คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ
*แก้ไขชื่อของ 2 พี่น้อง กล้าและก้อง
**ขออภัยที่เป๋อเหลอ ขอบคุณพี่แก้วที่ช่วยเตือนค่ะ
หวังเทวาเกลียดเด็กเล็กๆ เขารู้ตัวมานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยหลีกหนีได้
/>
กระทั่งมารับจ๊อบเป็นครูสอนพิเศษให้แก่เด็กมอปลายเตรียมเอนท์ตอนเย็นหลังว่างงานจากบริษัทในช่วงเช้า เด็กตัวเล็กๆที่เอาแต่ส่งเสียงง้องแง้งก็ยังมีมาให้วุ่นวายใจ
ดวงตาเรียวคมแบบลูกครึ่งไทย-จีนหรี่ลงจ้องหน้าผู้อ่อนวัยกว่าอย่างท้าทาย ในขณะที่อีกฝ่ายก็จ้องกลับแบบไม่ลดละด้วยดวงตาแป๋วแหววอยากรู้อยากเห็น
“พี่สอนภาษาไทยจริงเหรอฮะ” เสียงเล็กๆเอ่ยเหมือนไม่แน่ใจ ในขณะที่อีกเสียงเอ่ยตอบอย่างนึกรำคาญ “ออกไปได้แล้วไอ้กล้า พี่จะเรียนต่อ”
“พี่ก้องเงียบ!” มีหันไปตวาดพี่ชายด้วย “ผมคุยกับครูของพี่อยู่นะ...พี่ฮะๆ พี่สอนภาษาไทยทำไมอ่ะ หน้าตาแบบพี่มันน่าไปเรียนพวกช่างกลไม่ใช่เหรอ”
ฉึกกก! โอ้...นั่นเสียงศรปักกลางใจหรืออย่างไร
เป็นเวลาเพียงครู่เดียวที่ดวงตาของพ่อพิมพ์แห่งชาติฉายแววโกรธเกรี้ยว หวังเทวากะพริบตาสองสามครั้ง ผ่อนลมหายใจแล้วจึงฉีกยิ้มหวานราวเทวดาก็ไม่ปาน
“แต่พี่สอนภาษาไทยจริงๆนะ ทำไมไม่เชื่อล่ะเจ้าเตี้ย เอ๊ย เจ้าตัวเล็ก หืม...”
“ก็มัน...เฮ่อ ฮะ! เชื่อก็ได้” ในที่สุดใบหน้าเล็กๆนั่นก็พยักหลายๆที เรียกรอยยิ้มจากครูสอนพิเศษภาษาไทยและพี่ชายหัวเกรียน...แกคงเบื่อล่ะมั้ง นั่งเซ้าซี้เขามาจะครึ่งชั่วโมงแล้ว ตัวหวังเทวาเองก็ไม่ทำอะไรไปมากกว่าปฏิเสธพลางแอบแยกเขี้ยวพลาง จะให้งับหัวเจ้าเตี้ยนี่เข้าไปรึไง ได้อดเงินค่าสอนพิเศษน่ะสิ
“พี่ก้อง ผมไปก่อนนะ ถ้าจะเอาขนมอีกก็เรียกได้”
“ไสหัวไปเลย” เด็กหนุ่มวัยรุ่นโบกมือปัดๆแบบรำคาญใจจนร่างเล็กมุ่ยหน้าเดินกระแทกเท้าตึงตังออกไปก่อนจะหันมาแจกยิ้มเจื่อนๆให้หวังเทวา ชายหนุ่มเก๊กหน้าขรึม ตอบรับรอยยิ้มด้วยการชี้มือไปยังชี้ตเรียนพิเศษแล้วเริ่มต้นการเรียนการสอนใหม่อีกครั้ง เป็นนานกว่าจะเรียกสมาธิให้กลับเข้าที่
เขาล่ะสงสัยจริงๆว่าพี่ที่บ้านเคยนึกรำคาญน้องชายบ้างรึเปล่า
‘หน้าตาแบบพี่มันน่าไปเรียนพวกช่างกลไม่ใช่เหรอ’ คำพูดนั้นยังดังก้องอยู่ในความคิด
คาใจจริงโว้ย ยกมือขึ้นถูคางสองสามทีก็พูดออกมา “พี่ขอเข้าห้องน้ำแป๊บนะ”
“คะ ครับ”
ว่าแล้วร่างสูงชะลูดก็ผุดลุกขึ้นทันที เขามุ่งหน้าไปยังห้องน้ำที่อยู่เกือบติดระเบียงด้านนอก เมื่อปิดประตูเรียบร้อยจึงตรงไปยังกระจกสำรวจใบหน้าของตนอยู่นาน
...ไม่เถื่อนสักหน่อย
หึ เอาเถิด โกหกตัวเองก็ยังทำ
ถอนหายใจเพียงหนึ่งครั้ง เจ้าตัวยกนิ้วขึ้นนวดตรงหัวคิ้วเบาๆ เขาเป็นอย่างนี้มาตลอด ติดนิสัยชอบขมวดคิ้วแล้วก็ถลึงตามองชาวบ้านอยู่เรื่อย ถ้าให้ทำหน้าเฉยๆก็เหมือนนักศึกษาเพิ่งจบใหม่ดีๆนี่เอง
ดวงตาสีดำสนิทบนกระจกใสจ้องกลับมาคล้ายจะตั้งคำถามบางอย่าง ริมฝีปากบางนั้นเม้มแน่นเป็นเส้นตรงในทันที เมื่อได้อยู่เงียบๆเพียงคนเดียวแล้วจู่ๆความเครียดก็โถมเข้าใส่ราวกับมีเรื่องให้หนักใจ เขาขยับมือเช็ดหยดน้ำบนจมูกเรียวโด่งลวกๆ ไม่รู้ว่าตนคิดมากเรื่องอะไรอยู่ มันเป็นแบบนี้มาตั้งแต่วันที่มองเห็นพระจันทร์ครั้งนั้น ยิ่งในเวลาที่เขามีเรื่องเครียดๆอยู่ในหัว ภาพดวงจันทร์กลมสวยจะปรากฏซ้อนทับขึ้นมา
...พร้อมชื่อของใครคนหนึ่งแว่วแผ่วในหูดุจพรายกระซิบ
“คนหรือผีล่ะนั่น บรื๋อ~” ชายหนุ่มล้างหน้าอีกครั้งแล้วใช้แขนเสื้อเช็ดอย่างแรงหวังให้หายจากอาการเบลอก่อนพาร่างสูงสมส่วนเดินออกมาไม่วายบิดซ้ายบิดขวาให้สดชื่น
...โดยไม่รับรู้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่จับจ้องเขาอยู่จากด้านนอก...และมันกำลังมา!
“พี่ฮะ”
หวังเทวายกมือขึ้นขยี้หัวอย่างรุนแรงแล้วจึงหันกลับไปทางห้องน้ำตามเสียงเรียก มองเห็นเด็กชายตัวเล็กเจ้าปัญหาเจ้าของคำถามเขย่าประสาทยืนอยู่ตรงทางเดิน ใบหน้าฉงนสนเท่ห์จ้องสู้เขี้ยววาววับของชายหนุ่มแบบไม่สะทกสะท้านเช่นเคย
“มีอะไรอีกล่ะ บอกก่อนว่าพี่เป็นครู เป็นครู...เป็นครู...เป็นครู”
“ก็รู้แล้วนี่ฮะ ย้ำคิดย้ำทำจัง”
เริ่มอยากเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็กขึ้นมาตงิดๆ “โอเค นายมีอะไรจะถามอีกใช่มั้ย”
“แฟนพี่ล่ะฮะ”
“ฉันยังไม่มีแฟน” หวังเทวากัดฟันตอบ “และถ้าเผื่อนายจะอยากรู้ ไอ้เรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่อง...”
“เขามาหาพี่นี่ฮะ”
“ใคร?”
“แฟนพี่” กล้าตอบเสียงฉะฉาน ดวงตาใส่แจ๋วยิ่งทำให้คนฟังหวั่นใจ “ผู้หญิงผมย้าววว...ยาวที่หน้าขาวๆน่ะ เธอยืนก้มหน้าอยู่แถวๆบันได ผมก็เลยเข้าไปถามว่า...เอ๋?”
เสียงที่กำลังเจื้อยแจ้วเป็นอันต้องสต็อปกลางครันเพราะฝ่ามือท่าจัสเซย์โนขอหวังเทวายกขึ้น
“ทะ ที่นายกำลังจะเล่า มันโคตรน่ากลัวเลยรู้มั้ย”
“น่ากลัวยังไงครับ เธอน่ารักออก ปากเป็นสีแดงสดเหมือนตัวการ์ตูนเลย”
คุณพระ! เกิดอะไรกับเด็กคนนี้
หวังเทวาอยากจะหัวเราะถ้าหากหัวใจไม่ได้กำลังเต้นตุบๆและขนไม่ได้พร้อมใจกันลุกซู่ มันน่าขำไหมล่ะ ถ้าหากมีผู้หญิงผมยาวปากแดงมาบอกว่าเป็นแฟนของคุณในบ้านคนอื่น
“อะ เอ่อ...นายคิดไปเองรึเปล่ากล้า”
เด็กวัยสิบขวบอาจจะมีจินตนาการประหลาดๆได้ ใช่...ตอนเขาอายุเท่านั้นเขายังเขียนนิยายเป็นเรื่องเป็นราวเกี่ยวกับยอดมนุษย์ เลยเถิดถึงขั้นเคยคิดว่าคนข้างบ้านเป็นเอเลี่ยนมาแล้ว
“ผมไม่บ้าขนาดนั้นหรอกครับ!”
รู้สึกเหมือนโดนว่า...หวังเทวาเกาหัวแกรกๆ “งั้นนายก็เล่าต่อสิ”
“เล่าทำไมครับ”
“ฉันจะได้รู้เรื่องเกี่ยวกับแฟน...ที่ไม่ใช่แฟนคนนั้นไง”
“ไม่ต้องเล่าหรอกครับ” เด็กชายหัวเราะเสียงใส แล้วโบกมือสองสามที ดวงตาคู่นั้นมองข้ามไหล่หวังเทวาไปคล้ายจะบอกว่ากำลังโบกมือให้กับบุคคลที่ยืนอยู่ด้านหลัง มาถึงตรงนี้...ชายหนุ่มรู้สึกว่ารูขุมขนจู่ๆก็ขยายขึ้นสิบเท่าและหนาวสะท้านไปถึงไขสันหลังยิ่งจังหวะการหยุดพูดไปนานของกล้ายิ่งทำให้เขาหวาดกลัว
“ทะ ทำไมไม่ต้องเล่า...หะ หืม...”
กล้ายิ้มตอบอย่างไร้เดียงสา แล้วชี้มือมาทางเขา ที่จริง...น่าจะเป็นข้างหลัง...
“เธอยืนยิ้มอยู่ตรงนั้นครับ มองพี่ยังกับจะฆ่าแน่ะ”
เหนือธิดาเกลียดพวกคนทรงเจ้า เธอรู้ตัวมานานแล้ว แต่ก็ไม่เคยหลีกหนีได้
“ไอ้รัก” ริมฝีปากสีชมพูอ่อนสวยโดยธรรมชาติขยับเล็กน้อยเพื่อให้เสียงเล็ดรอดออกมาน้อยที่สุด “มันจำเป็นด้วยเหรอวะที่เราจะต้องมาทำอะไรแบบนี้”
เสียงหัวเราะมีจริตจะก้านดังตอบกลับมาพาให้เหนือธิดาอยากจะตบมันสักป้าบ
ดวงตาหวานคมกวาดมองรอบตัวแล้วเบ้หน้าอีกเป็นครั้งที่ร้อยของวัน บรรยากาศแบบนี้ชวนให้พวกงมงายและขวัญอ่อนเชื่อถึงความขลังก็จริง แต่เธอไม่อาจทำใจให้เชื่อในเรื่องเหนือธรรมชาติพวกนี้ได้ เรียกได้ว่าบางครั้งถึงกับต่อต้าน แม้กระนั้นเธอก็ไม่เคยลบหลู่ แค่ไม่ขอนำมาใช้ในชีวิตประจำวัน
เหตุการณ์ที่ทำให้เธอเป็นแบบนี้เพราะน้องชายของเธอนั่นแหละ
ตอนนั้นมันอายุได้เพียงสิบสี่ปี ดันเกิดบ้าอยากจะสัก อยากจะเล่นของ ก็ไปให้พวกสำนักคนทรงแถวบ้านสักให้ก่อนสอบเพียงวันเดียว หวังว่าความขลังมันจะช่วยทำให้การสอบผ่านไปด้วยดี เธออดเป็นห่วงไม่ได้จึงขอตามไปดูอย่างใกล้ชิด ปรากฏว่ามันเสียเลือดไปมาก...เป็นกองๆในแบบที่คนใจแข็งแบบเหนือธิดายังแทบเป็นลม ไอ้คนเสียเลือดไม่ต้องพูดถึง มันนอนจับไข้เป็นอาทิตย์ อดสอบไปตามระเบียบ
พอกลับมาบ้านแล้วเธอก็โดนพ่อฟาดไปหลายทีโทษฐานไม่ดูแลน้อง (แม้จะน้อยกว่าไอ้น้องเวรนั่นหนึ่งเท่าก็เถอะ) ฝ่ายเจ้าน้องชายคนโดนตีทีหลังนั้นไม่ร้องไห้ออกมาสักแอะ สมกับที่เป็นไอ้เถื่อนประจำซอย แถมยังทำตาแข็งสู้ เถียงพ่อแม่สุดใจขาดดิ้นชนิดที่ว่าบ้านแทบแตก มีจะขอลองของให้ดูอีกต่างหาก ผู้เป็นพ่อโมโหถึงขั้นหยิบมีดมาฟันตรงรอยสักที่ข้างหลังดีว่าแค่เฉียดๆ
ปรากฏว่าเลือดกระฉูด เธอไม่สงสัยเลยว่าไอ้น้องบ้านั่นได้เชื้อระห่ำมาจากใคร
เห็นทีว่าบ้านของเธอต้องปักป้าย ‘ฉ’ เสียแล้วกระมัง
“จำเป็นสิโว้ย” คำพูดดังขึ้นอีกจากเจ้าของใบหน้าที่แต่งแต้มด้วยเครื่องสำอาง “แกน่ะยี่สิบห้าแล้วนะ ยังไม่มีแฟนเลย ไม่คิดว่ามันผิดปรกติบ้างเหรอ คนธรรมดาที่ไหนเขาเป็นกัน”
ทั่วฟ้าเมืองไทยเลย พี่น้อง
“ไอ้เนตร” เหนือธิดาเลือกจะพูดถึงคนสนิท
“พูดมาได้ แม่เจ้า อย่างไอ้เนตรเนี่ยเหรอคนธรรมดา” ใบหน้าค่อนข้างอวบอย่างคนอุดมสมบูรณ์เบะทันที ดวงตาคมที่ถูกปัดด้วยมาสคาร่าจนขนตาหนาเป็นแพเหล่มองแบบสุดจะทน
“แล้วไม่ธรรมดายังไงไม่ทราบ”
“พอจ้ะพอ” อีกฝ่ายยกนิ้วมือที่ประกอบด้วยเล็บสีแดงสดชี้หน้าเพื่อนไว้ “แกเนี่ยนะ เป็นเรื่องไอ้เนตรทีไร เถียงน้ำไหลไฟดับทุกที ฉันล่ะเบื่อ”
“แกคนเดียวซะที่ไหน...”
“จุ๊ๆ เขาเริ่มพิธีแล้ว”
ร่างของหญิงชุดดำบนโต๊ะไม้ตัวยาวเริ่มสั่นอย่างรุนแรง ประกอบกับคำพูดร่ายยาวประหลาดๆคล้ายภาษาโบราณยิ่งทำให้บรรยากาศน่าเกรงขาม ควันธูปสีขาวหม่นที่ลอยคละคลุ้งรอบกายนั้นราวจะมากขึ้นตามน้ำเสียงที่ไล่ระดับต่ำลง ไม่นานเธอก็ลืมตาโพลงพร้อมกับบทสวดกลับมาอยู่ในโทนเดิม ทุกครั้งที่เธอกรีดร้อง ลมหายใจจะสะดุดลงและปรากฏเป็นสายลมพัดแรงเข้ามาจากทางหน้าต่างบานเดียวในห้องนี้
ชั่ววินาทีที่รู้สึกราวกับตกอยู่ในห้วงฝัน เหนือธิดายกมือขึ้นกุมขมับ พยายามปรับสายตาเพ่งมองไปยังหญิงชุดดำเบื้องหน้าทันได้สบเข้ากับดวงตาสีดำสนิทลึกล้ำ เธอถึงกับสะดุ้ง มันไร้แวว...ดุจไม่ชีวิต เมื่อสังเกตดีๆจึงพบว่าดวงตาคู่นั้นไม่ได้จับจ้องมาทางนี้ ใบหน้าหวานรีบตวัดมองไปยังหน้าต่างทันที
“เจ้า!!!”
และก่อนที่ความกดดันจะแผ่ซ่านมากขึ้น น้ำเสียงสองโทนก็ตวาดก้องราวกำเนิดจากข้างในร่าง เหนือธิดาสะดุ้งเฮือกหันหน้ากลับมามองเจ้าสำนักร่างทรงแห่งนี้ด้วยความงุนงง
ควันธูปราวจะเลือนหายไปในพริบตาเมื่อนิ้วเรียวยาวชี้ตรงมาทางเธอ พาให้ผู้คนอีกว่าสิบชีวิตที่นั่งอยู่ในบ้านทรงไทยหลังนี้หันมามองยังเธออย่างอยากรู้ เพื่อนสาวที่นั่งพนมมืออยู่ข้างๆถึงกับผงะเกือบหงายหลัง คว้ากระเป๋าของตนได้ก็พยายามหลบหลีกนิ้วของเจ้าแม่ทั้งที่วิถีนั้นมีเพียงเหนือธิดา...
หญิงสาวที่จ้องตาหญิงชุดดำกลับอย่างไม่เกรงกลัว
“กะ แก ไหว้สิไหว้! เขาโกรธหรือเปล่า แก๊~”
“สุดที่รัก” ปรายตามองเพื่อนซี้ที่กำลังสั่นเป็นเจ้าเข้าแทนเจ้าแม่แล้วนึกอายอย่างที่สุด “แกช่วยทำตัวให้เหมือนมาสะเดาะเคราะห์ได้มั้ย เราไม่ได้ทำอะไรผิดหรอก ลุกขึ้นมานั่งดีๆ”
“ไม่ได้ๆๆๆ”
“เจ้า!!!”
น้ำเสียงทรงพลังขัดขึ้นมาทำเอาสุดที่รักร้องจ้าแล้วโผเข้าเกาะแขนเหนือธิดาที่ได้แต่ถอนหายใจ
“เจ้า...เป็นหญิงสาวที่ดวงชะตาแปลกประหลาด”
แหงอยู่แล้ว...เหนือธิดาคิดในใจ ความแปลกประหลาดที่ว่านั้นก็ไม่ใช่แปลกแบบธรรมดา เป็นความแปลกที่ได้รับสืบทอดมาตั้งแต่บรรพบุรุษ ไม่ว่าใครในตระกูลเธอล้วนแล้วแต่มีสิ่งนี้ติดตัวมา
อยู่ที่ว่าใครจะรับรู้ได้โดยที่เธอไม่เอ่ยปากบอก
“แล้วยังไง”
“ไอ้เหนือ!!” สุดที่รักชักอยากจะหักคอคนขึ้นมาซะแล้ว “มีมารยาทหน่อยสิ”
“ก็เขาพูดว่า ‘เจ้า’ มาสองรอบแล้ว ฉันเลยอยากจะรู้ว่าไอ้เจ้าที่ว่าน่ะมันยังไง”
“อวดดี...” น้ำเสียงเรียบนิ่งสะกดให้บรรยากาศพลันเคร่งขรึมขึ้นทันใด แม้แต่ดวงตาแข็งกร้าวของเหนือธิดายังอ่อนแสงลงชั่วครู่ก่อนจะกลับมาจ้องสู้เนตรสีนิลกาฬดังเดิม
“ว่ามา”
“ชะตาของเจ้ามันมืดมนตั้งแต่เริ่มต้น รู้ตัวใช่หรือไม่”
“อืม”
เสียงหัวเราะแผ่วๆดังเล็ดลอดจากริมฝีปากที่เคลือบด้วยลิปสติกสีดำ หญิงสาวกรีดนิ้วขึ้นมองพลางยิ้มที่มุมปาก “แต่ครั้งนี้จะมืดมนยิ่งกว่า ชายหนุ่มที่มาพร้อมกับสัญญานับพัน...พันปี พันปีที่รอคอย เช่นเดียวกับน้องของเจ้า หากแต่ความยุ่งยากจะบังเกิดที่เจ้า...ผู้ผิดสัญญา”
“สัญญาอะไร” เหนือธิดาแค่นหัวเราะ “แล้วตั้งพันปี ตอนนั้นฉันยังเป็นวุ้นอยู่เลยมั้ง”
“ใช้ความประหลาดของเจ้าค้นหาสิ” ดวงตาของหญิงชุดดำพลันวาววับขึ้นคล้ายไม่ใช่ดวงตาของมนุษย์ “เขารออยู่ตรงนั้นแล้ว มาหาเจ้าตั้งแต่คืนเดือนเพ็ญ หรือว่าคืนนั้นเจ้าจำไม่ได้?”
คืนเดือนเพ็ญ?
จู่ๆก็รู้สึกถึงความปั่นป่วนในช่องท้องจนริมฝีปากสั่นระริก ใบหน้าของเหนือธิดาซีดเผือดลงจนสุดที่รักสังเกตได้ เธอรีบตรงเข้าไปจับมือเพื่อนไว้ แต่เจ้าตัวกลับสะบัดทิ้งและจ้องกลับด้วยดวงตากราดเกรี้ยว
ไอ้คนพรรค์นั้นทำไมจะจำไม่ได้
เหนือธิดาตรงกลับมาที่คอนโดด้วยความรู้สึกหนักอึ้ง
เธอเลือกที่จะไม่ขอดูดวง สะเดาะเคราะห์ ทำนายโชคเกี่ยวกับเนื้อคู่อะไรอีกด้วยการอ้างกับสุดที่รักว่าเธอเหนื่อยเกินไปและรู้สึกไม่สบายตัว เหมือนมีวิญญาณร้ายคอยตามรังควาญอย่างไรอย่างนั้น ที่น่าโมโหที่สุดก็คือทันทีที่พูดคำว่า ‘วิญญาณร้าย’ หญิงชุดดำก็ระเบิดหัวเราะเสียงแหลมพลางมองไปยังหน้าต่าง รอยยิ้มที่ผุดพรายบนริมฝีปากนั้น เธอรู้เสียยิ่งกว่ารู้ว่ามันอันตราย
ทั้งที่คิดว่าไม่น่าจะมีพวกคนทรงเจ้าตัวจริงอยู่แล้ว ดันโดนลูบคมตาทิพย์ของตัวเองเสียได้ ที่เธอยอมให้สุดที่รักลากไปเพราะขี้เกียจปฏิเสธหรอก เธอไม่กล้าบอกใครเรื่องนี้และคนรอบตัวก็ไม่มีใครรู้
หญิงสาวพาร่างมายังห้องของตนเองก่อนจะพบว่ามีเงาตะคุ่มๆกำลังทำท่าลุกลี้ลุกลนอยู่ตรงบานประตู เธอขมวดคิ้วและก้าวเข้าไปใกล้ร่างนั้นอย่างเงียบเชียบ ในทันทีที่เธอส่งเสียงเงานั่นก็ถึงกับสะดุ้งโหยง
“เฮ้ย!!!” คีย์การ์ดใบหนึ่งร่วงลงสู่พื้นและเหนือธิดาก็เก็บมันขึ้นมาทันที “ไอ้หวัง เป็นอะไรวะ เรียกแค่นี้ทำเป็นขวัญอ่อน หนีโจรฆ่าข่มขืนมารึไง”
“ถ้าแค่โจรก็ดีสิเจ๊” อีกฝ่ายตอบเสร็จก็ยกมือขึ้นลูบหลัง เป็นนิสัยส่วนตัวของหวังเทวาที่เวลามีเรื่องให้หวาดผวาจะชอบยกมือขึ้นลูบรอยสักเล็กๆที่สักไว้ตั้งแต่สมัยมอต้นของตนตลอด ใบหน้าคมคายอันมักจะมีเพียงแต่ความเข้มแข็งตอนนี้ซีดเป็นแผ่นกระดาษ เส้นผมเปียกลู่แนบใบหน้าเพราะเม็ดเหงื่อ เขาดูซีดเซียวกว่าทุกครั้งและคล้ายจะกระวนกระวายตลอดเวลา
“ตกลงว่าโดนกระทำมามากกว่านั้นเหรอ”
“เพ้อเจ้อ” หวังเทวาคว้าคีย์การ์ดมาจากพี่สาวแล้วเปิดประตูทันที “ผมจะเล่าความจริงอันไม่เกี่ยวกับมวลมนุษย์ให้เจ๊ฟัง แต่ไม่ต้องหาที่นั่งดีๆหรอก เล่ามันตอนนี้เลยก่อนที่ผมจะหมดมู้ด”
“ไม่เกี่ยวกับมวลมนุษย์?”
มือเรียวสวยของเหนือธิดาเอื้อมไปเปิดไฟในห้องคอนโด ปรากฏเป็นห้องขนาดใหญ่ที่ตกแต่งด้วยเครื่องเฟอร์นิเจอร์ไม้ล้วนๆแม้สไตล์ของโคมไฟและประตูห้องรวมทั้งกระจกบานใหญ่ตลอดทั้งแนวด้านหนึ่งตรงห้องรับแขกอันทำให้มองเห็นไปท้องฟ้ามืดสนิทด้านนอกจะให้ความรู้สึกล้ำสมัยแต่ก็ถูกกลบด้วยกลิ่นอายตะวันออกอย่างเห็นได้ชัดไม่ว่าจะเป็นประตูไม้ฉลุลายกนกหรือภาพวาดสีน้ำมันตามฝาหนังสีนวล
“ผี ผีชัวร์ๆ ขนลุกซู่ๆนี่บอกผม” หวังเทวาโยนร่มไว้แถวๆที่เก็บรองเท้าและปล่อยให้พี่สาวตามเก็บ
“ฉันรู้ว่าแกกลัวแต่ช่วยเก็บของให้เป็นที่หน่อย!” เหนือธิดาถอนหายใจดังพรืด “แล้วผีอะไร คงไม่ใช่ผีตัวเดียวกับของฉันหรอกใช่มั้ย อ้อ ไม่สิ ไอ้เฮงซวยนั่นมันเป็นปีศาจนี่หว่า”
“เจ๊ก็เจออะไรแปลกๆเหมือนกันเหรอ”
“เออ รู้ด้วยว่าเป็นตัวอะไร แต่โคตรโมโห โมโหที่ยายเจ้าแม่นั่นทำยังกับรู้ทุกอย่างที่ฉันไม่รู้”
หวังเทวาขมวดคิ้ว จ้องดวงตาหวานสวยของพี่สาวที่บ่อยครั้งจะถลึงใส่ชาวบ้านด้วยความเป็นคนห้าวเกินหญิง บัดนี้มันวาวโรจน์แบบคนหัวเสียจริงๆ ชายหนุ่มตัดสินใจเอ่ยต่อ “เมื่อไหร่”
“ตั้งแต่วันเพ็ญนั่นแหละ”
คนฟังยกมือสั่นๆชี้หน้าตัวเอง “ผะ ผมก็เหมือนกัน!”
ทันทีที่สิ้นประโยคนั้น...สายลมอันไม่ควรมีก็พัดวูบผ่านราวกระซิบบอกว่าใครคนหนึ่งเพิ่งเดินทางมาถึง...ทั้งเหนือธิดาและหวังเทวาพร้อมใจกันมองหน้าอีกฝ่ายด้วยความรู้สึกที่แตกต่าง ชายหนุ่มรู้สึกร้อนๆหนาวๆในขณะที่หญิงสาวกำหมัดแน่น เธออยากจะรู้เหมือนกันว่าไอ้หมอนั่นมันโผล่มาทำไม
เสียงบานประตูเปิดออกดังขึ้นก่อนตามด้วยเสียงฝีเท้าที่ย่ำตรงมาทางนี้ช้าๆ...
--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
มาแล้วค่ะสำหรับตอนแรก
ติเยอะๆนะคะ อย่าผ่านมาแล้วผ่าน แหะๆๆ
ขอบคุณพี่แนตตี้อีกครั้ง...ที่ให้โอกาส
และเว็บเด็กดีที่ให้พื้นที่ในการลงนิยายค่ะ
ความคิดเห็น