ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บ่วงแค้นบ่วงเสน่หา [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 4 รอยอดีต

    • อัปเดตล่าสุด 22 พ.ค. 56


    มาแล้วค่า หลังจากเอาคอมไปซ่อม กว่าจะทำเสร็จก็หายไปนานทีเดียว ตอนนี้หลังรีไรท์รู้สึกตรรกะมันแม้งๆ แปลกๆ เหมือนเด็กทะเลาะกันยังไงไม่รู้(รึเปล่า??) ยังไงก้ขอโทษที่นำมาลงช้านะคะ


    “กรุ่นลั่นทมอวลมาตามวายุ              หอมฉลุติดฆานมิสร่างหาย

    ดุจผกานำมาร้อยเรียงราย                         เป็นสร้อยสายบ่วงรักสลักใจ

    เฝ้าโอบกอดถนอมไว้ในอ้อมอก         มิให้ฟกให้ซ้ำกระส่ำหาย

    หากวันใดสายบ่วงคล้องมิยอมคลาย           ถากดวงใจซมซานแหลกลาญเอย...”

     

    “โปรดให้ข้าทำให้เถิด คุณหลวง” กระแสเสียงห่วงใยพร้อมกับร่างสูงแกร่งที่ซ้อนอยู่เบื้องหลังเอื้อมมือขึ้นเด็ดลั่นทมช่อใหญ่ ส่งให้คนเบื้องหน้าด้วยอากัปกิริยาพินอบพิเทา เขาค้อมศีรษะเล็กน้อยเพื่อทำความเคารพอย่างเคยชิน เรียกสีหน้าไม่พอใจจากผู้รับ

     

    “ขอบอกแล้วมิใช่หรือ ว่าเจ้ามิจำเป็นต้องแสดงกิริยาเยี่ยงนั้นอีก” สีหน้าขรึมเข้มและนัยน์ตาคู่สีเม็ดนิลอันเด็ดเดี่ยวเป็นนิจ ขลับให้ร่างบุรุษเบื้องหน้าดูเด็ดขาดน่าเกรงขามยิ่งนัก

     

    “ข้าขออภัยจริงๆ” ขุนไกรกล่าวขอโทษ แต่มิวายเสริมประโยคหลัง “แต่ข้าก็มิอาจตีตนเสมอท่าน ข้ารู้ตัวดีว่าข้าเป็นใคร และในอดีตมีฐานะเป็นอะไร” เขาก้มหัวต่ำ

     

    “เงยหน้าขึ้นเสีย ลืมแล้วหรือว่าตอนนี้เจ้ามีฐานะเป็นอะไร” ท่านถามย้ำ หากน้ำเสียงนั้นมิต้องการคำตอบใด “หากยังเห็นว่าข้าสำคัญ ก็จงเงยหน้าขึ้นเสีย แต่หากไม่ ข้าก็เสียแรงที่อุตส่าห์ชุบเลี้ยงเจ้า ให้ความรู้หน้าที่การงานกับเจ้าโดยสูญเปล่า”

     

    แม้นไม่มองด้วยสายตาก็รับรู้จากเสียงแผ่นไม้ลั่น ว่าร่างโปร่งในชุดออกราชกาลกำลังเดินหนีให้พ้นจากศาลาไม้ ขุนไกรลังเลว่าเขาควรทำตัวอย่างไร เขาควรดึงดันต่อ หรือสละความเจียมตัวทิ้งแล้วติดตามร่างโปร่งไปเสีย เมื่อคนผู้นั้นสูงค่าเกินกว่าจะแตะต้องทำตัวสนิทสนมได้

     

    หลวงนันทิพัฒน์ หนุ่มรูปงามผู้สืบสายเลือด กิติไวยกรณ์ ตระกูลขุนนางเก่าแก่ที่คอยเป็นดังหัตถ์ขวาขององค์ประมุขแคว้นคำญวน ผู้ขึ้นชื่อเรื่องความเด็ดเดี่ยวและเด็ดขาด ท่านเพิ่งรับราชกาลได้เพียงไม่นานก็สร้างความดีความชอบจนเป็นที่โปรดปรานขององค์ประมุข และได้รับพระราชทานเลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นเป็น ’หลวงตั้งแต่อายุยังน้อย

     

    ทั้งที่ตนเป็นแค่ไพร่ ข้ารับใช้ไร้ศักดิ์ ในขณะที่อีกฝ่ายนั้น สูงค่าเกินปลายนิ้วเอื้อมถึง ทว่าไม่รู้เพราะโชคชะตาหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ใดดลบันดาลใจ ไยจู่ๆ มือบอบบางคู่นั้น กลับเอื้อมมาฉุดรั้งเขาจากชะตากรรมอันต้อยต่ำ ภายหลังหลวงนันทิพัฒน์ส่งเขาเล่าเรียน ประกอบกับการฝากฝังของชายหนุ่ม ไกรเข้าจึงได้รับราชกาล จนกระทั่งมีบรรดาศักดิ์เป็น ขุน เฉกเช่นปัจจุบัน เรียกได้ว่า ชายหนุ่มเป็นหนี้ชีวิตคนผู้นี้

    มือหนาถือวิสาสะรั้งต้นแขนหลวงนันทิพัฒน์ไว้ในที่สุด ชายหนุ่มอาจปล่อยให้เรื่องผ่านไปเช่นนี้ได้ แม้นรู้ว่าตนกำลังเสียมารยาทกับเจ้าชีวิตก็ตามที

     

    “ขออภัย”

     

    “ถ้าเจ้าเข้าใจแล้ว ให้คำมั่นว่าจะเลิกพูดจาเช่นนี้ก็มิเป็นไร” ดวงตาสีนิลดุจรัตติกาลสบนิ่งยืนยัน แม้เยือกเย็นเป็นนิจหากก็แฝงประกายพอใจ ขุนไกรผ่อนลมหายใจหนักหน่วงคล้ายยกผู้เขาออกจากอก “อย่างไรข้าก็ต้องขอบคุณเจ้าสำหรับลั่นทมช่อนี้”

     

    “รับใช้ท่านเป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว” ขุนไกรเหม่อมองร่างที่ยอมทรุดนั่งบนม้ายาว ขณะที่ตนเปลี่ยนอิริยาบทมายืนพิงเสากลางศาลาไม้ขนาดใหญ่ ชายหนุ่มเฝ้าเมียงมองหลวงนันทิพัฒน์อย่างสงบ ร่างนั้นกำลังสารวนกับลีลาวดีช่องาม มือเรียวพลิกเชยชมดอมดมดอกมาลา กลิ่นของมันหอมจรรโลงใจจนอดเผยรอยยิ้มบางๆ มิได้

     

    เขารู้ว่ามันเป็นเรื่องผิดบาป โดยเฉพาะอย่างยิ่งความรู้สึกที่มีต่อบุรุษตรงหน้ามากกว่าความสัมพันธ์ฉันท์นายบ่าว  อยากปกป้อง อยากทะนุถนอมไว้ในอ้อมกอด และครอบครองเป็นของตนแต่เพียงผู้เดียว หลายครั้งที่ความคิดน่าละอายทำนองนี้ผุดขึ้นในหัว ขุนไกรพยายามลบล้างมัน แต่มิเคยสำเร็จ เพราะดูเหมือนพวกมันจะหยั่งรากลึกเกินกว่าจะถอนออก สิ่งที่เขาทำได้จึงมีเพียง การเก็บงำความรู้สึกนี้ไว้ภายในส่วนลึกของดวงใจ

     

     

    “นั่งเสียสิ” ท่านกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมแกมบังคับ ผิดกลับท่าทีเมื่อสักครู่ ขุนไกรจำต้องนั่งลงตามคำสั่ง ในขณะเดียวกันก็พยายามรักษาระยะห่างกับคนที่มิอาจแตะต้องได้ “ข้าบอกแล้วมิใช่หรือไรว่ามิต้องเกรงใจ”

     

    “ข้าขออภัย คุณหลวง” ขุนไกรหลบสายตาดุๆ ที่จ้องกลับมา

     

    หลวงนันทิพัฒน์วางช่อลั่นทมลงบนตัก ก่อนผ่อนลมหายใจเล็กน้อย “ไกร... ต้องให้ข้าพูดกี่ครั้งเจ้าจึงจะเข้าใจ ข้าบอกเจ้าแล้วว่า มิต้องตนห่างเหิน ทำเช่นไรเจ้าจึงจะเข้าใจ หรือต้องให้ข้าเฆี่ยนจนหลังลายเสียก่อน?”

     

    “ข้ามิได้หมายความเช่นนั้น เพียงแต่ข้า...” ขุนไกรรีบปฏิเสธทันควัน แต่แล้วก็เริ่มอึกอักเมื่อทุกอย่างวนกลับไปยังเหตุผลเดิมๆ ที่ว่าอีกฝ่ายสูงค่าเกินแตะต้อง

     

    “เช่นนั้นเจ้าก็อย่าได้ลบลู่เกียรติของตน เพราะหากเจ้าทำ ก็เท่ากับการทรยศบุคคลที่อุตส่าห์สละแรงชุบเลี้ยงเจ้ามา เข้าใจที่ข้าพูดหรือไม่?”

     

    ขุนไกรพยักหน้าหงึกหงัก รู้สึกแย่เล็กน้อยที่ทำให้อีกฝ่ายอารมณ์ขุ่นมัว หลวงนันทิพัฒน์ถอนหายใจเล็กน้อย และเลิกให้ความสนใจกับร่างสูงแข็งแกร่ง ชายหนุ่มหวนระลึกถึงเหตุผลที่ตนและคนสนิทเดินทางมาเยือนคุ้มหลวง หลังได้รับสารราชกาลจากองค์ประมุขซึ่งมีเนื้อหาไหว้วานกิจธุระบางอย่าง ซึ่งพวกเขาไม่ทราบ

     

     

    ในขณะเดียวกัน ร่างสูงแข็งแกร่งในชุดลำลองผ้าเนื้อดีกำลังเร่งสืบเท้าฉับๆ ผิวที่ค่อนข้างเนียนเกินสามัญชน บ่งบอกถึงชาติกำเนิดอันสูงส่งเกินกว่าคนธรรมดาจะกล้าคาดคะเน บัดนี้ เบื้องหลังเขามีชายร่างอ้วนเตี้ยวิ่งต้วมเตี้ยมตามมา ใบหน้าอ้วนท้วนสมบูรณ์เต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อผุดกลาย เสียงหอบหายใจหนักๆ บ่งบอกถึงความเหนื่อยล้า ประกอบกับสภาพร่างกายที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการวิ่ง ชายวัยกลางคนแทบลมจับ แต่หน้าที่ที่ค้ำคอกลับทำให้เขาเร่งฝีเท้าวิ่งตามร่างเบื้องหน้าอย่างไม่ลดละ

     

    “คุณชายเขมินท์ ได้โปรดเข้าเฝ้าองค์ประมุขเถิด” คำเกิ่ง เสนาบดีร่างท้วมวิงวอน แต่ก็มิอาจดึงความสนใจจากคนเบื้องหน้าได้เลย

    “ประ ประเดี๋ยวก่อนคุณชายเขมินท์ ได้โปรดฟังข้าก่อน!

     

    หากทันทีที่มือท้วมสัมผัสเฉียดต้นแขนแกร่ง เสนาบดีคำเกิ่งก็ต้องผงะกับปฏิกิริยาของร่างเบื้องหน้า

     

    “อย่ามาแตะตัวข้า!!” คุณชายเขมินท์ตวาด ดวงตาสีเม็ดนิลเกรี้ยวกราดเปี่ยมอำนาจจ้องกลับตรงๆ สร้างความกดดันให้ผู้มองยิ่งนัก เสนาบดีคำเกิ่งละล้าละลัง หากที่แน่ๆ เขาไม่กล้าเอื้อมมือไปคว้าแขนอีกฝ่ายไว้เป็นครั้งที่สอง

     

    ร่างท้วมทำใจแข็ง กล่าวอย่างละมุนละม่อนด้วยเกรงว่าตนจะทำให้นายเหนือหัวขุ่นอารมณ์ “องค์รัชทายาท... โปรดเข้าเฝ้าองค์ประมุขชยางกูรวรเดชตามที่พระองค์ทรงรับสั่งด้วยเถิด มิฉะนั้นหัวกระหม่อมคงได้ขาดคงเป็นแน่...”

     

    “หึ” องค์รัชทายาทเขมินท์เค้นเสียงในลำคอ เหยียดริมฝีปากเล็กน้อย “วจีหลอกเด็กเช่นนั้น ข้าฟังมาจนเบื่อ เรื่องเล็กน้อยเพียงแค่นี้ ท่านพ่อมิสั่งตัดหัวเจ้าให้เสียมือหรอก”

     

    “ได้โปรดเถิด... คุณชาย” คำเกิ่งอ้อนวอน จริงดั่งคำร่างสูงว่า เขาไม่มีวันต้องโทษประหารจากองค์ประมุข แต่กระนั้นก็มิแคว้นถูกตราหน้าว่าไร้น้ำยา มิมีอำนาจจัดการได้แม้กระทั่งหนุ่มรุ่นราวคราวลูก

     

    “เงียบเสีย แล้วอย่างยุ่งกับข้า ข้าต้องการเวลาพักผ่อน”

     

    “แต่นี่เป็นธุระสำคัญนะขอรับ คุณชาย!” คำเกิ่งท้วง

     

    “ไม่มีแต่ ข้าบอกให้เงียบอย่างไรเล่า!” เขมินท์ตวามด้วยความรำคาญ ดวงตาทรงอำนาจสยบผู้คนมานักต่อนัก และเช่นเดียวกันครานี้ ชายหนุ่มหมุนตัวแล้วสืบเท้าต่อไป ตั้งใจมุ่งหน้าไปยังอุทยานหลวงซึ่งเป็นเสมือนที่พักผ่อนหย่อนใจยามอ่อนอารมณ์ ทิ้งฝ่ายเสนาบดีคำเกิ่งผู้ตกอับทำคอตก สีหน้าเหมือนมือแปดด้าน มองไปทางไหนก็ไม่พบทางออกไว้เพียงลำพัง

     

    ร่างท้วมถอนหายใจเนือยๆ แม้ตนจะขึ้นชื่อเรื่องคุมคนได้ดี แต่สำหรับกรณีที่ถูกไหว้วานให้มาตามตัวผู้ที่เป็นถึง องค์รัชทายาทสืบทอดบังลังก์ก็ย่อมเกรงบารมีเป็นธรรมดา อย่างไรเสียตัวเขาเองก็เป็นแค่เสนาธิการตัวเล็กๆ คนหนึ่ง จะเอาวาสนาอะไรไปเทียบกับโอรสองค์เดียวของผู้ถือครองแคว้นทั้งแคว้นได้ ยิ่งอีกฝ่ายขึ้นชื่อว่าดึงดัน กำราบเท่าไหร่ก็มิยอมจำ ยิ่งน่าหนักใจนัก

     

    ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะ องค์รัชทายาทเขมินท์นฤเบศ มีสายเลือดขัตติยะกษัตริย์อันบริสุทธิ์ พระองค์ประสูติจากพระธิดาองค์โต ผู้สืบเชื้อสายกษัตริย์จากแคว้นคู่เคียง ซึ่งอภิเษกสมรสกับพระเจ้าชยางกูรวรเดชที่ตอนนั้น ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นเพียงเจ้าชาย

     

    เพราะในอดีต ชาวคำญวนมีความเชื่อว่า หากโอรสหรือธิดาองค์ใดประสูติ โดยมีสายเลือดขัตติยะบริสุทธิ์นั้น พระองค์จักนำความรุ่งเรืองมาสู่แคว้นที่ปกครองโดยทั่วกัน ทรัพยากรจักอุดมสมบูรณ์ ประชาชนจักอยู่ดีกินดี ในน้ำมีปลา ในนามีข้าวไม่ขาดแคลน จึงไม่แปลกที่ว่าทำไมทุกคนต่างก็ตามใจและเคารพยำเกรงชายผู้นั้นนัก

     

    ร่างท้วมมองตามแผ่นหลังหนากำยำด้วยสายตาเหนื่อยๆ คงได้แต่กลับไปรายงานความประพฤติแย่ๆ ของคุณชายหนุ่มให้พระบิดาทราบอีกตามเคย...

     

    ฝ่ายร่างสูงเดินทอดกายเอื่อยๆ ตามทางเท้ามายังพื้นที่อุทยานหลวงอันกว้างใหญ่ไพศาล ประดับประดาด้วยหมู่แมกไม้ร่มรื่นทั้งน้อยและใหญ่ สายลมอ่อนโชนพัดผ่าน ให้ความรู้สึกปลอดโปร่งในสมอง ทุกครั้งเขารู้สึกทุกข์ หรือขุ่นข้องใจ ชายหนุ่มก็มักมาพักผ่อนที่นี่เป็นประจำ และเช่นเดียวกันกับครั้งนี้

     

    แม้ภายนอกเขมินท์จะแลดูดื้อด้านและไม่ใส่ใจอะไรเว้นเสียแต่เรื่องของตน ทว่าลึกๆ ก็อ่อนใจไม่ได้ หลายเดือนมานี้ท่านพ่อของเขามักส่งคนมาสะกดรอยอย่างลับๆ ทุกครั้งที่ตนออกไปพักผ่อนหรือท่องเที่ยวนอกรั้วคุ้มหลวง มิหนำซ้ำกลับมายังต้องรายงานความประพฤติอย่างละเอียดราวกับนักโทษ ซึ่งการกระทำล้ำเส้นเช่นนี้ ทำให้ร่างสูงไม่พอใจอย่างมาก

     

    ต้นเหตุจุดชนวนของมันเกิดขึ้นเมื่อหกเดือนก่อน ในตอนที่บิดาบังเกิดเกล้าของเขา จับได้ว่าตนแอบมีความสัมพันธ์ฉันท์ชู้สาวลึกซึ้งกับคุณชายหนุ่มรูปงามตระกูลขุนนางคนหนึ่ง ซึ่งลี้ขึ้นมาจากเมืองทางตะวันออกของแคว้น

     

    ผิวขาวงามละเอียดดั่งเม็ดมุกชั้นดี ประกอบกับดวงหน้าค่อนข้างหวาน และดวงตาสีน้ำตาลเชื่อม ทำให้เขมินท์เกิดติดใจ คุณชายวังนทีตั้งแต่แรกยล และยิ่งหลงใหลมาขึ้นอีกเมื่อได้พบปะเสวนา กริยามารยาทอันสูงส่ง และสง่างามสมแก่ฐานะ ชายหนุ่มตนหลุมรักคุณชายเข้าเต็มดวงใจอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ร่างสูงก็มักออกเที่ยวบ่อยเป็นพิเศษ ทั้งยังไปมาหาสู่วังนทีอย่างสม่ำเสมอชนิดที่ว่าหัวกระไดไม่แห้งทีเดียว

     

    เขมินท์นฤเบศถอนหายใจเล็กน้อย เก็บสีหน้าอ่อนระโหยโรยแรงมิดชิด ดูเหมือนเขายังต้องทำศึกกับพระบิดาอีกหลายยกหลายหนนัก เพราะหากจะยอมแพ้ถอดใจให้อุปสรรค์รักเล็กน้อยแค่นี้ คงไม่เหมาะกับตนเท่าไหร่ ร่างสูงสืบเท้าต่อมายังศาลาปทุม หวังใช้เพื่อพักผ่อนหย่อนคลายอารมณ์ แต่ก็ต้องผิดหวังเมื่อพบแขกที่ไม่ได้รับเชิญครอบครองพื้นที่นั้นอยู่ก่อนแล้ว ด้วยความที่พื้นนิสัยค่อนข้างเอาแต่ใจ อารมณ์กรุ่นคุที่พยายามลืมเลือนกลับปะทุขึ้นอีกครั้งราวกับลาวาภูเขาไฟ

     

    “นั่งพลอดรักกันอยู่หรือไร” หากจะกล่าวหาว่าปากไม่เป็นมงคลก็คงไม่ผิดนัก รัชทายาทหนุ่มใช้สายตาคมกริบจับจ้องร่างทั้งสองที่นั่งอยู่เคียงกัน เห็นหนึ่งในนั้นถูกดอกลั่นทมสีขาวไว้ในมือร่างสูงก็พลันฉุนหนัก

     

    “ใครอนุญาติให้เจ้าเดินเก็บลั่นทมซุ่มสี่ซุ่มห้า ที่นี่เป็นอุทยานของข้า หากข้าไม่อนุญาติ เจ้าก็ไม่มีสิทธิ์แตะต้อง”

     

    ผู้ถูกเหน็บแหนมเงยหน้าขึ้นจากดอกลั่นทมในมือ เผยให้เห็นดวงหน้าขาวชัดๆ ดวงตาคู่สีเม็ดนิลคล้ายคลึงกับเขายังคงนิ่งสงบ และไม่อาจหยั่งถึงได้

     

    “ข้ามาพบองค์ประมุขชยางกูรวรเดช” ร่างโปร่งตอบ เขมินท์นฤเบศมองเข็มกลัดสีทองขนาดเล็กบนปกเสื้อ ก็รู้ทันทีว่าอีกฝ่ายมีบรรดาศักดิ์เป็นแค่ คุณหลวงเท่านั้น

     

    ร่างสูงจึงบิดยิ้มเยาะเย้ย “บรรดาศักดิ์แค่หลวงน่ะรึ มีกิจธุรกิจเสวนากับบิดาข้า”

    ไม่ผิดจากที่คาดการเท่าใดนัก ทันทีที่ได้ยินคำว่า บิดาหนุ่มร่างสูงคู่สนทนาเบื้องหลังก็เผยสีหน้าตื่นตะลึง ใช้เวลาสักพักใหญ่ๆ กว่าจะสามารถเก็บสีหน้ากลับได้อย่างมิดชิด ผิดกับหลวงนันทิพัฒน์ที่ยังคงสงบเยือกเย็นคล้ายรู้อยู่ก่อนแล้ว ร่างโปร่งล้วงกระเป๋า หยิบเอาสารฉบับหนึ่งส่งให้เขมินท์

     

    ชายหนุ่มรับมาคลี่อ่าน ก่อนมุ่นคิ้วแน่น ถามกลับอย่างฉงนใจ “แน่ใจรึ ว่ามิใช่เอกสารปลอม”

     

    “หากไม่เชื่อท่านจะทำไปตรวจสอบก็ได้” หลวงนันทิพัฒน์ตอบเรียบๆ มือหนาพลิกสารราชกาลอีกครั้ง ตรารับรองรูปดอกบัวบานกลางหน้ากระดาษแผ่นนี้ เป็นตราประทับขององค์ประมุขชยางกูรวรเดชไม่ผิดแน่ จึงถามกลับอย่างคลางแคลง

     

    “พวกเจ้ามากิจธุระอันใดจึงจำเป็นต้องพบปะเสวนากับท่านพ่อของข้า”

     

    “ข้ามิจำเป็นต้องบอกท่าน อย่างที่ท่านทราบจากเนื้อความในจดหมายเมื่อสักครู่ เรื่องต่อไปนี้เป็นความลับระหว่างข้าและองค์ประมุขชยางกูรวรเดช ข้ามิอาจบอกท่านได้ ต้องขออภัย” ท่านค้อมศีรษะเล็กน้อยตามมารยาท ไม่อยากได้ชื่อว่า ฟังไม่ได้ศัพท์ จับมากระเดียด ในเมื่อท่านยังไม่ทราบจุดประสงค์ที่แท้จริงของคู่สนทนา

     

    “ในฐานะรัชทายาทองค์ และกษัตริย์ต่อไปของแคว้นคำญวน ข้าขอสั่งให้เจ้ากล่าวความจริงออกมาเสีย” ดวงตาคู่ทรงอำนาจแลดูเอาเรื่อง

     

    “ข้าขออภัย” ท่านตัดบทสั้นๆ ใช้ความสงบเยือกเย็นเข้าสู้ เขมินท์จ้องอย่างฉุนขาด ร่างสูงปรี่เข้าไปหาด้วยความกรุ่นโกรธ ทว่าก่อนจะถึงตัวร่างโปร่งกลับถูกใครบางคนขวางไว้

     

    “เจ้า!” น้ำเสียงแข็งกร้าวฟังดูเคืองขุ่นราวกับตะกอนก้นสระ ขุนไกรซึ่งถลาตัวเข้ามาขวางไว้ยืนจังก้ากับรัชทายาทหนุ่ม ดวงตาคู่คมไม่มีแววหวั่นเกรง ทั้งยังเต็มไปด้วยความมุ่งมั่นเหลือล้น

     

    “หากท่านจะทำร้ายคุณหลวง ย่อมต้องข้ามศพข้าไปเสียก่อน”

     

    “ปากดี! คิดว่าข้าเป็นใครกัน” เขมินท์ถลึงตาเขม่นมอง ต่อให้อยากชกใบหน้าคมครามที่ถือได้ว่าค่อนข้างหล่อเหล่าเท่าไหร่ก็จำต้องควบคุมอารมณ์ไว้ ในเมื่อตนคือว่าที่ผู้ครองแผ่นดินคนต่อไป

     

    คนหนึ่งมุ่นมั่นถวายแม้กระทั่งชีวา ส่วนอีกคนเต็มไปด้วยทิฐิและความทระนง ไม่มีใครลงมือก่อนใคร เพียงยืนคุมเชิงประเมินกำลังของกันและกันเท่านั้น ใช่ว่าเขมินท์นฤเบศไม่ทราบ เรื่องที่ขุนไกรได้ชื่อว่ามีฝีมือศิลปะป้องกันตัวเป็นเลิศ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิชากระบี่ ซึ่งอดยอมรับมิได้ว่าคำเล่าลื่อนั้น ทำให้เขาประหวั่น ไม่มั่นใจ  แต่ทว่าท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดนั้น ระฆังช่วยชีวิตก็ดังขึ้นได้จังหวะพอเหมาะพอดี

     

    “เขมินท์” น้ำเสียงแหบทรงอำนาจดังขึ้นจากเบื้องหลัง ส่งผลให้เขมินท์ชะงัก ในขณะที่คู่สนทนาทั้งสองต่างคุกเข่าทำความเคารพผู้ปกครองแคว้น แต่สำหรับร่างสูงน่าแปลกที่อารมณ์โกธามลายหาย แทนที่ด้วยความโล่งใจอย่างไม่น่าให้อภัย “พ่อบอกให้เจ้ามาพบพ่อแล้วมิใช่หรือ?”

     

    “ฝีมือคำเกิ่งล่ะสิ” องค์รัชทายาทหนุ่มยอกย้อนใส่

     

    “พ่อเป็นคนสั่งให้เสนาบดีคำเกิ่งไปตามเจ้าเอง อีกอย่างหนึ่ง... เสนาบดีคำเกิ่งเป็นผู้อาวุโส เจ้าควรรู้จักให้เกียรติ และเคารพยำเกรงเขาบ้าง มิใช่ยอกย้อนเรียกชื่อเขาเฉยๆ เช่นนี้” องค์ประมุขตรัสตำหนิ

     

    “ท่านบังคับข้ามิได้หรอก ท่านพ่อ” เขมินท์เหยียดยิ้มหยัน เขาไม่ใช่คนที่จะยอมอยู่ใต้อาณัติใครง่ายๆ แม้นว่าอีกฝ่ายจะมีศักดิ์เป็นถึงพ่อแท้ๆ ของตนก็ตาม

     

    พระพักตร์ขององค์ชยางกูรวรเดชปรากฎริ้วรอยกริ้วโกรธ สุรเสียงทรงอำนาจตวาดถาม “ที่เจ้าเลี่ยง หลบหน้าพ่อ หนีออกไปเที่ยวเตร็ดเตร่ร่อนเร่อยู่ในเมือง เพราะเจ้าคุณชายต่างแคว้นนั่นใช่หรือไม่!

     

    “แล้วท่านพ่อคิดว่าอย่างไรเล่า” เขมินท์ยอกย้อน “ถ้าหากข้าคบกับวังนที ท่านก็ไม่มีสิทธิ์ห้ามข้าได้อยู่ดี ชีวิตของข้าย่อมเป็นของข้า ท่านไม่สิทธิ์บงการชีวิตข้า แม้ว่าท่านจะมีศักดิ์เป็นบิดาบังเกิดเกล้าก็ตาม”

     

    “เขมินท์!” องค์ประมุขตวาดชื่อบุตรชาย พระหัตถ์ขวากุมพระอุระ พระพักตร์แลดูทรมานกับถ้อยคำเสียดสีเหล่านั้นยิ่งนัก วรองค์สูงสง่าแม้ทรงมีพระชันษามากเริ่มโอนเอียง จนหลวงนันทิพัฒน์ต้องเข้าไปประคองไว้ เพราะเกรงว่าพระองค์จะทรงล้มไปเสียก่อน

     

    “ข้าไหว ไม่ต้อง” พระหัตถ์ตะล่อมปลดมือที่ประคับประคองวรองค์ออก หลวงนันทิพัฒน์น้อมรับด้วยการถอยออกมายืนห่างๆ กระนั้นก็อดห่วงมิได้ เมื่อฝ่ายตรงข้ามมีพระคุณใหญ่หลวงต่อตนนัก องค์ประมุขทอดพระเนตรบุตรชายนิ่ง พระหทัยอ่อนยวบยามนึกว่าชายเบื้องหน้าคือโอรสที่ตนชุบเลี้ยงมากับมือ

     

    “เจ้ามาก็ดีแล้ว นันทิพัฒน์ ไกร ข้ามีเรื่องจะไหว้วานเจ้าพอดี” พระองค์ปรับสีพระพักตร์ ตรัสสุรเสียงเข็ม “เจ้าก็ด้วย เขมินท์...”

     

    ร่างสูงที่ตั้งใจใช้โอกาสเหล่านี้เลี่ยงจากวงสนทนาพลันชะงัก ถามกลับอย่างไม่สบอารมณ์ “ยังมีเรื่องอันใดต้องคุยกับข้าอีกรึ ท่านพ่อ? เรื่องของเหล่าข้าราชกาลต้อยต่ำพวกนี้ มีอะไรที่ข้าต้องลดตัวไปข้องเกี่ยว”

     

    “เขมินท์ เจ้ากำลังเสียมารยาท” องค์ประมุขตักเตือน เขมินท์จำต้องสงบปากสงบคำต่อหน้าพระบิดา ครั้นแล้วจึงหันไปทวงสัญญาจากหลวงนันทิพัฒน์ หนุ่มผู้สืบเชื้อสายตระกูลขุนงานที่ทรงไว้วางใจเป็นยิ่ง “ข้าอยากขอให้เจ้าช่วยอะไรบางอย่าง ในฐานะที่เจ้าเป็นคนที่ข้าไว้ใจ อย่างไรเสียเจ้าก็เคยรู้จักกับเขมินท์นฤเบศ บุตรชายข้า ข้าจึงคิดว่าถ้าหากเป็นเจ้า เรื่องนี้คงไม่ยากเท่าไหร่”

     

    “น้อมรับบัชญาขอรับ มิว่าสิ่งใดหากไม่เกินความสามารถ ข้าก็พร้อมน้อมรับใช้ทุกประการ” หลวงนันทิพัฒน์รับคำหนักแน่น ฝ่ายเขมินท์เพียงเค้นเสียงหึ เยาะเย้ยในลำคอคล้ายไม่ปักใจเชื่อ แต่แล้วก็น้ำท่วมปากในประโยคต่อมา

     

    “ข้าอยากให้เจ้าช่วยดูแลเขมินท์เหมือนอย่างก่อน ข้าเชื่อว่าเจ้าที่มีอายุพอๆ กับเขาน่าจะสามารถจัดการได้ดีกว่าผู้อาวุโส ต่อไปนี้ข้าจะส่งเขาไปหาเจ้าที่คุ้มทุกวัน หวังว่าเจ้าคงช่วยสอนงานเล็กๆ น้อยๆ และดัดนิสัยเสียๆ ได้”

     

    ฝ่ายหลวงนันทิพัฒน์ พอได้ยินประโยคนี้ก็สะอึกไปเช่นกัน แม้จะแปลกใจที่องค์ประมุขมอบหมายงานใหญ่เกินตัวหนักหนาให้ตน หากก็มิอาจไถ่ถามหรือหยั่งรู้ความคิด การตัดสินใจของอีกฝ่ายได้ จึงได้เพียงแย้งตามความจริง

     

    “ข้านั้นเป็นเพียงข้าราชกาล มีบรรดาศักดิ์ต้อยต่ำ ไม่ริอาจกระทำการใหญ่เกินตัวหรอก...”

     

    “ข้าไม่ยอมรับเด็ดขาด” น้ำเสียงแข็งกร้าวแทรกขึ้นกลางประโยค “หากท่านจะส่งข้าไปเรียนรู้งานกับข้าราชกาลยศต้อยต่ำเหล่านี้ เพิ่งเลื่อนบรรดาศักดิ์ขึ้นมาเป็นหลวงได้ไม่เท่าไหร่ จะให้ควบคุมความประพฤติข้า ไม่คิดว่าคล้ายกับปล่อยหนูลงในถ้งข้าวสารรึ”

     

    ครานี้ องค์ชยางกูรวรเดชไม่ทรงตรัสตอบ ปล่อยให้เขมินท์ บุตรชายรอเก้อด้วยใจร้อนรน การที่ร่างสูงถูกกำหนดให้เดินทางไปยังคุ้มของอีกฝ่ายทุกวัน ก็เท่ากับการถูกริบรอนเวลาระหว่างตนกับคนรักด้วย ซึ่งชายหนุ่มไม่อาจปล่อยให้เป็นเช่นนั้นโดยง่าย แต่แล้วคำร้องฏ้ขอแปรเปลี่ยนเป็นประกาศิตทันใด

     

    “นี่เป็นบัญชาจากข้า พวกเจ้ามีทางเลือกเพียงทางเดียวเท่านั้น คือกระทำตามที่ข้าสั่ง” สุรเสียงแหบพร่าทรงอำนาจประกาศ อย่างไรเสียอำนาจสิทธิ์ขาดก็เป็นสิ่งที่พระองค์สามารถใช้บังคับผู้คนให้อยู่ใต้อาณัติได้ ไม่เว้นกระทั่งบุตรชาย

     

    “ท่านพ่อ” เขมินท์พยายามท้วง ทว่าดวงตาคมกริบดุจราชสีห์นักปราชญ์ซึ่งเป็นความสามารถที่กษัตริย์พึงมีก็สยบเขาจนอยู่หมัด

     

    ร่างโปร่งเองก็ไม่มีทางเลือก ได้แต่ฝืนน้อมรับคำบัชญา พลางพล่ามบอกตนเองว่า จะงานที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อผู้ไหว้วานเปรียบดั่งพ่อคนที่สองของตน หลังสรุปใจความหลักๆ ให้เข้าใจตรงกันทั้งสองฝ่าย องค์ประมุขจึงขอตัวเสร็จกลับยังห้องทรงงาน ผู้มาเยือนทั้งสองทูลลาไปพร้อมกัน บัดนี้ภายในศาลาเรือนน้อย จึงหลงเหลือเพียงร่างสูงสง่าและแข็งแกร่งที่ตกอยู่ในอารมณ์เคืองขุ่นยิ่งนัก

     

    รัชทายาทเขมินท์นฤเบศกระแทกตัวนั่งบนม้าไม้ยาวด้วยอารมณ์โมหสุดขีด ชายหนุ่มสูดหายใจเอากลิ่นลีลาวดีหวังดับเพลิงคับแค้นที่สุ่มกองอยู่ในอก ศาลาที่ตนเคยคิดว่า หากได้พักผ่อนหย่อนใจที่นี้ ไม่ว่าอารมณ์จะร้ายเพียงไหนก็ย่อมกลับมาสงบนิ่งได้เหมือนเก่า ทว่าครานี้กลับต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ร่างสูงกรนด่ากับธาตุอากาศอย่างคับแค้นใจสุดขีด

     

    “คอยดูเถิด ข้าไม่มีวันตกอยู่ใต้การบงการของพวกเจ้าตลอดไปแน่! หลวงนันทิพัฒน์ เราจะได้เห็นดีกัน!

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×