คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 02 : ผู้ชายใต้ดวงอาทิตย์
href="file:///C:\DOCUME~1\admin\LOCALS~1\Temp\msohtml1\01\clip_filelist.xml" />
บทที่ 02 : ผู้ชายใต้ดวงอาทิตย์
เปลือกตาขยับนิดหนึ่งเมื่อรู้สึกถึงความอบอุ่นที่ส่องลอดผ้าม่านเข้ามา
‘ก็เพราะเราไม่ได้รักกันน่ะสิ’...น้ำเสียงคุ้นหูดังขึ้นในหัวเป็นลำดับแรกพาให้แปลกใจ คิ้วเรียวขมวดมุ่น ต้องนอนแน่นิ่งอยู่นานจึงรู้สึกถึงความอ่อนนุ่มของเตียงนอน ศีรษะที่คล้ายจะหมุนไปหมุนมาอยู่ตลอดเวลา เขาจำไม่ได้ว่าหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่และพบว่าตัวเองยังคงอยู่ในชุดทำงานตัวเดิม
ภาพสุดท้ายที่เห็นคือรอยยิ้มหวานหยดของเทพธิดาแห่งแสงจันทร์
อทิมิสเซีย!!!...หวังเทวาผุดลุกขึ้นนั่งก่อนจะพบว่าโลกหมุนได้พร้อมๆกับโดนกระแทกอย่างแรงที่ศีรษะ คิดว่ากะโหลกคงจะยุบหากไม่สัมผัสด้วยมือตัวเองว่ามันยังอยู่ดีเพียงแต่บวมปูดขึ้นมานิดหน่อย กรอภาพในสมองย้อนดูจึงรู้ว่าเมื่อสักครู่ตนได้โขกหน้าผากเข้ากับใบหน้าปริศนา
ลุกอีกหนอย่างระมัดระวัง แล้วจึงเห็นร่างเล็กๆในชุดเสื้อคลุมสีขาวกำลังร้องโอดโอยอยู่ที่พื้น มือบางจับคางตนไว้แน่นในขณะที่ดวงตาหลับปี๋และริมฝีปากเม้มเป็นเส้นตรงบ้างอ้าบ้าง
“โอย...เจ็บเป็นบ้า มนุษย์อะไร ทำไมกะโหลกหนาขนาดนี้”
“ธะ เธอเข้ามาในห้องฉันได้ยังไง!”
อทิมิสเซียทุบเตียงเสียงดังจนหวังเทวาถึงกับสะดุ้งโหยง “ข้าคงเจาะเพดานเข้ามาล่ะมั้ง!”
“ใครจะรู้ เมื่อคืนเธอยังระเบิดกระจกบ้านฉันได้เลย”
“จะค่อนขอดกันอีกนานมั้ย ข้าซ่อมกระจกแล้วก็เก็บข้าวเก็บของให้หมดแล้ว ไอ้เจ้ามนุษย์ขี้งกจอมทึ่ม” เส้นผมสีดำขลับยาวจรดเอวนั้นพลิ้วไหวไปมายามเมื่อเจ้าตัวขยับลุกยืน
“ชิ! ยังมาทำจ้องหน้าอีก เจ้ากลัวผีมาตลอดชีวิตไม่ใช่รึไง ทำไมไม่กลัวข้า”
“ถามอะไรมากฟะ ฉันเพิ่งตื่นนะ และถ้าอยากให้กลัวก็ช่วยทำตัวให้น่ากลัวหน่อยสิ”
ชายหนุ่มสำรวจตัวเองช้าๆปล่อยให้หญิงสาวอีกคนพล่ามไปเรื่อยๆ เมื่อคืนเขาคิดว่าเสียงแม่นี่หวานเข้าไปได้อย่างไรนะ ในเมื่อตอนนี้มันแหลมสูงจนน่ากลัวว่าจะทำเขาประสาทกินได้ง่ายๆ
“มนต์บทง่ายๆ เจ้าสองคนอ่อนแอเองที่สลบ”
“ให้ตายเหอะ เธอเพื่อทำอะไร”
“ข้าง่วง” ดวงตาใส่แจ๋วบ่งบอกว่าพูดความจริง แต่พอเห็นแววไม่พอใจในคำตอบจากใบหน้าคู่สนทนาจึงรีบเอ่ยเสริมพลางฉีกยิ้มแฉ่ง “เอ่อ...ที่จริงข้าเสียพลังไปเยอะกับการเปิดตัวแล้วก็ขี้เกียจตอบคำถาม ก็พี่สอนไว้นี่นา การพบกันครั้งแรกต้องสร้างประทับใจไว้ให้มาก”
“เหรอ”
หน้าตาของหวังเทวามีคำพูดแปะไว้อย่างชัดแจ้ง...’ประทับใจตรงไหน’
“เอาน่า ไม่ใช่เรื่องสาหัสสากรรจ์อะไร ตอนนี้ทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว เจ้าสามารถออกไปตรวจเช็กได้เลย อ้อ...ถ้าเจ้าไม่กลัวจะไปทำงานสายนะ พี่สาวเจ้ามาเคาะประตูเรียกตั้งแต่เมื่อสองชั่วโมงที่แล้ว”
หวังเทวามุ่นหัวคิ้ว พยายามประติดประต่อความคิดอย่างรวดเร็วแล้วร่างทั้งร่างก็ดีดผึงขึ้นมายืน ทำให้เขามองเห็นนาฬิกาแขวนผนังชัดเจน รู้สึกดีที่ร่างกายหายมึนไปชั่วขณะ แต่เข็มสั้นที่ชี้ไปยังเลขสิบกับเข็มยาวซึ่งชี้ไปยังเลขสามนั้นไม่ทำให้เขามีความสุขสักนิด
“ส่งต้นฉบับวันนี้ด้วย! เวรกรรม!!” ร่างสูงกระโดดลงมาจากเตียงคว้าผ้าเช็ดตัวได้ก็ทำการถอดเสื้อทันที รีบร้อนจัดเสียจนลืมว่ามีใครอีกคนยืนอยู่ในห้องด้วย
“กรี๊ด! จะทำอะไรน่ะ จะทำอะไร”
“แก้ผ้า” สวนกลับหน้าตาย “ต่อให้เป็นผีก็มีมารยาทผู้ดีใช่มั้ย ออกไปได้แล้ว”
“ไม่บอกก็ต้องออกไปอยู่แล้ว...ว้าย! อย่าเพิ่งถอดสิ ไอ้มนุษย์ผู้ชายลามกไร้มารยาท!”
ร่างบอบบางโวยวายอยู่อีกสองสามคำก็เดินทะลุกำแพงออกไปทิ้งให้หนึ่งหนุ่มมองตาค้าง...อย่างนี้ต้องเรียกเจาะกำแพง...ส่ายหัวสองสามทีก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำไป
หวังเทวาเดินออกมาหลังจากทำธุระส่วนตัวเสร็จแล้ว พบว่าห้องที่เคยเละเทะเมื่อวานกลับมาอยู่ในสภาพเดิมแล้ว หนังสือที่เขาสุดจะหวงแหนวางเรียงรายอยู่ตามชั้นหนังสือเช่นเดิม กลิ่นหอมกรุ่นของขนมปังและกาแฟพลันลอยมาแตะจมูก แทบอยากจะกระโจนเข้าไปหาโต๊ะรับแขกหาไม่พบใครคนหนึ่งยืนจ้องข้าวเช้าของราวเคยไปฆ่ากันมาแต่ชาติปางไหน ร่างสูงเดินย่องเข้าไปช้าๆ ลองหยิบขนมปังขึ้นมาชิ้นหนึ่ง
ดวงตาสีทองมองตาม จ้องเขม็งไม่เปลี่ยนแปลง ชายหนุ่มจึงย่นหน้า “เธอทำอะไร”
“กิน” เสียงใสตอบ “เวลาภูติมาอยู่ที่โลกมนุษย์ก็ไม่ต่างจากวิญญาณหรอก ฉะนั้น ไม่ว่าทำอะไรก็ต้องใช้พลังจิต ไม่สามารถจับต้องได้ หากเราไปทำสิ่งใดให้สูญหายมันจะเหมือนเป็นการทำลายสมดุลของสามโลก” อทิมิสเซียโปรยยิ้มหวาน...หวังเทวาอดคิดไม่ได้ว่ารอยยิ้มเมื่อคืนของเธอดูจะงดงามกว่าตอนนี้
เป็นคนที่เหมาะกับแสงสีเงินของดวงจันทร์มากกว่าเปลวแดดของดวงอาทิตย์
“ภูติ...ไม่ใช่ผีเหรอ”
“คล้ายๆ เราเป็นเผ่าพันธุ์วิญญาณชั้นสูงที่ไม่จำเป็นต้องมีกายเนื้อ จิตเข้มแข็งจนก่อเป็นรูปร่างได้ มีขึ้นเพื่อคอยรักษาสมดุลการเกิดและการตายที่โลกวิญญาณ...โลกซึ่งเป็นที่อยู่ของวิญญาณซึ่งยังไม่ไปนรกหรือสวรรค์ สวยกว่าที่นี่มาก ถ้าข้าไม่ต้องแต่งกับเจ้าแล้วจะพาไปชม”
“น่ากลัวอะไรอย่างนี้ โลกที่มีแต่ผีกับผี”
หวังเทวายัดขนมปังคำสุดท้ายเข้าปากก่อนจะกรอกกาแฟตามลงไป
วงจรชีวิตของเขาเป็นอย่างนี้เกือบทุกวัน พี่สาวมาปลุกตอนเช้า ระหว่างรอเขาอาบน้ำเธอก็จะทำข้าวเช้าง่ายๆเตรียมไว้ จากนั้นต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันไปทำงาน กลับมาเจอกันอีกทีในตอนเย็น แม้สองพี่น้องจะเจอหน้ากันเพียงไม่กี่ชั่วโมงในหนึ่งวัน สายสัมพันธ์กลับแน่นแฟ้น ไม่แพ้พี่น้องคู่อื่น
ไม่มีการถามสารทุกข์สุขดิบให้หวานหูหรือชุ่มหัวใจและไม่เคยมีใครเรียกร้องสิ่งนั้น
“เจ้าหน้าโหด สอนพิเศษพ่อหนุ่มนั่นต้องไปแต่เช้าเลยเหรอ”
ชายหนุ่มค่อนข้างฉุนกับสรรพนามที่หญิงสาวใช้เรียกตนแต่ก็ยอมปล่อยผ่านๆเพราะดวงตาใส่ซื่อบริสุทธิ์คู่นั้น เขาเก็บถ้วยกาแฟไปไว้ที่อ่างล้างจานพร้อมเริ่มอธิบาย “ฉันเป็นพวกอยู่นิ่งๆไม่ค่อยจะไหวน่ะก็เลยทำงานเยอะ ประจำจริงๆก็ที่บริษัทนิตยสาร ไอ้สอนเด็กเอนท์นั่นมันงานพิเศษ อีกอย่างก็...โอ๊ยเธออย่ารู้เลย ฉันไปล่ะ แล้วทำไมฉันต้องบอกเธอด้วยวะ โว้ย!” หวังเทวาบ่นงึมงำ ยิ่งหัวเสียเข้าไปใหญ่พอเห็นรอยยิ้มแปลกๆส่งมา เขาตัดสินใจเดินหนีอทิมิสเซียเสียดื้อๆ รีบปิดประตูห้องและตรวจเช็กความเรียบร้อยอีกครั้ง
เอาเถอะ ถึงจะล็อกไว้แม่นั่นก็คงไม่ตาย อย่างไรซะก็เป็นวิญญาณ
เขาเดินเอ้อระเหยอยู่ได้เพียงครู่เดียวก็ออกวิ่งไปที่ลิฟต์ทันที “สิบเอ็ดโมงแล้วเหรอเนี่ย”
แทบจะยืนนิ่งๆไม่ได้ เมื่อเสียงสัญญาณจากลิฟต์ดังขึ้นว่าถึงที่หมายร่างสูงก็วิ่งพรวดพราดออกไป ก่อนจะรู้สึกเหมือนกับว่าทะลุผ่านอะไรบางอย่างไป
ตวัดสายตาหันไปด้านหลังก่อนจะกรีดร้องลั่นและล้มลงไปกอง “ยัยบ้า! โผล่มาทำอะไรตรงนี้วะ!”
...ถึงจะพยายามทำให้เป็นปกติแต่เขาก็กลัวผีนะเว้ยเฮ้ย!
“ข้าไปด้วย” หญิงสาวในชุดขาวลายทองสางเส้นผมของตัวเองไปมา “ไม่ลำบากเจ้าหรอก ให้ข้าไปด้วยนะ ไม่มีใครเห็นข้าแน่ เผื่อข้าจะเจอคนที่เหมาะกับเจ้าไง”
“ไม่จำเป็น” หวังเทวาเดินหนีออกมา ร้องเสียงหลงอีกครั้งเมื่อจู่ๆร่างบางก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้า
“เถอะนะ แค่ไปที่ทำงานเอง เจ้าจะหวงไปทำไม”
ไม่ได้หวง...หวังเทวาแค่ไม่อยากให้ผู้หญิงคนนี้อยู่ใกล้ตัวเองสักเท่าไหร่ อะไรบางอย่างในความรู้สึกมันบอกชัดว่ายิ่งอยู่กับเธอเรื่องวุ่นวายก็จะยิ่งตามมาไม่จบไม่สิ้น
“แต่แดดมันจัด เธอเห็นมั้ย” หวังเทวาแถไปเรื่อย “ผีไม่กลัวแดดหรอกเหรอ”
“วู้ ที่โลกของข้าก็มี เจ้าน่ะออกไปทำงานได้แล้ว ข้าจะบินตามไป เร็วๆสิ ยืนมึนอยู่ได้”
อทิมิสเซียพยายามดันหลังของเขาสุดแรงเกิดและส่งเสียงกวนตลอดเวลาจนชายหนุ่มครั่นเนื้อครั่นตัวชักอยากตะคอกไล่แม่นี่กลับโลกไปเสียให้รู้แล้วรู้รอด เพียงแต่เห็นลูกแก้วสีทองทอประกายนั่นแล้วก็หมดแรงจะพูด เธอช่างเป็นวิญญาณไร้เดียงสา (ที่ทำคนอื่นเป็นบ้าโดยไม่รู้ตัว) อะไรอย่างนี้
สุดท้าย...ก็จำต้องเดินไปยังรถยุโรปสีดำสนิทคันหรูที่คนรู้จักต่างพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่เหมาะกับเขา ด้วยความขี้เกียจจะเถียงกับคนเอาแต่ใจจึงสตาร์ทรถทันทีและถึงแม้จะรู้สึกไม่พอใจเท่าไหร่ที่เห็นอทิมิสเซียมานั่งเอนหลังอยู่ที่เบาะข้างๆ เขาก็เลือกที่จะเริ่มการสนทนามากกว่าต่อปากต่อคำ
“เธอเป็นผีทำไมจับของได้”
“พลังจิตไง เจ้างั่งเอ๊ย” เจ้าหญิงแห่งโลกวิญญาณหลุดคำด่าไม่ซ้ำเดิมออกมาอีกหนึ่ง “เฮ่อ...แดดร้อนจริงๆนั่นแหละ ข้าเปลี่ยนใจแล้ว ข้าไม่บินก็ได้ ดวงอาทิตย์วันนี้เป็นสีเพลิงน่ากลัวจะตาย”
หวังเทวาไม่ตอบแต่เริ่มออกรถไปสู่ถนนใหญ่ปล่อยสาวเจ้าข้างๆพึมพำต่อไป
“ไม่ใช่น่ากลัวเพราะเป็นสีเพลิงแต่น่ากลัวเพราะเหมือนสีตาของเจ้าระห่ำนั่นต่างหาก”
“ผีอีกเหรอ ถ้าติงต๊องอย่างเธอก็พอรับมือไหวนะ”
“ยิ่งกว่าผีอีก” อทิมิสเซียกัดริมฝีปากแน่น “เดี๋ยวข้ามา”
แล้วร่างนั้นก็สลายกลายเป็นฝุ่นหายไปต่อหน้าต่อตาเล่นเอาหนุ่มหน้าโหดตาค้างเลยทีเดียว
ณ ที่อีกแห่งหนึ่ง...ใบหน้าหวานคมกำลังมุ่ยอย่างไม่สบอารมณ์ที่สุด เม็ดเหงื่อกลับผุดขึ้นตามใบหน้าแม้อากาศจะเย็นจัดจากเครื่องปรับอากาศในห้องประชุม ดวงตาสีดำขลับเงยขึ้นมองเพดานทีหันมองหัวหน้าทีคล้ายกังวลอะไรสักอย่าง มีพิรุธเสียจนหญิงสาวด้านข้างต้องสะกิดเรียก
“เหนือ แกเป็นอะไรวะ”
“เปล่า” ปฏิเสธไปอย่างนั้นทั้งทีสายตายังกวาดล่อกแล่ก
สุดที่รักถอนหายใจ “เปล่าได้ยังไง แกไม่มีสมาธิทำงานเลย ปรกติเวลามีงานชิ้นใหม่ขึ้นมาก็จะเป็นคนเสนอไอเดียไม่ใช่เหรอ นี่แกเล่นนั่งเงียบมาตั้งแต่เข้าห้องประชุมแล้ว”
“มันไม่มีอารมณ์”
“ตรงนั้นมีปัญหาอะไรครับ” ชายวัยกลางคนศีรษะล้านเลี่ยนบริเวณด้านหน้าวางปึกกระดาษลงกับโต๊ะแล้วพุ่งเล็งสายตามาทางสองสาว พนักงานอีกกว่าสิบชีวิตที่นั่งเต็มตลอดความยาวของโต๊ะประชุมเริ่มหันมองตามบ้าง เหนือธิดาบีบนิ้วแรงๆสองทีจึงกล้าสบตากับหัวหน้าของตนเมื่อเห็นสุดที่รักเอาแต่อ้ำอึ้ง
“เปล่าค่ะ”
“แต่ผมคิดว่าคุณคงมีความคิดเห็นเกี่ยวกับโฆษณาชิ้นนี้”
“ซ้ำซากค่ะ” คำตอบกระแทกตรงประเด็นซะจนสาวเปรี้ยวอย่างสุดที่รักเผลออ้าปากค้าง แม้เหนือธิดาจะเป็นคนพูดจาตรงไปตรงมาอยู่แล้วแต่ก็ไม่คิดว่าจะกล้าตอบอะไรขวานผ่าซากใส่หัวหน้าแบบนี้
เหตุผลมีอย่างเดียวคือเธอกำลังโมโหอะไรสักอย่าง
“คุณหมายความว่ายังไงที่ว่าซ้ำซาก”
“ตามนั้นค่ะ มีคนทำไปแล้วดิฉันก็เลย...”
“แล้วทำไมคุณเพิ่งจะมาเสนอความคิดเอาตอนนี้ทั้งทีเรากำลังเริ่มวางแผนถ่ายทำแล้ว”
คำตอบคือความเงียบงันจากริมฝีปากบางไร้เครื่องสำอางแต่งแต้ม เสียงหัวเราะเยาะเย้ยแผ่วๆพลันดังขึ้นในหูส่งผลให้เหนือธิดาต้องกำหมัดแน่น เธอเงยหน้าขึ้นมองเพดานอีกครั้งเป็นรอบที่ร้อยด้วยดวงตากรุ่นโทสะ ในขณะที่อีกฝ่ายผู้ไม่ควรจะอยู่บนนั้นจ้องตอบกลับมา ไม่สะทกสะท้านใดๆ
“คุณมองอะไร คุณเหนือ”
“เปล่าค่ะ”
“ผมไม่พอใจในคำตอบนั้น” ชายหัวล้านขมวดคิ้ว มุ่ยหน้า “กรุณาตั้งใจหน่อย แล้วก็รวบรวมสมาธิให้ดี คุณมีฝีมือโดดเด่นมาตลอดนะคุณเหนือ อย่าทำให้ผมผิดหวัง”
...เหนือธิดากัดฟันกรอด มองสำรวจ ‘เขา’ อีกทีเพื่อให้แน่ใจว่าเธอรู้จักหรือไม่
ชายหนุ่มผู้มีดวงตาสีเพลิงคมกริบโชติช่วงราวจะแผดเผาทุกสิ่งให้อารมณ์ตัดกับเส้นผมสีครามกระจ่างดุจท้องฟ้ายามบ่ายที่ยังฝืนแรงโน้มถ่วงแนบใบหน้าเรียวได้แม้เจ้าตัวกำลังนั่งขัดสมาธิห้อยหัวลงสู่พื้น มือข้างหนึ่งวางบนตักส่วนมืออีกข้างตบเข่าไปมาด้วยกริยาถูกใจ ต้องยอมรับว่าเครื่องหน้าของเขานั้นหล่อคมชนิดหาคนเทียบได้ยาก ยิ่งรูปร่างสูงสมส่วนแล้วทำให้ดูโดดเด่นกว่าใครๆ ไม่ผิดกับนายแบบในนิตยาสาร
แต่หมอนี่คือคนเมื่อคืนนั้น! คืนพระจันทร์เต็มดวง...คนที่ตั้งแต่เกิดมาเพิ่งจะเจอครั้งแรกในชีวิต
คนที่จู่ๆก็ถลาเข้ามาในห้องนอนของเธอกลางดึกพร้อมดาบเล่มหนึ่งและพูดว่า
‘ผู้หญิงเช่นเจ้าไม่ควรเกิดมาบนโลกใบนี้’ เสียงเยียบเย็นบาดลึกเข้าไปในหัวใจ ‘ข้าจะฆ่าเจ้า’
แม้จะอยู่ในแสงจันทร์สลัวแต่เขา...เป็นบุคคลประเภทที่มองปราดเดียวก็จำได้ น้ำเสียงทุ้มต่ำกับดวงตาซึ่งคุโชนอยู่ตลอดเวลา ท่วงท่าการเคลื่อนไหวเฉพาะตัวไม่เหมือนใครและท่าทียโสโอหังราวตนเป็นเจ้าโลก คำพูดที่ว่าใส่ราวกับเห็นเธอเป็นก้อนหินข้างทาง
ดาบนั่นเกือบจะปาดคอเธออยู่รอมร่อ โชคดีที่หวังเทวามาเคาะประตูห้องเธอเสียก่อนทำให้ดวงตาสีเพลิงจำต้องล่าถอยไปในความมืด เธอจะเล่าเรื่องนี้ให้เจ้าน้องชายฟังอยู่แล้วหากไม่เห็นว่ามันกำลังสติแตกและเอาแต่พร่ำถามว่าชื่อนี้เป็นของใคร รู้จักไหม เคยได้ยินไหม ชื่อของ...อทิมิสเซีย
ผู้หญิงที่ปรากฏตัวขึ้นเมื่อคืนวานให้เธอได้ยลโฉมและทำให้ทุกอย่างพลิกผันกับคำว่าคู่หมั้นคู่หมาย...เธอไม่รับรู้อะไรอีกหลังจากหลับไปด้วยสิ่งที่เธอคิดว่าคงจะเป็นเวทมนตร์ของหญิงสาวคนนั้น แต่ในชีวิตนี้เหนือธิดาก็เจออะไรมามากมาย สิ่งแรกที่ทำหลังจากตื่นขึ้นจึงเป็นการมองนาฬิกาและออกมาทำงาน
เธอพบว่าทุกอย่างในห้องเหมือนเดิมทุกอย่าง...ยกเว้นเสียแต่หญิงสาวเจ้าของดวงตาสีดวงจันทร์ที่ยืนนิ่งสง่างามอยู่กลางห้อง ไม่มีบทสนทนาเกิดขึ้น มีเพียงรอยยิ้มที่ส่งให้กันเท่านั้น
ถ้าเธอไม่เป็นผู้หญิงใจแข็ง มีสติและค่อนข้างเป็นผู้นำ จะดูแลน้องชายอย่างหวังเทวาได้อย่างไร
และตอนนี้...เมื่อไม่เห็นว่าเจ้าตาแดงจะทำอะไรมากไปกว่าหัวเราะเยาะและมองเธอด้วยสายตาเหยียดหยาม เหนือธิดาจึงทำเป็นลืมๆไปซะ ผินหน้าหนีไปทางหน้าต่าง เหม่อมองท้องฟ้าสีครามดุจเส้นผมของใครบางคนขณะที่รวบรวมสมาธิพยายามเอาเสียงเนิบๆของหัวหน้าเขาหูให้ได้
สีผมเหมือนท้องฟ้า...ดวงตาเจิดจ้าดั่งดวงอาทิตย์...
ใบหน้าคมคายหลุดเข้ามาในห้วงภวังค์อีกครั้ง ราวเสียงหัวเราะจะก้องขึ้นในบัดดล เธอแทบจะถอดรองเท้าออกมาเขวี้ยงใส่ ต้องขอบคุณสุดที่รักที่คอยสะกิดเรียกสติอยู่ตลอดเวลา
“ตามที่ได้รับมอบหมาย ให้ทุกคนแยกย้ายกันไปทำงานได้ ขอบคุณครับ”
นี่เป็นครั้งแรกที่เนื้อหาการประชุมไม่เข้าหูเธอสักนิด เหนือธิดาถอนหายใจดังเฮือก ขณะเดินผ่านหัวหน้าและได้รับสายตาไม่พอใจเข้าไปเต็มๆ ขยี้ผมซอยระต้นคอจนยุ่งไม่เป็นทรงแบบคนไม่รู้จะทำยังไง ยิ่งหัวเสียขึ้นอีกเมื่อเดินตรงมาที่โต๊ะทำงานแล้วเห็นบุรุษปริศนากำลังนั่งยองๆอยู่บนโต๊ะของเธอ
เหนือธิดามองเขาหัวจรดเท้าอย่างเอาเรื่อง เจ้าตัวอยู่ในชุดเสื้อคลุมคล้ายอทิมิสเซียแต่ลวดลายสีทองบนพื้นผ้าสีดำนั้นต่างออกไป ชุดสีขาวปักดิ้นทองเป็นลวดลายพลิ้วไหวงดงามให้ความรู้สึกอ่อนหวานอ่อนช้อย ในขณะที่ลายเสื้อคลุมของชายหนุ่มผู้นี้คล้ายเปลวเพลิงร้อนแรงที่กำลังโหมกระหน่ำ
นิ้วมือเรียวเคาะฝักดาบสีดำสนิทที่ยกพาดไหล่ไว้เบาๆ “ข้ามีเรื่องจะพูด”
“ลงมาจากโต๊ะทำงาน เดี๋ยว นี้” เหนือธิดากระซิบลอดไรฟัน ชายหนุ่มทำเพียงก้มหน้าลงและเหลือบตาขึ้นมองแบบไม่แคร์ “คำสั่งหรือ”
“คุณเหนือ” เสียงเย็นเยียบดังมาจากด้านหลังซ้อนที่หางเสียงคมเข้มพอดี เหนือธิดาสะดุ้งนิดหนึ่งจึงหันไปฉีกยิ้มแหยๆให้หัวหน้าเจ้าเก่า เขาเขม้นตาดุและชี้นิ้วมาทางเธอเป็นเชิงขู่ก่อนจะเดินจากไป
เธอหันมามองคู่กรณีอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ “นายเป็นตัวอะไร”
“ข้ามีสิทธิ์จะตอบในเรื่องที่ข้าอยากตอบ” ชายหนุ่มขยับดาบให้ชี้ตรงมายังใบหน้าของเหนือธิดา ความหวาดหวั่นจากคมดาบเมื่อคืนเดือนเพ็ญปรากฏขึ้นในห้วงความคิด หญิงสาวรู้สึกราวเป็นอัมพาต ดวงตาสีเพลิงคู่นั้นกลืนกินทุกอย่างที่อยู่เบื้องหน้า...เขาต่างจากอทิมิสเซียอย่างเห็นได้ชัด
“และข้าเลือกที่จะไม่ตอบคำถามเทือกๆพรรค์นั้น มีอย่างอื่นจะถามไหม”
“นายรู้จักกับอทิมิสเซียสินะ”
“เจ้าเจอนางแล้ว?” ท่าทีสบายๆหายไปทันที เขากระโดดลงมายืนบนพื้น เหนือธิดาพบว่าเธอสูงเพียงแค่ไหล่ของเขาเท่านั้น “ข้าว่าแล้วเชียว นางว่องไวเสมอล่ะ เป็นลูกแมวจอมดื้อที่ข้าเบื่อเหลือเกิน”
“นายตอบไม่ตรงคำถาม”
“ทำไมช่างซักแบบนี้นะคุณผู้หญิง...ข้าจะพูดเท่าที่ข้าอยากพูด”
“แล้วอะไรที่นายอยากพูดล่ะโว้ย!!” เหนือธิดาเตะโต๊ะดังปังเรียกให้สายตานับสิบคู่หันมามอง หนึ่งในนั้นก็คือสุดที่รัก เธอสะดุ้งโหยงและจ้องเหนือธิดาราวกับจะกินเข้าไป “ไอ้บ้า! ฉันคุยกับลูกอยู่นะ เมื่อกี้เผลอกรี๊ดใส่หูแล้วก็กระแทกโทรศัพท์ใส่ด้วย ไม่รู้ป่านนี้ร้องไห้ขนาดไหนแล้ว”
“ก็มัน...” เหนือธิดาหยุดคำพูดไว้เพียงเท่านั้นเพราะสายตาเหลือบเห็นอะไรบางอย่าง
“อะไร ทำไม ที่ไหน เมื่อไหร่ ไอ้ติสต์แตกกก!”
เสียงบ่นของสุดที่รักไม่เข้ามาอยู่ในหูอีกแล้ว...บนโต๊ะของเธอ กองเอกสารที่ถูกจัดวางไว้อย่างเรียบร้อยกำลัง ‘ทำลายตัวเอง’ ด้วยการพับเข้าหากันราวมีมือที่มองไม่เห็นจับ หลังจากพันได้สี่ทบกระดาษเหล่านั้นก็เริ่มปรากฏรอยยับ จากพื้นที่เล็กๆลุกลามไปทั่วทั้งแผ่น กลายเป็นกองกระดาษสุมๆกันเต็มไปหมด
จนสุดท้าย...มันก็กลับระเบิดกระจายกลายเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
“บ้าเอ๊ย!” เหนือธิดาถลาเข้าไปหาโต๊ะ ไม่สนใจร่างสูงที่ยืนหัวเราะสดใสอยู่ข้างๆแม้จะอยากหมุนตัวเตะก้านคอเขามากเพียงใดเพราะตอนนี้สิ่งที่ขยับต่อจากกระดาษก็คือแฟ้มใส่งานและเครื่องเขียนนานาชนิด พวกมันกระโจนชนกันราวกับจะต่อสู้และส่งเสียง ‘จี๊ดๆ’ จนเธอแสบแก้วหูไปหมด
“อะไรอีก” สุดที่รักโผล่หน้าผ่านที่กั้นระหว่างโต๊ะทำงานอีกครั้ง ภาพที่เห็นคือเหนือธิดากำลังคาบปากกาไว้ด้ามหนึ่งในขณะที่สองมือถือแฟ้มไว้สามแฟ้ม กล่องปาก กล่องแว่นและเศษกระดาษ
“แกมันชักจะจิตเกินไปแล้ว”
“ไม่ใช่นะรัก เมื่อกี้มันขยับนะเว่ย!”
เหนือธิดาวางกองสัมภาระลงกับโต๊ะแล้วจ้องมันอยู่นาน ทุกอย่าง...อยู่กับที่
“ฉันเห็นแล้วว่าขยับ” สุดที่รักเท้าคางมองเพื่อนสาวอย่างเหนื่อยใจ “ขยับเร็วซะจนมองตามไม่ทัน นี่แกโหมงานหนักจนเพี้ยนรึเปล่า เมื่อคืนนอนไม่พอใช่มั้ย เก็บของให้เรียบร้อยแล้วทำงานซะ”
ร่างโปร่งบางทรุดนั่งลงอย่างหมดแรงพอสุดที่รักโผล่หน้ากลับไป หมุนเก้าอี้ตัวเองอยู่ครู่หนึ่งจึงยกมือขึ้นนวดขมับ เธอตัดสินใจแล้ว ต่อให้เอาดาบบ้าๆนั่นมาจ่อคอ เธอก็จะไม่มีทางพูดกับหมอนั่นเด็ดขาด ในเมื่อถามอะไรเขาก็ไม่ตอบ ไม่ใช่เรื่องเลยที่เธอต้องเปลืองน้ำลายไปพูดด้วย
“ข้าคิดว่าบางทีข้าอาจวู่วามเกินไปหน่อยเรื่องจะฆ่าเจ้าทิ้งเสียตอนนี้”
คิ้วเรียวสวยกระตุก การเอาดาบไปจ่อคอคนอื่นบ้านมันเรียกว่าวู่วามเหรอ
บ้านเธอเรียกว่าขาดสติยับยั้งชั่งใจไร้หัวคิดไม่มีสัมปชัญญะ...มีคำด่าอีกมากกองสุมอยู่ในหัว เหนือธิดาเลือกที่จะยัดมันลงไปในถังขยะพร้อมๆกับเศษกระดาษและเริ่มเก็บข้าวของบนโต๊ะ
“เจ้าคงรู้เรื่องบางส่วนมาแล้วจากอาร์ตี้”
“ใครคืออาร์ตี้...ฮึ่ย...” ถามจบก็รีบเอาหน้าไถลไปกับโต๊ะ เธอจะไม่พูดกับเขานี่นา
“อาร์ตี้คืออทิมิสเซีย ข้าว่านางเล่าเรื่องคู่หมั้นให้เจ้าฟังแล้ว ที่ข้าจะบอกก็คือเจ้ารู้หรือไม่ว่านอกจากพระราชาของโลกวิญญาณแล้ว บรรพบุรุษของเจ้ามีสหายอยู่ที่ไหนอีก”
“โลกของนายมั้ง”
“ถูกเผง เจ้าฉลาดกว่าที่ข้าคิด” ดาบถูกยกมาแกว่งใกล้ๆหน้า เหนือธิดาจ้องชายหนุ่มตาแทบถลน “ฉันแค่เดาเฟ้ย อย่ามาพูดจาแมวๆนะ ไอ้ดาบนี่ก็วางมันลงสักทีเถอะ เสียบคนทะลุได้ไม่ใช่เหรอ”
ร่างสูงพลันก้มลงมาใกล้มากขึ้นจนเหนือธิดาต้องเป็นฝ่ายกระถดตัวหนี ชายหนุ่มไม่มีท่าทีจะขยับ เขายืนอยู่ที่เดิม ลูบคางไปมา ใบหูชี้แหลมคล้ายจะไหวน้อยๆ “ข้าเริ่มรู้สึกว่าเจ้าเหมาะกับราฟซะแล้วสิ”
“หมายความว่าไง”
“นอกจากโลกวิญญาณแล้ว พ่อของข้า ผู้นำตระกูลโอคารอสคนปัจจุบันแห่งโลกปีศาจก็ได้รับความช่วยเหลือจากทวดของเจ้าตอนที่มายังโลกมนุษย์” รอยยิ้มจางหายไปในทันที “สัญญาหมั้นไม่ได้มีแค่น้องชายของเจ้า แม้แต่เจ้าเองก็ถูกผูกมัดด้วยสัญญาเช่นกัน”
ชายหนุ่มที่มาพร้อมกับสัญญานับพัน...พันปี พันปีที่รอคอย เช่นเดียวกับน้องของเจ้า
เสียงของหญิงชุดดำพลันแว่วเข้ามาในหู หญิงสาวรู้สึกหนาววะวาบ น้ำลายก็พลันจะหนืดคอไปเสียหมด คำพูดที่กลั่นกรองออกมาเป็นประโยคแรกก็คือ “นายเอาอะไรมาพูด”
เมื่อคืนโลกวิญญาณ วันนี้โลกปีศาจ...มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตของเธอ
“หรือเจ้าคิดว่าข้าโกหก”
ท่วงท่ามั่นใจนั่นทำให้ดวงตาคู่สวยต้องเบือนหลบลงมองมือที่กำลังจิกกันแน่น...ไม่รู้ว่าน้องชายรู้สึกอย่างไรตอนที่รู้ว่าตนมีคู่หมั้น แต่เธอรู้สึกราวถูกทุบด้วยค้อนหลายๆที หากคู่หมั้นที่ว่าจะเป็นมนุษย์...คงไม่หนักหนาสาหัสเท่าไหร่ แต่นี่ไม่ใช่ ซ้ำสัญญานั้นยังผูกพันครอบครัวของเธอมานับพันปี
“นายพูด...เหรอ”
“หน้าตาเจ้าดูตกใจนะนี่” ชายหนุ่มยกดาบขึ้นพาดไหล่อีกครั้ง “เฮ่...ข้าก็ต้องพูดจริงสิ ไม่รู้ว่าโกหกมนุษย์หน้าตาธรรมดาอย่างเจ้าแล้วจะได้อะไร อ๊ะ อย่าเพิ่งคิดว่าคู่หมั้นของเจ้าจะเป็นข้าซะล่ะ” ดวงตาสีเพลิงพราวระยับเสียจนคนมองรู้สึกแสบตา “เป็นพี่ชายของข้าต่างหาก ราฟาเอล โอคารอส”
“แล้วนายมาที่นี่ทำไม” เหนือธิดาเดาะลิ้นเบาๆ
“ที่จริงต้องเป็นพี่ชายข้าที่มาพบเจ้านั่นแหละ แต่ข้าจำต้องสลับตัวมาแทนเขา ตอนนี้ราฟนอนซมอยู่ที่วังของอาร์ตี้ เขาป่วยทันทีที่รู้ว่าตัวเองมีคู่หมั้น”
“เพราะฉัน...?”
“เปล่า แม้มีแนวโน้มว่าเป็นเป็นได้” ยังยียวนไม่เลิกถึงเหนือธิดาจะเครียดจนหน้ายับย่น “เขาป่วยเป็นโรคประหลาดที่อาจไม่มีทางรักษาหาย หากเข้าใกล้เพศหญิงหมอนั่นจะระเบิดกลายเป็นไอน้ำ”
“ระ ระเบิดอะไรนะ”
“เหนือธิดา!!!”
หัวหน้าคนดีคนเดิมโผล่มาจากไหนไม่ทราบพร้อมตบโต๊ะดังปังใหญ่เล่นเอาพนักงานคอหดวูบกันทั้งชั้น เหนือธิดายังสะดุ้งโหยงเมื่อดวงตาอำมหิตลอยมาในระยะประชิด
“ผมยืนทวงงานชิ้นเมื่อวานตั้งนานแล้วแต่ก็ยังไม่สนใจ ผมอุตส่าห์ทนฟังคุณพึมพำคนเดียวคุณก็ยังไม่รู้ตัวอีก ตกลงที่คุณมาทำงานได้เอาหัวมาด้วยรึเปล่าถึงทำท่าล่องลอยปานมาแต่ตัวหัวอยู่บ้านแบบนี้! ต้องการลาพักร้อนสักเดือนมั้ย หรือจะลาไปเลยตลอดชีวิต...หรือผมควรจะไล่คุณออก!”
“ขะ ขอโทษค่ะ นะ เหนือเหม่อไปหน่อย...”
“หน่อยเหรอคุณ! นี่คุณเรียกว่าหน่อยเหรอ!”
แล้วยังตามมาอีกเป็นขบวนอย่างที่เรียกว่า ‘บ่นจนหูชา’ เธอคร่ำครวญในใจอยากจะให้หูชาไปเสียจริงๆจะได้ไม่ต้องได้ยินเสียงอะไรอีก ไหนจะเรื่องราวที่เพิ่งรู้เมื่อสักครู่ ไหนจะชายหนุ่มปริศนา ไหนจะเรื่องคู่หมั้นของน้องชาย ใช่...ยังมีเรื่องที่เจ้าแม่คนนั้นบอกเธอไว้อีก ให้มันได้แบบนี้สิชีวิตของหญิงสาววัยเบญจเพส
หากแต่ความยุ่งยากจะบังเกิดที่เจ้า...ผู้ผิดสัญญา
---------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
*แก้ไขครั้งที่ 1 : 23 พ. ค. 52
ตอนต่อไปตัวละครจะโผล่เพียบบบ
ความวุ่นวายชุลมุนจะเริ่มขึ้นในประมาณ ตอนที่ 5-6
ขอขอบคุณโครงการดีๆของสำนักพิมพ์แนตตี้
และขอบคุณเวบไซต์เด็กดีที่ให้พื้นที่ในการลงนิยายค่ะ
ความคิดเห็น