ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    บ่วงแค้นบ่วงเสน่หา [Yaoi]

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 2 เงาปริศนา

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 161
      2
      7 พ.ค. 56

    ซอยแหลกแล้วเจ้าค่า ซอยแหลกแล้วเจ้าค่า เหลืออีกสองตอนเท่านั้น จะได้ลงตอนใหม่แล้ว รออีกนิดนะเจ้าคะ T ^ T

    ทั้งคู่เข้าเช็คอินที่หน้าเคาน์เตอร์โรงแรมในช่วงโพล้เพล้ของเย็นวันเดียวกัน กรกฎทรุดกายนั่งบนเก้าอี้โซฟารับแขก ขณะปล่อยให้คนรักแจ้งชื่อ และจัดการเรื่องต่างๆ ในห้องพักแทนตน เนื่องจากนั่งอยู่ในท่าที่ไม่สะดวกเป็นเวลานาน จึงปวดเมื่อยกล้ามเนื้อเป็นธรรมดา ทว่าแทนที่จะยืน กรกฎกลับเลือกนั่งสบายๆ บนเก้าอี้ เหตุเพราะตนค่อนข้างล้าเกินกว่าจะสิ้นเปลืองพลังงานโดยใช้เหตุ

     

    กำหนดการของพวกเขาสิ้นสุดลงแล้วเสียเมื่อไหร่ ย้อนกลับไปก่อนวันออกเดินทางราวหนึ่งสัปดาห์ วิธวินท์ได้ติดต่อมาแจ้งเรื่องกำหนดการการออกเดินทางกับผู้บริหารหนุ่ม ซึ่งดูแลจัดการเรื่องต่างๆ ในโรงแรมล่วงหน้า ถึงแม้จะกำชับว่าไม่จำเป็นต้องจัดงานเอิกเกริกใหญ่โต กระนั้นก็ยังไม่พ้นนัดทานข้าวแทนสินน้ำใจเล็กๆ เป็นการต้อนรับอย่างอบอุ่น

     

    จากข้อมูลคร่าวๆ ที่เขาได้ยินได้ฟังมา ดูเหมือนผู้บริหารคนนี้ค่อนข้างอายุน้อย ดีไม่ดีคงพอๆ กับตนและคนรัก หากเขาก็ไม่คิดคลางแคลงในความสามารถ เพราะอย่างไรเสีย วิธวินท์เองก็เป็นถึงเจ้าของโรงแรมใหญ่ แถมยังบริหารโครงสร้างภายในได้ดีเกินอายุนัก

     

    “ผมสั่งให้คนเอากระเป๋าไปเก็บที่ห้องพักแล้ว มาเถอะครับ ปู ไปทานข้าวกัน” น้ำเสียงนุ่มเอ่ยตะล่อม เรียกความสนใจจากคนนั่งเหมอลอย กรกฎลุกขึ้นตามการเชื้อเชิญ เดินตามร่างสูงไปอย่างว่าง่าย ระหว่างทางก็มิวายจดจำลายละเอียดต่างๆ อย่างไรเสีย อีกไม่นานตนก็ต้องขึ้นบริหารแทนบิดาอยู่ดี

     

    โถงทางเดินของที่นี่ให้ความรู้สึกอบอุ่นและอุ่นใจแม้ในยามวิกาล คงเพราะการผสมผสานระหว่างโทนสีน้ำตาลจากระเบียงไม้ ฐานโคมติดผนังสลักสายกนกละเมียดละไม และสีเหลืองนวลจากแสงโคมไฟสว่างไสวพอสมควร พื้นทางเดินทำจากกระเบื้องหินอ่อนแผ่นใหญ่ ลงลายทองเป็นรูปดอกบัวบาน ผนังมีรูปวาดแขวนตามทางเป็นระยะ แต่ละรูปล้วนแสดงให้เห็นถึงวัฒนธรรมล้านนาที่สืบทอดกันมาหลายช่วงอายุคน

     

    ไม่ช้า ทั้งคู่ก็มาถึงห้องอาหารสไตล์อิตาเลียน วิธวินท์เข้าไปสอบถามพนักงานต้อนรับ สักครู่หนึ่งจึงกวักมือเรียกคนรักให้ตามไป โต๊ะที่หมายของพวกเขา ตั้งอยู่ตรงมุมด้านซ้ายมือ ซึ่งก่อนหน้านี้มีหนุ่มนักธุรกิจนั่งอยู่ก่อนแล้ว เมื่อพบพวกเขา ชายผู้นั้นจึงแนะนำตัวตามมารยาท

     

    “ผมพิธิวัฒน์ ครับ รับหน้าที่บริหารคุ้มคำญวน”

     

    “ผมวิธวินท์ ส่วนนี่กรกฎครับ” ทั้งสองจับมือทักทายกัน ดูเผินๆ ชายตรงหน้าคงอายุยี่สิบปลายๆ ได้

     

    “เชิญนั่งครับ” ผู้บริหารหนุ่มเชื้อเชิญ ทั้งสองจึงนั่งลงอย่างเสียไม่ได้ แม้จะเหนื่อยล้าจากการเดินทางมาก “พวกคุณคงเหนื่อย ขอโทษที่รบกวนเวลาพักผ่อนนะครับ”

     

    พิธิวัฒน์กล่าวขอโทษอย่างเสียไม่ได้ บุคลิกสุขุมนุ่มลึก เป็นผู้ใหญ่เกินอายุทำให้พวกเขาไม่คิดติดใจเอาความ

     

    “ครับ ไม่มีปัญหา” วิธวินท์ตอบ ไม่นานอาหารจำพวกเส้นพาสตาจานโตก็ถูกนำมาเสิร์ฟวาง กลิ่นนมเนยหอมๆ ช่วยกระตุ้นความหิวได้มาก บริกรสาวบรรจงตักพวกมันแบ่งใส่จานแขกอย่างละเมียดละไม พร้อมทั้งรินน้ำเติมแก้วเปล่าจนเต็ม

     

    “เชิญทานก่อนเถอะครับ ถือเสียว่าเป็นสินน้ำใจเล็กๆ”

     

    พวกเขาลงมือทานอาหารอย่างละนิดละหน่อย เพื่อให้ชิมได้ครบถ้วนทุกเมนูโดยไม่อิ่มเสียก่อน แน่นอนว่าอาหารจานหลักส่วนใหญ่มักประกอบด้วยเส้นพาสตารูปร่างต่างๆ เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเป็นเอกลักษณ์ของอิตาลี เช่น ลาซานญ่าเนื้อ ราวิโอลี[1] ไส้ปูในซอสเนย และเพนเน่[2] ซอสครีมเห็ด โดยแต่ละจานมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ของตนเองทั้งสิ้น

     

    การรับประทานอาหารดำเนินมาอย่างราบรื่นจนถึงช่วงท้ายๆ ซึ่งคิวของหวานปิดรายการ ขนมหวานรูปร่างคล้ายเยลลี่สีหมอกถูกนำมาวาง ก่อนที่บริการสาวจะบรรจงตัดแต่ละชิ้นใส่จานลูกค้าตามหน้าที่ น่าแปลกที่ทั้งวิธวินท์และพิธิวัฒน์เจ้าของโต๊ะ ต่างก็โบกมือปฏิเสธ

     

    กรกฎมีสีหน้างุนงง เขาจ้องมองพานาคอตตา [3] ราดซอสสตรอเบอร์รี ของโปรดปรานที่มักทานอยู่บ่อยครั้ง พลางลังเลว่าควรกินหรือไม่ได้ ผู้บริหารหนุ่มก็พลันแทรกขึ้น

     

    “เชิญทานเถอะครับ ผมไม่ค่อยชอบทานของหวานเท่าไหร่” เขาว่า กรกฎจึงลงมือทานของหวานต่อ ในขณะที่ผู้บริหารเริ่มบทสนทนาหัวข้อใหม่

     

    “ห้องพักเป็นอย่างไรบ้างครับ สะดวกสบายดีหรือไม่”

     

    “ยังไม่ได้เข้าพักครับ” วิธวินท์ยิ้มขอโทษสุภาพ ผู้บริหารหนุ่มพยักหน้ารับรู้ พลางชี้ให้ดูสิ่งอย่างนอกหน้าต่าง ซึ่งเขาให้ความสำคัญกับมันมากเป็นพิเศษ

     

    “เห็นเรือนข้างสระบัวไหมครับ นั่นคือเรือนปทุมหลวง ที่พักของคุณ” ร่างสูงชี้ให้เห็นเรือนขนาดกลาง ตั้งอยู่ถัดจากสวนลีลาวดีออกดอกสะพรั่ง “เรือนหลังนี้สร้างจากไม้สักทั้งหลัง และมีประวัติเก่าแก่ร่วมร้อยปี ซึ่งเรานำมาบูรณะใหม่โดยพยายามรักษากลิ่นอายเดิมไว้ให้มากที่สุด”

     

    เรือนปทุมหลวงเป็นเรือนไม้ยาวประกอบด้วยห้องพักหลายห้อง ซึ่งมีบันไดขั้นสั้นๆ เชื่อมกับทางเดินหินที่โยงยาวมาถึงห้องอาหาร สังเกตจากร่องรอยถลอกบนหลังคาที่สร้างจากไม้แผ่นเล็กๆ นำมาเรียงต่อกัน บ่งบอกว่าผ่านกาลเวลาอันยาวนานมาหลายร้อยปีอย่างไม่อาจปฏิเสธได้ บนหน้าจั่วประดับด้วยกาแลฉลุลายเถาวัลย์สวยงาม ด้านข้างเป็นสระบัวหลากสี แม้แสงไฟสลัวๆ จากโคมทางจะทำให้มองเห็นความละเมียดละไมได้ไม่ชัดเจนนัก หากก็มิได้ลงทอนความงามลงเลยแม้แต่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรกฎ เพียงเห็นครั้งแล้วชายหนุ่มก็มิอาจถอนสายตาจากมันเสียแล้ว

     

    ร่างโปร่งส่งพานาคอตตาชิ้นสุดท้ายเข้าปาก เหม่อมองเรือนไม้ดุจต้องมนตร์สะกด พลันก็สะดุ้งเมื่อถูกอุ้งมือของใครบางคนเกาะกุมไว้โดยภาระการ

     

    “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ สีหน้าคุณดูไม่ดีเท่าไหร่” มิใช่น้ำเสียงคนรัก แต่กลับพิธิวัฒน์หนุ่มผู้บริหาร กรกฎงุนงงระคนตกใจ ชักมือกลับพัลวัน เขาเหลือบมองข้างกายก็พบสีหน้าเคร่งขรึมไม่เป็นมิตรของคนรัก

     

    “ขอบคุณที่เป็นห่วงครับ แต่ผมดูแลปูได้” วิธวินท์แก้ต่าง จงใจใช้น้ำเสียงสนิทสนมแสดงความเป็นเจ้าของ กรกฎเห็นท่าไม่ดีจึงกระตุกชายเสื้อคนรักเตือนสติ ฝ่ายพิธิวัฒน์เพียงระบายรอยยิ้มเล็กน้อยตามมารยาท

     

    “ขอโทษด้วยครับ หากเมื่อสักครู่นี้เป็นการเสียมารยาท” ชายหนุ่มค้อมศีรษะ ทว่าวิธวินท์กลับมองออกชัดเจนว่าเจ้าตัวมิได้มีเจตนาขอโทษดังปากว่า

     

    “ครับ ถ้าเช่นนั้นหวังว่าคุณคงหมดธุระแล้ว ผมขอตัว” ร่างสูงตัดบท มิวายดึงคนรักให้ลุกตาม กรกฎมีสีหน้างุนงง ได้ยิ้มส่งยิ้มขอโทษให้พิธิวัฒน์ และเร่งฝีเท้าตามร่างที่เดินดุ่มๆ ออกจากห้องอาหารโดยไม่คิดเอ่ยขอบคุณสักคำ

     

    แม้กรกฎจะทราบดีที่อีกฝ่ายทำไปเพราะอารมณ์หึงหวง แต่กระนั้นก็ไม่เหมาะไม่ควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้าคนนอกอย่างพิธิวัฒน์ พวกเขาทั้งสองอาจถูกมองด้วยสายตาแปลกแยกได้ วิธวินท์หยุดฝีเท้าหลังปลีกตัวออกมาได้ไกลจากห้องอาหารพอสมควร ชายหนุ่มถอนหายใจ รู้สึกแย่ระคนหงุดหงิด

     

    “ผมว่าคุณควรระวังตัวไว้เสียหน่อย อย่าเข้าไปยุ่งกับมันมากนัก” ไม่รู้เพราะเหตุใด เพียงพบหน้ากันครั้งแรกชายหนุ่มก็เลือกใช้สรรพนาม มันแทนชื่อหนุ่มผู้บริหารคุ้มคำญวนเสียแล้ว

     

    “ทำไมล่ะ”

     

    “คุณไม่เห็นหรือว่ามันจ้องจะแต๊ะอั๋งคุณ คนอย่างนี้น่าเนื้อใจเสือ ผมไม่มีทางปล่อยให้มันได้แอ้มคุณแน่” ชายหนุ่มเอ่ยหนักแน่นและจริงจังประหนึ่งประกาศศึกก็ไม่ปาน กรกฎไม่แปลกใจนักเพราะเดิมทีวิธวินท์ก็มิใช่คนใจเย็นกับเรื่องพรรคนี้สักเท่าไหร่

     

    เห็นสีหน้าไม่ค่อยเชื่อถือคำพูดนัก ร่างสูงจึงย้ำคำ “เอาเป็นว่าสัญชาตญาณผมบอกว่า มันเล่นไม่ซื่อก็แล้วกัน ดังนั้น คุณอย่าเข้าใกล้นักเลย”

     

    “อืม ก็ได้” ร่างโปร่งขานส่งเดช เพราะเข้าใจว่าคนรักเพียงกังวลเกินเหตุไปเท่านั้น กับอีแค่จับมือถือแขนเล็กๆ น้อยๆ ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร ทั้งอีกฝ่ายยังเป็นผู้ชายเหมือนกัน เขาจึงไม่เก็บมาคิดฟุ้งซ่าน

     

    กรกฎป้องปากหาวน้อยๆ ด้วยความอ่อนล้า “ถ้าไม่มีอะไรแล้วก็กลับห้องเถอะ ผมคันเนื้อคันตัวอยากอาบน้ำจะแย่แล้ว”

     

    “อืม” วิธวินท์รับคำ โอบไหล่คนรักหลวมๆ มุ่งหน้ากลับเรือนปทุมหลวงที่พัก

    --------------------------

    หยาดน้ำไหลพรั่งพรูจากฝักบัวติดผนังขนาดกลาง สาดกระทบพื้นหินกรวดเกิดเสียงซ่าๆ ไออุ่นระอุจับฉากกั้นกระจกสีหมอกลายฝ้า ทำให้พอมองเห็นเจ้าของเรือนร่างหลังฉากกั้นได้ลางๆ แม้ว่าเงาส่วนใหญ่จะถูกไอน้ำกลืนกลมจนหมด มือเรียวสางเส้นผมสีน้ำตาลตัดสั้นประบ่า ซึ่งบัดนี้มันเปียกปอนและแนบลู่ติดต้นคอ ขณะปล่อยให้สายน้ำเอื่อยๆ ราดรดเลือนร่างอันเปียกปอน

     

    “อาบน้ำนาน ระวังเปื่อยนะครับ” เสียงเตือนหลังฉากกั้นทำเอาเจ้าของเลือนร่างสะดุ้ง รีบปิดฝักบัวทันที

     

    “วิทย์! คะ คุณเข้ามาทำไม เอ่อ... เข้ามาได้ยังไง?” กรกฎร้องเสียงตื่น ผิดกับฝายนั้นที่ไม่มีท่าทีทุกข์ร้องใดๆ ทั้งสิ้น ร่างโปร่งมองเห็นเลาลางว่าวิธวินท์เพียงแค่ไหวไหล่

     

    “ก็คุณไม่ได้ล็อกนี่ ผมบอกตั้งกี่ครั้งแล้วว่าเวลาอาบน้ำให้ล็อกประตูด้วย ไม่กลัวผมจะพลั้งทำมิดีมิร้ายอะไรหรือไง” ชายหนุ่มย้อนถามกลั้นขำ และปล่อยเสียหัวเราะร่วน เมื่อพบว่าร่างหลังฉากกั้นยืนนิ่งไม่ไหวติง “...เอาล่ะ ถ้าคุณไม่รีบออกมา ผมจะเข้าไปจริงๆ แล้วนะ” ร่างสูงเย้าแหย่ทีเล่นทีจริงทำเอาคนฟังชักกระส่ำ

     

    “ดะ เดี๋ยวก่อน” กรกฎร้องท้วงอย่างตระหนก “เดี๋ยวผมออก คุณนั่นแหละ อาบน้ำแล้วไม่ใช่เหรอ ออกไปก่อนเลยสิ”

     

    “ครับๆๆ” เขาขานรับขำขันอย่างว่าง่าย ก่อนจะวางบางสิ่งซึ่งมีลักษณะคล้ายผ้าสีขาว ผับเป็นทรงสีเหลี่ยมเรียบร้อยไว้บนขอบอ่างล่างมือ “คุณลืมผ้าเช็ดตัวน่ะ ปู”

     

     

    ร่างโปร่งมองตามทุกการเคลื่อนไหวของคนรัก ชะเง้อชะแง่งอยู่นาน จนแน่ใจว่าร่างสูงไปแล้ว จึงก้าวออกมาจากหลังฉากกั้น

     

    กรกฎเริ่มตระหนักถึงบางอย่างที่ใกล้เข้ามา ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่ยังค้างคาอยู่ในใจเขาเสมอ นั่นคือความสัมพันธ์ระหว่างเขาและวิธวินท์ ตลอดเวลาที่อยู่ร่วมกัน พวกเขาไม่เคยมีความสัมพันธ์เกินเลยสักครั้ง ส่วนหนึ่งคงเพราะกรกฎเป็นฝ่ายออกตัวปฏิเสธ แม้รู้แก่ใจดี ว่า รัก ที่มีแค่การพึงพาอาศัยกัน มิใช่สายสัมพันธ์ที่ยั่งยืนในอนาคต เมื่อต่างฝ่ายต่างไม่อาจเติมเต็มความต้องการของกันและกันได้ นี่เป็นสิ่งที่เขากลัวมาตลอด

     

    แต่หากถึงเวลานั้นจริงๆ ลำพังตัวเขาคงไม่อาจทำอะไรได้มากไปกว่าร้องขอให้หยุดเสีย...

     

    กรกฎเช็ดตัว ก่อนสวมใส่ชุดนอนขาวโปร่งสบายที่หยิบติดมือมาด้วย เขาก้าวขาจากห้องน้ำในเวลาไล่เลี่ยกัน และพบวิธวินท์นอนเขลงอยู่บนเตียง ดวงตาคมสีเม็ดนิลจ้องหน้าจอโทรศัพท์เขม็งคล้ายกำลังครุ่นคิด กรกฎทิ้งตัวนั่งข้างเคียง ชะเง้อมองด้วยความสงสัยระคนสนใจ

     

    “เสร็จแล้วหรือครับ นึกว่าคุณจะอยู่นานกว่านี้เสียอีก” วิธวินท์ยิ้มขำ เขาเลิกให้ความสนใจกับหน้าจอโทรศัพท์ ท่อนแขนโอบรัดร่างคนรัก กอดก่ายแนบชิดกายตามปกติ แต่ไม่วายแซวด้วยความเอ็นดู

     

    “ผมชักจะเดาออกแล้วล่ะ ว่าทำไมคุณแม่ถึงตั้งชื่อคุณว่าปู”

     

    “ผมเกิดราศีกรกฎน่ะ” ร่างโปร่งตอบหน้ายู่ พยายามแกะลำแขนแกร่งที่รัดแน่นจนอึดอัดออก

     

    “ก็ส่วนหนึ่ง แต่ผมว่าคนเป็นเพราะคุณชอบอยู่กับน้ำนานๆ มากกว่า ไม่กลัวเปื่อยหรือ” วิธวินท์หยอกล้อ โน้มปลายจมูกชิดแก้มใส ชิงหอมไปฟอดหนึ่ง

     

    “อะไรของคุณ ผมไม่ได้ตุ๋นตัวเองในห้องน้ำสักหน่อย มาปงมาเปื่อยอะไร” กรกฎตอกกลับ ดวงหน้ายุ่งเยิงฉายแววขุ่นเคือง

     

    “เอาน่าๆ อย่างอนสิครับ ผมแค่ล้อเล่นหน่อยเดียวเองนะ” ชายหนุ่มแตะแก้มคนรัก กระชับอ้อมกอดอีกเล็กน้อยคล้ายจงใจกลั้นแกล้งคนในอ้อมแขน

     

    ชายหนุ่มหยอกล้อคนรักตามประสา ทว่าไม่ช้าตนก็ผล็อยหลับไปง่ายๆ คงเพราะความเหนื่อยล้าสะสมจากการเดินทางไกล น่าแปลกที่การพูดคุยกลั้นแกล้งเล็กๆ น้อยๆ นี้กลับทำให้ร่างโปร่งตาสว่างโพลง ความง่วงเหงาหาวนอนหายเป็นปลิดทิ้ง ต่างจากตอนทานข้าวกับผู้บริหารเป็นลิบลับ กรกฏแกะมือคนรักจากเอว จัดท่านอนอีกฝ่ายให้เรียบร้อย ก่อนจะใช้ผ้านวมผืนขาวคลุมกาย เขาปิดโทรทัศน์และส่วนใหญ่ โดยเหลือไว้แค่โคมข้างหัวเตียงพอให้แสงสลัว ก่อนคว้าเสื้อคลุมออกไปรับลมด้านนอกฆ่าเวลา

     

    ร่างโปร่งยืนเท้าระเบียงไม้เหม่อมองทิวทัศน์ยอดพุ่มสนไหวระริก เงาของพวกมันพาดทับเป็นทางยาวให้ความรู้สึกเปล่าเปลี่ยววังเวง ดูเหมือนนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ใหญ่คงหลับกับหมดแล้ว จึงไม่มีคนออกมาเดินเพ่งพ่านกลางดึกเหมือนเขา

     

    สายลมเอื่อยๆ ทำงานผสมผสานกับกลิ่นหอมดอกลีลาวดีได้เป็นอย่างดี กรกฎกระชับเสื้อคลุมกายแน่น อุณหภูมิช่วงกลางดึกนั้น ค่อนข้างต่ำพอสมควร ทันใดนั้น เขาสะดุดตากับเงาบางอย่างข้างสระปทุมซึ่งมีลักษณะคล้ายกับรูปร่างมนุษย์ ทีแรกนึกว่าตัวเองตาฝาดไป จนกระทั่งสายเงานั้นเริ่มขยับเคลื่อนไหวทีละน้อยจึงแน่ใจว่าไม่ใช่

     

    “ใครน่ะครับ?” เขาขมวดคิ้ว มือกำราวระเบียงซึ่งตั้งอยู่ใกล้กับชานบันไดเชื่อมสู่ด้านล่างไว้หลวมๆ

     

    สักครู่หนึ่งเงาสายนั้นเริ่มขยับไหวอีกครั้ง จังหวะก้าวเดินของมันเนิบนาบและแผ่วเบา ช่วงลำตัวตั้งตรงสง่า ไม่ไหวติง จนบางครั้งก็คล้ายกับการเคลื่อนตัวเองโดยปราศจากเท้า กรกฎขนลุกซู่ รำพึงในใจว่าตัวเองคนเจอกับอะไรไม่คาดฝันเข้าเสียแล้ว

     

    หากพริบตาต่อมา มันก็เลือนสลายหายไปเงาของต้นสนราวกับไร้ผู้เป็นเจ้าของโดยสิ้นเชิง กรกฎหนาวรู้สึกหนาวสะท้านอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน สายลมหนาวยะเยือกวูบผ่านต้นคอ ละเลียดบนผิวแก้มประดุจหยอกล้อ

     

    มาหาข้าสิ... เสียงเพรียกที่ทำให้ผู้ฟังหนาวสั่นไปถึงไขกระดูก

     

    จู่ๆ เงาที่มีลักษณะคล้ายมนุษย์ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้ง หลังพุ่มไม้ใกล้กับต้นลีลาวดี ห่างจากเขาราวสิบเมตร กรกฎผงะถอยหลังทันที ซึ่งภายหลังเขาพยายามตั้งสติ และใช้สายตาเพ่งพิศบางสิ่งที่ยืนนิ่งงันอยู่หลังพุ่มพฤกษชาติ มันเป็นเงาเลือนราง รูปร่างเหมือนมนุษย์ทุกประการ น่าเสียดายที่ยืนอยู่ในระยะไกลเกินไปจึงทำให้มองเห็นไม่ถนัด กรกฏสรุปได้เพียงว่า เป็นเงาบุรุษ

     

    มา... มาหาข้า มา...

     

    เขาผวาอีกครั้ง เมื่อร่างดำทะมึนเริ่มขยับเขยื้อน มิหนำซ้ำทิศทางยังตรงขึ้นเรือนมาหาเขา ชายหนุ่มร่นถอยหลังครูด ได้สติอีกครั้งก็คราวที่แผ่นหลังชนข้างฝาเสียแล้ว

     

    “คะ ใคร...” ถามเสียงสั่นพร่า และหวังว่าคงมีใครสักคนที่สามารถตอบมันได้ ร่างโปร่งตัวสั่นเกร็ง ได้แต่ยืนพิงข้างฝาไม้ไม่ไหวติง ในขณะที่ร่างทะมึนค่อยๆ เคลื่อนเข้ามาก้าวและก้าวเล่า ดุจต้องการพิสูจน์ความกล้าของเขา เสี้ยวหน้าคมครามต้องแสงจันทร์ เผยให้เห็นบางสิ่งที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งกว่า

     

    ดวงตาทั้งสองข้างของเขา มีเลือดไหลอาบเป็นสาย พาดผ่านข้างแก้มซีดราวกับกระดาษและบรรจบลงตรงปลายคาง เสียงของเหลวสดๆ หยดกระทบใบหญ้า ไม่คาดเดาก็รู้ว่ามันคือเลือดที่ไหลจากดวงตาของเขา กรกฎอ้าปากกรีดร้อง แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ เล็ดลอดจากริมฝีปาก

     

    บัดนี้ ร่างสูงดำทะมึนยืนอยู่ไกลจากเขาเพียงเอื้อมมือเดียวเท่านั้น กรกฎน้ำตาคลอ กลัวจนขาแข็ง จากระยะนี้ เขาสามารถมองเห็นร่างตรงหน้าได้ชัดในระดับหนึ่ง หากแต่เขาพยายามเมินหน้าหนี เพราะหวาดกลัวในสิ่งที่กำลังเผชิญ ลมหายใจขาดห้วงชั่วขณะ เมื่อมือคู่ขาวซีดนั้นยืดยื่นออกมา หวังแตะดวงหน้ากรกฎ

     

    ร่างโปร่งเบิกตากว้าง พยายามกรีดร้องสุดเสียงด้วยความหวาดกลัวฝังขั้วหัวใจ เขาหลับตาปี๋ น้ำตาไหลเป็นสายอาบแก้มทั้งสอง

     

    “กรกฎ!” ชั่วพริบตาที่แรงมหาศาลกระชากร่างทั้งร่างปลิดปลิวเข้าสู่อ้อมกอด ไออุ่นและกลิ่นอันคุ้นเคยปลอบประโลมหัวใจที่หนาวสั่นด้วยความหวาดกลัว กรกฎสอดแขนกอดตอบอีกฝ่าย ร้องไห้สะอึกสะอื้นไม่อายใครจนวิธวินท์นึกหวาดหวั่น

     

    “ปู คุณเป็นอะไร” วิธวินท์ประคองใบหน้าคนรักสบตา สีหน้าของกรกฎตอนนี้ ขาวซีด ไร้เลือดฝาด มือเรียวที่ยึดลำแขนเขาสั่นพร่าราวกับเพิ่งประสบเหตุการณ์น่าสะพรึงกลัวมาหยกๆ

     

    “ปู... คุณเป็นอะไร บอกผมสิ คุณเป็นอะไร ผมได้ยินคุณร้องเสียงดังมาก” ร่างสูงถามซ้ำ แต่กรกฎส่ายหน้าเหมือนไม่อยากพูดถึงมัน

     

    “ไม่มีอะไรหรอก... ผมแค่ตกใจนิดหน่อย” เขาฝืนปั้นยิ้มกลบเกลื่อน หากนั่นไม่ทำให้วิธวินท์คลายใจเลย

     

    “ตกใจ? เกิดอะไรขึ้นกับคุณ?” ร่างสูงพยายามเค้นเอาคำตอบ

     

    “ไม่มีอะไรหรอก... ไม่มีจริงๆ” กรกฏโคลงหัว ช้อนสายตามองอย่างอ่อนล้า “ผมอยากนอนแล้ว ให้ผมเข้าห้องเถอะนะ” เขาอ้อนวอนเจ้าของอ้อมกอดเสียงโรยรา วิธวินท์เห็นสภาพคนรักไม่สู้ดี จึงได้แต่ปล่อยเลยตามเลย แต่ก็มิวายตักเตือน

     

    “ต่อไปอย่าไปไหนมาไหนคนเดียวอีกนะครับ ผมเป็นห่วงคุณมากรู้ไหม”

     

    “อือ” ร่างโปร่งขานรับสั้นๆ ปล่อยให้คนเบื้องหน้ารัดร่างเขาไว้ในอ้อมอก ขณะที่ตนใช้โอกาสนี้ตักตวงความอบอุ่นคืนสู่หัวใจที่เต้นกระส่ำไม่เป็นจังหวะ อย่างน้อยมันก็สามารถคลายความหวาดกลัว และทำให้เขาลืมเลือนเรื่องในคืนนี้ได้ แม้ชั่วยามหนึ่งก็ยังดี

     

    วิธวินท์ประคองร่างคนรักเข้าห้อง ก่อนปิดประตูสนิท โดยที่ไม่รู้เลย ว่าในมุมมืดมุมหนึ่งของเงาสน มีดวงตาที่อัดแน่นด้วยความเคียดแค้นและชิงชังคู่หนึ่งจับจ้องอยู่ต่อเวลา

     

    ในคืนนั้น กรกฎหลับสนิทในอ้อมกอดของวิธวินท์ เขาไม่ฝันถึงเรื่องราวน่าสะพรึงกลัวของสายเงาพิศวง หรือแม้กระทั่งอาการฝันผวาที่มักเกิดขึ้นเป็นประจำก็หายเป็นปลิดทิ้ง คงเพราะมีอ้อมกอดที่อบอุ่นและแข็งแกร่งคอยปกป้องประคับประคองให้อุ่นสบายตลอดค่ำคืนมืด

     

     

    1 แป้งพาสต้าแบบแผ่นห่อไส้ผัก หรือชีส หรือเนื้อสัตว์ คล้ายเกี๊ยว

    2 เส้นพาสต้าแบบท่อขนาดกลาง ตัดเฉียงที่ปลายทั้งสองด้าน

    3 ขนมหวานสัญชาติอิตาลี่ มีรสชาติหวานมัน นุ่มลิ้น

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×