ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บ่วงแค้นบ่วงเสน่หา [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #12 : บทที่ 10 แรงรัก... แรงชัง

    • อัปเดตล่าสุด 10 มิ.ย. 56


     

    เสียงลูกตุ้มนาฬิกาโบราณตีสิบสองครั้ง บอกเวลาเที่ยงตรง ดวงหน้าขาวเคร่งขรึมค่อยๆ เงยหน้าขึ้นจากปึกกระดาษจำนวนมาก ท่านผ่อนลมหายใจเล็กน้อย ก่อนปิดเปลือกตาลง ใช้มือนวดขมับคล้ายความปวดล้าในหัว

     

    ร่างโปร่งลุกจากโต๊ะทำงาน เดินไปหยุดลงตรงหน้าวงกบหน้าต่างไม้ นัยน์ตาสงบนิ่งทอดยาวไปบรรจงยังเรือนเล็กใกล้สระปทุมบานสะพรั่ง ซึ่งขณะนี้มีหญิงสาวสองคนนั่งจับเข่าคุยกันข้างระเบียง หูได้ยินเสียงใสสนทนาเจื้อยแจ้วไม่รู้เบื่อราวกับนกแก้วนกขุนทอง

     

    “วันนี้มีแขกเยอะเหลือเกิน” ท่านเหลือบมองนาฬิกา คาดคะเนเวลาที่องค์รัชทายาทผู้แสนเอาแต่ใจเดินทางมาถึงคุ้มของท่าน พลางครุ่นคิดเล่นๆ ว่า วันนี้คงเหนื่อยน่าดูทีเดียว

     

    คณะของคุณหญิงบุหงา ผู้เป็นน้องสาวเดินทางมาถึงตั้งแต่เวลาเช้าตรู่โดยมิได้ส่งสารนัดหมายล่วงหน้า ก่อให้เกิดความโกลาหลขนาดย่อม เนื่องจากต้องรับตระเตรียมการต้อนรับต่างๆ อย่างกะทันหันภายในเวลาจำกัด ช่วงเช้าเหล่าสาวใช้จึงมีงานให้เร่งทำอย่างล้นมือ กว่าเสร็จก็เกือบเที่ยงวันเข้าไปเสียแล้ว ร่างโปร่งเหลือบมองนาฬิกาอีกครั้ง ก่อนจะสวมรองเท้าหวาย ออกเดินไปยังเรือนเล็ก เพราะตั้งแต่เช้า ท่านเก็บตัวสะสางเอกสารราชการอยู่แต่ในห้อง จึงเกรงว่าน้องสาวจะน้อยเนื้อต่ำใจ ที่คนพี่เห็นงานสำคัญกว่าตน

     

    “สวัสดี” ท่านทักทายสั้นๆ ส่งผลให้หญิงสาวทั้งสองหันกลับมาอย่างพร้อมเพรียงกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง สาวในเสื้อแขนพองยาวลายลูกไม้สีชมพู สวมโจงกระเบนเลือดหมูแบบสตรี นางมีสีหน้าดีใจยิ่งกว่าอะไร นางผุดลุกจากเก้าอี้ แทบกระโจนลงบันได โผเข้าสู่อ้อมกอดทันใด

     

    “เจ้าพี่! โธ่ ข้านึกว่าท่านจะมิยอมออกมาจากห้องแล้วเสียอีก”

     

    “ข้าต้องออกมาอยู่แล้ว นานๆ ทีจะได้เห็นเจ้า โตขึ้นเยอะมิใช่เล่น” ท่านจับไหลน้องสาว หมุนตัวนางไปรอบๆ คล้ายตรวจดูตุ๊กตา

     

    “โธ่! เจ้าพี่ล่ะก็ มาหาว่าข้าแก่ ตัวท่านต่างหากล่ะ เอาแต่กร่ำงานหนักจะแก่ก่อนน้องสาวหลายสิบปีก็คราวนี้แล” นางเบ้ปาก ลอบมองรอยยิ้มเยือกเย็นเป็นนิจ ซึ่งบัดนี้มลายหายสิ้น เหลือแค่ความจริงใจ อบอุ่น พิงพาได้ระหว่างคนในครอบครัว

     

    “เอาเถอะ พี่ขอโทษที่ไม่ค่อยมีเวลาให้เจ้า” ท่านปล่อยมือจากน้องบุหงา หันไปค้อมน้อยๆ ทักทายคุณหญิงสร้อยฟ้า ซึ่งนั่งพับเพียบร้อยมาลัยอยู่ตรงชานเรือน ผิดกับที่ว่างข้างนางที่เต็มไปด้วยเศษกลีบดอกไม้ถูกเด็ดเล่น มิต้องคิดให้เสียเวลาก็รู้ว่าฝีมือเป็นใคร

     

    “เจ้าน่าจะหัดเลียนแบบความเป็นกุลสตรีจากน้องหญิงเสียบ้าง” ท่านตำหนิเสียงดุ หากแฝงความอ่อนโยนในตัว

     

    บุหงายิ้มแหย รีบดึงแขนพี่ชายขึ้น ออดอ้อนแกมบังคับให้อีกฝ่ายนั่งรอตรงชานเรือนข้างคุณหญิงสร้อยฟ้า พลางยิ้มมีเล่ห์นัย

     

    “มาเถอะ เจ้าพี่นั่งตรงนี้ก่อน เดี๋ยวข้าไปตระเตรียมน้ำให้” นางตัดบท แล้วเดินหนีไป มิวายส่งสายตากรุ่มกริ่มรั้งท้าย

     

    ร่างเพรียวได้ส่วนในเสื้อลูกไม้สีขาวแขนยาว นุ่งผ้าซิ่นระบายยิ้มให้ทีหนึ่ง ก่อนหันไปสนใจมาลัยตรงหน้า มือเรียวบรรจงร้อยดอกรักใส่เข็มเหล็กยาว ดันลงจนติดฐานใบตองพับทบเป็นรูปสี่เหลี่ยม

     

    “ไม่ไหวจริงๆ น้องบุหงาชอบเป็นเช่นนี้อยู่เรื่อย” นางเอ่ยทำลายความเงียบ “ขอโทษด้วย หากนางทำให้ท่านลำบากใจ”

     

    หลวงนันทิพัฒน์โคลงศีรษะ แม้จะหนักใจอยู่บ้าง หากก็เป็นหน้าที่ “พี่ก็ต้องขอบคุณน้องหญิง ที่มิถือโทษโกรธการกระทำของพี่”

     

     

    “จะให้ทำอย่างไรได้ล่ะเจ้าคะ ในเมื่อมันเป็นเหตุสุดวิสัย” นางกล่าวยิ้มๆ

     

    หวนนึกถึงเหตุการณ์ค่อนข้างสะเทือนใจทั้งสองฝ่ายในอดีต ก่อนที่บิดามารดาของท่านจะย้ายไปปลูกเรือนใหม่ที่ชานเมืองเงียบสงบ ทั้งสองได้จัดพิธีหมั้นหมายแบบคลุมถุงชนระหว่างท่าน และหญิงสาวสืบเชื้อสายขุนนางเก่าคนหนึ่ง ซึ่งทราบภายหลังว่าหญิงผู้นั้นคือ คุณหญิงสร้อยฟ้า เพื่อนสาวของน้องบุหงา โดยให้เหตุผลว่านางเหมาะสมกับตำแหน่งสะใภ้ของบ้าน

     

    จู่ๆ ก็ถูกหมั้นหมายโดยภาระการ ทั้งที่มิเคยรู้จักมักจี้กันมาก่อน จึงไม่แปลกที่ก่อให้เกิดความเคืองขุ่นในใจของผู้ถูกหมั้นหมายทั้งสองฝ่าย หากมิอาจโทษใครได้ เมื่อผู้ใหญ่สองฟากฝั่งต่างก็ยินยอมพร้อมใจกันเห็นดีเห็นงามด้วย

     

    “อย่างไรพี่ก็ต้องขอโทษแทนผู้ใหญ่ด้วย หากมิใช่เพราะผู้ใหญ่ฝั่งพี่เรื่องนี้คงมิเกิดขึ้น”

     

    “มิเป็นไรเจ้าค่ะ น้องหญิงเข้าใจเหตุผลของท่านพี่ดี” นางระบายยิ้มอ่อน เป็นเวลาเดียวกับที่น้องบุหงากลับมาพร้อมแก้วน้ำสองใบ

     

    “น้ำเย็นๆ เชิญดื่มเจ้าค่ะ” นางส่งแก้วน้ำให้พี่ชายและว่าที่พี่สะใภ้ดื่ม

     

    “ขอบใจจ๊ะ” คุณหญิงสร้อยฟ้าจิบน้ำที่เย็นตามสภาพอากาศจนชื่นใจ ก่อนวางแก้วลง

     

    “เป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ”

     

    “สดชื่นดีจ๊ะ” นางระบายยิ้มตอบ และหันไปให้ความสนใจกับมาลัยร้อย

     

    “แล้วเจ้าพี่นันทิพัฒน์ล่ะเจ้าคะ” หญิงสาวคะยั้นคะยอ หากมิได้รับคำตอบใดๆ นางรู้ว่าตนจุ้นจ้านเกินไปจึงเปลี่ยนหัวข้อ “เอ่อ แล้ว... วันนี้เจ้าพี่มีงานราชการอื่นหรือไม่เจ้าคะ น้องว่าเราเจ้าพี่น่าจะอยู่ทานข้าวด้วยกันเสียหน่อย นี่ก็เที่ยงวันแล้ว ว่าอย่างไรเจ้าคะ?”

     

    “ขอโทษด้วย พี่มีธุระต้องจัดการ” หลวงนันทิพัฒน์ระบายลมหายใจ ยิ้มขอโทษ

     

    “แค่วันนี้วันเดียวก็มิได้หรือเจ้าคะ”

     

    “ไม่ได้จริงๆ นี่เป็นพระบัญชาขององค์ประมุข พี่จำต้องปฏิบัติตาม”

     

    คุณหญิงบุหงามีสีหน้าเสียดาย นางรู้ว่าพี่ชายมีปมใจเรื่องงานหมั้น จึงมิวายถามให้หายข้องใจ “เจ้าพี่มิได้ทำเพราะโกรธน้องนะเจ้าคะ?”

     

    “อืม พี่จะโกรธบุหงาได้อย่างไรล่ะ” ร่างโปร่งระบายยิ้ม “เอาอย่างนี้แล้วกัน ถ้าหากเย็นนี้พี่ว่าง...”

     

    เสียงโหวกเหวกคล้ายเกิดความโกลาหลขนาดย่อม ส่งผลให้ประโยคชะงักลงทันควัน หลวงนันทิพัฒน์มีสีหน้าเคร่งขรึม ท่านลุกจากชานเรือน สวมรอยเท้าหวาย รีบดิ่งตรงไปหาต้นเสียงอย่างรวดเร็วโดยไม่สนเสียงเรียกอย่างตื่นตระหนกของน้องสาว

     

    ไม่ไกลจากเรือนเล็กสระปทุมนัก อีกฟากฝั่งหนึ่งของสวนลั่นทมขาว ร่างสูงตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมทหารอารักขาดูหงุดหงิดหัวเสียพอสมควร เขาพยายามใช้วาทศิลป์เจรจา ทว่าหนทางหลุดลอดก็ริบหรี่นัก

     

    “นี่หาใช่กิจธุระของเจ้าไม่ หลีกทางให้ข้า”

     

    “คงมิได้พะย่ะค่ะ นี่เป็นคำสั่งของหลวงนันทิพัฒน์ หากท่านคิดหนี ให้ลงมือจับตัวไว้ได้ในทันที” ทหารคนหนึ่งย้ำคำ สีหน้ารัชทายาทหนุ่มเคร่งเครียดพอสมควร ทั้งสองฝ่ายยืนคุมเชิง ไม่มีใครยอมใครง่ายๆ

     

    “เป็นท่านอีกแล้วหรือ ท่านเขมินท์” น้ำเสียงเรียบคุ้นเคยน่าหมั่นไส้ ร่างโปร่งเดินแทรกตัวเข้ามากลางวงล้อม ผ่อนลมหายใจเหนื่อยหน่าย “เมื่อไหร่ท่านจึงจะยอมทำตัวว่าง่ายเสียที”

     

    “นั่นก็ต่อเมื่อเจ้าเลิกยื่นมือสอดเข้ามายุ่งกับชีวิตข้า”

     

    “ข้าหาได้ยุ่มย่ามกับชีวิตท่านไม่ หากนี่มิใช่คำสั่งของบิดาท่าน” หลวงนันทิพัฒน์ตอบเรียบ

     

    “จะบิดาข้าหรือใคร ก็มิใช่เจ้าชีวิตข้า!” ร่างสูงตะคอก ระเบิดโทสะใส่

     

    ร่างโปร่งผ่อนลมหายใจเมื่อไม่มีทางเลือกอื่น “ถ้าเช่นนั้น ข้าเองก็คงมิมีทางเลือกเช่นกัน ทหาร นำตัวเขาไปไว้ที่เรือนเล็กเสีย สักครู่ข้าจะตามไป” ท่านออกคำสั่งเด็ดขาด มิวายกำชับให้เพิ่มกำลังอารักษา

     

    เขมินท์มองร่างที่เดินสวนตนไปราวกับมิแยแสในโชคชะตา ดวงตาคมเข็มเป็นประกายก้าวร้าว “ข้ามิใช่นักโทษ ปล่อยข้า!

     

    “ถ้าเช่นนั้น ถือเสียว่า ข้าขอความร่วมมือจากท่านก็แล้วกัน” ร่างโปร่งทิ้งท้าย ความกรุ่นโกรธไว้ให้คนเบื้องหลัง เขมินท์โกรธจนตัวสั่น หากไม่ติดทหารอารักขา ชายหนุ่มคนถลาเข้าไปซัดอีกฝ่ายยับเยิน

     

    หากด้วยกำลังของเหล่าทหาร ไม่ช้าองค์รัชทายาทหนุ่มก็ถูกนำตัวไปยังเรือนเล็กสระปทุมท่ามกลางสายตาแตกตื่นของคนภายใน ซึ่งหนึ่งในนั้นคือหญิงสาวร่างระหง ว่าที่นายหญิงคนใหม่ของที่แห่งนี้

     

    “พี่สร้อยฟ้า มองอะไรอยู่หรือเจ้าคะ?” บุหงาชะโงกหน้าจากหน้าต่าง มองว่าที่พี่สะใภ้ผู้นิ่งงัน มือเรียวจับราวระเบียงไว้แน่น

     

    “อ้อ เปล่าจ๊ะ เมื่อสักครู่พี่เห็นว่าเกิดโกลาหลภายในจึงออกมาดู เพื่อว่ามีอันใดมิปกติ” นางตอบด้วยน้ำเสียงนุ่มหวาน “น้องบุหงามีอะไรหรือจ๊ะ?”

     

    “มิมีอันใดเจ้าค่ะ น้องเพียงแค่สงสัย” บุหงายิ้มรับ นางเห็นหญิงสาวจ้องมองอยู่นานจึงนึกเป็นห่วง

     

    “ถ้าอย่างนั้น น้องบุหงารู้หรือเปล่าจ๊ะ ว่าพวกเขากำลังจะไปที่ใด”

     

    “เอ่อ... คงเป็นห้องทำงานของเจ้าพี่กระมั่งคะ มีอะไรหรือเจ้าคะ” บุหงาถามด้วยความสงสัย เพื่อว่านางสามารถช่วยอะไรเพิ่มเติมได้

     

    “มิมีอันใดหรอก” คุณหญิงสร้อยฟ้าระบายยิ้มอ่อนเป็นนิจ “พี่ว่าจะไปดูสักหน่อย”

     

    “มิได้นะเจ้าคะ มันอันตรายมากเจ้าค่ะ” บุหงาคว้าแขนผู้เป็นทั้งพี่และเพื่อนสาว ที่ตั้งท่าจะสวมรองเท้าติดตามไป “พี่สร้อยฟ้า!

     

    “มิต้องห่วงพี่หรอก น้องบุหงา พี่ดูแลตัวเองได้จ๊ะ”

     

    “ถ้าอย่างนั้น บุหงาขอตามไปด้วยได้ไหมเจ้าคะ” นางถาม อย่างน้อยนางก็เป็นถึงน้องสาวของคุณหลวงนันทิพัฒน์ ทหารพวกนั้นย่อมต้องดูแลนางเป็นอย่างดี

     

    “จ๊ะ ถ้าน้องบุหงาอยากไป” บุหงาเผยอรอยยิ้มเบาบาง นางอาสานำทางคุณหญิงสร้อยฟ้าไปยังห้องทำงานพี่ชาย ซึ่งตั้งอยู่ส่วนหลังๆ ของตัวเรือน สามารถมองเห็นสระปทุมได้ชัดเจน มิวายเตือนหญิงสาวให้ระวังตัว ทั้งสองตัดสินใจแอบซุ่มมองอยู่ใกล้ๆ เพื่อมิให้ตกเป็นจุดเด่น เนื่องจากรอบนอกเต็มไปด้วยทหารอารักขา คุณหญิงบุหงาเลือกพื้นที่จุดที่สามารถมองเห็นภายในผ่านวงกบหน้าต่างอย่างชัดเจน ก่อนถามไขความฉงน

     

    “พี่สร้อยฟ้ามาอยากมาที่นี่ทำไมหรือเจ้าคะ?”

     

    ทว่าคราวนี้ไม่มีคำตอบจากหญิงสาว ดวงตาของนางถูกสะกดด้วยร่างสูงแข็งแกร่งสมสัดส่วน ชายหนุ่มอยู่ในชุดราชการสีขาวสะอาด ทำจากผ้าฝ้ายเนื้อ สวมโจงกระเบนปักลิ้นทอง เค้าโครงใบหน้าหล่อเหลาคมคายแม้บึ้งตึง หากงดงามกว่าเทพบุตรแดนสรวง หัวใจดวงน้อยของนางเต้นระรัว ความสง่า และมีอำนาจทำให้นางไม่อาจถอนสายตาจากเขาได้เลย

     

    คุณหญิงสร้อยฟ้าขยับกายเข้าไปใกล้ราวกับต้องมนตร์สะกด บุหงาตกใจ รีบรั้งนางกลับมาทันควัน หญิงสาวจึงได้สติ

     

    “พี่สร้อยฟ้า จะทำอะไรเจ้าคะ” น้องบุหงาร้องอย่างตระหนก สร้อยฟ้ามองนาง กล่าวขอโทษเบาๆ เพียงเสี้ยววินาทีที่ได้เห็นองค์รัชทายาทหนุ่มผู้เลื่องชื่อในความหล่อเหลากว่าชายใด นางรู้ตัวทันทีว่า นางได้ตกหลุมรักชายผู้นี้เข้าเต็มเปาเสียแล้ว...

     

    ความรักใคร่เสน่หาทลายปราการที่เป็นดั่งหน้ากากของนางจนสิ้น เผยให้เห็นตัวตนอีกนัยหนึ่งที่นางมันเก็บซ่อนมันไว้อย่างมิดชิด ตัวตนที่เป็นนาง และมิเคยแปรเปลี่ยนแม้กาลเวลาผ่านพ้นไปเท่าใด

     

    ความอิจฉา ริษยา อยากครอบครอง... ชายผู้นี้จะต้องเป็นของนาง และจะไม่ผู้ใดได้เขาไปนอกจากนางเท่านั้น!

     







    มาอัพแว้วเจ้าค่ะ มาพร้อมเปิดตัวตัวละครใหม่ บางคนเดาถูกแล้วว่าตัวละครตัวไหนเป็นตัวละครตัวไหน อิงเอาจากหลวงนันทิพัฒน์เป็นตัวตั้งเจ้าค่ะ ความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครจะค่อนข้างคล้ายคลึงกับภาคปัจจุบัน (อาจมีตัวละครบางตัวที่ยังไม่แกะกล่องภาคปัจจุบัน) ยังไงก็ช่วยติดตามกันต่อไปนะคะ อิอิ :]]

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×