คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 01 : ผู้หญิงใต้แสงจันทรา
บทที่ 01 : ผู้หญิงใต้แสงจันทรา
หวังเทวากลืนน้ำลายดังเอื้อก
href="file:///C:\DOCUME~1\admin\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_filelist.xml" />
กว่าจะออกจากบ้านหลังนั้นมาได้ก็แทบตาย วิ่งหัวซุกหัวซุนเข้าไปเก็บของทำลายภาพพจน์ครูหน้าดุจนหมดสิ้น ซ้ำยังวิ่งแบบสะเปะสะปะไม่ค่อยจะกล้าดูทาง นี่เขายังต้องมาเจออะไรอีก
“ผมว่าบางทีแขกคนนี้อาจเป็นของเจ๊” ชายหนุ่มพูดพลางก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆเมื่อเห็นเงาสีดำสนิทค่อยๆทอดตัวผ่านประตูเข้ามาสู่พื้นที่โล่งกว้างกลางห้อง แม้แต่เหนือธิดาผู้ไม่เคยกลัวอะไรยังเหงื่อตก สองพี่น้องผลัดกันยืนข้างหน้าและถอยหลังร่นมาเรื่อยๆจนหวังเทวารับรู้ถึงความเย็นของกระจกผ่านฝ่ามือ
“ทะ ทางตัน”
“มันเป็นตัวอะไรเนี่ย!”
“เจ๊ถามผมเหรอ” หวังเทวาแทบจะก่ายขาไปกับกระจกบานใส เขาไม่สนแล้วในตอนนี้ว่าไอ้ตึกตรงข้ามมันจะมองดูเขากับพี่อยู่หรือไม่ “บางทีไอ้สิ่งที่ทำให้เจ๊ถึงกับอุทานด้วยความหวาดหวั่นมันอาจจะตอบเจ๊ได้นะ ใครก็ได้โทรเรียกแม่ที ระหว่างนั้นผมจะไปควักลูกกะตาตัวเองออก!”
“ถ้าแกไม่โทรฉันก็ต้องโทร และเผอิญฉันโทรหาใครไม่ได้ด้วยปัญหาเดียวกับแกโว้ย”
“แน่นอนครับ ปัญหาของเราคือไอ้ตัวบ้านั่นมันเป็นผี!”
อยากจับหัวมันโขกให้สลบไปซะ
หวังเทวา...คนหน้าเถื่อนยังคงรักษาระดับความกวนไว้ได้ดีแม้ดวงตาจะเบิกโพลงและริมฝีปากจะสั่นระริก เหนือธิดาพยายามอย่างมากที่จะอดใจไว้ไม่ให้หันไปตบกะโหลกไอ้คนชอบมือไม่พายแถมเอาเท้าราน้ำ ขอให้เป็นเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับสิ่งไม่มีชีวิตเถอะ จะบุกน้ำลุยไฟหวังเทวาไม่เคยหวั่น พอมาเป็นเรื่องผีๆสางๆทีไร เป็นต้องไปมุดอยู่ข้างหลังคอยพูดจาประสาทๆใส่หูทุกที
“แม้มันจะมาในรูปแบบที่ต่างออกไปมันก็ยังเป็นผีปากแดง หน้าซีด ผมยาว ที่บอกว่าเป็นแฟนของผม แต่ผมเป็นนักเขียนโรแมนติกหน้าตาหล่อเหลาวัยยี่สิบสาม เจ๊บอกผมทีว่าคนรักของผมต้อง...”
“โอ๊ย! หวังเทวา แกจะทำให้ฉันเป็นบ้า!!”
เหนือธิดาจำต้องละสายตาจากกลุ่มคลื่นสีดำทะมึนเพื่อหันมามองหน้าให้น้องชายชัดๆ ทว่าสิ่งที่ปรากฏขึ้นแก่ดวงตากลับทำให้ต้องตกตะลึง ร่างของหวังเทวาบดบังท้องฟ้าสีดำสนิทเบื้องหน้าจากดวงของเธอไว้เกือบหมดโดยมีแสงเรืองรองสีทองที่กระจายอยู่รอบตัวของเขา
ราวรัตติกาลจะสว่างได้แม้ไร้ซึ่งแสงไฟ...เธอไม่คิดอะไรอีกแล้วนอกจากผลักน้องชายออกไปให้พ้นทาง ไม่สนใจแม้เสียงกรีดร้องที่ดังขึ้นก่อนตามด้วยเสียงดังโครมใหญ่
“หัวผมโขกขอบโต๊ะ!” ร่างสูงของชายหนุ่มหยัดขึ้นยืนอย่างลำบาก พอลืมตาได้ก็ยิ่งมึนศีรษะเข้าไปใหญ่เพราะแสงสีทองเจิดจ้าจู่ๆก็สาดเข้าสู่นัยน์ตา มันสว่างกว่าดวงไฟในห้องของเขานับสิบเท่าและก่อให้เกิดความอบอุ่นประหลาด เขาขยับเดินเซๆและหยุดโดยการเอาไหล่พิงที่ศีรษะของเหนือธิดาแล้วเริ่มต้นพูด
“ไอ้มืดพวกนั้นอยู่ไหน”
“มันจะเป็นแค่เรื่องจิ๊บจ๊อย” เหนือธิดาแค่นเสียงหัวเราะ “แกเรียกแม่คนนี้ว่าผีหรือเปล่า”
เบื้องหน้าของทั้งคู่คือหญิงสาวนางหนึ่งที่ลอยอยู่กลางฟากฟ้า ไม่แปลกใจหากไม่มีใครเห็นเพราะร่างโปร่งแสงนั้นยืนยันว่าไม่ใช่มนุษย์ สีทองเรืองรองเฉดเดียวกับสีดวงตาของเธอเจิดจ้าอยู่รอบร่างบอบบางขับผิวขาวนวลให้ยิ่งกระจ่างตัดกับท้องฟ้ายามราตรี แม้กระนั้นเส้นผมสีดำขลับเหยียดตรงถึงกลางหลังกลับทำให้บรรยากาศรอบตัวเธอราวจะกลมกลืนไปกับช่วงเวลานี้...ช่วงเวลาของราตรีกาล
ริมฝีปากสีแดงสดแย้มรอยยิ้มอ่อนโยนขณะแขนขยับกางออกพร้อมกับใบหน้าเรียวเล็กที่เชิดขึ้นนิดๆ เผยให้เห็นชุดเสื้อคลุมสีขาวปักดิ้นสีทอง ลวดลายแปลกตาตามชายผ้าราวจะขยับเคลื่อนไหวได้เอง ชายแขนเสื้อของเธอยาวจรดพื้นโบกสะบัดคล้ายปีกนก งดงามหมดจดไม่ว่าจะรูปร่างหรือเครื่องแต่งกาย
หวังเทวารู้สึกถึงแรงดันในอกที่ทวีความแรงมากขึ้นเรื่อยๆ เขาไม่เคยยอมรับว่าผู้หญิงคนใดสวยมาก่อน เพราะเขาเชื่อว่าผู้หญิงที่สวยอย่างแท้จริงต้องมีองค์ประกอบอีกหลายๆอย่าง หนึ่งในนั้นคือเสน่ห์เมื่อแรกพบ เขาคิดว่าผู้หญิงคนนี้มีเต็มเปี่ยม...แล้วเขาจะหนีทำไม เขาหนีออกจากบ้านหลังนั้นมาเพื่ออะไร
เสียงทุ้มต่ำพึมพำอย่างเลื่อนลอย “อยากให้แม่มาเห็นชะมัด”
“รอดไปให้เจอแม่เถอะ”
“หืม?” หวังเทวาขึ้นเสียงสูงเหมือนที่ชอบทำขณะผินหน้ากลับมามองพี่สาว เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงคล้ายสิ่งของปริแตกดังขึ้น
“หวัง! ถอยออกมา!”
ไม่ทันได้หืออือเหนือธิดาก็พุ่งเข้าคว้าคอน้องชายผู้กำลังยืนบื้อก่อนจะหันหลังวิ่งออกมา บานกระจกที่กำลังร้าวพลันแตกกระจายไปในอากาศ เห็นคลื่นเป็นวงกว้างแต่ปราศจากเสียงส่งคมกรีดกรายไปทุกทิศทางโชคดีที่ว่าทั้งคู่สามารถหลบพ้นรัศมีของการบาดเจ็บนั้นได้ สายลมกรรโชกผ่านเข้ามาพัดเอากองเศษกระดาษและหนังสือให้ไหลวนไปรอบๆตามด้วยข้าวของอีกมากมาย
เสียงแห่งการทำลายล้างดังขึ้นอีกพักใหญ่ๆก่อนหวังเทวาจะหวีดร้องประสานไปด้วย
“นั่นมันหนังสือหายากนะ!” เขาทึ้งเส้นผมของตัวเอง “แม่ไม่เคยบอกว่าผีทำแบบนี้ได้!”
“แกอยู่นิ่งๆก่อนได้มั้ย!” เหนือธิดากำหมัดแน่นและใช้มืออีกข้างรั้งร่างซึ่งกำลังดิ้นพราดๆของน้องชายไว้ “แล้วตกลงเธอเป็นตัวอะไรกันแน่!”
ดวงหน้าหวานคลี่รอยยิ้มอ่อนโยน งดวงตาสีทองเรืองนั้นหากมองดีๆแล้วจะพบว่ามันกระด้างและกลมใสคล้ายลูกแก้ว เช่นเดียวกับเส้นผมของเธอที่ไม่ได้พลิ้วไหวอย่างมีชีวิตแต่ลอยไปมาดุจไม่มีน้ำหนัก ทันทีที่น้ำเสียงหวานพริ้งดังขึ้น สายลมก็หยุดเคลื่อนไหวในฉับพลัน
“อทิมิสเซีย รันซาเยฟ โมลาร์กอน”
อทิมิสเซีย...หวังเทวาทวนคำในใจ ชื่อนี้...ชื่อที่ปรากฏขึ้นในหัวตั้งแต่คืนนั้น
“เจ้าหญิงองค์รองแห่งพระราชาโครนัสซาเอล ราชาโลกวิญญาณ กษัตริย์องค์ที่...อ๊ะ” คิ้วเรียวสวยพลันเลิกขึ้น เธอหยุดพูดไปเสียดื้อๆพร้อมนิ้วเรียวยาวถูกยกขึ้นลูบคางอยู่นาน ดวงหน้าหวานเบือนหน้าขึ้นสบตากับหวังเทวาและเหนือธิดา เหมือนกับว่าลูกแก้วคู่นั้นจะเปล่งประกายขึ้นนิดหนึ่ง “ข้าจำไม่ได้”
“อะไร” เหนือธิดายังคงล็อกคอหวังเทวาไว้ขณะที่เอ่ยปากถาม
“บิดาข้าขึ้นเป็นกษัตริย์องค์ที่เท่าไหร่ไม่รู้ ก็นะ โลกวิญญาณถูกสร้างขึ้นมาเนิ่นนานพอๆกับโลกมนุษย์แต่ไม่เคยแตกแยกและเปลี่ยนระบอบการปกครองสักที กษัตริย์ของเรามีเป็นร้อยๆ”
“เธอกำลังเล่านิทานอยู่รึไง!” เสียงตวาดของชายหนุ่มเหมือนเป็นสิ่งสุดท้ายที่เหนือธิดาจะคิดถึงในสถานการณ์นี้เธอจึงเบิกตาโพลงและปล่อยมือโดยอัตโนมัติได้แต่มองน้องชายเดินลิ่วไปเก็บกองกระดาษที่กระจัดกระจายอยู่ตามพื้นห้อง
เขาไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้รู้สึกดีๆกับแม่นี่ได้อย่างไรทั้งที่เคยวิ่งหนีเธอ ถ้าเหนือธิดารู้คงหัวเราะเยาะ พี่สาวของเขาเป็นผู้หญิงในแบบที่พร้อมจะหัวเราะเยาะผู้ชายทั้งโลกอยู่แล้ว
“ผมจะเชื่อแม่แล้ว ผมจะไม่กลัวผี สาบานเลยเอ้า อย่างน้อยก็ตอนนี้ ผมไม่กลัวอะไรแล้ว!”
“ไอ้เจ้ามนุษย์ต่ำต้อยด้อยปัญญา” ดวงเนตรสีทองทอดมองตามแบบโกรธจัด “เจ้าจะนั่งดีๆ ฟังข้าให้จบด้วยความสงบหรือถูกเตะโด่งออกไปชมท้องฟ้ายาม...อ๊ะ...”
“หรือเธอจะจำไม่ได้ว่า ‘กลางคืน’ มันออกเสียงยังไง”
หวังเทวาตอกกลับอย่างเผ็ดร้อนขณะหมุนตัวหันมาประจันหน้ากับหญิงสาวปริศนา ดวงตาคู่คมพลันชะงักนิ่งเมื่อพบว่าร่างนั้นล้มคว่ำอยู่บนโต๊ะที่เขาเพิ่งเอาหัวไปโขกมาเมื่อสักครู่ เสียงครวญครางอย่างเจ็บปวดนั้นเป็นเสียงหวานๆของยายนั่นไม่ผิดแน่แต่แหลมสูงซะจนเขาแปลกใจ
“ลงไปทำอะไรตรงนั้น”
“เธอล้ม” เหนือธิดาเลือกที่จะทิ้งตัวลงบนโซฟาหน้าประตูห้องนอนของตนซึ่งออกจะอยู่ผิดที่ผิดทางไปสักหน่อย “เอาล่ะ คนสวย โชคดีเหลือเกินที่ฉันไม่ใช่คนขวัญอ่อน พวกเงานั่นอยู่ไหน”
“ฮ่าๆๆ ข้ารู้ว่าพวกเจ้ากลัวมัน และบัดนี้มันมารวมอยู่ในตัวข้าแล้ว”
หวังเทวาตวาดลั่น “แล้วเธอเรียกมันออกมาทำไมไม่ทราบ!”
“การเปิดตัวครั้งแรกของเจ้าหญิงผู้สูงศักดิ์มันก็ต้องตื่นตาเข้าไว้สิ”
บางทีแม่นี่อาจจะลืมว่าเพิ่งสะดุดล้มหน้าคว่ำเมื่อกี้นี้ เหนือธิดาคิดและเลือกที่จะพูดอีกแบบหนึ่ง
“เธอช่วยบอกพวกเราทีว่าเธอเป็นเจ้าหญิงของประเทศไหน บางทีฉันอาจจะไปทำบุญกรวดน้ำให้เธอและเธอก็จะได้ไปเกิดเสียที”
“ขะ ข้ายังไม่ถึงเวลาที่ต้องไปเกิด...หวาาาา” ร่างบางผุดลุกขึ้นอย่างรวดเร็ว ทำท่าจะลุกเดินไปหาเหนือธิดาเสียแต่ว่าเธอเหยียบชายผ้าของตัวเองและล้มลงไปกองอีกรอบเสียก่อน
เหนือธิดาทำเพียงมองนิ่งๆแล้วถอนหายใจสลับกับนวดขมับ
ชายหนุ่มดูออกว่าพี่สาวกำลังคิดคำนวณเกี่ยวกับค่าซ่อมแซมกระจกรวมทั้งเฟอร์นิเจอร์ต่างๆแม้ปัญหาตรงหน้าเกี่ยวกับแม่นี่ดูจะแก้ยากกว่าเรื่องแบบนั้นสักร้อยเท่า ไม่ใช่ครั้งแรกที่มีวิญญาณบุกเข้ามาถึงในห้อง แต่เป็นครั้งแรกที่ข้าวของในห้องมันเละเทะระเนระนาดจนเรียกได้ว่าเป็นเรื่องวินาศสันตะโร
บางทีเรื่องเงินๆทองๆก็อาจจะต้องมาก่อน
“ขอบคุณมาก คุณผู้หญิง เธอทำให้ฉันรู้ว่าบนโลกนี้แม้แต่ผีก็ติงต๊องได้”
“ไอ้เจ้ามนุษย์ปากร้ายจอมโอหัง” อทิมิสเซียสวนกลับ น้ำเสียงแหลมสูงขึ้นอีกฉีกภาพเทพธิดาของหวังเทวาจนหมดสิ้น “ข้าไม่แปลกใจเลยที่ข้าต้องกังวลใจอย่างหนักเรื่องจะมาพบเจ้า!”
“พอแล้ว ฉันเวียนหัว เธอเกิดในยุคไหนฮึ พูดไทยได้แต่ชื่อเป็นฝรั่ง แปลกคน”
“เจ้าสิแปลก ไอ้เจ้ามนุษย์...”
“ฉันรู้แล้วว่าน้องฉันเป็นมนุษย์” เหนือธิดาเอ่ยออกมาในที่สุด “สั้นๆ เธอเป็นใคร”
“อทิมิสเซีย รันซาเยฟ โมลาร์...”
“สั้น...สั้น...กระชับใจความ” คนหน้าโหดกระแทกกองหนังสือลงบนโต๊ะอย่างลืมตัวแล้วจึงก้มลงไปลูบหน้าปกเบาๆก่อนจะหันมาถลึงตาใส่อทิมิสเซีย “คิดว่าเธอเข้าใจภาษาคนนะ”
เธอส่งเสียงประหลาดๆในลำคอ ถลึงตากลับ “ข้าชื่ออทิมิสเซียเป็นคู่หมั้นของเจ้า”
“คู่หมั้น?” เหนือธิดาผุดลุกขึ้นนั่ง “เธอเอาอะไรมาพูด วิญญาณกับมนุษย์...”
“มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า!”
วินาทีนั้นเองที่ราวกับเหนือธิดาจะได้ยินเสียงอะไรสักอย่างแตกในหัวดังโพละ
ร่างโปร่งยืนขึ้นเต็มความสูงแล้วเปิดกระตูอย่างแรงแม้แต่โซฟายังไถลหลบไปก่อนเธอจะกระแทกเท้าปึงปังเข้าห้องไป ทว่าไม่วายส่งเสียงตะโกนออกมาส่งท้าย “ก็ถ้าไม่ใช่เรื่องของฉัน ฉันก็ขอตัว!”
หวังเทวาตาเหลือกรีบวิ่งไปทุบประตูทันที “เจ๊! เจ๊! ยายนี่ไม่ใช่คนนะ ออกมาก่อน! โว้ย!!!”
ลืมไปแล้วหรือไรว่าเขากลัวผีแค่ไหน ลืมไปแล้วหรือไรว่าผีตนนี้เพิ่งระเบิดกระจกจนแตกละเอียด
หลังจากพยายามตะโกนและเคาะประตูอยู่นานหวังเทวาก็ตัดสินใจหันไประบายอารมณ์กับโซฟาโดยการเตะสุดแรงเกิดส่งมันไถลไปอยู่ที่กลางห้อง หญิงสาวคนสวยทำเพียงปรายตามองก่อนจะขยับเยื้องกายไปนั่งลงบนนั้นและเหยียดหลังให้ตรงขึ้นอย่างมีมาด “ข้าต้องคุยกับเจ้า”
“ทั้งที่ปีศาจอย่างเธอเพิ่งระเบิดห้องของฉัน!”
“เอาน่าๆ ข้าซ่อมได้” อทิมิสเซียทำท่าเหมือนไม่ใช่เลือกสลักสำคัญอะไร “ข้าไม่ใช่ปีศาจ สิ่งมีชีวิตชนิดนั้นต่างจากข้ามากนัก”
“เฮอะ อย่างเธอน่ะไม่สามารถเอาไปเปรียบกับสิ่งมีชีวิตได้หรอก”
“อาจไม่ใช่ในโลกนี้ แต่รู้ไหม มีจิตย่อมมีชีวิต” อทิมิสเซียเปลี่ยนเป็นนั่งขัดสมาธิเสียดื้อๆ ชายกระโปรงระพื้นถูกเธอรวบไว้ใต้ขาทั้งสอง “นั่นไม่ใช่เรื่องที่ทำให้ข้าต้องถ่อมาถึงที่นี่ ข้าเป็นคู่หมั้นของเจ้าจริงๆ ทวดของเจ้ากับพ่อของข้าเป็นเพื่อนกัน และเมื่อสองพันปีที่แล้ว...”
“ทวดของฉันอายุถึงสองพันปีรึไง เธอโกหกอีกแล้ว”
“ทวดของทวดของทวดของทวด...โอ๊ย เป็นเจ้า เจ้าก็นับไม่ไหวหรอก”
มือเล็กโบกสะบัดแบบรำคาญเต็มทน “เอาเป็นว่าข้าจะพูดว่าทวด ทวดของเจ้าเป็นเพื่อนกับพ่อของข้าก่อนประเทศนี้จะรวมกันเป็นปึกแผ่นเสียอีกล่ะมั้ง สำหรับที่นี่ทุกอย่างผ่านไปแล้วเนิ่นนานจนเกือบจะถูกลบเลือนแต่สำหรับพวกเราเป็นเพียงพริบตาเดียวที่เวลาร่วงเลยกว่าร้อยปี”
“แต่เธออายุไม่น่าเกินยี่สิบ”
“มันเป็นเรื่องของเผ่าพันธุ์ ตกลงนี่เจ้าเชื่อข้าแล้วใช่ไหม”
“ไม่”
“ไอ้เจ้ามนุษย์ดื้อด้านหูหนาตาเถื่อน” อทิมิสเซียกัดฟันเอ่ยเน้นเสียงในขณะที่อีกฝ่ายยักไหล่ให้แบบไม่แคร์ เธอตัดสินใจลุกขึ้นยืนด้วยท่าทางเอาเรื่อง “จะเอาหลักฐานหรือไม่”
“บัตรประชาชนรึไง”
สายลมพัดกรรโชกรุนแรงทันทีที่สิ้นคำย้อน ส่งหวังเทวาลอยหวือไปปะทะกับกำแพงอย่างจังก่อนร่างสูงจะไถลลงมากองอยู่ที่พื้น ความจุกแล่นจี๊ดขึ้นตามกระดูกสันหลังพร้อมกับเจ็บแปลบที่ศีรษะ เริ่มรู้สึกว่าความหวาดกลัวกลับมามีอิทธิพลเหนือตนอีกครั้ง ครั้นเมื่อดวงตาสบกับลูกแก้วสีทองโชนแสงก็ยิ่งกว่าคำว่ากลัว...เป็นความหวาดหวั่น อักขระสีทองบนชุดขาวปลอดของเธอนั้นขยับเคลื่อนอย่างรุนแรง
“จะเอาหลักฐานหรือไม่!”
“ฉะ ฉัน...”
“จะเอามั้ย!!!”
“ก็เอามาเซ่!” เพราะถูกตะคอกใส่อีกครั้งอย่างรวดเร็วหวังเทวาจึงเผลอร้องตอบกลับไป นึกเจ็บใจยิ่งนักเมื่อได้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์กวนโทโสระบายบนใบหน้าจิ้มลิ้ม
อทิมิสเซียวาดแขนไปในอากาศแล้วเสียงโครมครามก็ดังขึ้นจากในห้องนอนของเหนือธิดา
เสียงโวยวายดังตามมาในทันทีพร้อมกับที่ประตูเปิดผางออกปรากฏให้เห็นหญิงสาวผมเผ้ายุ่งเหยิงกำลังยื้อยุดอัลบั้มรูปจำนวนหนึ่งด้วยมือทั้งสองข้างทำราวกับว่าถูกบุคคลที่มองไม่เห็นกระชากแย่ง ใบหน้าขาวนวลแดงเถือกอันเนื่องมาจากการออกแรง สุดท้ายเจ้าตัวก็ส่งเท้าไปยันขอบประตูไว้
“เจ้าแค่ปล่อยมันมา” อทิมิสเซียปัดปอยผมไปด้านหลัง “ทำเป็นเรื่องใหญ่”
“ทะ ทำไมต้อง...เฮ้ยยย”
หวังเทวาเดินเข้าไปคว้าของในมือเหนือธิดาเสียดื้อๆเล่นเอาสาวเจ้าแทบหน้าคะมำ เธอลุกขึ้นมายืนควันออกหูในขณะที่เจ้าน้องชายกระแทกอัลบั้มรูปใส่ที่ว่างข้างๆอทิมิสเซีย
“ไม่ได้ดั่งใจเลย! คิดอยู่แล้วว่าสุดท้ายฉันก็ต้องเกี่ยว” เหนือธิดาย่างสางขุมไปยังหญิงสาวรูปงามผู้กำลังนั่งขัดสมาธิวางท่าโอหังอยู่บนโซฟา คว้าอัลบั้มรูปคืนได้ก็แสยะยิ้มข่มขวัญ “ไอ้อัลบั้มรูปนี่มันจำเป็นต่อการพูดคุยของพวกเธอยังไงไม่ทราบ มันมีแต่รูปงานบวช กับรูปเก่าๆของแม่ทั้งนั้น”
“นั่นเลยประเด็นหลัก เจ้าเปิดสักหน้าสิ อืม...เริ่มที่งานบวชของน้องชายเจ้าก่อนดีไหม”
เหนือธิดาไม่ลังเลที่จะลงมือเปิดอัลบั้มรูปทันที เสียงหัวเราะแผ่วแว่วมาจากริมฝีปากบางก่อนจะถูกกลบด้วยเสียงตวาดของหวังเทวา “เฮ้ย รูปนี้ไม่เอา เจ๊ หน้าผมมันไม่เหมือนมนุษย์”
“แต่ฉันสวย” เหนือธิดาจ่ออัลบั้มรูปเข้าไปใกล้ๆดวงตาสีทอง ท่าทีคุกคามอย่างเห็นได้ชัด “เอาล่ะ รูปใบนี้จะแสดงถึงตัวตนของเธอยังไงไม่ทราบ”
“ข้าอยู่ตรงนั้น” นิ้วมือเรียวสวยชี้ลงไปตรงจุดมุมหนึ่งข้างล่างของภาพ รูปใบนี้ทุกคนมัวแต่หัวเราะเยาะผู้ชายไร้เส้นผมในชุดคลุมสีขาวที่ทำหน้าบอกบุญไม่รับจึงไม่มีใครสังเกตเห็นผู้หญิงผมสีดำ เจ้าของดวงตาสีทองผู้กำลังยืนยิ้มหวานส่งมาโดยมีต้นไม้ใหญ่บังร่างไว้ซีกหนึ่ง
href="file:///C:\DOCUME~1\admin\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_filelist.xml" />
“ตรงนี้ และตรงนี้ ตรงนี้ก็ด้วย ตรงนี้ก็อยู่” เธอเปิดอัลบั้มรูปต่อไปอีกหลายหน้าและยืนยันการมีอยู่ของตนได้เรื่อยๆ ไม่ว่าจะเป็นรูปสีหรือรูปขาวดำ “ข้าเฝ้าดูพวกเจ้าตลอดเวลา นับพันปี เป็นดั่งตัวแทนของราชวงศ์โมลาร์กอน...ก่อนเผ่าพันธุ์พวกเจ้าจะสามารถคิดค้นกล้องถ่ายรูปเสียด้วยซ้ำ หากคิดว่าข้ามาที่นี่เพื่อโชว์ห่วยกรุณาเอาหัวโขกพื้นสิบทีแล้วค่อยมาคุยกัน”
หวังเทวาไม่แปลกใจเลยหากตนจะเอาหัวโขกพื้นตามที่หญิงสาวคนนี้พูดเพียงแต่ว่าความกลัวทำให้เขาไม่กล้าขยับเขยื้อน ภาพทุกภาพแม้มีใบหน้าสะสวยนั่นปรากฏอยู่ แต่ยากจะทำใจเพราะแปลกเสียยิ่งกว่าแปลกที่เขาและพี่ไม่เคยสังเกตเห็น ไม่เคยแม้จะคุ้น เป็นความรู้สึกน่าขนลุกที่ถูกจับจ้องทว่าไม่รู้ถึงที่มา
จนกระทั่งเปิดอัลบั้มรูปมาถึงหน้าสุดท้าย อทิมิสเซียคลี่รอยยิ้มอ่อนหวานกว่าเดิม ดวงตาสีทองนั้นเจิดจ้าเรืองแสง...ไม่ใช่แสงของดวงตะวัน แต่เป็นแสงของดวงจันทร์ ให้ความรู้สึกเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจ...เธอหยิบรูปใบนั้นขึ้นมาโบกช้าๆแล้วจึงแกะรูปที่ควรจะมีแผ่นเดียวออก จากใบเดียวพลันแยกเป็นสองใบ
ใบหนึ่งคือรูปของสองพี่น้องแต่อีกใบหนึ่งคือรูปของทารกน่ารัก ที่ถูกซ่อนไว้อย่างแนบเนียน ใบหน้ายิ้มแย้มเปี่ยมสุขอ้วนกลม แก้มยุ้ยและมีดวงตาสีดำขลับ อทิมิสเซีย...อุ้มเด็กคนนั้นอยู่
“เด็กคนนี้เป็นใคร เจ้ารู้หรือไม่”
ราวกับจะหาเสียงของตนไม่เจอในเวลานี้ เป็นเหนือธิดาที่ได้สติก่อน เธอขมวดคิ้วมุ่นแล้วคว้ารูปนั้นมาดูใกล้ๆ กวาดสายตาจนทั่วแล้วจึงนิ่งตะลึง กัดฟันกรอดยามเมื่อเอ่ยออกมา “นี่มัน...”
“และนั่นก็คือแม่ของเจ้า” อทิมิสเซียผายมือไปยังหวังเทวาเป็นเชิงว่าให้เขาดูรูปนั่นด้วย “มีชื่อแม่ของเจ้ากำกับไว้ที่ด้านล่าง ข้าอยู่ที่นั่นในวันที่แม่เจ้าเกิดพร้อมกับที่สัญญาลมปากได้ถูกร่างขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษรและมันถูกเก็บซ่อนไว้ที่แม่ของเจ้า ในขณะที่เครื่องหมั้นหมายอยู่ที่ตัวข้า”
“เธอมาที่นี่เพื่อทวงสัญญากับฉัน?”
“เปล่าเลย เจ้าหน้าเถื่อน” ลูกแก้วสีทองเปล่งประกายชั่วครู่จึงกลับเป็นปกติ ใสสะอาดและเรียบนิ่ง “ข้ามาเพื่อทำลายสัญญานั่น มันระบุไว้ชัดว่าหากเจ้ามีคู่ครองอยู่แล้วและสามารถประคองความรักนั้นไปได้จวบจนเลยวันที่ถูกกำหนดไว้ให้เจ้าพบข้าเป็นเวลาสี่เดือน เมื่อนั้นสัญญาจะสิ้นสุด...ปัญหาอยู่ที่เจ้า ข้าถูกบังคับไม่ให้รักใครได้อยู่แล้ว และเราไม่ได้รักกัน เจ้ารู้ ข้ารู้ บางทีความรักอาจจะอยู่ไกลพวกเรานัก”
ใบหน้าคมคายเบือนออกไปทางช่องโหว่ของกำแพงทันทีที่ได้ยินคำว่า ‘ความรัก’
เขาไม่คิดว่าสิ่งนั้นจะทำให้เจ็บปวดได้อีก แต่เปล่าเลย...ความรู้สึกนี้อาจเรียกได้ว่าชินชา ไม่ใช่ไม่รู้สึก...แต่ชินชาเสียจนลืมไปเสียแล้วว่าความชินชานี้เกิดมาจากการสั่งสมความเจ็บปวดกี่ร้อยครั้ง
“...ไอ้ของสวยงามพรรค์นั้นให้มันอยู่ไกลฉันได้เท่าไหร่ยิ่งดี”
“โต้วาทีกันอยู่รึไง” เหนือธิดาโพล่งออกมา “ปัญหาคือยายนี่เป็นคู่หมั้นของแกและแกจะต้องแต่งงานกับเธอถ้าแกหาแฟนไม่ได้ภายในเวลาสี่เดือนตั้งแต่พบเธอ ที่สำคัญก็คือแกไม่มีแฟน ที่สำคัญที่สุดก็คือแกไม่เคยมีแม้แต่ความรัก ฉันว่าแกตามแม่นี่ไปโลกหน้าเถอะ ฉันขอให้มีลูกเต็มบ้านมีหลานเต็มเมือง”
“จะ เจ๊อ้ะ!!”
เห็นน้องชายตั้งท่าจะโวยวายเหนือธิดาก็ยกนิ้วชี้หน้าห้ามทันที สมองของเธอประมวลผลได้อะไรบางอย่างออกมาในฉับพลัน “พ่อกับแม่ไม่เคยบอกเราเรื่องนี้”
“ที่จริงมีเพียงแม่ของพวกเจ้าที่รู้ นางเป็นผู้สืบเชื้อสายโดยตรงจากทวดของพวกเจ้า...หมายถึงทวดคนที่เป็นเพื่อนรักและผู้มีพระคุณกับพ่อของข้า พวกท่านได้เอ่ยสัญญากันทีเล่นทีจริงว่าจะให้มีการหมั้นหมายเกิดขึ้น ตอนนั้นข้าเพิ่งเกิด...เอ่อ...ละ แล้ว...” ตะกุกตะกักอย่างเห็นได้ชัด “พวกเจ้าก็ลืมกันไป เพราะมันนานมากแล้ว ทวดของเจ้าบางรุ่นก็ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนั้น บางคนถึงขั้นขับไล่พวกเรา จวบจนถึงรุ่นแม่ของเจ้า”
“เธอตั้งใจให้ลืม” หวังเทวามุ่นหัวคิ้วจนหน้ายับย่น
“จะ จะว่างั้นก็ได้ ที่จริงข้าต้องเดินทางมาแสดงตัวทุกครั้งที่มีทารกเกิดใหม่ในครอบครัวของพวกเจ้า” อทิมิสเซียยิ้มแหยๆ “แต่ยิ่งโตขึ้นข้าก็ยิ่งไม่อยากแต่งงาน ไม่รู้สิ ข้ายังไม่รู้สึก...ในภาษาเจ้าสมัยนี้ก็คงเรียกว่าปิ๊ง คือข้ายังไม่ปิ๊งใครคนไหนในครอบครัวของพวกเจ้าเลย”
“แล้วเธอปิ๊งฉันรึไงฟะ!”
“อย่ามาฟะนะหยาบคาย”
“แล้วให้พูดเพราะๆกับเธอรึไง เราไม่ได้รักกันนี่หว่า โผล่มาทำไมไม่ทราบ”
“...ก็เพราะเราไม่ได้รักกันน่ะสิ”
ราวมีเวทมนตร์ลอยมาพร้อมกับน้ำเสียงหวานพริ้งนั้น ดวงตามองเห็นแต่ไม่อาจขยับหนีเมื่อพบว่าเงามืดกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้จากพื้นใต้ฝ่าเท้าและมุมมืดของแต่ละห้อง ความมึนชาแล่นเข้าจู่โจมเริ่มจากนิ้วเท้าไล่เรื่อยขึ้นมาจนถึงหน้าอก ลมหายใจค่อยๆแผ่วลง เขาทั้งสองข้างทรุดลงทันที
“ยะ ยายบ้า...ทำอะไรน่ะ...” หวังเทวาพยายามยันกายขึ้นแต่ก็ไม่เป็นผล เหลือบเห็นว่าข้างกันนั้นเป็นร่างของเหนือธิดา เปลือกตาของเธอปิดสนิทบอกให้รู้ว่าหมดสติไปแล้ว
“รอเขาผู้นั้นมาถึงก่อน...แล้วข้าจะอธิบายอย่างละเอียดเลยล่ะ...”
------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ตอนที่ 1 คลอดแล้วววว
ขอบคุณสำนักพิมพ์แนตตี้สำหรับโครงการดีๆ
แล้วก็เว็บเด็กดีสำหรับพื้นที่ในการลงนิยายค่ะ
ความคิดเห็น