คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 02 : เขาชื่อ...ผักหวาน
บทที่ 02
เขาชื่อ…ผักหวาน
“น้องสาวคนนี้แฟนฉัน นายมีปัญหามั้ยวะ ไอ้น้อง”
พูดเสร็จก็ยักคิ้วทีหนึ่ง แทนที่มันจะสลด เห็นๆอยู่ว่าน้องสาวเขาซบอยู่ที่ไหล่ฉัน มันดันลุกขึ้นมายืนข่มกันด้วยความสูง ฉันยังเหยียบร้อยเจ็ดสิบแล้วนะ ไอ้นี่มันน่าจะซัก...ร้อยแปดสิบต้นๆได้ โอยยย ใช่เวลามาพิจารณาที่ไหน แล้วยื่นหน้ามาใกล้ๆทำไมวะ
“ไม่มีปัญหาหรอกครับคุณพี่สะใภ้ แต่เอาพี่ชายผมไปไว้ที่ไหนล่ะครับ”
มามุกนี้ไอ้หยงขำไม่ออก ได้แต่ยืนพะงาบๆปล่อยให้ผักหวานพ่นต่อไปเรื่อยๆ
“ลูกกวาด เธอควรจะรู้เอาไว้นะว่ายัยผู้หญิงคนนี้แค่หลอกเธอ ถึงจะเห็นทำตัวเป็นทอม จีบผู้หญิงไปทั่ว แต่หัวใจมีแต่พี่ไผ่เท่านั้นแหละ ถ้าเธอไม่อยากตกเป็นเหยื่ออีกคนก็กลับมาหาฉันซะ!”
“โอ๊ยยย ผักหวาน! ปล่อยนะ!!!”
ผักหวานถือโอกาสตอนที่กำลังต่อว่าฉันและที่ฉันกำลังอ้าปากค้างกระชากแขนน้องลูกกวาดกลับไปแต่ฉันหรือจะยอมง่ายๆ กระชากคอเสื้อเขาเข้ามาทันที
“ปล่อยผู้หญิง เรื่องนี้ให้เป็นเรื่องของเรา”
“พูดได้ดีนี่เจ๊...ไม่สิ ป้าเลยดีกว่า”
“ระ เรียกให้มีดีๆนะเฟ้ย!”
“นี่มันเรื่องของเด็ก แก่แล้วก็ไปคุยกับคนแก่...อืม คนที่แก่สักพี่ชายผมคงได้มั้งครับ”
“ผักหวาน!”
เสียงทุ้มๆมาก่อนตามด้วยฟุตเหล็กที่ตวัดมาแบบรวดเร็วแล้วก็ล็อกคอผักหวานไปติดกำแพง ฝูงชนพลันแตกฮือ มีหลายคนที่ทำท่าจะเรียกตำรวจแต่น้องลูกกวาดหันไปห้ามไว้ เธอคงไว้ใจผู้ชายที่มาใหม่ อย่าว่าแต่เธอ…ฉันเองก็เช่นกัน ฉันรู้ว่าถ้าเขาคนนี้โผล่มาทุกอย่างต้องเรียบร้อย
เพราะเป็นเขาคนนี้
“ทำบ้าอะไร”
เขากดหัวผักหวานแนบกำแพง หากมองผ่านๆจะคิดว่าทั้งคู่เป็นฝาแฝด แต่เจ้าของฟุตเหล็กนั้นรูปร่างค่อนข้างสูงกว่า ผมเป็นสีดำสนิทเงางาม ดวงตาคมๆที่คล้ายคลึงกันแลดูสุขุม เสื้อผ้าไม่หลุดลุ่ยมากแต่ก็ไม่ถือว่าเนี้ยบ ที่สำคัญคือหน้าตาสะอาดสะอ้าน บุคลิกภาพเพอร์เฟกต์ ร้อยเต็มร้อย!
“ไผ่หลิว...”
ไม่รู้ทำไมเสียงฉันถึงอ่อนระโหยได้ขนาดนี้ เพราะไอ้เด็กนี่มันมาสะกิดแผลเก่ารึเปล่านะ
ทั้งที่ลืมไปแล้ว...ทั้งที่ทำใจเป็นแค่เพื่อนได้แล้ว...
“ขอโทษแทนมันด้วยนะหยง ไม่คิดว่าจะบ้าไม่เลิก เห็นไม่เจอแกตั้งสองปี ก็คิดว่าจะจบกัน” ไผ่หลิวหันมาฉีกยิ้มอ้อนๆ หล่อบาดตามาก สมเป็นเดือนคณะจริงๆ “แล้วแกเจ็บตรงไหนมั้ย”
“ที่จะเจ็บอ่ะน้องพี่นั่นแหละ ปล่อยสักทีเซ่”
“หลุดมาแล้วก็อย่าบ้าอีก” ไผ่หลิวดุน้องเสียงเข้มๆขณะที่ปล่อยเขาเป็นอิสระ แล้วจึงหันไปหาลูกกวาดพลางทำท่าขึงขัง “ไหน...ไหน มีปัญหาอะไร น้องลูกกวาดคนดีบอกพี่ทีครับ”
“ก็ลูกกวาดขอเลิกกับผักหวานแล้ว แต่เขาไม่ยอมน่ะค่ะ...แล้ว...แล้วยัง ฮึกๆๆ”
ร้องไห้สะอึกสะอื้นแล้วซบหน้าลงกับต้นแขนฉันอีก ตัวสั่นๆทำให้อดลูบหัวปลอบไม่ได้ พอเงยหน้าเจอสายตาอำมหิตของผักหวานก็สะดุ้งโหยง เกือบชักมือกลับแต่ดันนึกอะไรสนุกๆได้เสียก่อน
“น่าสงสารจังเลย ไม่เป็นไรๆ เดี๋ยวพี่ดูแลลูกกวาดเองนะ”
“ค่ะ...พี่...?”
“พี่ชื่อตันหยงเรียกว่าหยงละกัน”
ฉันยิ้มแบบที่คิดว่าเท่ที่สุดในโลก ส่งผลให้สาวน้อยยิ้มตอบบางๆ เออแฮะ เป็นยิ้มบริสุทธิ์ไม่เจือมลพิษ แบบนี้ค่อยยังชั่วหน่อย ปรกติไปยิ้มให้สาวๆทีไรทำต่อมดี้พวกหล่อนทำงานทุกคน
“ฝากน้องด้วยนะหยง และแก…ไอ้ผักหวาน”
“อะไร”
“ดูทำเสียงเข้า ผู้หญิงเขาไม่รักจะตื๊อทำไมวะ มีความสุขใช่มั้ยทำคนอื่นร้องไห้น่ะ”
“ผมจะไม่บังคับลูกกวาดเลยนะถ้าคนที่ลูกกวาดคบอยู่ไม่ใช่ยัยวิปริตนี่”
พอได้ยินคำสรรเสริญฉันก็ชูกำปั้นทันที “เลิกเรียกฉันแบบนี้ซะที!”
“วู้ บอกแล้วไงว่าแก่ก็อยู่ส่วนแก่พี่น้องเขาจะคุยกัน” ผักหวานยิ้มเยาะใส่ฉัน
“เฮ้ย เลิกเสียมารยาทกับเพื่อนพี่ได้แล้ว” ไผ่หลิวเลยต้องยกมือห้าม “ทำไมแกเป็นเด็กแบบนี้นะ แม่บอกให้เตรียมตัวเอนท์ยังมาไล่ตามผู้หญิงอยู่ได้ อย่าให้พี่ต้องประจานแกตรงนี้”
“อย่าให้ผมต้องประจานเพื่อนที่แสนดีของพี่ตรงนี้เหมือนกัน...ครับ”
แย้ก! ฉันถลาจะเข้าไปซัดผักหวานซักหมัดดีว่าลูกกวาดดึงแขนไว้ก่อน
“ประจานเลยสิ” ไผ่หลิวพูดเรียบๆ “แกจะพูดอะไรพี่ก็เชื่อหยง อย่างหยงถึงภายนอกจะดูดิบเถื่อนไม่สมเป็นผู้หญิง เรียนเก่งอย่างเดียว คำพูดคำจาแย่ ถึงแบบนั้น เขาก็มีดี...มีดี เอ่อ...ก็ดีเท่าที่พูดไป!”
ไอ้ไผ่หลิวบ้า ฉันจะฆ่าแก!
คนมีดีไม่กี่ข้อชักอยากร้องไห้แข่งกับน้องลูกวาด พอเห็นไอ้เด็กบ้ามันยิ้มหยันๆก็ยิ่งโมโห
“แหม ปกป้องกันซะเหลือเกิน แล้วเรื่องที่เขาแย่งแฟนผมพี่ไผ่จะว่าไง”
“แย่งบ้าอะไร ไอ้หยงมันเป็นผู้หญิงแท้ๆ มันไม่ได้ชอบผู้หญิง”
“เหรอครับ นั่นสินะ ต้องชอบผู้ชายอยู่แล้ว...ก็พี่ก็ผู้ชาย แต่แหม...อื้ม...”
นะ หน็อย...ฉันกำหมัดแน่นจะวิ่งไปชกมันสักรอบคราวนี้น้องลูกกวาดฉุดไว้ไม่ทัน คนที่ห้ามจึงเป็นไผ่หลิว เขายกมือขึ้นทำ Just say no ใส่หน้าฉันแล้วถอนหายใจออกมาดังเฮือก
“เอาเป็นว่าเขาไม่ได้แย่งแฟนแก ถ้าแกจะเคลียร์อะไรกันไว้วันอื่น อยากเห็นแฟนเก่าแกร้องไห้หนักกว่านี้ใช่มั้ย รอยที่แขนนั่นก็ฝีมือแกอีกสิ ไอ้เถื่อน!”
“โอ๊ย! อย่า! อายเขาน่า โอ๊ยยย ผมจะอยู่กับลูกกวาดอ้ะ! พี่!!”
เด็ก...มันก็คือเด็กล่ะนะ
ไผ่หลิวจับผักหวานล็อกคอแล้วลากขึ้นรถมอเตอร์ไซค์สีน้ำตาลที่ตัวเองจอดทิ้งไว้โดยบังคับให้น้องมันขับแล้วตัวเองก็ซ้อนทายพร้อมกางมือกันน้องหนี พอรถเริ่มออกตัวเขาก็หันมาโบกมือให้ทีหนึ่ง รอยยิ้มสว่างจุดแต้มบนใบหน้า...โฮก...นี่ไง คนที่ฉันอยากพาไปแนะนำกับอาม่าว่าเป็นแฟน ติดอยู่อย่างเดียว...
เราเป็นเพื่อนกันค่ะทุกท่าน...ได้ยินมั้ยคะว่าเราเป็นเพื่อนกันนน อ๊ากกกก
“พี่หยง พี่หยงคะ”
“จ๊ะ มีอะไรเหรอน้องลูกกวาด” หลุดออกภวังค์มาเจอรอยยิ้มปานนางฟ้าแทน
“ลูกกวาดขอบคุณนะคะ ถ้าพี่หยงไม่มาช่วยไว้ แย่แน่เลย”
“เขาทำรุนแรงบ่อยเหรอ”
“ค่ะ บางทีก็อารมณ์ตัวเองส่วนตัว แต่ส่วนใหญ่เพราะหึงน่ะ หึงแรงชะมัด” ลูกกวาดถอนหายใจหลายรอบขณะเล่า “ไม่รู้จะทำยังไงก็เลยขอเลิก ช่วงนี้ต้องเตรียมเอนท์ด้วย ก็เลยอยากตัดสัมพันธ์ไปก่อน ผักหวานเขาดันคิดว่าหนูมีคนอื่นน่ะค่ะ ขอบคุณพี่หยงอีกทีนะคะ”
“จ้าๆ”
“หนูมองทีแรกก็ว่าแล้ว ถึงพี่หยงจะดูเท่เหมือนผู้ชาย แต่ยังไงก็ไม่ใช่ทอมแน่ๆ”
ฉันหัวเราะแห้งๆ ตอนนี้เราเดินคู่กันไปที่ป้ายรถเมล์ เห็นว่ารถพ่อเธอจะมารับตรงนั้น
“มีผู้หญิงติดเยอะมั้ยคะ”
“คงพอๆกับที่ผู้ชายมาติดลูกกวาดล่ะมั้ง” หยอดเข้าให้ ลูกกวาดหัวเราะคิกคักเลย
“เพราะแบบนี้สิคะ ถึงมีสาวๆมาติดพี่หยง”
เมื่อตอนมอปลายก็ติดเยอะจริงๆนั่นแหละ พอเริ่มขึ้นมหา’ลัยดันหายเกลี้ยงเพราะทางบ้านเริ่มบังคับด้วยล่ะมั้ง อาม่าบอกว่าไม่อยากมีหลานชายคนที่เก้า เป็นหมวยคนโตไปน่ะดีแล้ว
“แต่ที่จริงพี่หยงสวยนะคะ สวยจริงๆ แบบว่าลูกกวาดพูดตามตรงเลย”
โหยน้อง เขินอ่ะ แต่ลูกกวาดคงจะอ่านสีหน้าฉันไม่ออกเลยพูดต่อ “ยิ่งตอนที่ใส่เสื้อช็อปแล้วยืนคู่กับพี่ไผ่เนี่ยนะ คิดว่าเดือนกับดาวคณะซะอีก ฮ่าๆ หนูชอบพูดเวอร์ๆน่ะค่ะ”
...เอ่อ...เจอแบบนี้เข้าไปจุกเลย...
ฉันได้แต่ยิ้มตอบ พูดหยอดเป็นพักๆ แต่ใจลอยหายไปแล้ว
“จริงเหรอ!!!”
[เห็นว่าหัวดี...เลยเสนอให้...] เสียงยานคางอย่างกับพวกพากย์หนังผีไทยของนิลยายืดมาตามสาย ดีว่ามันโทรเข้ามือถือนะ ถ้าโทรเข้าบ้านแล้วคนในบ้านรับไม่อยากจะนึกภาพเลย
“แล้วเด็กนั่นมอหกเหรอ”
[อืมมม คล้ายๆติวโค้งสุดท้าย แต่เราติดทำโครงงานช่วงนี้...โปรเจกต์ยักษ์เลย...]
“โอเค ไม่เป็นไรๆ” ฉันกลิ้งไปกลิ้งมาจนถูกผ้าห่มห่อเป็นแหนมแล้วว่าต่อ “งั้นต้องเริ่มงานเมื่อไหร่เหรอ พ่อแม่เขาไม่มีอคติแน่นะ แกว่าไงอ่ะ ผู้หญิงแบบฉันเขาไม่ว่าเหรอ”
[พรุ่งนี้เลย ไปรายงานตัวก่อน เอ่อ...แล้วแบบแกเหรอ คืออย่าแต่งตัวแบบที่แต่งในปัจจุบันเลย ติวหนังสือทุกเย็นแบบนี้...ถ้าไปวันเสาร์อาทิตย์ใส่พวกกระโปรงกับเสื้อแขนตุ๊กตาดีกว่า เขาคอมเม้นท์มาว่าลูกชายดื้อมาก ถ้าได้พี่ติวเตอร์แบบเฮ้วๆอาจจะมีเรื่องกัน ขอแบบอ่อนหวานอ่อนช้อยไว้ก่อน]
“โห...”
คิดดูก่อนดีมั้ย? มองสภาพตัวเองแล้วไม่รู้จะ ‘อ่อนช้อย’ ได้ยังไง
[แต่เงินดีนะ...แค่สอนๆเอง แกก็เอาหนังสือกับโน้ตที่เคยใช้สอบเอนท์เมื่อปีที่แล้วมาสิ]
“ง่ายจริงๆนั่นแหละ ไอ้ฉันมันก็ชอบสอนหนังสืออยู่แล้วด้วย”
ฉันเป็นน้องสาวคนเกือบกลางของบ้านจึงไม่ถูกพี่ชายกดขี่อย่างเดียวยังเป็นฝ่ายกดขี่น้องๆด้วย พวกนั้นจะโดนฉันบังคับให้เป็นลูกศิษย์แล้วก็ทำการบ้าน ดูเหมือนจะเกแต่สนใจเรียนตลอดนะคะ~
[โอเคนะ ดีจัง...เวบไซต์เราไม่เสียเปล่า มีคนสนใจ...เย่ๆๆ]
ไอ้ ‘เย่ๆๆ’ ของแกทำไมมันแผ่วนักวะ
“กังวลอะไรเหรอนิล”
[เราสร้างภาพไว้เยอะ...] เสียงเหมือนจะหนักใจจริงๆ [กลัวน้องผิดหวัง...]
เอาแต่ห่วงคนอื่นนะแกเนี่ย
นิลยามันเปิดเวบไซต์ในอินเตอร์เน็ต คล้ายๆเวบชี้ทางน้อง สำหรับน้องๆที่อยากเอนท์เข้าคณะวิศวกรรมศาสตร์ ให้ความรู้เกี่ยวกับการสอบเข้าแล้วก็หนทางสอบเข้าไปจนกระทั่งเนื้อหาที่ต้องเรียนเมื่อเอนท์ติดแล้ว มันค่อนข้างจะภูมิใจมาก เพราะเมื่อก่อนก็ได้รุ่นพี่ชี้ทาง อยากจะเจริญรอยตาม
หลังจากมีแฟนคลับอย่างล้นหลาม มันก็เปิดคณะติวเล็กๆ ตอนอยู่ปีหนึ่งก็เกณฑ์คนในคณะมาช่วยๆกันสอน เห็นเด็กเอนท์ติดไปกันเยอะ แต่ว่า...ปีนี้ดันติดงานเองซะอย่างนั้น
มันก็เลยอยากให้ฉันรับช่วงต่อ
[น้องคนเนี้ย เราเคยคุยกับพ่อแม่เขา ก็เลยรับปากว่าจะเป็นคนไปให้ติวเอง น้องๆคนอื่นๆให้พวกในภาควิชารับไป พ่อแม่เขาบอกว่าหวังเอาไว้มาก...จ้างซะแพงลิบลิ่ว เขาเชื่อถือเราน่ะ ลูกชายเขาเกเร ส่งไปเรียนข้างนอกก็โดด อยากได้รุ่นพี่มาช่วยอบรม เห็นเราดูเรียบร้อย น่าจะเอาอยู่...เฮ่อ...]
“เอาน่า แกไม่เชื่อใจฉันเหรอ”
[กลัวน้องเขาตายคาเท้าแกน่ะ...]
“น่าๆๆ รับรองว่าการติวครั้งแรกต้องไปได้สวย ไว้ครั้งต่อๆไปแกต้องมีลูกค้าเพิ่มแน่”
[อย่าเรียกว่าลูกค้าเลย เป็นไปได้ไม่อยากเอาเงินด้วยซ้ำ]
“แกจะประเสริฐไปไหนวะ ทำเอาฉันที่จ้องแต่จะหาเงินรู้สึกผิดเลย”
[หึๆๆๆ...งั้นเหรอ...]
เสียงหัวเราะสุดท้ายของนิลยาแม้แต่ตอนหลับฉันยังเก็บไปฝันเลย ไม่รู้จะหลอกหลอนกันไปถึงไหน ดูท่ามันจะคิดมาก เล่นเอาฉันปวดหัวตามเลยไง โชคดีหน่อยที่วันนี้ใส่ชุดนักศึกษา ไม่ใช่วันหยุด
ฉันยืนมองตัวเองหน้ากระจกร้านขนมที่มักจะมานั่งกับเพื่อนบ่อยๆอย่างพิจารณา
ทำไมวันนี้หญิงแบบนี้นะ นึกถึงคำแซวของไอ้หย่งเมื่อเช้าเลย
‘ทำผมทรงนี้แล้วหลง เห็นทีต้องแต่งงานกับแกแบบที่อาม่ายุบ่อยๆซะแล้ว’
ดูเอาเถอะ อาม่าไม่ชอบให้ฉันทำตัวแบบพวกผู้ชายน่ะ ก็เลยไม่ค่อยปลื้มด้วยเวลาเห็นฉันเป็นคู่หูปาท่องโก๋กับหย่ง ไม่ชอบถึงขั้นประชดว่าจะจับแต่งงานกันเลยทีเดียว ทั้งฉันทั้งมันก็หัวเราะสิ โสดทั้งคู่ หน้าตาดีทั้งคู่ แต่งๆกันก็ดี จะได้นอกใจกันแบบไม่ต้องเกรงใจ อาม่านี่แทบเขวี้ยงเก้าอี้ใส่
อืม...
ฉันขยับจับผมที่เกล้าขึ้นไปเป็นมวยอยู่ข้างบนแล้วทิ้งปอยลงมาข้างหน้าเล็กน้อย ข้างหน้าก็ติดกิ๊ฟเปิดเหม่ง ปรกติจะปล่อยผมแล้วขยี้ๆให้ฟูเพื่อความเซอร์น่ะ โหย! เห็นหน้าตัวเองแบบนี้แล้วอยากเอาหัวโขกกระจก ไอ้กีโต้มันจะล้อมั้ย ไม่รวมถึงคนในแก๊งอีกนะ โอ๊ยยย
“น้องสาวจ๋า! เสื้อช็อปกางเกงยีนแบบนี้ ภาคไหนจ๊ะ~”
“วี้ดวิ้ววว เดินบนถนนมันเหนื่อย มานั่งพักในใจพี่ม้ายยย”
“ใครว่าเดินบนถนนวะไอ้ท็อป วิ่งอยู่บนหัวใจข้าต่างหาก!”
จากเคยนั่งสามแยกปากหมาแล้วตะโกนแซวชาวบ้านกับเพื่อนฝูงกลายเป็นโดนแซวเองซะงั้น
“หุบปาก ไอ้โต๋ ไอ้ท็อป ไอ้แซ็ค เดี๋ยวไปวิ่งบนยอดอกพวกเอ็งหรอก”
ตบหัวมันไปคนละทีพอเรียกเสียงฮาแล้วเลือกที่จะนั่งลงข้างๆนิลยา ผู้หญิงที่แม้จะอยู่กลางฝูงผู้ชายก็ยังเด่น เพราะผมยาวเฟื้อยถึงเอว และผิวขาวซีด น้ำเสียงเย็นๆที่พูดกับพวกนั้นเป็นระยะ มันแตกต่างจากพวกเถื่อนๆนั่นราวฟ้ากับเหว
“หวัดดี...เอ่อ...”
“เป็นไง ดูเรียบร้อยมั้ย ถึงจะใส่เสื้อช็อปแต่คิดว่าน่าจะดูเชื่อถือได้นะ”
นางไม่ตอบ แถมจ้องหน้านิ่งจนฉันชักหวั่นๆ “นิ่งทำไมวะ แย่มากเลยเหรอ”
“เปล่า...” เสียงเย็นๆเหมือนวิญญาณหลุดจากร่าง “อ่ะ คะ...คะ...”
“คะ อะไร คะ ควายเหรอ นี่แกด่าฉันเหรอ”
ผลัวะ!!
หัวยุ่งเลยทีนี้ ผมฉันหลุดลุ่ยแบบไม่เป็นทรงเพราะแรงตบของไอ้ไอ้กีตาร์ หันไปจะด่าแต่เจอมันทำหน้าเครียดอยู่เลยยอมนิ่ง พอมองข้ามไหล่กีตาร์ไปก็ถึงบางอ้อ คะ คีย์บอร์ดนี่เอ๊งง
“เดือนสถาปัตย์ตัวเป็นๆเลยโว้ย” ไอ้สามช่า โต๋ ท็อปและแซ็คทำหน้าที่โฆษกประจำคณะชั่วคราว เป็นโต๋ที่พูดขึ้นคนแรก ก่อนตามด้วยแซ็ค “ข้าจะหล่อได้อย่างเขาไหมเนี่ย”
ท็อปหัวเราะหึๆ “อยากให้ตอบจริงๆเหรอ กลัวเอ็งเสียใจว่ะ”
บทสนทนาไร้สาระ
คีย์บอร์ดคือเดือนคณะสถาปัตย์ที่เจ้าแม่นิลยาแอบมองมาตั้งแต่เข้าเรียนใหม่ๆ ยันจะจบปีสองยังแอบมองไม่เลิก ทั้งที่นั่นก็พี่ชายไอ้กีตาร์แท้ๆ คุยเมื่อไหร่ก็คุยได้ ไม่รู้อายอะไร ขนาดฉันนี่ชอบไผ่หลิวจะตายชักยังกอดคอ เล่นหัวเล่นหางกันมาหมดแล้ว...ก็แค่เคยชอบล่ะนะ...ไม่รู้จะใจเต้นไปทำไม
“น่านๆ วิศวฯเรายอมที่ไหน” โต๋เอ่ยกลั้วหัวเราะ “ยินดีต้องรับไผ่หลิวคร้าบ ปรบมือหน่อย”
แล้วก็ตามด้วยเสียงเฮของเหล่าวิศวฯทุกภาควิชาเมื่อไผ่หลิวก้าวมาถึงสามแยก ความหล่อสว่างไสวผสมรอยยิ้มไม่น้อยหน้าเฮียคีย์ เล่นเอาไอ้หยงตาพร่าทว่าก็ยังโหวกเหวกผสมโรงไปด้วย นี่ถ้าเดือนนิติศาสตร์ผู้ครองตำแหน่งเดือนมหา’ลัยมาอีกคน ผู้ชายวิศวฯคงได้หันมามองผู้ชายด้วยกันเป็นแถบๆ
แต่โห่ร้องกันไม่นานก็เป็นอันต้องเงียบกริบเพราะเจ้าแม่นิลยาองค์ลง
“มีความสุขอะไรกันนักหนา อย่าให้พูดดีกว่าว่านอกจากความหล่อแล้วพี่คีย์มีอะไรมากกว่าเดือนคณะทุกคนแค่ไหน ถึงแม้จะไม่ได้เป็นเดือนมหา’ลัย แต่ก็คือคนที่หล่อ เด่น สมาร์ท…หรือจะเถียง? ถ้าข้องใจนักเราจะจับหั่นศพ โยนลงไหก่อนตามด้วยสะกดวิญญาณขว้างทิ้งที่ก้นแม่น้ำเจ้าพระยา...”
โห่ยยย
ทุกคนพากันอึ้ง มีเพียงไผ่หลิวที่หัวเราะเล็กน้อย นิลยาไม่เคยปิดบังเลยว่าชอบใคร นั่นคือข้อดีอย่างหนึ่ง มันคิดอะไรมันก็พูด เลยเข้ากับฉันได้...แต่ขอเหอะ
พูดเองก็อย่าทำหน้าแดงเองสิวะ
หลังจากผ่านเหตุการณ์ประจำวันไปแล้ว ฉันก็มายืนนิ่งอยู่หน้าบ้านหลังหนึ่ง
เป็นบ้านสามชั้น ตกแต่งสไตล์ยุโรป มีสวนขนาดใหญ่อยู่ทางขวาและมีพื้นที่ให้วิ่งเล่นที่ปูทับด้วยหญ้าสีเขียวชอุ่ม ส่วนทางซ้ายเป็นลานจอดรถ มีมอเตอร์ไซค์แลดูคุ้นตาอยู่สองคัน พร้อมกับรถยุโรปคันหรูที่ก็คุ้นตาอีกนั่นแหละ ฉันขมวดคิ้ว...อาจจะเคยเห็นตามโฆษนาในทีวีมั้ง ดูท่าราคาถูกเสียเมื่อไหร่
บ้านลักษณะนี้เหมือนติดป้ายคำว่า ‘รวย’ ไว้เลยนี่หว่า
กดออดไปไม่นาน ก็มีผู้หญิงวัยกลางคนร่างท้วมเดินออกมา เธอถามนู่นถามนี่ฉันอยู่พักหนึ่งจนแน่ใจว่าเป็นคนที่คุณนาย (เธอเรียกแบบนั้น) นัดไว้จึงยอมเปิดประตูให้แต่โดยดี
ข้างในตกแต่งได้หรูและสวยไม่ผิดจากที่คิดไว้ วอลเปเปอร์ลายดอกไม้สีครีมเข้ากับชุดเฟอร์นิเจอร์สีน้ำตาลอ่อนและโต๊ะรับแขกที่ทำจากไม้ให้อารมณ์ผ่อนคลาย ผ้าวาดบนฝาผนังทำให้ฉันรู้สึกคุ้นอย่างประหลาด ทำไมถึงคุ้นไปซะทุกอย่าง ทั้งโต๊ะ ทั้งโคมไฟ ทั้งตู้หนังสือ ยังกับเคยเห็นอย่างนั้นแหละ
“มาแล้วเหรอจ๊ะ”
“ค่ะ...อ้าว คุณน้า!”
ก็ว่าแล้วทำไมถึงคุ้นนัก
“หนูตันหยง” ผู้หญิงที่ฉันเรียกว่าคุณพอเห็นฉันปุ๊บก็ตรงเข้ามาจับมือฉันแน่นด้วยแววตาตื่นเต้น “สวยขึ้นเป็นกองเลยนะจ๊ะ ไหนที่คุยกันบอกว่าเป็นหนูนิลยาไง เอ๊ะ หรือว่ามาหาตาไผ่”
“ปะ เปล่าค่ะ เอ่อ...คะ?” ฉันมองผู้หญิงตรงหน้าให้ชัดๆอีกครั้ง ไม่ผิดแน่ ผิวขาวผ่องกับเครื่องหน้าสวยแฉล้มแต่ก็มีริ้วรอยเล็กน้อยคือแม่ของไผ่หลิวจริงๆ แล้วทำไมล่ะ...มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง...
”แล้วคุณน้ามาอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ”
“น้าย้ายบ้านเมื่อปีที่แล้วเอง สวยมั้ย ตาไผ่ไม่ได้บอกเหรอ”
เพราะเรื่องผักหวานทำให้ไผ่หลิวไม่เคยพูดถึงเรื่องบ้านของเขา ไม่แปลกจริงๆที่ฉันจะไม่รู้
“เปล่าค่ะ แต่ก็สวยนะคะ คือหนูมาสอนแทนนิลยาน่ะค่ะ เราเป็นเพื่อนสนิทกัน...”
“ก็ดีสิ คุ้นเคยกันอยู่แล้วด้วย แล้วหนูนิลไม่ได้บอกเหรอว่าน้องชายตัวดีของตาไผ่อยากได้คนติวก็เลยต้องมาพึ่งหนูนิล นี่น้าอุตส่าห์สมัครบนหน้าเว็บไซต์ตามขั้นตอนเลยนะ”
“มะ ไม่ได้บอกค่ะ...”
“งั้นเหรอ เซอร์ไพรส์เลยล่ะสิ ไปจ้ะ น้องรออยู่บนห้อง ไม่ต้องทำหน้ากังวลแบบนั้นหรอก หวานๆแบบหนูตันหยงเอาตาผักหวานอยู่หมัดแน่ๆ แหม ดูเรียบร้อยขึ้นจริงๆนะเนี่ย ค่อยโล่งใจหน่อย”
“เดี๋ยวก่อนค่ะ!” ฉันขืนมือไว้ ในหัวกำลังตีกันยุ่งไปหมดไม่รู้จะลำดับเหตุการณ์ยังไงแล้ว
แต่ที่แน่ๆเลย...แน่จริงๆก็คือต้องรู้ว่า “ทำไมไม่ให้ไผ่ติวล่ะคะ พี่ติวให้น้องน่าจะดีกว่า”
“ดูก็รู้แล้วนี่ ตาไผ่น่ะตามใจน้องจะตาย เอ่อ...บางครั้งผักหวานก็ขี้อ้อนน่ะ คือว่า...เดี๋ยวนี้ก็ไม่ค่อยได้กลับบ้านด้วยล่ะ เขาทำงานพิเศษข้างนอกแล้วก็ไปเช่าหออยู่เองเมื่อเดือนที่แล้ว ช่วงหลังๆพี่น้องคู่นี้ดูไม่ค่อยจะลงรอยกันด้วย หนูตันหยงเข้าใจนะ เอ๊ะ หรือว่ารบกวนหนูตันหยง น้าจ่ายเพิ่มให้ก็ได้นะ”
“ไม่ค่ะ...ไม่รบกวนเลย”
จะปฏิเสธอะไรก็คงไม่ทัน เห็นสายตาของคุณน้าแล้วอ่อนใจ ดูเหมือนจะหวังเอาไว้มาก สมัยก่อนไผ่ก็เคยบ่นๆนะว่าน้องชายเกเร ไม่สนใจเรียน เอาแต่มีเรื่องไปวันๆ พอเห็นว่าฉันจะมาดูแลให้ คุณน้าเลยถูกใจเป็นพิเศษกะมัง จำได้เหมือนคุณน้าเคยพูดว่าชอบผู้หญิงแบบฉัน สุภาพแต่ไม่กลัวใคร
แล้วลูกชายคนเล็กของคุณน้าชอบหนูไหมล่ะคะ~…ไร้สาระจริงๆ
ฉันกับคุณน้ามาหยุดยืนอยู่หน้าประตูของผักหวานแล้ว แว่วเป็นเสียงเพลงจังหวะร็อกดังลั่น
เอาเถอะ ถ้าหมอนั่นมันเกลียดฉันอย่างที่ฉันเกลียดเขาเดี๋ยวก็คงขอให้คุณน้าไล่ฉันเองแหละ
ไม่ต้องกลัวไปหรอก
ความคิดเห็น