คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 3 มิตรแท้... ศัตรูถาวร
มาแล้วค่า มาแล้วค่าาา ยังไม่ได้เช็คคำผิดนะคะ เมลล่าเป็นโรครนเวลาทำงานแข่งกับเวลา (เปิดเทอม และคนรอ) ดังนั้นเจอคำผิดตรงไหนรบกวนเตือนเจ้าคนเขียนคนนี้ด้วยจะดีมาก ฮิๆ หลายคนสงสัยว่า ไอตอนปิดปรับปรุงที่เหลือนั่นมันอะไรน่ะ ความจริงไม่มีอะไรหรอกค่า แค่ตอนหนูปูฝัน (ซึ่งถือเป็นงานหนักของเมลล่าเพราะต้องปรับตรงนั้นเยอะมากกกกก)
ยังไงรบกวนเม้นต์เป็นกำลังใจนะคะ สุดท้าย ขอบคุณพี่ๆ เพื่อนๆ ทุกคนที่ยังติดตามแม้เรื่องนี้มันจะอีหรอกครอกแครกมาก และไม่รู้จะไปได้อีกสักกี่น้ำ (ฮา) ขอบคุณค่าาา :]
เช้าวันนี้อากาศแจ่มใส เหมาะแก่การชื่นชมทิวทัศน์ธรรมชาติยิ่งนัก เสียงนกกระจิบร้องระงม ผสมผสานกับกลิ่นดินชื้นแฉะสร้างความผ่อนคลายแก่ผู้มาเยือน กรกฎทอดกายบนชิงช้าเถาวัลย์ขนาดสองคนนั่งหน้าสวนลีลาวดี มือข้างหนึ่งถือกระดานไม้สำหรับวาดภาพ อีกข้างหนึ่งจับดินสอไว้มั่น และเริ่มร่างเส้นบางๆ ลงบนกระดาษเนื้อเนียนละเอียด
การวาดภาพเป็นงานอดิเรกที่เขามักทำเป็นประจำในยามว่าง ชายหนุ่มชอบวาดรูปตั้งแต่เด็ก ซึ่งนั่นเป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมเขาจึงเลือกถึงอาชีพมัณฑนากร แทนที่จะเป็นผู้บริหารธุรกิจมีหน้าตาตำแหน่งใหญ่โต นั่นเพราะเขาเกลียดความวุ่นวายซับซ้อนของสังคม โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พวกนักธุรกิจที่มักสวมหน้ากากเข้าหากันอยู่เสมอ
กรกฎบิดขี้เกียจเล็กน้อย ตั้งใจว่าอีกสักชั่วโมงค่อยกลับไปปลุกวิธวินท์ คนรักจอมขี้เซาที่ห้องก็ยังไม่สาย อย่างไรเสียชายหนุ่มก็อ่อนล้าจากการเดินทางมาก ไหนจะเรื่องสยองขวัญที่เขาพบเจอเมื่อคืน จนปลุกร่างสูงขึ้นมาอีก
คิดแล้ว กรกฎก็อดรู้สึกขนลุกไม่ได้ เขาลองคิดทบทวนหลายครั้งหลายหนแล้ว ว่าตนแสดงกิริยาลบลู่เจ้าที่เจ้าทางไปเมื่อไหร่ แต่ก็นึกไม่ออกเสียที จึงได้แต่ปล่อยผ่านไปโดยหวังลึกๆ ว่า แท้ที่จริงตนเพียงล้าและตาฝาดไปเอง
กรกฎใช้เวลาส่วนมากไปกับการวาดภาพและเดินชมสวนเรื่อยเปื่อย เขาพบว่าตนเองชอบดอกลีลาวดีมาก จนอยากได้ติดไม้ติดมือกลับไปด้วย ทว่าพอเหลือบดูนาฬิกาข้อมืออีกครั้ง กลับพบว่าเลยเวลาอาหารเช้ามาห้านาทีแล้ว กรกฎตัดสินใจเก็บเรื่องลีลาวดีไว้ก่อน เพราะอย่างไรเสียวิธวินท์ก็สำคัญกว่า ลีลาวดีพวกนั้น หากเขาอยากได้ ขากลับกรุงเทพค่อยซื้อเอาสักต้นยังไม่สาย
ชายหนุ่มมุ่งหน้ากลับเรือนปทุมหลวง ระหว่างนั้นก็พบพิธิวัฒน์ หนุ่มผู้บริหาร ที่บังเอิญเดินสวนกันตรงทางเท้า
“อรุณสวัสดิ์ครับ คุณกรกฎ” อีกฝ่ายยิ้มทักอบอุ่น แม้จะอยู่ในชุดสูททำงานเหมือนครั้งก่อน ทว่าให้ความรู้สึกเป็นกันเองกว่ามากนัก
“ครับ อรุณสวัสดิ์ครับ”
“ออกมารับลมหรือครับ?” กรกฎพยักหน้า พิธิวัฒน์เหลือมองนาฬิกาเล็กน้อย ก่อนกล่าวต่อ “อีกสักครู่ทางโรงแรมจะจัดบุฟเฟต์อาหารเช้าสำหรับแขกที่เข้าพัก หวังว่าพวกคุณคงร่วมทานด้วย”
“แน่นอนครับ” กรกฎยิ้มมาดมั่น ว่ากันตามประสา พวกเขาจ่ายค่าอำนวยความสะดวกเหล่านี้ จะไม่ใช้บริหารได้อย่างไร
“ขอเสียมารยาทถามเรื่องห้องพักสักนิดได้ไหมรับ” ผู้บริหารหนุ่มกล่าวอย่างสุภาพ กรกฎเข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายต้องการทราบความเห็นเขาเกี่ยวกับห้องพักของทางโรงแรม
“ครับ ผมชอบมากครับ ห้องกว้างขวาง เครื่องอำนวยความสะดวกครบครัน แถมอย่างจัดตกแต่งได้อย่างเรียบร้อย และลงตัว ไม่ว่าใช่ไหมครับ หากผมจะขอตำหนิเรื่องหน้าต่างเปิดยากสักหน่อย” กรกฎยิ้มขม จงใจหลีกเลี่ยงเหตุการณ์สยองขวัญ กล่าวถึงเรื่องกระจกแล้ว เมื่อเช้าเขาใช้เวลาเกือบยี่สิบนาทีกับการงัดหน้าต่างบานเลื่อนเพื่อเปิดรับสายลมและแสงแดดสู่ภายในห้อง
ร่างสูงพยักหน้ารับคำวิจารณ์ “แล้วผมจะนำไปปรับปรุงให้ดีขึ้น”
กรกฎแย้มยิ้ม เหลือบมองนาฬิกาก็พบว่าตนชักเสียเวลาคุยมากไปซะแล้ว พิธิวัฒน์เห็นท่าทีรีบร้อนของอีกฝ่าย จึงบอกลา แม้จะรู้สึกเสียดายสักหน่อยเพราะทำได้เพียงไถ่ถามตามมารยาทในฐานะผู้จัดการโรงแรม และแขกพิเศษเท่านั้น หากก็ทำได้เพียงมองตามแผ่นบางรีบร้อนของอีกฝ่ายอย่างนึกเสียใจ
กรกฎเร่งฝีเท้ากลับเรือนปทุมหลวง มือไม้หอบกระดานและอุปกรณ์เครื่องเขียนพะลุงพะลัง ด้วยเกรงว่าหากช้ากว่านี้จะสายเกินไปสำหรับมื้อเช้าและโต๊ะเก้าอี้ว่าง แต่ทว่า ขณะเดินผ่านลานจอดรถเพื่อวนกลับไปยังเรือนพัก เขาก็พบกับความประหลาดใจ
แทนที่จะนอนเขลงอยู่ในห้องและรอให้เขากลับไปปลุกตามประสา ร่างสูงของชายคนรักกลับยืนพิงตัวถังรถยนต์สีบรอนซ์เงินซึ่งไม่ใช่ของตน สภาพของชายหนุ่ม บอกได้ว่าเพิ่งตื่นไม่นาน สังเกตจากเรือนผมยุ่งเยิงและสีหน้าหงุดหงิดคล้ายพักผ่อนไม่เต็มอิ่ม และที่สำคัญ เขามิได้อยู่เพียงลำพัง ข้างๆ คือเจ้าของเรือนผมสีน้ำตาลเข้มตัดสั้น สไลด์ปลายอันเอกลักษณ์ คนที่เขาคิดว่าคุ้นเคยดีกว่าใคร
“การัณ!?”
“อ้าว ปู” ผู้ถูกเรียกมีสีหน้าแช่มชื่นขึ้น เขาวางกระเป๋าเดินทางที่ยกออกจากท้ายรถ ในขณะที่กรกฎโผเข้ามาในระยะประชิดอย่างรวดเร็ว
“มาได้ยังไงเนี่ย”
“คิดว่าไงล่ะ บางทีเราอาจจะเดินจากอเมริกามาก็ได้” อีกฝ่ายตอบกวนโอ๊ย เรียกสีหน้าไม่ค่อยพอใจจากคู่สนทนา “ก็ได้ๆ เราเพิ่งกลับจากอเมริกาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สอบถามจากคนใกล้ชิดเลยรู้ว่าปูขึ้นเชียงใหม่มาอยู่คุ้มคำญวน ถ้ารู้ก่อนเราไม่นั่งเครื่องบินไปลงกรุงเทพแล้วขับรถต่อมาอีกทอดหรอก” การัณอธิบาย มิวายบ่นอุบอิบตามประสา
พวกเขาดูสนิทสนมกันมาก จนบางครั้งวิธวินท์ก็อดส่งสายตาปรามผู้มาเยือนคนใหม่มิได้ ไม่ใช่เพราะหึงแต่มีเหตุผลบางอย่าง กระนั้นเขาก็ไม่เข้าไปสอดบทสนทนาของทั้งสองฝ่าย
ดูเหมือนกำหนดการทานข้าววันนี้คงต้องเปลี่ยนเสียแล้ว กรกฎคิด พวกเขาพาการัณเข้าเช็คอินที่หน้าเคาน์เตอร์โรงแรม ร่างโปร่งเลือกห้องพักธรรมดา ขนาดหนึ่งคนใช้สอย เนื่องจากเขามาเพียงลำพัง แม้กรกฎอยากยุให้มาอยู่ข้างห้องใจจะขาดก็ตาม แต่ก็ไม่เหมาะนัก
พวกเขาตัดสินใจทิ้งอาหารเช้าฟรีที่ทางโรงแรมจัดไว้ให้ และเลือกออกมาทานขนมปังกับกาแฟที่คาเฟ่ใกล้ๆ ของโรงแรม เพื่อให้สามารถคุยได้สะดวก จึงเลือกโต๊ะใกล้มุม ติดกระจกหน้าต่าง ไม่ช้ากาแฟที่พวกเขาสั่งก็ถูกบริกรสาวนำมาเสิร์ฟ แก้วหนึ่งเป็นลาเต้นมสด ส่วนอีกสองแก้วเป็นเอสเพรสโซ่ซึ่งมีกลิ่นและรสชาติกาแฟที่เข้มขนกว่า
“โตขนาดนี้ ยังไม่เลิกดื่มกาแฟนมสดอีกหรือปู” การัณหมุนแก้วเซรามิคซึ่งบรรจุของเหลวสีน้ำตาลเหลืองไปมา สักครู่หนึ่งจึงส่งให้เพื่อน
“ผมไม่ค่อยชอบดื่มกาแฟเท่าไหร่น่ะ” กรกฎตอบตามตรง เขาไม่ชอบรสชาติข่มปร่าเท่าไหร่นัก
“งั้นหรือ” การัณพยักหน้ารับรู้ ทั้งสองนั่งจิบกาแฟเงียบๆ สักพักใหญ่ กรกฎจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง
“กลับจากอเมริกานานหรือยัง ไม่เห็นโทรบอกกันบ้างเลย?” เขาถามเสียงอ่อน ฝ่ายนั้นกรอกตาล้อเลียนไปมา แล้วฉีกยิ้มบางเจือน
“เพิ่งมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้วน่ะ เราโทรมาแจ้งวิทย์แล้วนะ เขาไม่ได้หรือ”
กรกฎมองคนรักผู้เงียบขรึมด้วยสายตาคลางแคลง แต่ครั้นฝ่ายนั้นปิดปากเงียบ จึงสรุปเป็นคำตอบ “เปล่านี่?”
“หรือ สงสัยจะลืมล่ะมั้ง” การัณยักไหล่ แสร้งย่นหน้านิดๆ เหมือนไม่พอใจ “ว่าแต่ปูเถอะ เราวิ่งหาตัวซะให้ควั่ก ที่แท้ก็แอบหนีมาเที่ยวเชียงราย ไม่เห็นส่งข่าวบอกเราบ้าง”
“ไม่ได้มาเที่ยวสักหน่อย” กรกฎปฏิเสธ แต่เมื่อถูกมองด้วยสายตาเค้นความจริงจากคู่สนทนา ท้ายที่สุดก็ยิ้มแห้งแล้ง สารภาพเหตุผลที่ว่าทำไมตนจึงต้องรีบร้อน ขึ้นมาที่คุ้มคำญวนนัก “คือพอดีพ่อเพิ่งเสียน่ะ เลยต้องขึ้นมาเรียนรู้งานแทนท่านสักพัก อีกเดี๋ยวก็คงต้องขึ้นรับตำแหน่งประธานใหญ่แทนแล้ว”
“คุณพิพัฒน์เสียแล้วเหรอ เมื่อไหร่?” การัณถามหน้าตาตื่น อารมณ์อยากกลั่นแกล้งเมื่อครู่พลันมลายจากใบหน้า
“สองสามเดือนที่แล้ว เห็นว่ากันกำลังเรียน เลยไม่ได้โทรไปแจ้ง...” กรกฎตอบ
“เรื่องใหญ่โตขนาดนี้ทำไมไม่โทรไปบอกเรา” ร่างโปร่งย่นคิ้วตำหนิ คราวนี้ไม่ได้แสร้งทำเหมือนครั้งก่อน แต่พอเห็นว่าฝ่ายนั้นฝืนปั้นยิ้มตอบ จนก็ผ่อนลมหายใจแรง
“เสียใจด้วยนะ...” เขาบีบมืออีกฝ่ายให้กำลัง
กรกฎส่ายหน้าเบาๆ คล้ายตอบว่า ‘ไม่ต้องเป็นห่วง’ “ผมดีขึ้นมากแล้ว เรื่องนั้นคงต้องขอบคุณคนแถวนี้มากกว่า”
การัณขยับริมฝีปากคลี่ยิ้มในประโยคแรก หากแต่มันก็มลายหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินวรรคต่อมา ดวงตาปราดเปลี่ยวเบนออกนอกหน้าต่าง ทอดมองกลุ่มใบไม้ไหวระริกตามแรงลม สักพักใหญ่จึงพูดขึ้นลอยๆ
“ไม่กลัวว่าจะมีใครมาแย่งวิทย์ไปจากปูหรือ?”
“แย่ง? ทำไมหรือ” กรกฎย้อนถามด้วยความสงสัย หากก็ไม่ได้รับคำตอบใดๆ
ความเงียบสงัดโรยตัวในวงสนทนาชั่วขณะ ก่อให้เกิดแรงกดดันจำนวนมากจนรู้สึกได้ถึงความอึดอัดอันแปลกประหลาด หากเพียงครู่เดียวมันก็ถูกทำลายลง
“ปู คุณช่วยหยิบโทรศัพท์ให้ผมที่ห้องหน่อยได้ไหม พอดีผมลืมไว้น่ะ” จู่ๆ วิธวินท์ก็ยืดตัวขึ้น เปลี่ยนอิริยาบถมานั่งเท้าคางบนโต๊ะคั่นกลางระหว่างเขาและการัณ
“ทะ โทรศัพท์?” ร่างโปร่งทวนคำเสียงงุนงง แต่เมื่อสบกับสายตาดุๆ ของคนรัก เขาก็จำต้องยอมกลับแต่โดยดี “อืม รอเดี๋ยวหนึ่งแล้วกัน”
กรกฎหยิบกระดานไม้และกล่องอุปกรณ์เครื่องเขียนติดมือ เพื่อนำกลับไปเก็บที่ห้อง ก่อนจะลุกออกไปอย่างรวดเร็ว เนื่องจากไม่อยากให้คนรักต้องรอนาน วิธวินท์รอจนพ้นร่างกรกฎ ครั้นแล้ว ร่างสูงจึงเอ่ยทำลายความเงียบ
“มาที่นี่อีกทำไม?” เขาถาม ด้วยเสียงเย็นเฉียบที่หาได้มีเยือใยเจืออยู่ไม่
“เราแค่มาหาปู ทำไมคุณต้องทำเหมือนเราเป็นคนอื่นคนใกล้ด้วยล่ะ” ดวงตาคู่ปราดเปลี่ยวหรี่เล็ก จับจ้องคนเบื้องหน้าไม่วาง ราวกับสุนัขจิ้งจอกที่กำลังซุ่มมองเหยื่อของมัน
วิธวินท์เค้นเสียงหึในคอ “อย่าเอาเขามาอ้าง ต่อให้เป็นตายร้ายดียังไง คุณก็ไม่มีวันใส่ใจความรู้สึกของปู ผมรู้จักสันดานคุณดี การัณ” เขาตอกกลับไปอย่างไม่ไว้หน้า หากดูเหมือนอีกฝ่ายไม่ใช่ใจในคำพูดเขาสักนิดเดียว
“สมเป็นคนรักกัน...” ร่างโปร่งปรบมือ หัวเราะเบาๆ คล้ายเย้ยเยาะในความโง่เขลา “แต่อย่าลืมว่าเรารู้จักนิสัยคุณดียิ่งกว่าอะไร”
“คุณมาที่นี่เพื่ออะไรต้องการอะไรกันแน่?” วิธวินท์ตะคอกอย่างเดือดดาล ครั้งหนึ่งเขาเคยคิดว่าตนได้พ้นจากร่างแหอันร้ายกาจของชายคนนี้แล้ว แต่เปล่าเลย แท้จริงแล้วมันยังไม่เริ่มต้นขึ้นด้วยซ้ำ
“จะมีอะไรน่ายินดีไปกว่าชัยชนะ เรามาเพื่อเอาคืนในทุกสิ่งทุกอย่างที่คุณทำกับเราไว้ยังไงล่ะ วิทย์ ลืมแล้วหรือว่าเมื่อก่อนเราเป็นอะไรกัน?”
“ทุกอย่างมันเป็นอดีตไปแล้ว! เมื่อไหร่คุณจะยอมรับสักที ผมไม่มีทางกลับไปหาคนที่วันๆ ดีแต่ทำตัวร้ายกาจใส่คนอื่นอย่างคุณอีก!” วิธวินต์ตบโต๊ะฉาด ยื่นคำขาดหัวชนฝา เขาเหยียดตัวลุกขึ้นเต็มความสูงด้วยแรงโทสะคุคลุ้ง
“เรื่องนั้นมันผ่านมานานมาก และเราก็ลืมมันไปหมดแล้วเสียด้วยสิ” ร่างโปร่งไหวไหล่น้อยๆ ราวกับไม่สลักสำคัญ “เราก็แค่ รู้สึกอยากเอาชนะ อยากแก้แค้นขัดขวางทุกวิถีทาง ให้คุณกับเขาทุกข์ระทมเหมือนกับที่คุณทำให้เราเป็นแบบนั้น”
ร่างสูงเค้นเสียง ‘หึ’ ในลำคอราวกับมันไม่มีทางเกิดขึ้นอย่างแน่นอน “ถ้าคุณคิดว่าทำได้ก็ลองดู”
“ได้สิ” ริมฝีปากฉีกยิ้มกว้าง หากหวานล้ำราวกับน้ำผึ้งเดือนห้า “แล้วคอยดูว่าถ่านไฟเก่ามันจุดติดง่ายแค่ไหน ถึงเวลานั้น เราจะทำให้คุณหลงหัวปักหัวปำทีเดียวล่ะ หึหึ”
------------
ขณะเดียวกัน ณ อีกฝากฝั่งหนึ่งของคุ้มคำญวน ร่างโปร่งบางเดินทอดน่องต่อมาตามทางเท้าอิฐ ภายในอ้อมแขนมีกระดานวาดไม้ไว้สำหรับรองกระดาษวาดภาพ และอุปกรณ์เครื่องเขียนอาทิเช่น ดินสอ ยางลบ ปากกา และสีน้ำ กรกฎพยายามทำจิตใจให้ปลอดโปร่ง ไม่ถือโทษกรุ่นโกรธการตัดสินใจของวิธวินท์ ที่กีดกันตนออกห่างจาก ‘การัณ’ อดีตเพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ซึ่งย้ายไปต่อปริญญาโทที่อเมริกา เมื่อสามปีก่อน
พวกเขาสนิทสนมกันมากสมัยเรียนมหา’ลัยปีสอง และเป็นช่วงเดียวกับที่วิธวินท์เข้าหาเขา ทีแรกความสัมพันธ์ระหว่างการัณและชายหนุ่มดูท่าไม่กินเส้นกันเท่าไหร่นัก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิธวินท์ ร่างสูงมักตีสีหน้าทีเย็นชาใส่ ราวกับขุ่นเคืองอีกฝ่ายมานาน ซึ่งในเวลาต่อมา ยังไม่มีท่าทีว่าจะดีขึ้นแต่อย่างใด
หลายครั้งที่กรกฎซักถามถึงเหตุ และแทบทุกครั้งที่ถูกปฏิเสธอ้อมๆ เสมอ จนท้ายที่สุด ร่างโปร่งต้องเป็นฝ่ายตีหน้าเฉยเมย ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเสียเอง
กรกฎได้กลิ่นดินผสมกลิ่นเกสรดอกไม้หอมฟุ้งตามระลอกลมพัด เขาสูดจมูกฟุดฟิดด้วยความสนเท่ ภายหลังจึงทราบว่าตนเดินตัดทางลัดเข้ามาในสวนลีลาวดี มีปลายทางทอดยาวไปบรรจบยังหน้าเรือนไม้หลังงาม เบื้องหน้าเยื้องไปทางด้านซ้าย มีต้นลีลาวดีต้นหนึ่ง สูงเท่าศีรษะ ปลายก้านแต่ละกิ่งของมันประดับประดาด้วยช่อดอกไม้สีขาวเหลือบเหลืองทองนวล แลดูบอบบางและอ้อนช้อยยิ่งนัก
กลิ่นหอมฟุ้งเย็น ที่ไม่ฉุนหรืออ่อนจนเกินไป สร้างความหลงใหลให้กรกฎ ชายหนุ่มพักข้าวของเครื่องใช้พะลุงพะลังไว้บนโขดหินข้างเคียง ยืดตัวและเขย่งปลายเท้าให้ได้ความสูงทัดเทียม ก่อนเอื้อมสุดปลายแขนเพื่อเก็บช่อดอกจากปลายกิ่งอ่อนของมัน
หากยังไม่ทันสัมผัสแม้ปลายกลีบ จู่ๆ เขากลับรู้สึกวิงเวียนศีรษะ และอยากอาเจียน ภาพที่ฉายผ่านดวงตาเริ่มพล่าเบลอ และพร้อยด่างเป็นจุดสีดำๆ ราวกับฟิล์มหนังเก่า กรกฎพยายามประคองร่างให้นั่งลงตรงโขดหินแบนกว้าง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากจุดที่เขายืนนัก แต่ขาเจ้ากรรมดันสะดุดรากไม้ ส่งผลให้ร่างเสียหลักล้มคะมำ มือปัดกระดานไม้และกล่องเครื่องเขียนตกกระจัดกระจาย สติเริ่มขาดห้วงเป็นพักๆ ก่อนที่ทุกอย่างจะมืดมิดราวกับถูกสาดด้วยสีดำ…
ความคิดเห็น