิเสธอย่างอ่อนใจ พล่ามบอกว่ามิใช่ความผิดของเขา ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องกังวล

     

    ร่างเพื่อนรักเก่าขยับยิ้มน้อยๆ คิดไม่ผิดที่เลือกใช้ผลพลอยได้จากการมองโลกในแง่บวกให้เป็นดังคมมีดที่ย้อนกลับมาทำร้ายอีกฝ่ายจนร้าวราน

     

    “ไปเดินเล่นกับเราไหม?” การัณเบี่ยงประเด็น

     

    เนื่องจากอากาศวันนี้ค่อนข้างแจ่มใสปลอดโปร่งดี ทั้งยังไม่ร้อนจนเกิดไป จึงเหมาะสำหรับการเดินเล่นพักผ่อนหย่อนใจ ผู้ถูกถามนิ่งไตร่ตรอง สักพักจึงยิ้มปฏิเสธอย่างสุภาพ

     

    “ผมว่าจะไปเรียนรู้งานสักหน่อย เอาไว้วันหลังนะ” อีกไม่นาน ชายหนุ่มคงต้องขึ้นรับตำแหน่งประธานใหญ่ของเครือข่าย ซึ่งไม่ใช่เรื่องเล่นๆ สำหรับนักธุรกิจหนุ่มที่ไร้ประสบการณ์บริหารโดยสิ้นเชิงอย่างเขา

     

    “เอาไว้วันไหนว่าง ไว้ค่อยมาเดินเล่นกับเราก็ได้” การัณยิ้มตอบไม่ถือสา

     

    ทั้งสองล่ำลาง่ายๆ กรกฎเป็นฝ่ายปลีกตัวจากมาก่อน โดยมีสายตาคู่ปราดเปลี่ยวจับจ้องไม่วาง พลันความคิดพิเรนทร์น่าสนใจก็พุดขึ้นในหัว เรียกรอยยิ้มแสยะเบาบางบนริมฝีปาก

     

    ชายหนุ่มมองแผ่นหลังบอบบางของคู่อริที่แลดูไร้เดียงสาราวกับเด็กน้อย ไม่น่าแปลกใจเลย ว่าทำไมวิธวินท์จึงได้ปกป้องทะนุถนอมคนรักเสียยิ่งกว่าไข่ในหิน

     

    ผิดกับในโลกของเขา ที่ความอ่อนแอไร้เดียงสานั้น เปรียบเสมือนดังจุดอ่อน ยิ่งมีมาก ก็รั้งแต่จะทำให้ตัวตกต่ำ ดิ่งลงสู่ก้นเหวลึก ในท้ายที่สุดแล้ว หากไม่เปลี่ยนตนเองให้เข็มแข็งขึ้น จุบจบของคนเหล่านี้มีแค่เพียงประการเดียว นั่นคือ การมีชีวิตอยู่ในที่ที่ไม่ต่างจากขุมนรก

     

    “เอาล่ะ หมากของเราพร้อมแล้ว เหลือเพียงแค่รอเวลาเริ่มเกมเท่านั้น มาดูกันซิ ว่าเราจะทำอะไรได้บ้างในเกมนี้...”

    --------------------

     

    กรกฎเดินทางมาพบพิธิวัฒน์ที่ห้องทำงานชั้นหนึ่งของโรงแรม หลังแยกตัวจากการัณเพื่อนเก่า เนื่องจากเขาไม่มีกระจิตกระใจกลับไปหาวิธวินท์ มือเรียวเคาะประตูห้องให้เกิดเสียงพอได้ยิน

     

    เสียงฝีเท้าแผ่วๆ ดังขึ้นจากภายหลัง เป็นจังหวะสม่ำเสมอใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนกระทั่งแผ่นไม้ถูกเปิดออกเผยให้เห็นร่างสูงแกร่งผู้เป็นเจ้าของห้อง

     

    “สวัสดีครับ คุณกรกฎ หายดีแล้วหรือครับ” ผู้บริหารหนุ่มทักทายอย่างมีมารยาท ดวงตาคู่คมสะท้อนแววห่วงใยล้ำลึก

     

    “ครับ ดีขึ้นมากแล้วครับ” ร่างโปร่งยิ้มตอบ ก่อนจะวกเข้าประเด็นหลัก “เอ่อ... ไม่ทราบว่าพอมีเวลาว่างหรือเปล่าครับ”

     

    “ครับ? มีเรื่องอะไรให้รับใช้หรือ” พิธิวัฒน์ถามอย่างสนอกสนใจ กรกฎจึงรีบอธิบายพลัน

     

    “คือผมอยากเรียนรู้งานสักหน่อย...” เขาเริ่มอึกอัก เมื่อต้องอธิบายถึงสาเหตุที่ตนไร้ประสบการณ์ด้านธุรกิจโดยสิ้นเชิง “คือ... อย่างที่คุณทราบว่า ผมเรียนจบจากคณะมัณฑนศิลป์ เรื่องประสบการณ์เองก็...”

     

    “ไม่เป็นไรครับ เชิญข้างในก่อนเถอะ” ผู้บริหารหนุ่มตัดบท ยิ้มให้อย่างเข้าอกเข้าใจ กรกฎเห็นแล้วก็รู้สึกโล่งอกตามไปด้วย ร่างโปร่งเดินตามเจ้าของแผ่นหลังหนา เข้าไปภายในห้องทำงาน อันประกอบด้วยโซฟาขนสัตว์ โต๊ะกลมสำหรับรับแขก พื้นที่และโต๊ะทำหรับนั่งทำงาน และตู้เก็บเอกสารอีกจำนวนหนึ่ง ที่เหลือเป็นของอำนวยความสะดวกสรรพเพเหระตามแต่จะสรรหา

     

    ผู้บริหารหนุ่มบอกให้เขานั่งพักตามสบาย ส่วนตนสั่งให้เลขานำเครื่องดื่มและของว่างมาเพื่อรองรับแขก หลังได้ของที่ต้องการแล้ว ชายหนุ่มจึงโบกมือเป็นเชิงให้นางออกไป เพื่อจะได้พูดคุยธุระสะดวกขึ้น

     

    “อยากเรียนรู้งานหรือครับ” ชายหนุ่มถามอย่างอ่อนโยนจนน่าแปลกใจ

     

    กรกฎพยักหน้ารับอย่างไม่มีทางเลือก “ครับ รบกวนด้วยนะครับ ผมไม่ค่อยมีประสบการณ์เท่าไหร่...”

     

    เขายิ้มแห้งเจือน พูดให้ถูกคือ ชายหนุ่มไม่เคยลงมือตัดสินใจด้านธุรกิจเองสักครั้ง กระทั่งเข้าบริษัทใหญ่ยังแทบนับคราได้ ส่วนหนึ่งเพราะมีวิธวินท์ที่จบด้านบริหารโดยตรง ทั้งยังเป็นทายาทรับช่วงกิจการโรงแรมชื่อดัง คอยดูแลจัดการเรื่องนี้แล้ว เขาจึงไม่จำเป็นต้องทะเยอทะยานนัก ซึ่งเป็นความคิดที่ผิดมาโดยตลอด

     

    “ครับ” พิธิวัฒน์รับคำอย่างไม่รังเกียจ “ผมว่าพื้นฐานที่คุณควรรู้เป็นอย่างน้อยคือสถานภาพของโรงแรมในตอนนี้ ส่วนเรื่องเอกสารหรือการตัดสินใจ ผมจะค่อยๆ สอนไปทีละนิดนะครับ”

     

    กล่าวจบจึงลุกขึ้นจากโซฟา ผู้บริหารหนุ่มรื้อเอกสารประกอบการอธิบายบนโต๊ะทำงานของเขา หยิบจำนวนหนึ่งติดมือกลับมา ร่างสูงยื่นมันให้ว่าที่ประธานอายุน้อย ก่อนทรุดนั่งอย่างเก่าแล้วเริ่มอธิบาย

     

    “สถานการณ์โดยรวมของคุ้มคำญวนนับว่าค่อนข้างดีในไตรมาสนี้ หลังปรับโครงสร้างภายในบางส่วน ซึ่งถือเป็นสัญญาณที่ดีสำหรับโรมแรมเล็กๆ อย่างเรา ...ขอโทษนะครับ” ร่างสูงเขยิบกายเข้ามาจนใกล้กรกฎ ถือวิสาสะสอดมือจากด้านหลัง ประคองเอกสารในมืออีกฝ่าย กรกฎสะดุ้งตัวเกร็ง ไออุ่นจากร่างแข็งแกร่งชวนให้นึกถึงแผงอกคนรักเสียเหลือเกิน

     

    พิธิวัฒน์ฉวยกระดาษแผ่นหนึ่งจากปึกในมือกรกฎ มันคือกราฟแสดงรายได้เปรียบเทียบของไตรมาสต่างๆ “จากตรงนี้ คุณจะเห็นได้ว่า แท่งกราฟของไตรมาสนี้มีสถิติสูงที่สุด แสดงให้เห็นว่าแผนโครงสร้างของเราค่อนข้างลงตัว อีกทั้งยังอยู่ในช่วง High Season จึงถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดีทีเดียว”

     

    เล่ามาถึงจุดนี้ สีหน้าผู้บริหารหนุ่มมีท่าทีเครียดขรึมขึ้น

     

    “มีอะไรหรือเปล่าครับ” กรกฎฝืนถาม พยายามบังคับให้น้ำเสียงนิ่ง มั่นคงเพราะไม่อยากเสียมารยาทนัก ครั้นแล้วผู้บริหารหนุ่มจึงยอมคลายอ้อมกอดกรายๆ นั้นออก

     

    “อย่างไรเสียมาตรฐานโรงแรมคุ้มคำญวนก็ยังไม่มากพอสำหรับรองรับแขกระดับสูงเหมือนอย่างโฟลริด โรส การจะนำเสนอตนให้เป็นที่รู้จักในวงการกว้าง ควรตรวจสอบโรงแรมให้แน่ใจเสียก่อนว่ามีมาตรฐานดีพอหรือไม่อย่างไร ซึ่งในจุดนี้ยังต้องปรับปรุงอีกมาก”

     

    กรกฎรับฟังอย่างตั้งใจ

     

    ไม่แปลกใจเลย เพราะเดิมทีเครือข่ายแกรนด์ พาราไดซ์นั้น มิได้สอดมือข้องเกี่ยวกับตลาดการโรงแรมแต่อย่างใด สินค้าตัวตั้งตัวตีเก่าล้วนเป็นผลิตภัณฑ์จำพวกนมเนย ซึ่งเป็นผลผลิตจากการทำฟาร์มปศุสัตว์ กรกฎทราบมาเลาๆ ว่าบิดาเขามีฟาร์มขนาดใหญ่อยู่ทางตอนใต้ของประเทศ แต่ภายหลังจับมือกับโฟริด โรส จึงขยายเครือข่ายเขาครอบคลุมด้านการโรมแรมและการท่องเที่ยว โดยผันตัวสู่ตลาดโรงแรมในชื่อ แกรนด์ พาราไดซ์นั่นเอง

     

    ผู้บริหารหนุ่มจัดแจงเอกสารออกเป็นชุดๆ ชี้ให้เห็นถึงข้อดีข้อเสีย และจุดเด่นของโรงแรมอย่างละเอียด ทั้งคู่ซักถามกันเพลิน รู้สึกตัวอีกทีก็เพราะว่าที่ประธานหนุ่มมีไข้และปวดศีรษะจัด

     

    “ทานยาก่อนไหมครับ คุณกรกฎ หน้าตาคุณดูซีดเซียว” มือหนาสัมผัสแก้มนุ่มนิ่มเบาๆ จนกรกฎสะดุ้ง ผงะหนีพัลวัน

     

    “มะ ไม่เป็นไรครับ ผมสบายดี” ร่างโปร่งปฏิเสธเสียงสั่น

     

    ผู้บริหารหนุ่มมีสีหน้าครุ่นคิด สักครู่ถึงลุกไปหยิบแผงยาสามัญโดยมิต้องถามซ้ำอีกครา เขาส่งมันให้ว่าที่ประธานพร้อมทั้งจัดแจงเลื่อนแก้วน้ำให้เจ้าตัว

     

    “ทานยาเถอะครับ หน้าตาคุณดูไม่สู้ดีเลย” เขาพูดอย่างอ่อนโยน น้ำเสียงเป็นมิตรทำให้กรกฏคลายใจขึ้นบาง จึงยอมทานอย่างว่าง่าย

     

    “ขอบคุณครับ”

     

    ไม่ต้องครับ หน้าที่ของผมคือการรับใช้คุณอยู่แล้ว” ผู้บริหารหนุ่มยิ้มอบอุ่น ผิดจากท่าทางปกติที่มักเย็นชาเป็นนิจ น่าแปลกที่ชายหนุ่มให้ความรู้สึกอบอุ่น น่าพักพิงเวลาอยู่กับเขาเสมอๆ

     

    กรกฎมุ่นคิ้วเข้าหากันเล็กน้อยด้วยความฉงนใจ ประโยคสั้นๆ ที่คล้ายเคยได้ยินจากที่ใดสักแห่งยังตกค้างอยู่ภายในใจโดยไร้สาเหตุ หากเขากลับนึกไม่ออกว่าตนได้ฟังมากจากที่ใดกันแน่...

     

    ทว่ายังไม่ทันคิดไปไกล พิธิวัฒน์ก็ถามขัดเสียก่อน “ไม่ทราบว่าเย็นนี้ว่างหรือเปล่าครับ ถ้าไม่เป็นการรบกวน... ผมอยากชวนคุณไปทานข้าวด้วย”

     

    ร่างสูงพยายามซ่อนประกายคาดหวังไว้ภายใน เพราะไม่อยากกดดันคู่สนทนา ทว่าก็ไม่อาจเก็บมันได้มิดชิด กรกฎยิ้มแหย ทีแรกตั้งใจจะปฏิเสธ หากเมื่อหวนคิดถึงเรื่องราวที่ตนก่อให้กับวิธวินท์ก็เกิดเปลี่ยนใจกะทันหัน

     

    “ครับ สะดวกครับ”

     

    “ขอบคุณครับ” ผู้บริหารหนุ่มค้อมศีรษะเล็กน้อย “เป็นเกียรติมากครับ ถ้าอย่างนั้น... พบกันตอนหกโมงเย็นที่ด้านหน้าโรงแรมนะครับ”

     

    “ครับ” กรกฏรับคำไปอย่างนั้น พูดให้ถูกคือเขาไม่คิดจะลุกจากห้องพิธิวัฒน์ด้วยซ้ำ “เอ่อ... หากไม่เป็นการรบกวน ผมขออยู่ที่นี่จนกว่าจะถึงตอนเย็นได้ไหมครับ”

     

    พิธิวัฒน์ไม่ตอบ หากคลี่ยิ้มอย่างอิ่มเอมใจ เขากุมมือเรียวนุ่มไว้ ยกขึ้นแล้วบรรจงจุมพิตอย่างสุภาพ กรกฎตกใจชักมือหนี เรียกเสียงหัวเราะสงวนท่าทีจากชายหนุ่ม ครั้นแล้ว ร่างโปร่งถึงรู้ว่าตนถูกกลั่นแกล้ง

     

    โดยที่พวกเขาไม่อาจรู้เลยว่าสัญญาข้อนี้ ได้นำไปสู่อีกปัญหาหนึ่งที่ใหญ่ยิ่งกว่า...




    ---------------------------------------------------------------------
    ลงแทนคำขอโทษที่ช้าอีกตอนเจ้าค่ะ จบตอนสี่แล้ว จะนำมาลงแบบดีๆ มีระเบียบนะคะ แหะๆๆๆ ^^''

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×