คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 1 ชนวนความฝัน
ตัดฉับๆๆๆ แล้วค่า เอามาลงทับกัน ช่วยเม้นเป็นกำลังใจด้วยนะคะ ขอบคุณทุกท่านมากค่ะ :]]]
.
.
.
.
ดวงตาสีดำกริบดุจเม็ดนิลเบิกโพลง เด้งตัวเพิ่งจากโซฟา ในขณะที่ก้อนเนื้อในอกเต้นระรัวและรุนแรง ส่งผลให้เจ้าของร่างหอบหายใจคล้ายคนออกกำลังกายเป็นเวลานาน มือเรียวสั่นระริกเล็กน้อยตบใบหน้าเบาๆ เพื่อเรียกสติสัมปชัญญะตน ก่อนพบว่ามันชุ่มโชกไปด้วยเม็ดเหงื่ออย่างน่าใจหาย กรกฎกุมหน้าอก รู้สึกเสียดและโหวงด้านในราวกับคนเสียขวัญ
เกิดอะไรขึ้น... เขาถามตนเอง สอดส่ายมองรอบกาย ก่อนพบว่าตนอยู่ในห้องนั่งเล่น ณ โซฟาหน้าทีวีจอยักษ์ หาใช่เรือนไม้เก่าแก่สะเทือนขวัญไม่จึงโล่งอก
“ปู ลูกเป็นอะไรหรือเปล่า” น้ำเสียงอ่อนโยนทายทัก กรกฎหันไปจึงพบมารดายืนนิ่งอยู่หลังเก้าอี้โซฟา สีหน้าดูไม่สู้ดีเท่าไหร่ ร่างโปร่งจึงยิ้มรับคลายกังวล
“ไม่เป็นไรครับ สงสัยคงเครียดเรื่องงานไปหน่อย ช่วงนี้ลูกค้าเยอะครับ” เขาตอบเลี่ยงๆ
หญิงสาววัยกลางคนมุ่นคิ้ว ตำหนิอย่างไม่พอใจ “แม่บอกแล้วใช่ไหมว่าลูกควรยกเลิกงานพิเศษพวกนั้นไปก่อน แล้วขึ้นดูแลเครือข่ายของคุณพิพัฒน์เสียที ลูกจะยืมจมูกคนอื่นหายใจไม่ตลอดไม่ได้ ปู... ลูกโตมากแล้วควรลำดับความสำคัญให้ถูกต้อง และรู้ว่าอะไรควรอะไรไม่ควร”
“ขอโทษครับ” กรกฎยิ้มแหย กุมมือที่มีริ้วรอยเหี่ยวย่นของมารดาไว้ “ผมขอโทษที่ทำให้แม่ผิดหวังต่างๆ นาๆ ผมตัดสินใจแล้ว ว่าจะเลิกรับงานวาดแบบแปลนสักพัก แม่ไม่ต้องห่วงนะครับ”
คนเป็นแม่ลังเล แต่แล้วก็พยักหน้า พลางถอนหายใจ “ไม่เป็นไร อย่างน้อยแม่ก็เชื่อว่าลูกเป็นคนดี” ท่านคลี่ยิ้มรับ ก่อนขอตัวเข้าครัวเพื่อจัดการเรื่องอาหารเช้าให้ลูกๆ พ้นหลังมารดา กรกฎเอนตัวพิงโซฟาเต็มหลัง แล้วถอนหายใจตาม ชายหนุ่มรู้แก่ใจดีว่าประโยคของมารดาต้องการสื่ออะไร
แม่ไม่ชอบและไม่อยากให้เขาเป็นเช่นนี้ สำหรับท่านทุกอย่างในชีวิตเขาล้วนเกิดจากความพลาดพลั้ง ต่างจากน้องชายต่างบิดา ผู้ซึ่งเพรียมพร้อมด้วยทุกสิ่งเพราะทั้งสองไม่ต้องการให้ใครเดินตามรอยเท้าเขา
มารดาเขาหย่าร้างกับบิดา หรือคุณพิพัฒน์ตั้งแต่กรกฎยังเล็ก เนื่องจากทั้งสองไม่สามารถใช้ชีวิตคู่ร่วมกันได้ เพราะถูกผู้ใหญ่จับคลุมถุง แต่งงานด้วยเหตุผลจากธุรกิจ ภายหลังฝ่ายหญิงยื่นข้อเสนอขอหย่าร้าง หากด้วยสัญชาตญาณความเป็นแม่ จึงนำกรกฎมาด้วย แต่ทว่าเพียงไม่กี่เดือนให้หลัง ท่านก็สมรสใหม่อีกครั้ง กับหนุ่มเจ้าสัว เจ้าของร้านอาหารชื่อดัง และมีบุตรชายเป็นสักขีพยานรักคนหนึ่ง นั่นคือ ติณณภพ หนุ่มนักศึกษาผู้มีศักดิ์เป็นน้องชายต่างบิดาของเขา
กรกฎเลือกเรียนคณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ตามความชอบของตน ก่อนผันตัวมาเป็นมัณฑนากร รับเขียนแบบตกแต่งภายใน ซึ่งทำให้เขาไร้ประสบการณ์ด้านบริหารโดยสิ้นเชิง และหาได้ตรงกับความต้องการของบิดาแท้ๆ เจ้าของเครือข่ายธุรกิจขนาดกลางที่มีชื่อว่า แกรนด์ พาราไดซ์ (Grand Paradise) ไม่ จวบจนกระทั่งท่านเสียชีวิตลงด้วยโรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน กรกฎจึงต้องวางงานเขียนแบบและเริ่มเรียนรู้ด้านบริหารบ้าง
นับว่าโชคดีที่ได้วิธวินท์ ทายาทเจ้าของโรงแรมโฟลริด โรส (Forid Rose) ผู้เป็นทั้งหุ้นส่วนทางธุรกิจ และเพื่อนสมัยเรียน คอยเป็นเสมือนแขนขาให้กับเขา ชายหนุ่มจึงไม่ต้องลงแรงมากมาย เพียงแค่ใช้ชีวิตกับสิ่งที่ตนเองชอบเงียบๆ เท่านั้น
“อ้าว อรุณสวัสดิ์ครับ พี่กรกฎ” เสียงทักทายอู้อี้งัวเงียดังขึ้น ครั้นหันตามก็พบร่างสูงแกร่งในชุดนอนแขนยาวสีน้ำเงิน เดินลงบันไดด้วยสีหน้างัวเงียสุดขีด ดวงตาสีน้ำตาลเข็มดุจกาแฟเพ่งมองกระเป๋าเดินทางข้างร่างโปร่ง แล้วถามขึ้นด้วยความสนเท่ “เก็บกระเป๋าเรียบร้อยแบบนี้ จะไปฮันนีมูลที่ไหนครับ อืม... คงไปกับพี่วิทย์อีกสิท่า”
“ไม่ใช่ฮันนีมูล” เขาผ่อนลมหายใจ ประโยคของน้องชายค่อนข้างทิ่มแทงใจเป็นพิเศษ “พี่จะขึ้นไปฝึกงานที่เชียงรายสักหน่อยน่ะ เราอยากกินอะไรไหม พี่จะซื้อมาฝาก” กรกฎถามอย่างอารี
“คุ้มคำญวนหรือ?” ติณณภพถาม พรืดลมหายใจอย่างเสียไม่ได้ “ไม่ล่ะ พี่เก็บเงินไว้เหอะ แต่อย่าหาว่าผมละลาบละล้วงเลยนะ พี่รู้ใช่ไหมว่าแม่ไม่ชอบให้พี่ไปกับเขา พ่อก็ด้วย... ส่วนตัวผมเองไม่ได้ว่าอะไรหรอก แต่ผมเป็นห่วงความรู้สึกของแม่ พี่รู้ใช่ไหมว่าแม่ไม่ชอบที่พี่เป็นแบบนี้...”
ประโยคนั้นส่งผลให้กรกฎน้ำท่วมปาก พูดอะไรไม่ออกเหมือนคนเป็นใบ้ชั่วขณะ ร่างโปร่งก้มหน้า รู้สึกหนักใจไม่ต่างกัน เดิมทีเขาก็ถูกกีดกั้นจากครอบครัวเพราะเป็นลูกแม่หม้าย หากผนวกเข้ากับเรื่องที่เขามีคนรักเป็นผู้ชายก็ยิ่งแล้วใหญ่
“พี่รู้... แต่มันเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้จริงๆ พี่ขอโทษ”
“คนที่พี่ควรขอโทษไม่ใช่ผมหรอก แต่เป็นแม่กับพ่อมากกว่า...” ประโยคหลังอ่อนลงเมื่อเห็นว่าพี่ชายหน้าเจือน และเม้มปากเป็นเส้นตรง ติณณภพลูบหลังพี่ชายเบาๆ เมื่อระลึกว่าตนพูดทำร้ายจิตใจอีกฝ่าย “ขอโทษครับ ผมแค่อยากให้พี่ระวังตัว”
“ขอบใจ”
“ถ้าอย่างนั้นผมขอตัวไปอาบน้ำสักครู่ อีกเดี๋ยวจะออกมานั่งเล่นเป็นเพื่อนนะครับ” เขาตีหน้าทะเล้น พลางเหวี่ยงผ้าขนหนูพาดบ่า เรียกรอยยิ้มเบาบางจากคนเป็นพี่ กรกฎรับคำ มองแผ่นหลังน้องชายที่เดินหายเข้าไปในห้องน้ำ พร้อมประตูที่ปิดสนิทลง
ใช่ว่าเขามองไม่ออก... สายตาของติณณภพที่พยายามซ่อนมันไว้อย่างเต็มความสามารถ แม้อาจไม่เหมือนกับความผิดหวังในแววตาของมารดา หรือความเย็นชาของพ่อเลี้ยงเวลาที่ดวงตาคู่นั้นมองมายังเขา หากอีกฝ่ายเพียรพยายามเก็บซ่อนมันไว้ และไม่แสดงออกมากเกินจำเป็น แต่ทั้งหมดทั้งมวลก็ล้วนแต่เป็นไปในแง่ร้ายเหมือนๆ กัน
“คุณกรกฎเจ้าคะ” สาวใช้นางหนึ่งหมอบพินอบพิเทาเข้ามา “คุณวิธวินท์เดินทางมาถึงแล้วเจ้าค่ะ จะให้แจ้งคุณนายใหญ่ไหมเจ้าคะ”
“ไม่ต้องครับ เดี๋ยวผมออกไปรับเขาเอง อีกอย่างเราคงอยู่ไม่นาน” อธิบายจบก็ลุกขึ้นจากโซฟา
กรกฎสืบเท้าออกมายังด้านนอกสิ่งปลูกสร้างหรูหราขนาดใหญ่โต หรือเรียกอีกชื่อว่า คฤหาสน์ คงไม่ผิดนัก เบื้องหน้าเขาเป็นสนามหญ้าโล่งที่สั้นเตียน ห้อมล้อมด้วยพุ่มมาลา และพันธุ์พฤกษาน้อยใหญ่อย่างที่มารดาโปรดปราน ไกลออกไปหน่อยคือลานโล่งกว้าง ซึ่งบัดนี้มีรถเบนซ์สีดำคันหนึ่งจอดนิ่งสนิท โดยมีเจ้าของยืนพิงตัวถังเหม่อมองไปเรื่อยเปื่อย
“วิทย์?” กรกฎเดินเข้าไปหา พลางเรียกชื่ออีกฝ่ายเพื่อความมั่นใจ เป็นดังคาด ผู้ถูกเรียกให้กลับมา ดวงหน้าติดเคร่งขรึมเล็กน้อยพลันอ่อนลง เขายิ้มต้อนรับคนรักอย่างอ่อนโยน
“อรุณสวัสดิ์ครับ ออกมารอแต่เช้าเชียว”
“อื้ม สาวใช้เพิ่งแจ้งว่าคุณมาถึงน่ะ” กรกฎอธิบายเรียบๆ “เอ่อ... แล้วคุณจะเข้าไปข้างในก่อนไหม?”
ร่างสูงเห็นคนรักเผยสีหน้าไม่สู้ดีนัก จึงรู้ว่าอีกฝ่ายเพียงถามไปตามมารยาท “ไม่ล่ะครับ คุณทานข้าวเช้าที่นี่ก่อนเถอะ ผมรอได้”
“แล้วคุณล่ะ?”
“ผมหรือ” ชายหนุ่มชี้ตนเอง กลั้วหัวเราะเบาๆ “ไม่ต้องห่วงหรอก ผมหาร้านอาหารเอากลางทางก็ได้ คุณทานข้าวกับครอบครับเถอะ” วิธวินท์ยุ รู้ดีว่าฝั่งพ่อตาแม่ยายไม่ค่อยปลื้มเขาสักเท่าไหร่นัก สีหน้าของกรกฎพลันซีดเซียวลง เขาไม่อยากเอาเปรียบคนรักด้วยการเอาความสบายเข้าว่า
“คุณไหวหรือเปล่าปู? หน้าตาดูเซียวๆ” วิธวินท์แตะแก้มนุ่มของคนรักเบาๆ เรียกรอยยิ้มแห้งแล้งประหนึ่งกลางทะเลทราย “อาการคุณกำเริบอีกแล้วหรือ?”
“ก็นิดหน่อย” ร่างโปร่งโป้ปด
ช่วงหนึ่งเขาเคยเข้ารับการบำบัดอาการทางจิตที่เกิดจากความฝันแปลกประหลาด หรือที่เรียกกันว่า ‘อาการฝันผวา’ ด้วยยาต่างๆ รวมถึงการเข้าพบจิตแพทย์สัปดาห์ละสองครั้ง ภายหลังจากการตายของบิดาไม่กี่เดือน ซึ่งการเข้ารับการรักษาครั้งนั้นสร้างความตกตะลึงให้แก่ครอบครัวและคนรักเป็นอย่างยิ่ง หากก็เป็นที่เข้าใจว่าเกิดจากความเครียดและเศร้าเสียใจอย่างหนัก
“แน่ใจนะครับ?”
“อืม ผมสบายดี ไม่ต้องเป็นห่วง” กรกฎยิ้มมาดมั่น ผิดกับในใจที่เต้นกระส่ำไม่เป็นจังหวะ เขานึกขอโทษคนรักที่ตนโกหกเพื่อความสบายใจของอีกฝ่าย
สีหน้าที่คล้ายเจือปนความกังวลหน่อยๆ ทำให้วิธวินท์รั้งร่างคนรักเขาสู่อ้อมกอด วงแขนแข็งแกร่งกระชับโอบเอวบอบบาง มือหนากดศีรษะอีกฝ่าย พลางลูบไล้อย่างเบามือ
“คุณทานข้าวกับครอบครัวเถอะนะ ไม่ต้องห่วงผม อย่างไรพวกเขาก็รักคุณนะปู” วิธวินท์กระซิบปลอบ กรกฎซุกใบหน้าลงกับแผงอกแข็งแกร่งอย่างที่มักทำเสมอยามอ่อนแรง สำหรับคนไร้ที่พึ่งพาอย่างเขา วิธวินท์ก็เปรียบเสมือนหลักยึดกลางผืนทะเลอันกว้างไกล ความอบอุ่น อ่อนโยน ขณะเดียวกันก็เข้มแข็ง และเชื่อถือพักพิงได้ มักทำให้เขาคลายกังวลร่ำไป
“ปู” ทว่าระหว่างนั้นเอง กระแสเสียงสั่นสะท้านที่ไม่คิดจะได้ฟัง กลับดังขึ้นคล้ายเตือนสติ กรกฎดันแผ่นกำยำออกอย่างสุภาพ พอหมุนตัวกลับก็ชะงักกับภาพที่ได้เห็น หญิงในชุดลำลองสีน้ำตาลปักลายดอกไม้ ยืนนิ่งอยู่ตรงเชิงบันไดหน้าตัวบ้าน ใบหน้าปรากฏริ้วรอยแห่งกาลเวลานั้นเคร่งขรึม ทั้งยังเม้มปากแน่น ดวงตาคู่นั้นผิดหวังและอาลัยยิ่ง
เมื่อ แม่ ของตนมายืนอยู่ต่อหน้า กรกฎคล้ายใบ้รับประทานชั่วขณะ เขาอ้าปากคล้ายต้องการพูดบางอย่าง แต่แล้วก็เงียบเสีย เมื่อหลักฐานเห็นอยู่ทนโท่
หญิงวัยกลางคนผ่อนลมหายใจบางๆ ถามด้วยน้ำเสียงฝืนเต็มทน “เช้านี้ ลูกจะไม่อยู่ทานข้าวกับเราใช่ไหม”
กรกฎลังเล แต่แล้วก็พยักหน้า “ครับ ผมว่าจะรีบออกเดินทาง เกรงว่าถ้าสายกว่านี้จะไม่ทัน ขอโทษนะครับ”
ท่านยิ้ม แต่ไม่พูดอะไร กรกฎบุ้ยใบ้เป็นเชิงให้คนรักรอตรงนี้สักครู่ ส่วนตนจะเข้าไปเอากระเป๋าเดินทาง ทีแรกวิธวินท์ลังเลบ้าง แต่ก็ไม่ขัดอะไร กรกฎค้อมศีรษะตามมารยาท สืบเท้าผ่านร่างที่คล้ายแข็งทื่อของมารดาไปเงียบๆ และรู้สึกได้ว่าท่านมองตามมา เขายิ้มขอโทษ รู้สึกผิดในใจเป็นยิ่ง
เขารู้ทันทีว่าตนคือ ความอัปยศของวงศ์ตระกูล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มารดาที่ชุบเลี้ยงตนมาหลายสิบปี
ร่างโปร่งเดินตัดมายังห้องนั่งเล่น คว้ากระเป๋าเดินทางอย่างรวดเร็วคล้ายไม่อยากอยู่ต่อเต็มที เรียกสายตาสงสัยจากติณณภพ ผู้ก้าวขาออกจากห้องน้ำด้วยสภาพเรือนผมเปียกโซก โดยมีผ้าขนหนูพาดอยู่บนบ่า เขาอยู่ในชุดนักศึกษามหาวิทยาลัย ติดเข็มกลัดสถาบัน
“จะไปแล้วหรือครับพี่ ไม่อยู่กินข้าวเช้าก่อนหรือ” เขามองพี่ชายกระชับกระเป๋าเดินทาง
“ไม่ล่ะ ขอโทษนะ พี่ต้องไปแล้ว เดี๋ยวจะไม่ทัน” กรกฎโป้ปดอีกครั้ง
“เหรอ...” น้องชายลากเสียงเอื่อยๆ “ถ้างั้นโชคดีนะครับ”
“อืม เราก็เหมือนกัน ตั้งใจเรียนล่ะ”
“ครับ” อีกฝ่ายขานรับ หากก็แค่ส่งเดช เขาเสยผมสีดำสนิทที่ได้จากมารดา ท่าทางออกเกเรช่างเรียกรอยยิ้มได้ดีเสียเหลือเกิน
กรกฎบอกลาน้องชาย และเดินจากมา ชายหนุ่มกลับไปหามารดาที่หน้าประตู หวังล่ำลาก่อนจากสักหน่อย ทว่าท่านกลับไม่อยู่ที่นั่นอีกต่อไป เขาถามข่าวคราวจากคนใช้ และได้รับรายงานว่าท่านเพิ่งออกไปซื้อของที่ห้างสรรพสินค้าเมื่อสักครู่เท่านั้น ส่วนเหตุผล คงเดาได้เพียงอย่างเดียวคือจงใจหลบหน้าเขา
กรกฎยิ้มแห้งเจือนให้คนรักที่ยืนรออยู่ด้านหน้า อีกฝ่ายรับกระเป๋าไป กอดปลอบหลวมๆ “ไม่ต้องคิดมากนะครับ”
ร่างโปร่งพยักหน้าน้อยๆ รู้ดีว่าอีกฝ่ายไม่อยากให้เขาเป็นกังวลเรื่องในครอบครัวมากนัก แต่หากจะไม่แยแสเลยก็คงยาก วิธวินท์เห็นว่าสีหน้าคนรักข้างกายดูไม่ดีขึ้นเท่าไรนักจึงเปลี่ยนหัวข้อสนทนา
“จะออกเดินทางเลยไหมครับ” ชายหนุ่มถาม
“ครับ คุณหิวหรือเปล่าล่ะ แวะทานอะไรแถวนี้ก่อนก็ได้นะครับ” กรกฎเสนอ วิธวินท์ก็เห็นด้วยเช่นกัน ร่างสูงเปิดฝากระโปรงท้ายรถ เก็บกระเป๋าเดินทางใส่ด้านในเรียบร้อยแล้ว จึงเปิดประตูเชื้อเชิญคนรักให้นั่งลงตำแหน่งข้างคนขับ กรกฎยิ้มขอบคุณ ขณะร่างสูงเดินอ้อมไปเปิดประตูทรุดกายลงที่นั่งข้างเคียง มิวายถามอย่างห่วงใย
“มีอะไรที่อยากทานเป็นพิเศษไหมครับ”
อีกฝ่ายไม่ตอบ แต่กลับยิ้มออดอ้อน เรียกเสียงหัวเราะเอ็นดูจากวิธวินท์ “แนะนำหน่อยสิ”
“ถ้าอย่างนั้น คุณชอบอาหารฝรั่งเศสหรือเปล่า? ผมรู้จักภัตตาคารใกล้ๆ นี้”
“เอาสิ ตามใจคุณเถอะ” กรกฎยิ้มรับ แต่ไหนแต่ไรเขาก็ไม่ใช่คนพิถีพิถันเรื่องอาหารการกินมากมาย จึงปล่อยให้คนรักเป็นคนตัดสินใจแทน
ดวงตาสีดำสนิทดุจเม็ดนิลอันคล้ายคลึงกลับบิดาเหลือบมองคฤหาสน์เป็นครั้งสุดท้าย ก่อนที่ร่างนั้นจะเอนกายพิงเบาะ หลับตานิ่งสนิทราวกับต้องการเวลาพักผ่อนแล้วคิดตริตรองสักครู่ ในขณะที่รถคันหรูค่อยๆ เคลื่อนผ่านรัวลูกกรงสีเงินเงา โดยมีชายวัยกลางคนเป็นผู้เปิด
ละอองแสงแดดของแรกวันสาดเข้าสู่ภายในรถติดฟิล์มหนาทึบ ช่วยปัดเป่าความหมองมัวภายในใจ กรกฎหันมองข้างกายก็พบสีหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดีของคนรัก จนเผลอยิ้มตามอย่างเสียไม่ได้ราวกับความสุขกำลังลอยฟุ้งอยู่กลางอากาศ กรกฎชอบมันมาก และอยากตักตวงเวลาเหล่านี้เก็บไว้กับตัวเสียเหลือเกิน
เพราะที่แห่งนี้ อาจไม่มีความทรงจำระหว่างตนและคนรักหลงเหลืออยู่สำหรับครั้งต่อไป...
ความคิดเห็น