คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #11 : บทที่ 9 ฝนตั้งเค้า
มีอะไรไม่ดีไม่ชอบใจ ติได้ตามสบายนะคะ :]]]
เสียงกรุกกรักคล้ายสิ่งของบางอย่างตกกระทบข้างฝาไม้ เจ้าของดวงตาสีน้ำตาลเชื่อมหวานละจากหน้ากระดาษสมุดในมือ ร่างโปร่งสง่างามในเสื้อคอกลมติดกระดุม สวมกางเกงผ้าสีกากีนอนเอกเขนกบนเตียงสี่เสากระดับผ้าลูกไม้งดงาม เขาขยับพลิกกาย ลุกขึ้นนั่งในท่าหย่อนปลายเท้าแตะพื้น
ร่างโปร่งทรงตัวขึ้นจากเตียง สืบเท้าออกไปดูที่หน้าต่างข้างเรือน ต้นตอของเสียงแปลกประหลาด แต่กลับพบเพียงห่อผ้าสีขาวบริสุทธิ์ตกอย่างข้างเคียง
วังนทีหยิบห่อผ้าขาวขึ้นพิจารณาด้วยความใครรู้ เรียวมือบางบรรจงแกะปมง่ายๆ ออก และพบว่าภายในมีหินขัดหนึ่งชิ้นและกระดาษสีน้ำตาลอ่อนซึ่งเขียนเป็นลายลักษณ์อักษรด้วยปากกาขนนกฝนหมึก แต่งด้วยคำกลอนแปดซึ่งมีเนื้อความว่า
“โอ้โฉมงามศุภางค์ดังดอกฟ้า กว่าเทพาอารักษ์รัศมี
ได้ยลโฉมคนงามสมฤดี คงเปรมปรีดิ์สุขขีสมหทัย
กรุ่นกลิ่นหอมกายเจ้ายังเฝ้าหา กรุ่นเพลาเคียงเจ้าได้เคล้าคลี
อย่าได้คิดหมางเมินเลยคนดี ขอเพียงพี่พบหน้าเจ้าให้ชื่นใจ”
คำกลอนหวานเชื่อม ทำเอาหัวใจคนอ่านพองโต ริมฝีปากรั้นขึ้นเป็นรอยยิ้มงดงามดุจเทพบุตร วังนทีเก็บแผ่นกระดาษ และหินขัดลงในห่อผ้าดังเดิม วางมันไว้บนโต๊ะไม้แกะสลักข้างเตียงโบราณ ก่อนยืดตัวชะโงกหน้ามองหาเจ้าของหอผ้า
เบื้องล่าง ร่างสูงสง่าในเสื้อคอกลมกว้างสีเทา กับกางเกงผ้าธรรมดาส่งกำลังยิ้มให้ คุณชายหนุ่มยกยิ้มกว้าง ส่งสัญญาณมือให้อีกฝ่ายรอสักครู่หนึ่ง ไม่ช้าเชือกผ้าแน่นหนาเส้นหนึ่งถูกโยนพาดขอบหน้าต่าง ตามด้วยร่างโปร่งโรยตัวลงมาตามเส้นเชือกอย่างช่ำชอง ทันทีที่ปลายเท้าสัมผัสผืน องค์เขมินท์นฤเบศในคราบ ‘เขมินท์’ หนุ่มลูกชายเจ้าสัวก็เข้ามาประคับประคอง
“เจ้าไม่น่าเร่งรีบขนาดนั้นเลย” เขมินท์ตักเตือนเพราะเป็นห่วงความปลอดภัย คุณชายหนุ่มโคลงศีรษะเบาๆ ส่งสัญญาณอีกครั้งให้คนใช้สาวเชือกกลับขึ้นเรือน
“ต้องขออภัย ข้าเกรงว่าท่านจะไม่ปลอดภัย”
“อย่าห่วงเลย ข้าได้เตรียมทางหนีทีไร่ไว้เพียบพร้อมแล้ว” เขมินท์กล่าวมาดมั่น ฉุดมือวังนทีเดินเลาะสวนมะลิหลังเรือน เพื่อมุ่งตรงไปยังคูคลองหลังสวน ซึ่งเขาได้สั่งให้บุญช่วย คนรับใช้คนสนิทเทียบเรือเตรียมไว้ก่อนแล้ว ไม่นานพวกเขาก็มาถึงคูน้ำยาวไหลตัดผ่านระหว่างสวนมะลิและป่าโปร่ง ราวกับเป็นรั้วกันเขตเรือนอันกว้างขวาง ไม่ไกลนัก มีเรือไม้ลำหนึ่งจอดเทียบฝั่งอยู่ สีหน้าของผู้พายดูกระวนกระวายเล็กน้อย แต่ก็คลายลงเมื่อพบเห็นผู้เป็นนาย
“ทางนี้ขอรับ ท่านเขมินท์!” ชายวัยกลางคนตะโกนเรียก เขมินท์ส่งวังนทีขึ้นเรือนโคลงเคลงโดยมีลุงบุญช่วยคอยประคับประคอง สีหน้าคุณชายแช่มชื่น แหงนมองท้องฟ้าปลอดโปร่งทอดยาว หาได้คับแคบและอุดอู้อยู่เหมือนภายในห้องไม่
“ข้าชอบท้องฟ้าเหลือเกิน ท่านว่ามันสวยหรือไม่” ร่างโปร่งคล้ายรำพึง เขมินท์ก้าวขึ้นเรือนทรุดนั่งลงไม่ไกล มือหนาสัมผัสมือขาวนุ่มคล้ายปลอบประโลม ตอบรับมั่นคง
“แน่นอน”
แม้ไม่รู้ปูมหลังคนเบื้องหนามากนัก หากเขาก็พอทราบมาเลาๆ ว่าวังนทีผ่านเรื่องราวมากมายตลอดระยะเวลาลี้ภัยสงครามเมืองเกิด รวมถึงการต้องอยู่ในกฎระเบียบเคร่งครัดเพื่อความปลอดภัยของตนเองและครอบครัว
“อย่าเป็นกังวลไปเลย ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวคลายอารมณ์” เขมินท์ปลอบโยน พร้อมทั้งสั่งให้ออกเรือทันใด
เรือไม้ลำน้อยค่อยๆ ลัดเลาะไปตามคูคลองคับแคบด้วยฝีมือการพายช่ำชองของชายวัยกลางคน ใช้เวลาไม่นานก็ออกสู่คลองสายใหญ่ ที่คับคั่งจอแจด้วยเรือค้าขาย อันประกอบด้วยของชำ ของแห้ง ขนมจีนน้ำยา ก๋วยเตี๋ยวเรือและผักผลไม้สด พร้อมเสียงแม่ค้าตะโกนประชันราคาของดังแซดแซ่ฟังไม่ได้ศัพท์
แผ่นหลังเหยียดตรงหันซ้ายแลขวาเป็นพักๆ เขมินท์มองร่างโปร่งเบื้องหน้าอย่างเอ็นดู เพียงแลก็รู้ว่าอีกฝ่ายคงมิได้ออกเที่ยวตลาดนานแล้วจึงดูตื่นเต้นนัก
“ช่วยเทียบสะพานเรือตรงนี้ได้หรือไม่ ข้าอยากซื้อเทียนหอมกลับมือไปฝากมารดาเสียหน่อย” คุณชายหนุ่มไหววาน ลุงบุญช่วยก็รีบหันหัวเรือเทียบฝั่งทันที เพราะคุ้นชินสภาพเหล่านี้เสียแล้ว เขาทำงานรับใช้องค์รัชทายาทมาเป็นเวลานาน สิ่งเหล่านี้จึงกลายเป็นภาพคุ้นชินตา ซึ่งหากแพร่งพรายออกไป ศีรษะคงได้หลุดจากบ่าเป็นแน่
หลังจอดเทียบสะพาน คุณชายหนุ่มลงจากเรือโดยมีเขมินท์ประคับประคองไม่ห่าง องค์รัชทายาทหนุ่มสั่งให้ชายหนุ่มวัยกลางคนกลับไปก่อน ไม่ลืมกำชับว่า อย่าได้แพร่พรายเรื่องนี้ออกไปเป็นอันขาด
วังนทีเดินคล้องแขนร่างสูงไปยังร้านขายเครื่องหอมร้านหนึ่ง ก่อนบรรจงลงมือเลือกสรรเทียนหอมอย่างดี
“เจ้าชอบมันมากหรือ วัง?” เขมินท์ถามหลังเจ้าของชื่อหยิบเทียนหอมจำนวนมาก ส่งให้เจ้าของร้านคิดเงิน
“สองตำลึงเจ้าค่ะ” แม้ค้าสาวกล่าว นางรับเงินจากคุณชายหนุ่ม โค้งขอบคุณอย่างงดงาม
“ขอรับ ข้าชอบกลิ่นของมัน ทำไมหรือ?” ร่างโปร่งถามกลับขณะเดินออกจากร้าน ข้างกายมีองค์รัชทายาทหนุ่มคอยประกบไม่ห่าง
“เห็นเจ้าซื้อไปเยอะแยะมากมาย ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะนำไปใช้คนเดียวหมด”
วังนทียิ้มขบขัน ทำเอาสีหน้าคนเบื้องหลังบึ้งตึง “ข้าหรือจะจุดใช้ผู้เดียว ท่านคิดว่าข้าอยากรมควันตัวเองตายหรือไร”
“ก็ได้ๆ ข้าเข้าใจแล้วว่าเจ้าจะนำไปฝากมารดาด้วย” เขมินท์กระแทกกระทั้นน้อยๆ วังนทีแตะต้นแขนฝ่ายคนทำหน้าน้อยอกน้อยใจเสียเต็มประดา
“ข้าเพียงหยอกเล่นเท่านั้น” ร่างโปร่งแย้มยิ้ม พลางสอดแขนเกี่ยวอีกฝ่ายไว้ สีหน้าเขมินท์บึ้งตึงอย่างเห็นได้ชัด กระทั่งแข้งขาก็ไม่ยอมก้าวตาม “ท่านโกรธที่ข้าหยอกเล่นหรือ” วงคิ้วเลิกขึ้นอย่างห่วงใย
“เปล่า ข้ามิได้เคืองโกรธ” เขมินท์ปฏิเสธ ซ่อนสีหน้าไว้อย่างมิดชิด “หากเจ้าปรารถนาเทียนหอมอีก ข้าสามารถนำจากคุ้มหลวงมากำนัลเจ้าได้ ทั้งกลิ่นทั้งความประณีตล้วนแต่เหนือกว่าสินค้าตามตลาดทั้งสิ้น”
“ข้ามิอยากรบกวนท่าน แค่นี้ก็ลำบากมากพอแล้ว” ร่างโปร่งตอบตามความจริง ดวงตาหวานเชื่อมท่อประกายจริงจังจนคนฟังใจอ่อนยวบยาบ
“เอาอย่างนี้ เพื่อเป็นการไถ่โทษ ข้าจะพาเจ้าไปเที่ยวที่สวยๆ ดีหรือไม่?” เขมินท์เสนอ
“ที่ไหนหรือ?” ไม่ว่าเปล่าร่างสูงฉุดรั้งขอมือบางตามมาด้วย ทั้งสองเดินลัดเลาะตรอกซอกซอย ผ่านร้านค้าริมทางหลายหลาก ยิ่งเดินลึกเข้ามาเท่าไร ฝูงชนก็ยิ่งลดจำนวนน้อยลงเท่านั้น วังนทีเลิกคิ้วสนเท่ เมื่ออีกฝ่ายพาตนลัดเข้ามาในสวนอันห่างไกลผู้คนแห่งหนึ่ง กลิ่นหอมฟุ้งขจรเรียกให้ร่างโปร่งสูดหายใจลึก ก่อนคลี่ยิ้มออกมาด้วยความพึงพอใจ
“พืชพันธุ์พวกนี้เรียกว่าอะไรหรือ?” คุณชายหนุ่มชี้นิ้วไปยังกลุ่มพรรณไม้ที่ขึ้นเรียงกันเป็นแนวยาว ขนาดต้นของพวกมันไม่สูงมากนัก ปลายก้านแต่ละกิ่งประดับด้วยดอกสีขาวสะอาด ส่งกลิ่นต้องจมูกยิ่งนัก
“ลั่นทม เจ้าไม่รู้จักหรือ” แทนคำตอบ ร่างโปร่งพยักหน้ารับ ก่อนสืบเท้าเข้าไปใกล้ หวังเด็ดช่อขจรมาพิศเสียให้เต็มตา ทว่าจู่ๆ อ้อมแขนของคนเบื้องหลังกลับรั้งกายไว้เสียก่อน
“อย่าเลยขอรับ” เขาปราม หากเขมินท์ไม่ลดละความพยายาม
“เจ้าก็รู้ว่าคนอย่างข้าย่อมมิยอมให้อภัยใครง่ายๆ” ไม่ว่าเปล่า ยังโน้มปลายจมูกซุกไซร้ซอกคอด้วยความคะนึงหา วังนทีดิ้นขลุกขลัก แต่ไม่เป็นผล ไม่ช้าเขาก็หยุดดิ้น เลิกให้ความสนใจกับช่อดอกไม้ ก่อนพลิกกายเล็กน้อยเพื่อหันเผชิญหน้ากับเจ้าของอ้อมกอด
“ข้ารู้...” ดวงตาหวานเปี่ยมราคะสบกลับ ยิ่งทำให้ผู้ฟังรู้สึกโหยหาจนแทบจะกลืนกินทั้งกายา “เช่นนั้น ต้องอย่างไรเล่า ท่านจึงจะพอใจ”
รอยยิ้มกรุ่มกริ่มปรากฏขึ้นตรงมุมปาก เขมินท์เชื่อว่าร่างโปร่งคนรู้ความนัยไม่ต่างกัน ริมฝีปากได้รูปบรรจงจูบบนหน้าผาก ก่อนเลื่อนไล้มาตามซอกคอ ชายหนุ่มดันร่างวังนทีหลบเข้าไปยังสวนด้านใน มือหนาปลดอาภรณ์ออก ครั้นแล้วจึงเลื่อนริมฝีปากลงจุมพิตซอกอกขาวเนียน เฟ้นสัมผัสตามเรือนร่างเปล่าเปลือยอย่างโหยหา ปล่อยตัณหาครอบคลุมสติสัมปชัญญะจนหมดสิ้น ให้ทุกสรรพสิ่งดำเนินไปตามความต้องการของแต่ละฝ่ายเหมือนทุกครั้งที่แล้วมา
แตรสังข์หวีดร้องแข่งขันกับลมกรรโชกอื้ออึง สนใหญ่สูงชะรูดโอนเอนไหวตามแรงลม เสียดสีจนเกิดเสียงครืดคราดน่ากลัว ใต้เงารัตติกาล คบเพลิงและตะเกียงเจ้าพายุถูกจุดขึ้นอย่างเร่งร้อนดุจฝูงหิ่งห้อยเรืองแสง เมื่อได้รับรายงานจากทหารเฝ้ายามเกี่ยวกับผู้บุกรุกยามวิกาล เสียงอึกทึกคึกโครมราวกับจารจลขนาดย่อมเยา เหล่าทหารเร่งคว้าอาวุธออกติดตามผู้บุกรุกชุลมุน ฝีเท้าหนักแน่นดังเป็นระลอก พร้อมเสียงสนทนาแซดแซ่ที่พยายามประสานงานกันอย่างเต็มที่
อีกฟากฝั่งหนึ่ง ใกล้กับแนวแมกไม้ของอุทยานหลวง ร่างสูงย่างเท้าขึ้นสู่ชานเรือนอย่างเงียบเฉียบ ดวงตาสีนิลคู่คมกริบกวาดสังเกต นึกแปลกใจที่ด้านบนไร้ผู้คนประดุจเรือนร้าง กระทั่งคนรับใช้ส่วนตัว หรือข้าราชบริพารก็หายหน้าหายตากันไปหมด มีเพียงคบไฟที่ยังคงสร้างความสว่างไสวแก่ผู้เยือนตามปกติ
เขมินท์นฤเบศหยุดฝีเท้าลงหน้าระเบียงทางเดิน ดวงตาจับจ้องยังดวงไฟสว่างไสวท่ามกลางความมืดคล้ายฝูงหิ่งห้อยขนาดใหญ่ ขณะที่ดวงหน้าคมฉายแววเหนื่อยหน่าย ด้วยไม่นึกว่าการลอบเข้าทางประตูใหญ่จะเกิดอึกทึกคึกโครมแปรเป็นจารจลขนาดย่อมเช่นนี้
ทันใดนั้น แสงตะเกียงเรืองรองสว่างวาบขึ้นจากด้านหลัง ร่างสูงผ่อนลมหายใจเหนื่อยอ่อน คาดว่าเบื้องหลังคนเป็นทหารตรวจการสักสองสามคน ที่มาสืบดูลาดเลา ทว่าครั้นหมุนตัว กลับพบใบหน้าของผู้ที่ไม่คิดว่าจะได้เจอะเจอในค่ำคืนแสนชุลมุน
“ตกใจหรือ ที่เป็นข้า?” รอยยิ้มเย็นยะเยือกจุดขึ้นตรงมุมปาก เขมินท์หวาดหวั่นเล็กน้อย รู้สึกเหมือนมีชนักติดหลัง เพราะตนเพิ่งเบี้ยวนัดอีกฝ่ายเมื่อกลางบ่ายสดๆ ร้อนๆ
“เจ้ามีอะไรจึงได้ท่อสังขารมาหาข้ายามวิกาลเช่นนี้” เขาถามกลบเกลื่อนความผิด
“ลืมแล้วหรือว่าท่านเบี้ยวนัดข้า?”
“นัด?” รัชทายาทหนุ่มทวนคำ เลิกคิ้วสูง “แล้วอย่างไรเล่า ข้าก็มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะไปหรือไม่เช่นกัน”
“เช่นนั้นข้าก็มีสิทธิ์บังคับท่าน เมื่อนี่เป็นบัญชาขององค์ประมุข” คุณหลวงหนุ่มย้อน เขมินท์มีท่าทีฮึดฮัดไม่พอใจอย่างชัดเจน อย่างไรเสีย คุณหลวงนันทิพัฒน์ก็ผ่านอะไรๆ มามากกว่าตน จึงไม่แปลกที่เรื่องชั้นเชิง ชายหนุ่มจะตกเป็นรอง
“ช่วงกลางบ่ายท่านไปเที่ยวเตร็ดเตร่ที่ใดมา?”
“ทำไมเล่า? เจ้าจะนำไปรายงานท่านพ่อหรืออย่างไร ข้าหาใช่เด็ก ข้ามีสิทธิ์ที่จะพูดหรือไม่ก็ได้” เขมินท์ตอบเลี่ยง ทำไมจึงเขาต้องตอบคำถามที่รั้งแต่จะมีผลเสียต่อตนด้วยเล่า?
“ข้าเพียงต้องการรู้ว่าท่านมีจุดประสงค์อันใด และใช่ ‘คุณชายวังนที’ หรือไม่ ที่ท่านไปหา” ท่านถาม ไม่อ้อมค้อม
ทันทีที่ชื่อๆ นั้นหลุดออกจากปาก ชายหนุ่มก็แทบกระร่างอีกฝ่ายมาขยำคอเสีย เผื่อสามารถลดทอนความชอบสาระแน ชอบจุ้นจ้านไม่เข้าเรื่องได้บ้าง
“ข้าจะทำอะไรมันเรื่องของข้า หาใช่กิจธุระของเจ้าไม่!” เขมินท์ตวาด มิต้องเดาก็รู้ว่าอีกฝ่ายซ่อนใครบางคนไว้เบื้องหลัง
หลวงนันทิพัฒน์ยิ้มเยาะ ดูเหมือนตนจะโยนหินเข้าเป้าจังๆ “ข้ายังมิทันสรุปเลยว่าเป็นเขา ท่านเองต่างหากที่ตีตนไปก่อนไข้”
“เจ้า!” ร่างสูงตวาด โกรธนักที่อีกฝ่ายเล่นแง่ใส่ตน “เป็นคนที่ท่านพ่อไว้ใจ อย่าคิดว่าเจ้าจะทำอะไรได้ทุกอย่าง”
คุณหลวงหนุ่มไหวไหล่เบาๆ ไม่ใส่ใจคำถากถางเหล่านั้นเท่าไหร่ ฝ่ายเขมินท์บฤเบศโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยง เร่งสาวเท้าจากออกไปคล้ายมิอยากสัมมนาต่อด้วยสักวินาทีเดียว หากด้วยทิฐิมานะแข็งกร้าว มิวายทิ้งประโยคท้าทายไว้เบื้องหลัง
“อย่าคิดว่าเจ้าก้าวก่ายชีวิตข้าได้ เราจะได้เห็นดีกัน!”
พ้นร่างสูงแกร่งขององค์รัชทายาท คุณหลวงผ่อนลมหายใจแรง สมแล้วที่ได้ฉายาว่า สิงห์พยศ ยากนักหากจะใช้ไม้อ้อนกำหลาบโดยง่าย นิ้วเรียวไล้ริมฝีปากครุ่นคิดที่มักทำเสมอยามปกติ ใช่ว่าท่านมิทราบเรื่องความสัมพันธ์ลึกซึ้งระหว่างองค์รัชทายาทและคุณชายลี้ภัยจากต่างแคว้น หลายสัปดาห์แล้วที่สั่งให้คนตามสืบเรื่องทั้งสอง ทว่าจากคำบอกเล่าจากองค์ประมุข รวมถึงข้อมูลล่าสุดในวันนี้ อะไรบางอย่างทำให้ท่านต้องเปลี่ยนความคิดทั้งหมดทั้งมวล
หากมิอยากให้ไฟลามทุ่ง ก็จงตัดเสียแต่ต้นลม มิเช่นนั้น จะเป็นปัญหาแก่ตนในภายภาคหน้า
“ไกรพักอยู่ที่ไหนรึ?” ร่างโปร่งเปรยถามสาวใช้ประจำเรือน ที่บังเอิญเดินสวนทางระหว่างลงบันได
“ขุนไกรหรือเจ้าคะ เรือนใหญ่เจ้าค่ะ ต้องการให้บ่าวนำทางไหมเจ้าคะ?” นางทำท่าวางถาดเครื่องหอมที่ตั้งใจนำไปสับเปลี่ยนกับของเก่าในห้องรัชทายาทหนุ่ม หากคุณหลวงส่ายหน้าปฏิเสธ
“อย่าเลย ลำบากเจ้าเปล่าๆ ขอบใจมาก” ท่านตัดบท สืบเท้าลงจากเรือน
การเดินเท้ามายังเรือนพักใหญ่ใช้เวลาพอสมควร เนื่องจากเรือนพักส่วนตัวขององค์เขมินท์นฤเบศตั้งอยู่กลางอุทยาน ค่อนข้างห่างไกลจากคุ้มหลวงและเรือนรับรองใหญ่ซึ่งเป็นที่พักของข้าราชการชั้นสูง หรือผู้มาเยือนที่มีกิจธุระด่วน ซึ่งหลังสอบถามคนใช้รอบๆ ไม่ช้าก็มาถึงห้องพักคนสนิท
เสียงเคาะประตูแผ่วๆ เรียกสติชายผู้กร่ำงานหนักขึ้นจากหน้าเอกสาร ร่างสูงวางปึกกระดาษลง ปิดโคมไฟตั้งโต๊ะ ก่อนลุกขึ้นเดินไปเปิดประตูต้อนรับแขกตามปกติ
“อ้าว ท่านหลวงเองหรือ?” ร่างสูงในเสื้อคอกลมติดกระดุม กางกางขาสั้น ถอยหลังก้าวหนึ่งเพื่อหลีกทางให้ผู้มาเยือนเข้ามาด้านใน ก่อนเชื้อเชิญให้นั่งบนเก้าอี้หวายรับแขก “ดื่มอะไรหน่อยมั้ยขอรับ”
ร่างโปร่งโบกมือ “อย่ามากพิธีเลย อย่างไรเสีย คืนนี้ข้าก็ต้องอาศัยห้องเจ้าพักอยู่ดี พรุ่งนี้จึงค่อยกลับพร้อมๆ กัน”
“ขอรับ” ขุนไกรขานรับสั้นๆ
“แล้วเรื่ององค์รัชทายาทเขมินท์นฤเบศ มีข่าวคราวอะไรเพิ่มอีกหรือไม่”
“มีแค่เพียงเท่าที่ท่านทราบขอรับ จะให้กระผมถอนคนกลับหรือไม่”
หลวงนันทิพัฒน์ส่ายหน้าเบาๆ “ติดตามต่อไป เพียงแต่ข้ามีเรื่องอยากไหว้วานเจ้าเพิ่มเสียหน่อย”
“เรื่องอะไรหรือขอรับ?” ขุนไกรถามเสียงงุนงง น้อยครั้งที่คุณหลวงจะไหว้วานตนให้กระทำการใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การก้าวย่างสิทธิส่วนบุคคลของผู้อื่น
“เรื่องนี้ข้าอยากให้เจ้าจัดการด้วยตนเอง รับปากข้าได้หรือไม่?” ดวงตาคู่ยากจะอ่านออกส่อประกายความหวังล้ำลึกเสียจนคู่สนทนาปฏิเสธไม่ลง
“ขอรับ ไม่ว่าเรื่องอะไรข้าพร้อมรับใช้ท่านเสมอ”
รอยยิ้มอุ่นละมุ่น ผิดกับท่าทีเย็นชาสุขุมที่มักแสดงออกเป็นนิจเรียกความอิ่มเอมในใจขุนไกร จนเผลอยิ้มตามอย่างเสียไม่ได้ ท่านเอนหลังพิงพนักเก้าอี้ นิ้วเรียวยาวไล้ผ่านริมฝีปากซ้ำ สักครู่ใหญ่ๆ จึงพูดขึ้น
“ข้าอยากให้เจ้าจัดการ คุณชายวังนทีเสีย” คำสั่งนั้นสร้างความตกตะลึงแก่ผู้ฟังเป็นอย่างยิ่ง ขุนไกรยืดตัวตรง แทบไม่เชื่อหูว่าอีกฝ่ายเอ่ยถ้อยคำใดออกมา โดยปกติ คุณหลวงนันทิพัฒน์มิใช่คนชอบก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวผู้อื่นแม้แต่น้อย ไยคราวนี้จึงสอดมือเข้าไปยุ่มย่ามบ่อยครั้งนัก
“นี่เป็นคำขององค์ประมุข ข้าจำต้องปฏิบัติตามพระบัญชา มิอาจปฏิเสธได้” คุณหลวงย้ำ คล้ายล่วงรู้ถึงห้วงความคิดอีกฝ่าย “ผู้ใดที่ขัดขวางพระบัญชา ย่อมต้องกำจัดเสีย จะได้ไม่แว้งกัดในภายภาคหน้า”
“ถ้าเช่นนั้น...” ชายหนุ่มผ่อนลมหายใจหนักอึ้ง เรื่องนี้มิใช่เรื่องเล็กๆ เลย “ท่านต้องการให้ข้าจัดการเขาอย่างไร กำจัดทิ้งหรือ เราไม่อาจทำอย่างนั้นได้โดยมิมีผู้ใดสงสัย”
“มิใช่” ท่านส่ายหน้า “แค่กันเขาออกจากท่านเขมินท์ก็พอ เจ้าช่วยข้าได้หรือไม่...?”
“ขอรับ” แม้ลังเล แต่ชายหนุ่มก็ขานรับอย่างหนักใจ
ริมฝีปากบางเผยอขึ้นเล็กน้อย คล้ายจะยิ้ม แต่ไม่ยิ้ม มือเรียวได้รูปสัมผัสหลังมืออุ่นหนา ที่วางทาบบนโต๊ะคล้ายอ่อนล้า ดวงตาคู่ที่มักเย็นชา บัดนี้โอนอ่อนกว่าครั้งใด
“ขอโทษ ถ้าหากข้าทำให้เจ้าลำบากใจ” ร่างสูงคล้ายถูกตรึงสะกดด้วยประกายอ่อนโยนในแววตาคู่นั้น ความเหนื่อยอ่อนพลันถูกทลายลงราวกับได้ยาชูกำลัง ชายหนุ่มรู้ทันที ว่าคนตรงหน้าคือเจ้าชีวิตอย่างแท้จริง คือคนที่เขาสามารถยอมตายเพื่อรักษาชีวิตฝ่ายนั้นได้
จวบจนร่างโปร่งลุกจากเก้าอี้ ขุนไกรจึงหลุดจากห้วงคะนึง ดวงตาคมมองตามแผ่นหลังโปร่งบางหยุดลงตรงหน้าต่าง ซึ่งมีมุ้งลวดตาถี่กั้น ไถ่ถามเจ้าของห้องเสียงแผ่ว “ข้าเปิดมันได้หรือไม่”
ขุนไกรพยักหน้า สัมผัสอุ่นซ่านยังมิเจือจางจากหลังมือ
ผืนฟ้าค่ำคืนนี้ไร้ซึ่งหมู่ดวงดาราอย่างเคย ศศิธรเร้นกายใต้กลีบเมฆเทาหม่น เผยให้เห็นเพียงแสงหม่นหมอง ชวนให้ผู้มองตรอมตรมหทัย เจ้าของดวงตาสงบนิ่งทอดมองทิวทัศน์ดำทะมึนของแมกไม้ คบเพลิงดับมอด ประกายแสงช่างริบหรี่ เหล่าทหารยามต่างก็ทยอยกลับที่พักของตน ฉับพลัน ไกลสุดสายตา ปรากฏแสงเงินยวงแตกเป็นสายยิบย่อยดุจรากไม้สว่างวาบกลางท้องฟ้า
“อีกไม่นาน พายุคงเข้า” ท่านรำพึง
หรือแท้จริงคือพายุในใจที่กำลังก่อตัวขึ้นอย่างเงียบงัน...
---------------------
เมลล่าแอบเชียร์หนูวัง 555+ มาถึงตรงนี้ทุกคนพอเดาตัวละครเชื่อมภาคอดีตกับปัจจุบันออกบ้างหรือยังน้า
ขอบคุณที่อุตส่าห์ติดตามนะค้า :]]
ความคิดเห็น