คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #10 : บทที่ 8 กลเสน่หา (วิธวินท์ * การัณ)
เอ่อ talking ก่อนสักนิดนะคะ ต้องขอบคุณพี่ๆ ที่ช่วยให้คำแนะนำนิยายของเมลล่านะคะ ว่ามันดีหรือแย่อย่างไร โดยเฉพาะอย่างยิ่งคุณ Maya_Princess ที่กล่าวว่า เนื้อเรื่องของเรื่องนี้ยังไม่ไหลลื่นเท่าที่ควร เมลล่าจะนำไปปรับใช้นะคะ เนื่องจากช่วงนั้นเมลล่ารีบมาก จึงทำให้ตัดอารมณ์ของหลายๆ ฉากทิ้งไป อาจทำให้เนื้อหาไม่ดี หรือตรรกะแย่สักนิด แต่ก็ขอขอบคุณที่ยังอุตส่าห์ติดตามมาจนถึงตอนล่าสุดนะคะ เมลล่าเชื่อว่า ตอนที่เพิ่งเริ่มเขียนใหม่(ไม่ได้ทำการรีไรท์) น่าจะไหลลื่นกว่าตอนที่ผ่านมา (ซึ่งยังไม่ใช่ตอนที่นำมาลงล่าสุดหรือตอนนี้) ยังไงก็ต้องขอขอบคุณมากๆ เมลล่าจะพยายามเขียนให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปนะคะ
ส่วนเรื่องการรีไรท์ตอนเก่า..(อีกแล้วว) อาจต้องรอจนกว่าจะเข็นเรื่องนี้ให้ได้พอสมควร หรือจบแล้ว จึงจะรีไรท์ใหม่อีกครั้ง (ทั้งหมด) สุดท้ายนี้ ขอบคุณที่ยังอุตส่าห์ติดตามแม้ว่านิยายของเมลล่าจะแย่ และไม่ดีเหมือนพี่ๆ นักเขียนคนอื่น ยังไงก็ช่วยติกันต่อๆ ไปนะคะ จะได้นำไปแก้ให้ดีขึ้น ขอบพระคุณมากค่า
.
.
.
.
.
...ในที่สุดกรกฏก็พาร่างปวกเปียกของตนกลับสู่ห้องพักสำเร็จ เขาทิ้งตัวบนเตียงอย่างแรง ปล่อยก้อนความรู้สึกแปรเป็นสายน้ำตาไหลเอื่อยฉาบวงแก้มทั้งสองชื้นเปียก ปรากฎรอยด่างดวงบนหมอนอิงสีขาวนวล กรกฏกอดกระชับร่างด้วยมืออันสั่นเทา อีกฝ่ายจะรู้หรือไม่ว่าคำพูดของเขาล้วนเสียดแทงในอกดุจใบมีดคมกรีดซ้ำลงบนแผลเป็นเก่าเช่นกัน
ทำไมจึงอ่อนแอนัก...? ร่างโปร่งรำพึง แต่ไม่มีคำตอบที่ชัดเจน อาจเพราะที่ผ่านมาเอาแต่พึงพิงคนใดคนหนึ่งตลอดมา จนไร้ความกล้าเผชิญหน้ากับปัญหาใด
มือเรียวหยิบรีโมทโทรทัศน์ กดเปิดพอได้ยินเสียงแก้เหงา หลังจัดการอารมณ์เบื้องต้นได้บ้างแล้ว ร่างโปร่งจึงลุกออกเพื่อล้างหน้าขจัดคราบน้ำตาออกเสียให้หมด เขายืนจ้องเงาตนเองในกระจก และพบว่าดูมันบอบช้ำไม่ต่างจากคนอกหักสักนิดเดียว รอยยิ้มขบขำระคนสมเพชปรากฏขึ้น ครู่เดียวก็จางหายไป
เขากลับมาทิ้งตัวนอนหงายบนหมอนอิง ปิดเปลือกตาลงผ่อนคลายความอ่อนล้าในใจ ปล่อยให้สติล่องลอยดุจปุยนุ่นละเอียด แต่แล้วการเคลื่อนไหวของบางสิ่งยวบยาบก็ดึงสติกลับสู่ความจริง
ร่างโปร่งเปิดเปลือกตาอย่างยากลำบาก ก่อนเพ่งมองปลายเท้าซึ่งเป็นต้นกำเนิดของการเคลื่อนไหว ทันใดนั้น เขาใจหายวาบ ในอกโหวงโล่ง หัวใจเต้นรัวกระส่ำราวกับเด้งออกมาจากอก ในขณะที่เม็ดเหงื่อไหลซึมตามไรผมด้วยความตื่นตระหนกสุดขีด
ร่างปริศนาร่างหนึ่งนั่งนิ่ง หันหลังให้อยู่ปลายเตียง ร่างนั้นสวมชุดขาวแขนยาวปิดคอ กลัดกระดุมเม็ดใหญ่ สวมโจงกระเบนสายไทยละเมียดละไม ทว่าบรรยากาศที่แผ่ซ่านกลับหนาวเยือกไปถึงกระดูกสันหลัง...
เขาไม่ได้เปิดประตูหรือหน้าต่างทิ้งไว้ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีใครเข้ามาโดยไม่ผ่านมัน...
กรกฎถดตัวหนี แต่ร่างแข็งทื่อราวกับถูกยึดตรึงด้วยมนตรา เขากรีดร้อง น่าแปลกที่ลำคอแหบแห้งมิมีแม้แต่เสียงเล็ดรอด จวบจนร่างปริศนาหันใบหน้ากลับมา เขาก็แทบสะดุ้ง
“กลัวข้านักรึ?” ใบหน้าคมซีดเต็มไปด้วยเส้นเลือดสีเขียวช้ำ ดวงตาคู่สีเม็ดนิลแข็งกร้าว ชิงชังจนน่ากลัว พร้อมรอยยิ้มแสยะแต่งแต้มบนริมฝีปากม่วงคล้ำ
ร่างนั้นคลานขึ้นมาบนเตียงเนิบนามราวกับภูตปีศาจ ร่างโปร่งพยายามหวีดร้อง หากร่างกายไม่ขยับเขยื้อดุจแมลงเมาบินติดกับใยแมงมุม ดวงตาสีเม็ดนิลเบิกกว้าง เมื่อร่างปริศนาโน้มใบหน้าประชิดเขา ดวงตาคู่นั้นถลึงมองอย่างเคียดแค้น
“ไหนเจ้าว่าจักไม่ลืมข้าอย่างไรเล่า? หรือเจ้าลืมถ้อยคำที่เคยให้สัตย์สาบานไว้เสียแล้ว?” เสียงยืดยานถาม “กาลเวลาทำให้เจ้ากลายเป็นคนกลับกลอกเยี่ยงนี้แล้วรึ...?”
ร่างโปร่งตัวเกร็งแข็ง อยากปฏิเสธเหลือเกิน แต่ลำคอกลับมิเสียงใดๆ เลย
“ตอบคำถามข้าสิ ตอบข้า...” ร่างปริศนาย้ำ แต่เมื่อมิได้รับคำตอบ ดวงตาคู่นั้นปรากฏรอยฉุนเชียวสุดขีด มือหนาเอื้อมมาโอบรัดลำคอ และออกแรงบีบ ท่าทีเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง
“เมื่อก่อนเจ้าคร่ำครวญอาลัยนัก ไฉนตอนนี้จึงมิเอ่ยสิ่งใดสักคำ! เกิดรักชีวิตขึ้นมาแล้วหรือไร!” ร่างปริศนาตวาด มือคู่นั้นเขย่าลำคออย่างแรงจนปวดระบม และหายใจไม่สะดวก น้ำตาใสๆ ไหลรินเปรอะเปื้อนข้างแก้มทั้งสอง ความหวาดกลัวฉายชัดในแววตาคู่สีนิล
ร่างโปร่งส่ายหน้าปฏิเสธ วิงวอนผ่านสายตาของให้ร่างเบื้องบนหยุดเสยที
“ร้องไห้หรือ? ร้องไห้ไปทำไม” หาใช่ปลอบโยนแต่เป็นการข่มขู่ กรกฏดิ้นพล่านเมื่อร่างนั้นโน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ ปรากฏเส้นเลือดเขียวคล้ำปูดโปน ดวงตาเคียดแค้นชิงชังจ้องเขม็งนิ่งสนิทน่าหวาดผวา
“ดะ... ได้โปรด... ยะ อย่า...” จู่ๆ ลำคอหลุดเสียงบางอย่าง หากดูเหมือนยิ่งพูดก็ยิ่งกระตุ้นอารมณ์เคียดแค้นของฝ่ายนั้นขึ้นอีก มือหนาเย็นชืดรัดลำคอแน่น กรกฏสำลักเอาอากาศหายใจหลายครั้ง เขาพยายามดิ้นรน แรงนั้นก็ยิ่งทวีความหนักหน่วงขึ้น
“ข้าจักฆ่าเอ็ง! ข้าจักฆ่าเอ็ง!!” น้ำเสียงเปี่ยมด้วยความเคียดแค้นสุดหัวใจตะคอกซ้ำ
ช่างคลายคลึงกันเหลือเกิน... คล้ายกับฝันเมื่อครั้งเยาว์วัย...
ร่างโปร่งสติพร่าเลือนเต็มที ชั่ววินาทีนั้น เขารู้สึกถึงความอ้างว้าง เปล่าเปลี่ยว และวูบโหวงภายในใจ ราวกับทุกสรรพสิ่งรอบกายคล้ายอุปโลกน์ขึ้นเอง หาได้มีอยู่จริงไม่ จนอยากปล่อยให้ตนเองหลุดลอยไปกับมัน หากภาพสุดท้ายในห้วงคำนึงฉุดรั้งเขาไว้ คือใบหน้าคนสำคัญพร้อมกับเสียงเพรียกชื่อซ้ำๆ ด้วยความตื่นตระหนก...
“ปู! ปู! ตื่นสิ” วิธวินท์เขย่าร่างคนรักที่นอนกระสับกระส่าย หน้าซีดไร้เลือดฝาด ลมหายใจขาดห้วงพักๆ ดุจคนใกล้ตาย เหงื่อออกท่วมกายอย่างน่ากลัว หัวใจร้อนรนราวกับถูกไฟเผา ร่างสูงเป็นกังวลอย่างหนัก ในอกวูบโหวงยามคิดว่าเขาอาจต้องสูญเสียคนรักไป
“ปู... ได้โปรดตื่นเถอะ” วิธวินท์ทิ้งกายลงเตียง มือหนากอบกุมอุ้งมือคนรักไว้แน่น ภาวนาขอให้กรกฎตื่นเสียที ชายหนุ่มไม่อาจทนดูความทุกข์ทรมานของคนรักได้นานนัก เขาตัดสินใจโทรเรียกรถพยาบาล ทว่าทันใดนั้น เสียงครางแผ่วๆ ก็เรียกให้วิธวินท์วางหู
“ปู...” วิธวินท์ประคองใบหน้าซีดเซียวของคนรัก มองดวงตาสีนิลสนิทไหวระริกด้วยความตื่นหลัว มือเรียวสวมกอดคนรักแน่น ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่อายใคร ร่างสูงจึงกอดตอบ ลูบแผ่นหลังโปร่งบางปลอบประโลม
“ไม่เป็นไรนะครับ ไม่เป็นไร”
กรกฏร้องไห้หนักคล้ายกับเพิ่งผ่านเหตุการณ์น่าสะพรึงบางอย่าง สภาพเช่นนี้ทำให้ร่างสูงไม่กล้าคิดเลย ว่าหากขาดซึ่งเขาที่เป็นเสมือนที่พักพึงของใจแล้ว คนตรงหน้าคงไม่ต่างจากแพไม้เก่าๆ ที่ลอยคว้างอยู่กลางคลื่นทะเลเป็นแน่
กรกฎไอโครกๆ และรู้สึกคลื่นเหียน วิธวินท์ประคองคนรักเข้าห้องน้ำ หลังร่างโปร่งโก่งคออาเจียนโดยมีเขาคอยลูบหลังประคบประหงมไม่ห่าง ชายหนุ่มพยุงร่างคนรักกลับมานั่งบนเตียง แตะหน้าผากมน และพบว่ามันร้อนเป็นไฟ เขาจึงลุกออกไปเตรียมน้ำและยามาให้
“ดื่มไหวนะครับ?” ร่างสูงลืมความกรุ่นโกรธไปจนหมดสิ้น เมื่อพบเห็นสภาพสิ้นไร้เรี่ยวแรงของคนรัก กรกฎพยักหน้าเบาๆ
ภายหลังที่เขาออกจากร้านอาหารริมทะเลสาบ ด้วยความเป็นกังวลว้าวุ่นใจ ชายหนุ่มจึงดิ่งตรงกลับมายังห้องพักเรือนปทุมหลวงทันที เขาเคาะประตูหลายครั้ง แต่ไม่ได้ยินเสียงตอบกลับ ทีแรกคิดว่ากรกฎอาจโกรธที่ตนตะคอกใส่ จึงไขกุญแจเข้าไป แต่ภาพที่เห็นกลับเป็นสีหน้าทรมานของคนรัก และร่างที่ดิ้นรนกระเสือกกระสนเอาชีวิตรอดราวกับถูกทำร้าย
ชายหนุ่มรับแก้วน้ำจากคนรัก เมื่ออีกฝ่ายดื่มจนพอใจ หากไม่รอให้กรกฎเรียกร้องใดๆ เขารั้งร่างนั้นเขามาในอ้อมกอด และประทับจุมพิตบนหน้าผากปลอบประโลม ก่อนประคองให้นอนลงอีกครั้ง ตั้งใจหยิบผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวอีกฝ่าย
“อย่าไปไหนได้ไหม...” เสียงแหบพร่าวิงวอน วิธวินท์ลังเล แต่ก็ยิ้มมาดมั่นแทนคำตอบ
“ได้สิครับ ผมจะอยู่กับคุณไม่ไปไหนทั้งนั้น”
ร่างสูงทิ้งตัวลงนั่งบนผืนเตียงขาวนุ่ม สัมผัสกลุ่มผมสีนิลแผ่วเบา ก่อนเลื่อนไปตามกรอบใบหน้า และเกี่ยวเอาเส้นผมที่ปรกหน้าปรกตาทัดหูเสีย วิธวินท์โน้มริมฝีปากประทับจุมพิตแผ่วๆ บนกลีบปากแดงระเรื่อที่ถูกกัดจนช้ำเพราะความหวาดกลัวโดยไม่ล่วงล้ำเกินขอบเขตใดๆ เขาเอนตัวลงนอนเคียงข้าง มือหนาสอดรวบเอวคนรัก ประคับประคองไว้ในอ้อมกอด จวบจนร่างทั้งสองหลับไปพร้อมๆ กัน คำคืนนั้นช่างเงียบสงบและอบอุ่นราวกับฝันไป ทั้งคู่ไม่อาจรู้เลยว่านี่อาจเป็นครั้งสุดท้ายที่พวกเขาจะได้มีความสุขกับอย่างคนรัก เวลาของพวกเขาเริ่มนับถอยหลังแล้ว...
“อรุณสวัสดิ์ครับ” ไม่มีอะไรดีไปกว่าคำทักทายยามเช้า กรกฏดันตัวขึ้นนั่งบนเตียงในท่าหย่อนปลายเท้าแตะพื้น พิษไข้สร่างลงมากจนแทบไม่รู้สึกแล้ว เขายิ้มบางๆ ให้คนรัก
“อรุณสวัสดิ์” กรกฎกล่าว เขามองเสื้อผ้าตัวเองที่ถูกสับเปลี่ยนโดยภาระการ ดูเหมือนวิธวินท์จะคอยดูแลตลอดในช่วงเวลาที่ตัวเองป่วย สลบไสลไม่ได้สติ พลางขอบคุณ
“ขอบคุณที่ช่วยดูแลนะครับ”
“ไม่เป็นไร” ร่างสูงขยี้เรือนผมคนรักเบามือ ก่อนรั้งเอวเข้าสู่อ้อมกอดอีกครั้ง ราวกับโหยหามาเนิ่นนาน “นานแล้วนะครับ ที่เราไม่ได้อยู่ด้วยกันสองต่อสองแบบนี้”
“นั่นสิ...” กรกฏเห็นด้วย
ที่ผ่านมาพวกเขาสองคนต่างมีภาระหน้าที่ที่ต้องรับผิดชอบดูแลต่างกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิธวินท์ ผู้รับภาระหนักกว่าใครอื่น นอกจากโรงแรมโฟริด โรสแล้ว ชายหนุ่มยังต้องคอยดูแลกิจการเครือข่ายแกรนด์ พาราไดซ์ ไหนจะอาการป่วยกระเสาะกระแสะของกรกฏอีก แต่กลับไม่เคยปริปากบ่น
“ขอบคุณนะครับ ที่อุตส่าห์รับผิดชอบแทนผมตั้งมากมาย”
วิธวินท์ส่ายหน้าราวกับเป็นเรื่องธรรมดาสามัญ “ไม่เป็นไรครับ ผมเต็มใจ เพียงแต่ตอนนี้...” เขาเว้นวรรคหายใจ “ผมอยากให้คุณหายโกรธผมก่อน ได้ไหม?”
“ไม่ได้โกรธหรอก... แค่น้อยใจนิดหน่อย” ร่างโปร่งเอียงตัวหนี คางที่วางเกยบนไหล่ “ผมเองก็มีส่วนผิดด้วยเหมือนกัน ที่ออกไปกินข้าวกับคุณพิธิวัฒน์โดยไม่ได้บอกคุณ ส่วนภาพเหตุการณ์พวกนั้น... ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคุณพิธิวัฒน์ต้องการอะไร แต่ผมไม่ได้ตั้งใจให้มันเกิดขึ้น...”
วิธวินท์โคลงศีรษะ สีหน้าเสียใจไม่ต่างกัน “ผมก็ผิดที่ตะคอกใส่คุณ อยู่กับผมนะ ปู... อย่าไปเลย”
ชายหนุ่มอ้อนวอน รู้สึกไม่มั่นคงกับคำพูดตัดพ้อเมื่อคืนวานของคนรัก
กรกฏเผยอยิ้มบางเบา “ผมไม่ไปไหนหรอก” ร่างโปร่งพลิกตัวเผชิญหน้าคนรัก มือเรียวสอดคล้องคออีกฝ่ายไว้ ริมฝีปากทั้งคู่สัมผัสกันแผ่วเบา หากเนิ่นนานคล้ายเก็บตักตวงความหวานความเข้าใจ
“ไม่โกรธนะ?” วิธวินท์ถามซ้ำหลังผละริมฝีปากออก ร่างโปร่งพยักหน้าก่อนขอตัวไปอาบน้ำชำระร่างกาย ฝ่ายนั้นก็ไม่ขัดข้อง ยอมคลายอ้อมกอดแต่โดยดี
หลังอาบน้ำเสร็จ กรกฎเลือกสวมเสื้อเชิ้ตคอปกแขนยาว กางเกงสแล็ค และผูกเนคไทสุภาพ ก่อนก้าวขาจากห้องน้ำท่ามกลางสายตาสงสัยของวิธวินท์ ร่างโปร่งอธิบายถึงเหตุผลที่ว่า ตนต้องการเรียนรู้งานจากผู้บริหารหนุ่ม
“งานแค่นี้ผมสอนคุณได้ ปู...” วิธวินท์อ้อนวอน ดวงตาแสดงความหึงหวงไม่ปิดบัง
“ผมไปไม่นานหรอก วิทย์ รับรองว่าครั้งนี้ไม่ทำให้คุณผิดหวังอีกแน่นอน ผมจะระวังตัว อีกอย่าง... เรื่องสถานการณ์ของทางนี้ คุณพิธิวัฒน์น่าจะรู้ดีที่สุด” กรกฎรับปากมาดมั่น ร่างสูงจึงปฏิเสธไม่ออก
“ระวังตัวหน่อยนะครับ” ร่างโปร่งพยักหน้ารับคำ สาวเท้าจากห้องนอนมุ่งหน้าไปยังห้องนั่งเล่นเพื่อหาอะไรทานรองท้อง แต่แล้วก็ชะงักด้วยความแปลกใจ
“อ้าว กัน? มาทำอะไรที่นี่ครับ?” ร่างโปร่งทักเพื่อนเก่าเพื่อนแก่ที่นั่งนิ่งบนโซฟา การัณเห็นจึงยิ้มทักทายเป็นมิตร
“เอาของมาฝากน่ะ เราจัดไว้ให้แล้ว ลองทานดูไหม รสชาติดีมากเลยล่ะ” ว่าพลางยกแก้วบรรจุน้ำเต้าหูขุ่นขาวจิบ ร่างโปร่งกล่าวขอบคุณ ยกจิบบ้าง เป็นช่วงเวลาเดียวกับที่วิธวินท์โพล่เข้ามาในห้อง
“ปู” วิธวินท์เตือน เกรงว่าการัณจะเล่นตุกติก แต่ไม่ทันกาลเสียแล้ว ร่างโปร่งจิบไปเพียงไม่กี่อึก จู่ๆ แขนขวาที่ใช้ถือแก้วก็รู้สึกหมดแรงไปดื้อๆ ส่งผลแก้วเซรามิคหล่นกระจายแตกละเอียดเต็มพื้น
ไวกว่าความคิด ร่างสูงปรี่เข้าไปกระชากร่างตัวปัญหาจากคนรักอย่างไม่ใยดี ก่อนประคองร่างกรกฏที่ตื่นตระหนก ฝ่ายการัณมีสีหน้าไม่ห่างกัน
“ปู คุณเป็นอะไร!?” ร่างสูงประคองแขนข้างขวาคนรัก กรกฎควบคุมสีหน้า ก่อนปฏิเสธ
“เปล่า... ผมแค่รู้สึกเหนื่อยๆ ขอโทษนะกัน” กรกฏยิ้มแห้งแล้งให้เพื่อนเก่า ใจหนึ่งรู้สึกผิด ส่วนอีกใจกระวนกระวาย
“เป็นอะไรหรือเปล่า?” เพื่อนรักปริปากถาม ทำท่าจะเข้ามาใกล้ แต่ถูกวิธวินท์กันไว้กรายๆ
“ผมไม่เป็นไรหรอก วางใจเถอะ” ร่างโปร่งยิ้มพิมพ์ใจ ทั้งที่ภายในค่อนข้างใจหาย แขนขวาที่จู่ๆ ก็หมดแรงกะทันหันโดยไร้สาเหตุ ไม่สัญญาณที่ดีสำหรับคนป่วยเลย...
ร่างโปร่งลุกขึ้น รีบกล่าวลาคนรักและเพื่อนเก่าแก่พัลวัน เขาไม่อยากให้วิธวินท์รู้ถึงอาการผิดปกตินี้ ทว่าความร้อนรนทำให้ชายหนุ่มจับสังเกตได้ จึงยึดต้นแขนเรียวไว้
“ปู... คุณไม่เป็นอะไรแน่หรือ?” เขาถามย้ำ
“ผมสบายดีครับ อย่าห่วงเลย แค่อุบัติเหตุน่ะ ขอโทษนะครับ ผมฝากที่เหลือหน่อยได้ไหม...?” น้ำเสียงคลายวิงวอนถาม ร่างสูงไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็รับปาก กรกฎจึงออกวิ่งฉิวไปอย่างรวดเร็ว ร่างสูงใจหายวาบ เปิดประตูตั้งท่าจะตามไปรั้งตัวไว้ แต่ถูกมือเรียวหยุดไว้ก่อน
“อย่าไปรั้งเขาไว้เลย”
“คุณต้องการอะไร!” ร่างสูงตะคอกใส่หน้าฉุนเฉียว การัณแค่ไหวไหล่เล็กน้อย
“คุณก็รู้ว่าเราต้องการอะไร จะถามอีกทำไม?”
“คุณทำอะไรปูกันแน่!” วิธวินท์ยึดไหล่มนไว้แน่น ดวงตาคมกริบจ้องทะลุทะลวง
“เราไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น อย่าคิดว่าอะไรๆ จะเป็นฝีมือเราไปหมด” ดวงตาปราดเปลี่ยวฉายแววไม่พอใจคำสบประมาท “หมากของเราวางไว้หมดแล้ว ไม่จำเป็นต้องพึ่งเรื่องบังเอิญพรรคนั้นหรอก”
ร่างโปร่งสะบัดตัวจากพันธนาการ รู้สึกรำคาญสายตาจ้องจับผิดคู่นั้นตงิดๆ จึงเสียดสีกลับ
“เราอยากรู้เหลือเกินว่าคนอย่างกรกฎ มีอะไรดีกว่าเรานัก” พูดลอยๆ คล้ายรำพึง แต่คำตอบกลับหนักแน่น
“อย่างน้อยเขาก็ไม่ร้ายกาจ และที่สำคัญ... เขาไม่ได้ร่านเหมือนคุณ”
“ร่านหรือ?” คำสั้นๆ กระตุกสติให้ขาดผึง การัณเหยียดยิ้มกว้าง “อยากรู้มั้ยล่ะ ว่าเราจะร่านได้สักแค่ไหน?”
สิ้นคำ ร่างโปร่งกระชากคอเสื้อวิธวินท์อย่างแรง มือเรียวสอดคล้องลำคอ โอบรัดไว้จนแน่น หยิบยื่นจูบบดเบียดอย่างเร่าร้อน ร่างสูงดันเขาออกในทีแรก ทว่ารสจูบหวานล้ำแสนเอาแต่ใจดุจเครื่องดื่มมอมเมา ไม่ช้าชายหนุ่มก็ตกเป็นฝ่ายหลงใหล แรงปรารถนาที่ถูกซุกซ่อนไว้เบื้องหลังเริ่มเผยออกทีละน้อย
“ดูเหมือนที่ผ่านมาคุณคงเก็บซ่อนมันไว้อย่างมิดชิดเลยทีเดียว” การัณจงใจใช้น้ำเสียงพร่ากระซิบกระซาบ ขณะบังคับให้ร่างสูงทิ้งตัวบนโซฟาฟ้าด้วยแรงสวาท ตัณหาที่ถูกปลุกปั่นดุจเปลวไฟลามทุ่งที่ค่อยๆ แผดเผาจิตสำนึกความรู้สึกผิดชอบชั่วดี
“ออกไปซะ ผมไม่อยากข้องเกี่ยวกันคุณอีก” วิธวินท์เอ่ยไล่ ทว่าร่างโปร่งทำหูทวนลม ซ้ำยังรุกคืบรุกศอกอย่างไร้ยางอาย
“เอาน่า วิทย์ อย่าเย็นชานักเลย ถ้าคุณลำบากใจนักก็ถือเสียว่าเป็นความสนุกชั่วครั้งชั่วคราวแล้วกัน” ริมฝีปากคลี่ยิ้มหวานล้ำ
“กัน!”
“อะไร? เราอุตส่าห์ยอมให้คุณโดยไม่หวังอะไรตอบแทนแท้ๆ” การัณเบ้ปาก ร่างโปร่งทาบอยู่บนร่างวิธวินท์ และไม่มีท่าทีลุกไปไหน
ร่างสูงหาได้เชื่อคำพูดอีกฝ่ายไม่ เขาย่อมรู้ดีว่าร่างโปร่งซ่อนแผนการร้ายกาจไว้อยู่ ชายหนุ่มมั่นใจว่าคนอย่างการัณไม่มีทางทำอะไรโดยไม่หวังผลตอบแทนในภายหลังอย่างแน่นอน
“คิดว่าผมเชื่อหรือ ไม่โง่ถูกคนหลอกเหมือนเมื่อก่อนแน่ ออกไปซะ”
“ถ้าเราตอบว่าไม่ล่ะ” ดวงหน้าสวยเรียบเฉยอ่านไม่ออก ไม่ว่าเปล่า ริมฝีปากบางทาบทับลงมาอีกครา รสจูบครั้งนี้มีแต่ความหึงหวงและเอาแต่ใจ วิธวินท์หยุดมือที่เลื่อนมาปลดกระดุมเสื้อเขาไว้ด้วยมือตน ก่อนพลิกตัวทำให้ร่างเบื้องบนตกมาอยู่ด้านล่างแทน
“ผมบอกให้หยุด”
“แล้วถ้าเราไม่หยุดล่ะ” วงคิ้วเรียวเลิกท้าทาย ก่อนกระตุกยิ้มกว้าง กระดุมเสื้อเชิ้ตที่ถูกปลดเปลื้องจนหมดเผยให้แผ่นอกแข็งแกร่งเต็มไปด้วยมัดกล้าม มือเรียวลากลงตามแผงอกแกร่ง หยุดลงบริเวณขอบกางเกงยีนอย่างหมิ่นเหม่ โชคดีที่มือแกร่งรั้งมันไว้ได้หวุดหวิด ก่อนจะเลื่อนลงต่ำไปกว่าที่เป็น วิธวินท์ปัดมือการัณออก อีกฝ่ายมีท่าอาการขัดข้องใจอย่างเห็นได้ชัด
“ทำไมคุณถึงได้ดื้อด้านนักนะ วิทย์!?”
ร่างสูงมองคนเบื้องล่างที่เสื้อผ้าหลุดลุ่ยไม่แพ้ตน ก่อนบิดยิ้มสมเพช “เพราะผมไม่ได้รักคุณยังไงล่ะ”
คำพูดดั่งหนามทิ่มยอกกรีดแทงดวงใจเป็นแผล ดวงตาคู่ปราดเปลี่ยวสั่นระริกจนน่าหวาดหวั่น ร่างสูงเห็นแววตาไหวสั่นของอีกฝ่าย ก็ทำอะไรไม่ถูก อย่างไรพวกเขาก็เคยมีสัมพันธ์ลึกซึ้งต่อกันมาก่อน เยื้อใยเหล่านี้หาใช่สิ่งที่ตัดรอนกันได้ด้วยกาลเวลาไม่
“กัน... เอ่อ ผมขอโทษ”
รอยยิ้มเศร้าสร้อยปรากฏขึ้นบนใบหน้า “ให้โอกาสเราสักครั้งได้ไหม วิทย์” ไม่รู้ว่าพูดจริงหรือเพียงหยอกเล่น หากแต่ร่างสูงมีใจเชื่อไปกว่าครึ่ง มือเรียวสอดรัดลำคออีกฝ่าย โอบไว้แน่นคล้ายกับมิยอมให้จากไปไหน เรียวขาตวัดพันร่างสูง ก่อนกลีบปากทาบลงบนริมฝีปากได้รูปของอีกฝ่าย
กลิ่นหอมนุ่มละมุนคล้ายน้ำปรุงโชยสัมผัสขานประสาท ดั่งมีดตัดสติสัมปชัญญะขาดสะบั้นลง ตัณหาราคะเข้าเคลื่อนเข้าแทนที่ กลิ่นปริศนาดับความรู้สึกผิดชอบชั่วดีสิ้น ชายหนุ่มระดมพรหมจูบไปทั่วซอกคอขาวเนียน มือหนาลูบเฟ้นสัมผัสไปทั่วกายเรียกเสียงครางเปี่ยมราคะไม่แพ้กัน ร่างขาวเนียนเผยประจักษ์แก่สายตาเมื่ออาภรณ์ถูกเปลื้องไร้สิ่งใดปิดบัง
วิธวินท์ช้อนสะโพกร่างเปล่าเปลือยแนบชิด ก่อนไล่สัมผัสเฟ้นเรือนกายอย่างคะนึงหา คล้ายหวนระลึกถึงห้วงเวลาแห่งความสุขสมในอดีต ร่างโปร่งสัมผัสได้ถึงบางอย่างอุ่นร้อนชวนวาบวามที่แข็งขืนต่อต้าน ดวงตาปราดเปลี่ยวมองร่างเบื้องบนที่คล้ายเลอะเลือนชั่วขณะด้วยดวงตาเจ้าเล่ห์
สุดท้ายก็ติดกับเขา... หึหึ ไม่นึกว่า ความอ่อนไหวจอมปลอมจะมีผลต่อร่างเบื้องบนขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่าอีกฝ่ายยังมีใจให้อยู่ไม่น้อย
หลังเฟ้นร่างเปล่าเปลือยจนหนำใจ ไม่ช้าเรียวขาก็ถูกแยกออก พร้อมความอุ่นร้อนคุ้นเคยที่สอดแทรกเข้ามาภายในกาย ร่างการัณบิดเร้าเล็กน้อย เพราะห่างหายจากเรื่องเหล่านี้เป็นเวลานาน ร่างโปร่งจิกเล็บบนแผ่นหลังแข็งแกร่งระบายเพื่อความเจ็บปวด ท่ามกลางกลิ่นฟุ้งขจรปริศนา
“เราบอกแล้ว... ไม่ว่ายังไงคุณก็ต้องกลับมาเป็นของเรา” เขายิ้มย่องกับชัยชนะที่ต้องแลกมาด้วยศักดิ์ศรี แต่ก็นับว่าคุ้มหากมันสามารถสร้างความอัปยศให้กับคนสำคัญของอดีตคนรักได้ โดยไม่อาจรู้เลย ...ว่าประวัติศาสตร์กำลังค่อยๆ ซ้ำรอยอย่างเชื่องช้า
ความคิดเห็น