คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 5 ผิดใจ
ร่างโปร่งพลิกตัว ฉันพลัน ความปวดปลาบแล่นพล่านทั่วร่างกาย จนต้องงอตัวขดเป็นก้อนกลมๆ เหมือนกุ้งสุก กรกฎเปิดเปลือกตาที่คลอด้วยน้ำอุ่นใส กระพริบมันถี่ๆ เพื่อสลัดความอ่อนล้าออกไป ชายหนุ่มใช้หลังมือปาดใบหน้า และซอกคอ ก่อนพบว่าเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อชื้นแฉะ ซึ่งเป็นผลข้างเคียงจากพิษไข้
ทว่าสิ่งแรกที่ติดอยู่ในห้วงคำนึง มิใช่การพักผ่อนนอนหลับสักงีบแต่อย่างใด ร่างโปร่งทรงตัวขึ้นจากผืนเตียงอ่อนนุ่ม มุ่งหน้าตรงไปยังประตูห้องนอนโดยใช้ข้างฝาเป็นเรื่องทุ่นแรง
ในเวลาเช่นนี้... สิ่งแรกที่เขามักมองหาคือใครสักคนที่สามารถพักพิงได้...
ถัดจากห้องนอนคือห้องนั่งเล่นขนาดใหญ่ กรกฎเปิดประตูออกอย่างเงียบเฉียบ เขาพบว่าต้นเสียงอืออึงที่นำทางตนนั้น มาจากโทรทัศน์จอแอลซีดีตั้งอยู่กลางห้องนั่งเล่น เบื้องหลังคือโซฟายาวสีน้ำตาลเข้มจำนวนสามตัว จัดเรียงเป็นรูปตัวยูโดยหันหน้าเข้าหาโทรทัศน์
ดูเหมือนคงมีแขกมาเยี่ยมเยือน กรกฎคิด เพราะหนึ่งในนั้นคือเจ้าของแผ่นหลังแข็งแกร่งที่เขาคุ้นตาดี
“กรกฎ!” เสียงฝีเท้าที่ค่อนข้างหนักเป็นพิเศษ ทำให้วิธวินท์หันกลับมาในจังหวะเดียวกัน ชายหนุ่มเรียกชื่อคนรักอย่างตื่นตระหนก เขาลุกพรวด กระวีกระวาดเข้ามาประคองร่างอันปวกเปียกไว้ในอ้อมแขน
“ปู... ตื่นแล้ว ทำไมไม่เรียกผมล่ะ” วิธวินท์ถามเสียงอ่อน ก่อนประคองร่างคนรักนั่งบนโซฟา กรกฎไม่ตอบ แต่กลับซุกใบหน้ากับแผงอกของอีกฝ่าย ร่างสูงใช้หลังมือแตะหน้าผากคนรัก และต้องตกใจเมื่อสัมผัสได้ถึงความร้อนระอุราวกับไฟ
“คุณตัวร้อนนี่”
ไม่รอช้า ร่างสูงสั่งให้กรกฎนั่งรอนิ่งๆ เหมือนเด็กเล็กๆ ก่อนจะปลีกตัวเข้าครัวไป สักครู่จึงออกมาพร้อมแก้วบรรจุน้ำอุ่นและแผงยาแก้ไข้ ชายหนุ่มทรุดตัวลงข้างๆ คนรัก กล่าวอย่างห่วงใย
“ทานยาก่อนนะครับ ปู” นิ้วยาวบรรจงตะล่อมแกะซองยาอย่างระมัดระวัง ก่อนจะส่งให้ถึงริมฝีปากซีด “มาเถอะ ผมป้อนเอง”
เขาคลี่ยิ้มน้อยๆ ลืมเลือนทุกอย่างไปจนสิ้น ไม่เว้นแม้แต่สายตาอีกคู่หนึ่งที่จับจ้องทุกกริยาจากอีกฟากฝั่ง
“ดีขึ้นมั้ย?” ร่างถูกถามขณะส่งแก้วบรรจุของเหลวให้คนรักดื่ม เจ้าของดวงหน้าซีดเพราะพิษไข้ผงกศีรษะ ก่อนเอนหลังพิงโซฟา
“นอนพักก่อนเถอะ ทีเหลือให้ผมจัดการเอง” ชายหนุ่มยิ้มมาดมั่น หากก่อนที่วิธวินท์จะเดินไปหยิบผ้าขนหนูและอ่างน้ำ เขาหันไปสั่งแขกพูดมาเยี่ยมเยือนสั้นๆ ง่ายๆ โดยมิสนว่าฝ่ายนั้นเต็มใจหรือไม่
“ไปชงชามาสักแก้วสิ” คนโดนสั่งขมวดคิ้วเล็กน้อย กระนั้นก็ถามต่อตามมารยาท
“อยู่ตรงไหนล่ะ?”
“กล่องชาเขียวหน้าตู้ไซด์บอร์ดในห้องครัว ผสมนมด้วยล่ะ คงไม่ต้องถามใช่มั้ยว่านมสดอยู่ตรงไหน” ร่างสูงย้อนใส่นิ่งๆ การัณยักไหล่คล้ายไม่ใช่สลักสำคัญ แต่ก็มิวายแว้งตามประสา
“ไม่ยักกะรู้ว่าโตปานนี้ คุณยังดื่มชาเชียวผสมนม”
เพราะความที่เคยเป็นของกันและกันมาก่อน การัณจึงพอรู้จักรสนิยมความชมชอบของร่างสูงบ้าง พื้นนิสัยดั้งเดิมของวิธวินท์เป็นคนค่อนข้างแข็งๆ เช่นเดียวกับเครื่องดื่มที่เขาเลือกดื่มเป็นประจำ ชายหนุ่มไม่พิสมัยชาตินุ่มนวลนัก เวลาดื่มกาแฟ จึงไม่นิยมผสมน้ำตาลหรือนมจนหวานจัด
“เปล่า ของปู” วิธวินท์ขานสั้นง่าย ขณะยกอ่างน้ำติดมือออกมา ไม่วายเอ่ยไล่เป็นนัย
เจ้าของดวงตาปราดเปลี่ยวจับจ้องอากัปกิริยาฝ่ายนั้นไม่วาง วิธวินท์ย่นคิ้วเข้าหา ก่อนย้ำคำซ้ำอีกรอบ ครั้นแล้ว อีกฝ่ายหายเข้าครัวไป ชายหนุ่มหันมาให้ความสำคัญกับร่างคนรักบนโซฟา คลี่ยิ้มน้อยๆ เมื่อพบว่าดวงตาสีเม็ดนิลดูกระจ่างสุกใสขึ้นกว่าเก่า
วิธวินท์บรรจงใช้ผ้าขนหนูบิดหมาดเช็ดตามเนื้อตัว และซอกคอคนรัก ชายหนุ่มถือวิสาสะปลดกระดุมเม็ดบนอีกฝ่ายออกเพื่อคลายความร้อนในร่างกาย ก่อนบรรจงวางผ้าทาบบนหน้าผากอีกชั้น
“ขอบคุณครับ ผมดีขึ้นแล้ว” กรกฎกล่าวเบาๆ เรียกรอยยิ้มจากผู้นิ่งฟัง ร่างสูงคอยประคบประหงมคนรักอยู่ไม่ห่าง จวบจนกระทั่งไข้เริ่มลด กรกฎจึงชักถามอีกฝ่าย
“ผมหลับไปนานเท่าไหร่หรือ...?”
เขาเริ่มเป็นกังวลกับอาการแปลกประหลาดซึ่งคุณหมออ้างว่า พวกมันเป็นโรคทางจิตที่เกิดจากจิตใต้สำนึก ในช่วงหลังจากที่บิดาเพิ่งเสียชีวิตได้ไม่นาน กรกฎเคยมีประสบการณ์หลับลึกติดต่อกันหลายวันอย่างไร้สาเหตุ พอรู้สึกตัวอีกครั้งก็ย่างเข้าวันที่สามเสียแล้ว ซึ่งครั้งนั้นวิธวินท์เป็นห่วงเขามาก ชายหนุ่มอ้างว่า ตนโทรศัพท์มาหาเขาหลายต่อหลายครั้ง แต่เขาไม่รับจึงถือวิสาสะขอกุญแจห้องจากทางโรงแรม เปิดเข้ามาโดยตรง และพบเขาหลับลึกอยู่ในห้องนอน
“แค่วันกว่าครับ โชคดีที่มีคนพบคุณสลบอยู่แถวทางลัดสวน เลยไม่เป็นอะไรมาก ผมพาหมอมาตรวจอาการแล้ว ทีแรกเขาเดาว่าที่คุณหน้ามืดอาจเป็นเพราะแพ้สารบางตัวในกาแฟ แต่พอนานเข้า เขาก็สรุปไม่ได้เหมือนกับหมอคนที่แล้วๆ มานั่นแหละ” ร่างสูงอธิบาย ไม่วายถามอย่างคลางแคลง “คุณไม่ได้หักโหมทำงานหนักใช่มั้ย?”
กรกฎส่ายหน้าพัลวัน
“เล่าให้ผมฟังได้มั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้นช่วงที่ผมไม่ได้อยู่กับคุณ?” ชายหนุ่มถามเสียงอ่อน กรกฎพยักหน้าน้อยๆ ก่อนจะเริ่มเล่าเรื่องในความทรงจำลางเลาของเขา ตั้งแต่ตอนที่ร่างโปร่งปลีกตัวจากคาเฟ่ของโรงแรม เดินลัดผ่านสวนลีลาวดีแล้วเกิดคิดอะไรแผลงๆ ขึ้นมาได้ ก่อนจะหน้ามืดหมดสติไปเฉยๆ
ร่างสูงพยักหน้าเล็กน้อยหลังได้ฟังคำตอบ วงคิ้วหนาขมวดเข้าหากันด้วยความเป็นกังวล
“อาการนี้ควรจะหายไปแล้วแท้ๆ...” เขารำพึง “ผมเป็นห่วงคุณนะปู...”
ตลอดระยะเวลาร่วมสองวันที่ชายหนุ่มเฝ้าดูแลอาการคนรักไม่ห่างกาย บ่อยครั้งสีหน้าอีกฝ่ายดูทุกข์ทรมานคล้ายประสบเรื่องเลวร้ายบางอย่าง มันทำให้เขาอยากปลอบประโลม กระซิบพล่ามบอกร่างนั้นเหลือเกินว่าไม่เป็นไร หากแต่น่าเสียดายที่ร่างโปร่งมิอาจได้ยิน ชายหนุ่มจึงทำได้เพียงภาวนาขอให้ฝันร้ายนั้น ผ่านพ้นไปเสียที
“ขอโทษครับ...” ร่างบนโซฟาตอบเสียงแผ่ว เมื่อเห็นว่าสีหน้าคนรักดูเคร่งขรึมดังปากว่าจริง “แต่ก็ขอบคุณมากที่ช่วยดูแลผม”
ประโยคสั้นๆ เรียกรอยยิ้มบางเบาจากผู้ฟัง วิธวินท์พยักหน้าเล็กน้อย สั่งให้เขานั่งรอนิ่งๆ อย่าลุกไปไหน ส่วนตนเองปลีกตัวไปตามการัณในห้องครัว ผู้ซึ่งหายหน้าหายตาไปนานผิดปกติ
กรกฎมองตามแผ่นหลังคนรัก แล้วยิ้มออกมาเล็กน้อย ภาพเช่นนี้ถือว่าพบเห็นได้เป็นปกติสำหรับพวกเขา ฟังดูแปลก เรื่องที่วิธวินท์มีพรสวรรค์ด้านการทำอาหารมาก ชายหนุ่มเคยเข้าเรียนเสริมคอร์สทำอาหารสมัยมหาวิทยาลัยเพราะความชอบส่วนบุคคล ซึ่งต่อมา เขาจำต้องละทิ้งมันเพื่อขึ้นบริหารเครือข่ายธุรกิจของกรกฎ
ในขณะเดียวกัน ร่างสูงผู้ถูกอิงถึงในความคิด สืบเท้าผ่านห้องห้องครัวเข้ามาอย่างเงียบเชียบ วิธวินท์เหลือบตามองร่างโปร่งหน้าเคาน์เตอร์แวบหนึ่ง ก่อนจะเดินอ้อมหลังไปยังตู้เย็นเพื่อหาดื่มน้ำแก้กระหายสักแก้ว ทว่าก็ต้องหยุดความคิดไว้แค่นั้น
“คุณทำอะไร?” เขาถามเสียงเข้ม ร่างสูงจ้องคนที่ตั้งท่าจะเยาะผงขาวใส่ถ้วยชาเขม็ง
มือเรียวที่ถือขวดขนาดเล็กบรรจุผงขาวชะงัก ก่อนวางมันลง สักครู่ ร่างที่เพิ่งรับรู้ถึงการมาเยือนจึงหันกลับมาด้วยสีหน้าที่อ่านไม่ออก
ชั่ววินาทีที่ความรุ่มร้อนใจแล่นพล่านทั่วกาย วิธวินท์เดินปรี่เข้าไปหาการัณ มือหนากระชากปกเชิ้ต ก่อนจะดันร่างอีกฝ่ายติดเคาน์เตอร์ ส่งผลให้ข้อศอกปัดถ้วยชาเซรามิคหล่นกระแทกพื้น แตกละเอียดเป็นชิ้นๆ เสียงของมันก้องกังวานใส หากแต่ตอนนี้ผู้กระทำหาได้เหลือกระจิตกระใจสนใจไม่
“ผมถามว่าคุณทำอะไร!” วิธวินท์เปิดฉากตะคอกเค้นความจริงอีกฝ่าย ทีแรกดวงตาปราดเปลี่ยวดูตื่นตระหนกกับความเกรี้ยวกราดที่ปรากฏ ก่อนที่มันจะกลายเป็นรอยยิ้มเยาะหยัน
“เป็นห่วงมันมากหรือไง?” วงคิ้วเลิกขึ้นกวนประสาท “แล้วถ้าเราบอกว่าเจ้าขวดนี้มันก็แค่น้ำตาลธรรมดาเล่า คุณจะทำอะไรเรา?” การัณไหวไหล่ เมื่อตนถือไพ่เหนือกว่าอดีตคนรัก มือเรียวยึดข้อแขนแข็งแกร่งราวกับคีมเหล็กที่ขย้ำคอตนไว้แน่น ส่วนข้างที่เหลือพยายามสลัดให้หลุดจากพันธนาการ แต่ทว่าแทนที่จะลดทอนลง มันกลับรุนแรงจนเริ่มหายใจไม่สะดวก
“คิดว่าผมโง่หรือไง!?” ชายหนุ่มถามอย่างเกรี้ยวกราด “อย่ามาตอแหล ผมรู้ว่านั่นไม่ใช่น้ำตาล อย่าคิดว่าคุณจะตบตาผมได้เหมือนที่ผ่านมาอีก การัณ!”
ในอดีต วิธวินท์เคยศึกษาด้านการทำอาหารอยู่ช่วงหนึ่ง เพียงมองผ่านหางตาแค่แวบเดียว เขาก็สามารถจดจำได้ว่าอะไรเป็นอะไร เครื่องปรุงชิ้นไหนเป็นชิ้นไหน อีกอย่างหนึ่งในห้องครัวเขาก็ไม่เคยมีขวดเครื่องปรุงหน้าตาแบบที่อยู่ในมือของเสียด้วย
ร่างโปร่งได้ฟังก็เค้นเสียง ‘หึ’ ในคอ “ฉลาดขึ้นเยอะนี่... ไม่เหมือนเมื่อก่อน ที่โดนเราหลอกจนหลงหัวปักหัวปำ” การัณถากถาง ดูเหมือนช่วงเวลาที่พวกเขาห่างกันคงทำให้เกิดช่องว่างขนาดใหญ่ ตอนนี้ชายตรงหน้าจึงสามารถมองเล่ห์เหลี่ยมเขาออกอย่างทะลุปุโปร่ง
“ตอบมาสิว่านั่นเป็นยาอะไร”
“วางใจเถอะ เราไม่ฆ่าปูหรอก” เขาว่าเสียงยืดยาน “ก็แค่อยากให้เขาได้นอนหลับพักผ่อนเพิ่มสักนิด”
ริมฝีปากบิดยิ้มกว้างหลังเอ่ยประโยคหลัง ดุจน้ำมันราดรถบนกองไฟจุดประกายโหมกระหน่ำ วิธวินท์ขบเขี้ยวขบฟัน บีบเค้นลำคอโดยไม่สนความเป็นความตายของอีกฝ่าย
“ถ้าคุณทำ ผมเอาคุณตายแน่ กัน”
“หึ คิดว่าเรากลัวหรือไง?” ร่างโปร่งย้อน “อย่าทำเป็นรู้จักเราดีไปหน่อยเลย วิทย์ ถ้าระยะเวลาทำให้คุณเปลี่ยนไปได้ มันก็ทำให้เราเปลี่ยนได้เช่นกัน อยากให้เราแสดงให้ดูไหม ว่าเราฆ่าปูได้หากต้องทำ”
ร่างสูงชะงักไปกับเรื่องคอขาดบาดตายที่อีกฝ่ายสามารถพูดออกมาได้หน้าตาเฉยราวกับเชือดหมูเชือดไก่
“ทุเรศ! แกมันไอ้หมาลอบกัด คิดจะหลอกใช้ความไว้ใจของคนอื่นไปถึงไหน!” วิธวินท์ตะคอกใส่หน้า น่าแปลกที่คราวนี้การัณกลับแน่นิ่ง ไม่โต้ตอบอะไร แค่แสยะยิ้มเยาะในความโง่เขลา
ชายหนุ่มได้ยินเสียงฝีเท้าหนักๆ ดังจากเบื้องหลัง เพราะโทสะครอบงำ จึงมิทันได้สนใจสิ่งรอบข้าง วิธวินท์หันกลับไป ทันใดนั้น เขาก็พบกับบางสิ่งที่ทำให้หัวใจแทบหยุดเต้นชั่วขณะ
“หยุดเดี๋ยวนี้!” กรกฎปรี่เข้ามาแยกร่างสูงจากเพื่อนเก่า ดวงหน้าขาวซีดฉายแววทั้งตระหนกและกรุ่นโกรธในเวลาเดียวกัน ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับที่การัณใช้โอกาสนั้น ตวัดมือเก็บขวดแก้วใส่กระเป๋ากางเกงอย่างแนบเนียนจนน่าหมั่นไส้
หากเหนือสิ่ง วิธวินท์เป็นห่วงอาการป่วยของคนรักมากกว่า “ปู... คุณลุกขึ้นมาทำไม?”
“คุณต่างหากที่ต้องตอบคำถามผม วิทย์ คุณทำแบบนี้ทำไม! กันเขาทำอะไรให้คุณโกรธเกลียดนัก?” กรกฎตะคอกถาม
เสียงก้องใสของแก้วเซรามิคก่อให้เกิดความวิตกกังวลในใจกรกฎ จนต้องลุกตามต้นเสียงมา และภาพที่เข้าเห็นเป็นดังเพลิงจุดประกายความบาดหมางไม่ลงรอยในอดีต ที่ดำเนินมาถึงปัจจุบัน “ตอบผมสิ เขาทำอะไร!”
วิธวินท์ปรายหางตามองต้นเหตุของเรื่องราวทั้งหมด เวลานี้ชายหนุ่มเหมือนน้ำท่วมปาก ไม่สามารถพูดแก้ต่างอะไรได้ เหมือนตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ไม่ว่าเหตุผลที่อ้างจะเป็นอย่างไร เขาก็มักถูกมองว่าผิดในสายตากรกฎเสมอ คงเพราะวีรกรรมในช่วงแรกๆ ที่พยายามกันการัณออกห่างจากกรกฎ เพื่อไม่ให้ฝ่ายนั้นวางแผนทำร้ายคนรัก
“ไม่เป็นไรหรอก เราเข้าใจผิดกันนิดหน่อยน่ะ” น่าแปลกที่การัณเป็นฝ่ายแก้ต่างให้ ร่างโปร่งวางมือทาบบนไหล่คนป่วยคล้ายปลอบใจ กระนั้นก็มิวายยกยิ้มมุมปากอย่างผู้ชนะ
“เข้าใจผิด? เข้าใจผิดต้องทำถึงขนาดนี้เลยเหรอ?”
“เอาเถอะๆ มันก็แค่เรื่องเข้าใจผิดเท่านั้นแหละน่า” การัณไหวไหล่ แบมือออกคล้ายจนใจ “เพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย จะให้เราออกไปก่อนก็ได้นะ?”
“อือ ออกไปก่อนเถอะ” กรกฎเห็นด้วยกับข้อเสนอนั้น การัณจึงถือโอกาสปลีกตัวออกไปโดยง่าย
ด้านวิธวินท์ ร่างสูงชายตาตามแผ่นหลังโปร่งของคนเจ้าเล่ห์ไม่วาง ราวกับจะมองทะลุเสียให้ได้ ความเงียบโรยตัวพักใหญ่จวบจนกรกฎถามขึ้น
“คุณทำแบบนั้นกับกันทำไม...”
ชายหนุ่มอึกอักพูดไม่ออก ได้แต่เบี่ยงประเด็นไปเรื่องอื่น “คุณพักก่อนเถอะปู ผมเป็นห่วงอาการคุณมากกว่า”
“ไม่ ผมไม่ไปแน่ถ้าคุณยังไม่ตอบคำถามผม” กรกฎยืนกราน “วิทย์ ตอบผมสิมันเกิดอะไร ผมรู้ คุณไม่ใช่คนชอบใช้กำลังโดยปราศจากเหตุผล...”
ความสัมพันธ์ระหว่างตัวคนรักกับเพื่อนเก่าแก่ แลดูเป็นไปในทางที่แย่ลงกว่าแต่ก่อน เหตุการณ์ทะเลาะวิวาทขนาดย่อมเมื่อครู่เป็นเหมือนฉนวนจุดประกายความสงสัยของชายหนุ่ม ซึ่งในครั้งนี้ เขาจะไม่ปล่อยให้อีกฝ่ายเบี่ยงเบนประเด็นเหมือนอย่างเคยได้อีก
“ผมบอกแล้วไงว่ามันไม่มีอะไร” วิธวินท์ยังคงยืนยันคำตอบเดิม
กรกฎเงียบไปครู่หนึ่ง ดวงตาคู่อ่อนแสงช้อนมองอย่างค้นหา “ถ้าคิดว่ามันไม่จริงล่ะ...?”
“...”
ความเงียบโรยตัวแน่นหนาจนอึดอัดอย่างมหาศาล วิธวินท์ยังคงเงียบ เช่นเดียวกับกรกฎ ถ้อยคำของเขาไม่อาจเจาะทะลุเกราะเหล็กแข็งแกร่งเข้าไปในใจของอีกฝ่าย ก่อให้เกิดความรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ จนในที่สุดเขาก็หมดความอดทนกับการรอคอย
“ไม่ว่าอย่างไรคุณก็จะไม่บอกเรื่องนี้กับผมใช่ไหม...?” ร่างโปร่งถามซ้ำ เว้นจังหวะหายใจอย่างอ่อนล้า “ทำไมล่ะ ทั้งที่ผมไม่เคยมีความลับต่อคุณเลยสักครั้ง หรือแท้ที่จริงผมคิดไปเองว่าเราเข้าใจกัน?”
ร่างสูงยืนกอดอก ฟังถ้อยคำตัดรอนเงียบๆ ดวงตาสีนิลทอดผ่านหน้าต่างออกไปแสนไกล หากในสายตากรกฎ มันช่างคล้ายกับการหมางเมินเสีย
“ถึงเวลาคุณจะเข้าใจ”
“เข้าใจอะไร...?” กรกฎตะล่อมเสียงอ่อน เป็นอีกครั้งที่ไม่มีคำตอบใดหลุดจากปากคนรัก
เขาถอนหายใจ ยิ้มแห้งแล้งคล้ายปลอบใจตัวเอง ความรู้สึกน้อยใจกลั่นกรองเป็นก้อนแข็งจุกอยู่ภายในอก จนไม่สามารถอธิบายเป็นคำพูดได้ การถูกกีดกันความจริงจากคนที่ตนรักสุดหัวใจ ทำให้ตัวเขารู้สึกราวกับเป็นคนนอกไปโดยปริยาย
“ก็ได้ ถ้าคุณว่าอย่างนั้น...” ว่าจบจึงสืบเท้าอ้อมหลังวิธวินท์ออกไปโดยไม่พูดอะไร
“คุณจะไปไหน ปู!?” วิธวินท์ร้องเรียกด้วยความตื่นตกใจ ด้วยไม่นึกว่าคนรักจะมีปฏิกิริยามากขนาดนี้
“ผมจะออกไปข้างนอกสักหน่อย”
“ออกไปข้างนอก? คุณยังไม่หายดีเลยนะ” ร่างสูงรั้งร่างคนรัก ที่ตั้งท่าจะเดินไปหยิบเสื้อคลุมพาดไหล่ดังคำว่าไว้ในอ้อมกอด
กรกฎเหลียวกลับมาโดยไม่สบตา “ปล่อยผม” เขาพูดสั้นห้วน แต่ชายหนุ่มหาได้ฟังไม่
“วิธวินท์ ปล่อยผม” คราวนี้ กรกฎย้ำช้าและชัดจนร่างสูงนิ่งงันไป
“ผมไม่ปล่อยคุณไปแน่ ถ้าเรายังพูดกันไม่รู้เรื่อง...”
“พูด?” กรกฎทวนคำเสียงสั่น “ยังมีอะไรต้องพูดอีกหรือ ในเมื่อคุณตั้งใจกีดกันผมออกจากคุณ...?” ร่างโปร่งสะบัดตัวจากอ้อมกอดแข็งแกร่งอย่างแรง วิธวินท์ตั้งท่าจะรั้งไว้ ทว่าก็ชะงักเมื่อได้ยินประโยคต่อมา
“ผมเสียใจมากรู้ไหม... เสียใจที่คนทรยศความไว้วางใจของผม คือคนที่ผมไว้ใจกว่าใครอื่น...”
กรกฎยิ้มให้คนรักอย่างเศร้าสร้อย เขาเม้มปาก รู้สึกร้อนผ่าวที่ขอบตา ก่อนใช้โอกาสในจังหวะนั้นปลีกตัวออกมาจากห้องพัก ชายหนุ่มไม่อยากทำร้ายความรู้สึกคนรักอีกเป็นคราที่สอง ทางทีดีเขาควรไปให้ไกลจากที่นี่ ...อย่างน้อยก็ในตอนนี้
ประตูห้องถูกปิดลง พร้อมๆ กับการจากไปของผู้อาศัยอีกคน วิธวินท์นิ่งงันราวกับรูปปั้น เขาช็อกกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันโดยไม่ทันตั้งตัว ชั่วขณะหนึ่งที่ใบหน้าของผู้เป็นต้นเหตุเรื่องราวทั้งหมดปรากฏขึ้นในหัว ความโกรธเกรี้ยวพลันระเบิดไหลทะลักราวกับกระแสน้ำเชี่ยวกาจที่พร้อมจะทำลายทุกสรรพสิ่ง
วิธวินท์มองเศษกระเบื้องแตกละเอียดเป็นเสี้ยวเศษ ด้วยความกรุ่นโกรธ ชายหนุ่มระบายหมัดใส่กำแพงอย่างแรง คำรามดาลเดือดราวกับปีศาจร้าย
“เรื่องระหว่างเราจบไม่สวยแน่ การัณ!”
ความคิดเห็น