คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 01 : ฉันชื่อ...ตันหยง
01
ฉันชื่อ…ตันหยง
มันเริ่มจากตรงนี้...
สายตาของลูกพี่ลูกน้องในบ้านล้วนมองมาที่ฉันอย่างเบื่อหน่าย ไม่คิดจะช่วยกันสักคน ปล่อยให้ฉันกับไอ้ตี๋หัวตั้งนั่งคุกเข่าอยู่หน้าผู้หญิงที่ใหญ่ที่สุดในบ้านตั้งหลายชั่วโมง...อาม่าที่เคารพ ผู้หญิงที่แม้แต่อดีตเจ้าพ่ออย่างเตี่ยยังชิดซ้าย อดีตลูกสาวค่ายมวยอย่างแม่ยังชิดขวา ยิ่งอาแปะผู้เป็นลุงของฉันและเป็นลูกชายคนโตที่อาม่ารักนักรักหนา แกยังหัวเราะเอิ๊กอ๊ากกับภรรยาไม่มีทีท่าจะช่วยแต่อย่างใด
“บอกแล้วว่าอย่าไป เห็นมั้ย โดนเลย” หย่ง ไอ้ตี๋ลูกอาโก (อา) กระซิบที่หูฉันเบาๆ ได้ยินดังนั้นฉันก็อดไม่ได้จึงศอกที่ลิ้นปี่มันไปทีหนึ่งทว่าก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาของอาม่า
“ลื้อทำอะไรอาตี๋!”
“ยะ หยอกเล่นตามประสาคนรักกันน่ะค่ะ”
“มันศอกผมอาม่า อย่าไปฟังมัน”
“ไอ้หย่ง!”
“ตันหยง!” ฉันตะโกนไม่ทันหุบปากดีอาม่าก็ตวาดว่าซะก่อน “เป็นสาวเป็นนางไปเรียกคนอื่นไอ้อย่างนู้นไอ้อย่างนี้ได้ไง ตลอดเวลาที่อั๊วอบรมลื้อมามันไม่ได้ซึมซับเลยใช่มั้ย”
“หยงเปล่านะอาม่า แต่หยง...หยง...เอ่อ...”
“แล้วเรื่องวันนี้จะอธิบายยังไง”
“ก็อย่างที่อาม่าเห็นแหละ”
“อย่างที่อั๊วเห็น ก็แปลว่าลื้อไปเที่ยวผับเรอะ!!”
“หยงไม่ได้เที่ยวนะอาม่า ก็พี่ชายเพื่อนไอ้หย่งมันเปิดร้านใหม่ เขาว่าอยากได้คนเยอะๆจะได้สนุก...ก็...” พูดไปเสียงก็เริ่มเบาลงเพราะตาอาม่าแกเริ่มคมกริบขึ้นเรื่อยๆ “ก็เลยไปอ่ะ บอกแล้วไง...”
“ก็เลยไป? ไอ้พี่ชายเพื่อนหย่งนี่มันญาติฝ่ายไหนของลื้อ ลื้อก็เหมือนกันอาหย่ง” อาม่าหันไปจ้องไอ้หย่งแทน มันทำหน้าเหรอหรามองซ้ายมองขวาแล้วชี้ตัวเอง ท่าทางกวนประสาทเกินพิกัด อาม่าเลยตวาดให้ “ไอ้หลานบ้า! อั๊วก็พูดกับลื้อนั่นแหละ ในบ้านนี้มีคนชื่อหย่งกี่คนฮะ!”
“ม้าคร้าบ ใจเย็นๆสิ”
ในที่สุดน้าอัฐก็มาช่วย แต่อย่างอาม่าเหรอจะสงบ จ้องหน้าฉันกับไอ้หย่งมาตั้งแต่ห้าทุ่ม ตอนนี้จะเที่ยงคืนแล้วยังไม่ยอมปล่อยเลย มันผิดวิสัย อย่างอาม่าเนี่ยเขาเรียก ‘หนึ่งวันก่อนพายุเข้า’ เห็นท้องทะเลสงบราบเรียบ น้ำลงต่ำผิดปกติ เตรียมอพยพได้เลยทุกคน ยังไงก็ต้องมี...ฉะ
“หุบปาก!!!” คอหดกันทั้งบ้านเลยเชียว “ก็ขนมผิงลูกสาวลื้อมันได้ดั่งใจแล้วนี่ ถึงมาทำปากดีห้ามอั๊ว ในเมื่อเตี่ยของตันหยงไม่สามารถจะอบรมลูกสาวให้เป็นผู้เป็นคนได้ล่ะก็ อั๊วทำเอง!”
ง่ะ...พอพูดว่า ‘อั๊วทำเอง’ ทีไร ได้เรื่องทุกที
เตี่ยอ้าปากจะแก้ตัวแต่ก็เงียบไปเพราะม้าเดินมาแตะไหล่ เห็นแบบนั้นฉันเลยได้แต่ส่ายหน้าเอือมๆ เอือมตัวเองนะ ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลังทุกทีเลย
“ส่ายหัวทำไม! ลื้อจะไม่ยอมรับผิดใช่มั้ย!”
“ปะ เปล่านะคะ...”
อยากร้องไห้...แค่ไปงานเปิดผับของพี่ชายของเพื่อนไอ้หย่งทำไมต้องโดนซักขนาดนี้ โทษใครไม่ได้เลย...โทษไอ้หย่งคนเดียว ดันเมาแล้วโทรศัพท์ผิด ไปโทรเข้าเบอร์บ้านแทนที่จะโทรหาน้องนุ่นของมัน อาม่ารับและบอกแล้วว่าไม่ได้ชื่อนุ่นมันยังคุยต่อ เป็นอันว่าอาม่าหลอกถามหมด อยู่ไหนและทำอะไร
และที่อาม่าโกรธสุดๆก็คือถูกไอ้หย่ง หลานชายตัวเองเรียกว่า ‘น้อง’ อาม่าบอกไปแล้วว่าชื่อ ‘กิมเน้ย’ ไอ้หย่งมันก็ยังไม่เลิกบ้า ขนาดชื่ออาม่าตัวเองยังจำไม่ได้ ของมึนเมามันร้ายกาจจริงๆ
แต่เห็นห้าวๆลุยๆแบบนี้ ฉันไม่เคยดื่มหรอกนะ ถูกอาม่าปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กๆ ถ้าเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับของมึนเมาแกจะเครียดมาก ฉันถึงต้องมานั่งอยู่อย่างนี้ไงล่ะ
ไอ้หย่งมันก็ไม่ค่อยดื่มเหมือนกัน คออ่อนจะตายชัก แก้วเดียวจอด ฉันจะเป็นคนคอยปกป้องมันจากของพวกนี้เสมอ มันไม่ดีน่ะ ทั้งต่อสุขภาพแล้วก็ภาพพจน์ รู้ล่ะว่าลูกผู้ชายมันต้องลอง ต้องให้ได้รู้ แต่ฉันไม่อยากเห็นสภาพมันเมาหัวราน้ำ ต่อมพี่สาวที่แสนดียังทำงานอยู่นะจะบอกให้
คือ...หย่งมันเป็นลูกชายของน้องสาวเตี่ยน่ะ ถึงจะอายุเท่ากัน แต่ฉันมีศักดิ์เป็นพี่นะ
...และจังหวะที่อาม่าโผล่ไปก็โดนใจสุดๆ เป็นช่วงที่ฉันถูกเรียกขึ้นไปโชว์พลังเสียงบนเวทีในเพลงร็อคแรงๆผสมว้ากพอดี ร้องไปได้ครึ่งเพลงเพิ่งสังเกตว่าไอ้พวกนักดนตรีมันค่อยๆสงบลงเรื่อยๆจนหยุดเล่นในที่สุด ฉันเกือบจะด่ามันแล้ว ดีว่ามือกีตาร์มันสะกิดไหล่ให้มองไปตรงประตูทางเข้าเสียก่อน
ใช่เลย! อาม่าเลย...อาม่าและพี่หยก พี่ชายแท้ๆของฉันซึ่งกำลังเรียนแพทย์อยู่ปีห้ายืนจ้องอยู่ตรงนั้น คราวนี้ไอ้หย่งถึงกับสร่างเมาแก้ตัวเป็นพัลวัน ตั้งแต่บนรถจนถึงบ้าน โดยมีฉันบอกให้เงียบเป็นพักๆเพราะกลัวว่าจะเป็นการร้อนตัวเสียเปล่าๆ เราไม่ได้ทำอะไรผิด มันก็คือไม่ผิด ไม่ เดือด ร้อน!
...ซะที่ไหนเล่า ไอ้ไม่ผิดมันก็จริง แต่เหมาะสมกับไม่เหมาะสมน่ะลืมนึกถึงไปเลย
“ลื้อจะเอายังไงกับอั๊วฮะ อาหยง ลื้อจะให้อั๊วทำยังไง”
“อาม่า...หยงก็สำนึกผิดแล้วไง หยงจะไม่ทำอีกแล้ว”
“แต่งานนี้ผมว่าผมไม่ได้ผิดอะไรมากนะครับ ลูกผู้ชายก็ต้องเที่ยวแบบนี้เป็นธรรม...อ๊ะ!” หย่งที่จ้ออยู่เป็นอันต้องคว่ำหน้ากระแทกกับพื้นและแน่นิ่งไปเพราะฉันกดหัวมันไว้ อดไม่ได้จริงๆ ไอ้บ้านี่จะเอาตัวรอดลูกเดียว ไม่รู้มันเอานิสัยแถน้ำไหลไฟดับมาจากไหน ทั้งบ้านมีมันเนี่ยแหละเป็นคนเดียว
“ขอโทษด้วยค่ะที่หย่งพูดอะไรเหลวไหล”
“แต่อีก็พูดถูก ลูกผู้ชายก็แบบนั้น จะสามหาวกับอั๊วก็ตอนคุยโทรศัพท์ ถือว่าขาดสติ” ท่าทางอาม่าจะใจเย็นลงแล้ว ฉันจึงยอมให้หย่งขึ้นมานั่ง มันแยกเขี้ยวให้ทีหนึ่งแล้วหันไปยิ้มอ้อนอาม่าแทน
“ไม่ต้องยิ้มแบบนั้นเลย” แต่อาม่าก็คือหญิงใหญ่ผู้เที่ยงธรรม “ยังไงลื้อก็ผิดอยู่ดี ไม่รู้จักห้ามกันบ้าง”
“ก็หยงมันอยากร้อง เพื่อนๆก็ชอบฟังเสียง ไม่เห็นผิดตรงไหน”
“ผิดที่ร้องเพลงบ้าๆแบบนั้นน่ะสิ ว้ากเวิ้กอะไร เสียสุขภาพจิต”
“คนแก่เขาว่าไม่เพราะ วัยรุ่นเขาว่ามันนี่นา อาม่านี่ไม่ทันสมัยเลย”
“ลื้ออยากโดนไล่ออกจากบ้านนักใช่มั้ย! หรือจะตัดค่าขนมดีฮะ!”
“อาม่าคร้าบบบ ผมล้อเล่นน่า” ทำเป็นยิ้มแป้น ในใจน่ะคงกระตุกวาบเลยล่ะสิ อาม่าเป็นคนคุมรายรับและรายจ่ายของบ้านก่อนส่งมอบให้ลูกๆอีกทีน่ะค่ะ แม้อยู่มหา’ลัยก็ยังเป็นลูกไก่ในกำมือ...เหอะๆ
“ลื้อนะหยง” อาม่าหันมามองหน้าฉันบ้าง “มัวแต่ติดน้องติดเพื่อน โตจนเรียนมหาวิทยาลัยเข้าไปแล้ว ทำไมไม่ทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันบ้าง”
“หยงก็เอนท์ติดแล้วนี่ไง เป็นชิ้นเป็นอันจะตาย”
“ติดไอ้คณะเถื่อนๆที่มีแต่ผู้ชายแบบนั้นเนี่ยนะ เป็นชิ้นเป็นอัน เฮอะ” หย่งโพล่งออกมา แย่งซีนกันเห็นๆ ฉันอุตส่าห์จะสาธยายเพื่อเรียกคะแนนต่อ มันดันจีบปากจีบคอพูดอีก
“พูดก็พูดเหอะอาม่า อ้อ กู๋กะกิ๋มด้วยนะ ผมน่ะอยากจะให้ลูกสาวกู๋หาแฟนไว้สักคน วันๆคบแต่เพื่อนผู้ชาย หน้าตาหยงมันก็ไม่ได้ขี้เหร่ขนาดหมาไม่มอง ไม่รู้มีพวกคิดเกินเลยบ้างรึเปล่า เกิดวันไหนหน้ามืดตามัวจะได้มีแฟนคอยปกป้อง เป็นลูกสาวคนโตของบ้าน จะนอนกอดคานไปถึงไหน...อั้ก!”
“เลิกพูดเหลวไหลได้แล้ว!” ฉันชักมือที่เพิ่งทุบลงกลางหลังไอ้หย่งกลับมาแล้วก็ต้องหน้าซีดเมื่อเห็นรอยยิ้มผุดขึ้นบนปากอาม่า “ยิ้ม ยิ้มอะไรอ่ะอาม่า”
“อั๊วว่าอาหย่งมันคิดดี น่าจะมีแฟนนะหยง ทำไมตั้งนานเพิ่งคิดได้ เข้ามหา’ลัยก็โตพอแล้วนี่” อาม่ายกมือขึ้นลูบคางขณะเหลือบตามองไปทางเตี่ยของฉัน “ลื้อเห็นด้วยมั้ยอาตี๋ ลูกลื้อเฮ้วๆแบบนี้ คงไม่ฟังญาติๆหรือเพื่อนฝูงมันหรอก อย่างลื้อนี่กว่าจะเข้าที่เข้าทางก็ต้องให้อาอัมพรมาปราบเหมือนกัน”
“โหย! อย่าแซวต่อหน้าลูกต่อหน้าหลานสิม้า”
“ทำเป็นอายหน้าแดง ทีเมื่อก่อนไล่กระทืบชาวบ้านไม่เห็น...”
อาม่าเริ่มออกทะเลแล้วค่ะทุกท่าน
“อาม่า! เรากำลังคุยเรื่องแฟนของตันหยงอยู่นะครับ”
“อ่ะ อั๊วแก่แล้วก็มีลืมกันบ้างสิ” หญิงผู้เป็นใหญ่แห่งบ้านหลังนี้ค้อนใส่หย่งเสียงหนึ่งวงใหญ่ๆ “เออ พูดมาก็ดี จากความผิดที่ลื้อประพฤติตัวไม่เหมาะสม คบแต่เพื่อนผู้ชาย บางทีก็พูดจาหยาบคายให้ระคายหู ช่วงมอต้นเล่นกีฬาจนตัวดำปี๋ พอขึ้นมอปลายก็ต่อยตีกับเขาไปทั่ว ไปเรียนมหา’ลัยยังมีแต่ผู้ชายมาหาเรื่องที่ร้าน พอจะมีใครมาจีบดันเป็นผู้หญิงมาอีก เพราะฉะนั้น...ลื้อไปหาแฟนที่เป็นผู้ชายมา!”
หน้าฉันพลันงอกลายเป็นม้าหมากรุก “พูดง่ายอ่ะอาม่า แล้วได้เรื่องไหมเนี่ย ยุให้หลานมีแฟน”
“เอ้า ก็ลื้อโตแล้ว น่าจะรับผิดชอบได้แล้ว พอเรียนจบ อั๊วก็จะให้ลื้อแต่งงานเลย”
“อ๊าก! อาม่าบ้าไปแล้ว! ดูอย่างแปะดิ กว่าจะแต่งงานยังปล่อยให้น้องมีลูกไปแล้วตั้งสองคน” อ่ะนะขอเอาแปะมาอ้างหน่อยยังไงก็ลูกรักนี่ “แล้วนับประสาอะไรกับผู้หญิงแบบหยง”
“ไม่สนโว้ย! บอกให้หาก็ต้องหา เกิดเป็นผู้หญิงต้องขยันบริหารเสน่ห์เข้าไว้”
“แต่อาม่าคะ...เตี่ย เตี่ยช่วยพูดหน่อยสิ!” ฉันรีบหันไปหาเตี่ยตัวสูงชะลูดที่ตอนนี้กำลังยกมือขึ้นเกาหัวแกรกๆแบบจนปัญญา ฝ่ายม้าที่ว่าแน่คุมมาเฟียเก่าอย่างเตี่ยอยู่หมัดยังยืนอ้าปากค้างทำอะไรไม่ถูกเลย แน่ล่ะสิ ใครจะไปกล้าเถียงอาม่าผู้เป็นใหญ่ในใต้หล้า
“เข้าใจแล้วนะอาหมวย อย่าให้อั๊วต้องพูดซ้ำ”
“ไม่เอาอ่ะม่า! มันคนละเรื่องเลยนะ แฟนไว้เรียนจบแล้วค่อยหาก็ได้ หยงอยากอยู่กับเพื่อน...”
“อั๊วให้ลื้อเลือกสองข้อ...” พออาม่าโปรยยิ้มมาแบบนี้ฉันค่อยโล่งอกหน่อย แต่ไม่รู้ทำไมเตี่ยกับแปะถึงทำหน้าสยองแปลกๆ และพอประโยคต่อมาของอาม่าดังขึ้นฉันก็ถึงกับต้องกรีดร้องลั่น
“จะหาแฟนมาให้อั๊วชื่นชมหรือถูกตัดค่าขนมไปจนสิ้นปี!”
“อาม่า!”
‘นิลยา’ เพื่อนผู้หญิงคนเดียวของฉันที่ซี้กันปานจะกลืนกินนั่งทำหน้ามึนอยู่ข้างหน้า
“แก ฉันไม่รู้จะทำยังไงว่ะ แฟนเฟินที่ไหนจะหาได้ง่ายเหมือนผักในตลาด”
“ไม่ยาก...ทำไมไม่จ้างกีตาร์ล่ะ...หือ...”
เสียงเย็นๆเรียบๆพร้อมรอยยิ้มหวานปนสยองที่ฉันชินมาตั้งแต่สมัยมอปลาย
เจ้าตัวพยักพเยิดหน้าไปทางเจ้าหนุ่มผมยาวระต้นคอพอจะจับมัดได้ วันนี้คงร้อนด้วย กีตาร์มันมัดผมเป็นจุกเล็กๆอยู่ข้างหลัง หน้ายิ่งขาวๆอยู่ ดันทำผมซะ...โดนเกย์ดักฉุดล่ะจะไม่ช่วยเลย
“อย่ามาโบ้ยครับ” นั่งนิ่งเป็นรูปสลักมันพอดูได้นะ แต่อ้าปากแล้วควงไม่ลง “หน้าอย่างคุณหญิงตันหยงเอาไปเป็นตุ๊กตาหน้ารถ นิ่งๆไม่ขยับ ผ่านครับ แต่ให้ไปเป็นแฟน เลี้ยงหมายังเพลินกว่า”
“รุนแรงจังเฮ้ย นิสัยฉันมันขนาดนั้นเลยรึไง”
“เอ้า ขนาดไหนล่ะ อยากรู้ก็มองเจ้าแม่นิลสิ แกกับมันน่ะตรงข้ามเลย อ้อ หมายถึงตอนนิลยาเวอร์ชั่นปรกตินะ อย่าไปมองเวอร์ชั่นเจ้าแม่”
นิลยาเป็นคนนิ่งๆเฉื่อยๆแต่เรียนเก่งระดับเทพ บางทีก็นั่งพึมพำพูดคนเดียวได้เป็นวันโดยไม่สนใจรอบข้าง เพื่อนๆในคณะเลยเรียกว่า ‘เจ้าแม่’ ประมาณว่าเป็นองค์ประทัพของมหาเทพ แรกๆเธอก็เขินอายมีแต่เพื่อนผู้ชายมาแซวเรื่องนี้แต่หลังๆดูจะเฉยเมยไปซะแล้ว
ก็คณะวิศวกรรมศาสตร์นี่ ได้เห็นผู้ชายจนเบื่อกันไปข้างหนึ่งเลยล่ะ
แต่คำว่า ‘เจ้าแม่’ มันไม่ใช่แค่นั้นหรอก เวลาไอ้นิลมันเผลอมันสามารถเทศน์คนได้และมีแรงปานช้างสาร เคยวูบแล้วทำร้ายคนแบบสลบเลยนะ นิลยาแกน่ากลัวในแบบที่แม้แต่พี่รหัสกับน้องรหัสมันยังหวาดๆ ดีว่ามันได้ฉันกับกีตาร์ผู้อัธยาศัยดีค่อยช่วยดันให้ไปนู่นไปนี่กับเพื่อนฝูงเลยยังไม่โดนตัดรุ่น
มันอยู่ปิโตรเคมี ส่วนฉันกับกีตาร์อยู่คอมฯ กีตาร์น่ะเพิ่งมาสนิทจริงๆตอนเรียนมหาวิทยาลัย ถึงกระนั้นทางบ้านของฉันก็รักมันมากกก อยากได้เป็นลูกเขยแบบออกนอกหน้า ด้วยความที่บ้านติดกันและมีเชื่อสายจีน ด้วยมั้ง (สังเกตได้จากตาตี่ๆของมัน)
“ช่างเหอะๆ ยังไงฉันก็ไม่เอาแกอยู่แล้ว เตี่ยกับม้าคงเห็นหน้าแกจนเบื่อ”
“แล้วไอ้ตี๋ที่มาส่งแกเมื่อเช้าล่ะ”
“โห สมแล้วที่ฉันเรียกแกว่ากีโต้” ฉันเขกหัวกีตาร์ไปทีหนึ่ง “นั่นก็ไอ้หย่งไง ลูกโกโว้ย”
“ก็เคยเห็นนี่หว่าแต่จำหน้าไม่ได้ ญาติแกมันล้นบ้านไปหมด เห็นกี่ที วันถัดไปก็ลืม ว่าแต่ทำไมแกถึงติดรถเขามาวะ ปกติขี่ลูกชายแกมาตลอดนี่”
“โดนยึดไง ที่เล่าเมื่อกี้ได้กำซาบเข้าไปบ้างไหม ค่าขนมก็ถูกตัด รถก็ถูกยึด มีเสื้อผ้า อาหารกับที่ซุกหัวนอนให้เท่านั้นแหละ อ้อ...ค่าเทอมยังออกให้อยู่”
“ปัญหาชีวิตเลยนี่นา…” นิลยางึมงำๆ
“เออสิ พวกแกพอจะรู้จักงานพิเศษอะไรง่ายๆมั้ย”
“พนักงานเสิร์ฟ”
“ไอ้ตาร์ แกอยากเห็นฉันฆ่าลูกค้ามากรึไง แบบฉันไปทำงานบริการจะรอดเหรอวะ เสิร์ฟๆแป๊บเดียวก็ด่ากันแล้วมั้ง นี่ฉันลงทุนติตัวเองเพื่ออนาคตอันสดใสเลยนะ”
นิลยาหัวเราะแบบขมขื่น
“ถ้าอยากสดใส...ก็ปรับปรุงตัวเองสิ...หยง…”
“ถูกใจเว้ย วันนี้เจ้าแม่เขาแรงจริง”
“หุบปากทั้งคู่เลย” ฉันกัดฟันพูด คว้าโกโก้มาซดเอื้อกหนึ่งดับความร้อนใจก่อนจะแย่งโน้ตบุ๊คไอ้นิลมาเล่น ตอนนี้เราทั้งสามคนกำลังนั่งอยู่ที่ร้านขนมหน้ามหาวิทยาลัย กีตาร์เขารอรับสาวสวยนิเทศศาสตร์ ส่วนนิลยาเธอรอส่องเดือนคณะสถาปัตย์ ได้ใจมากเพื่อนฉัน มีแต่เราล่ะนะที่ไม่รู้จะรอใครหรือมองใคร
ทั้งชีวิตมีแต่เฮฮากับเพื่อน รู้สึกตัวอีกทีก็โสดมาถึงป่านนี้แล้ว
“อ้าว นั่งทำหน้าหล่อเป็นพระเอกมิวสิคเลย แกเครียดจริงๆเหรอ”
“ไอ้บ้า ใครหล่อไม่ทราบ” ฉันถอนหายใจดังเฮือก “กีตาร์ บ้านแกก็รวยนี่หว่าทำร้านอาหารไม่ใช่เหรอ จิ๊กเงินมาให้สักพันสองพันดิ้”
“เวรมากครับเพื่อนสุดที่รัก ถ้าขอไปทำงานจะไม่ว่าเลย”
“ตาร์ก็รู้...ฝีมือทำกับข้าวของหยงน่ะ...” นิลยาเว้นไว้ให้คิดเอง
ชิ! อีกแล้ว ทำไมจี้ใจดำทุกคำพูดเลยนะ
ในที่สุดฉันก็ผุดลุกขึ้นยืน ใบหน้าบ่งบอกว่าทนไม่ไหวแล้ว เพื่อนทั้งสองก็เงยหน้ามองตาม ไม่ได้ตกใจ แต่เป็นประมาณว่า ‘เอาอีกแล้ว’
“ฉันไปหาเองก็ได้ มันต้องมีล่ะนะงานของเด็กมหา’ลัยที่ไม่ต้องไปรับใช้คนเยอะๆ ไม่ต้องทำอาหาร ใช้แต่ความรู้เท่าที่เรามีและจิตใจอันเปี่ยมล้นไปด้วยความมุ่งมั่น!”
ไม่สนใจใครแล้วตอนนี้ ฉันจะบ้าตายอยู่แล้ว
คิดเสร็จจึงกระแทกเท้าปึงปังออกมาจากร้านขนมก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าลูกชายสุดที่รักถูกอาม่าสั่งเก็บไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว กวาดซ้ายแลขวาก็ไม่เจอคนรู้จัก จะเข้าไปนั่งใหม่ดันกลัวเสียฟอร์มอีก นี่ยังไม่รู้ว่ากี่โมงไอ้หย่งมันถึงจะมารับ จะพึ่งเฮียหยก...ป่านนี้ยังไม่เลิกเรียนเลยมั้ง หมอเขาก็เรียนหนักแบบเนี้ย
“เอาวะ เดินไปขึ้นรถเมล์ก็ได้” ฉันยกมือขึ้นขยี้ผมแรงๆ
ไม่ได้นั่งรถเมล์ก็นานอยู่ คงมีเรื่องตื่นเต้นพอให้หายเครียดบ้าง นึกไปก็ขยับเท้าเรื่อยๆ สักพักจึงได้ยินเสียงเอะอะมาจากด้านหลัง ฉันเงยหน้าจากรองเท้าผ้าใบขาดๆ หันไปปั๊บก็เจอซอยลึกๆซอยหนึ่ง มีเด็กผู้ชายกับเด็กผู้หญิงในชุดมอปลายกำลังโต้เถียงกันอย่างรุนแรง
ฝ่ายหญิงก็น่ารักน่าทะนุถนอมเหมือนตุ๊กตา ผมยาวถึงกลางหลังดัดเป็นลอนที่ปลายและทำสีน้ำตาลเข้มเข้ากับผิวขาวเนียนแบบลูกคุณหนู คงคุณหนูจริงๆแหละ นั่นมันชุดนักเรียนโรงเรียนอินเตอร์นี่นา ฝ่ายชายก็หล่อชะมัด...ฉันเผลอจ้องเขานานมาก จมูกโด่งอย่างสวย…สวยจนเคลิ้ม ดวงตาก็กลมโตแต่คมกริบ คิ้วเรียวสวยนั้นกำลังย่นเข้าหากัน ริมฝีปากสีชมพูอ่อนตวาดรุนแรง กริยาอย่างกับพระเอกเรื่องสวรรค์เบี่ยง
แหะๆ ฉันก็เคลิ้มไปตามประสาคนไม่ค่อยได้เจอผู้ชายตาโตๆน่ะ
แต่ไอ้ที่ไม่หล่อจริงคงทำไม่ได้ก็คือทรงผมยาวละต้นคอแต่เซ็ตข้างหน้าให้ตั้งขึ้นต่างหาก
“ใครบอกว่าเธอไปได้! ทำกับฉันแบบนี้ยังพูดว่าฉันผิดอีกเหรอ!!”
“ก็นายไม่เคยสนใจเรา เราไม่รู้จะทนทำไม โอ๊ยยย ผักหวาน! อย่ามาจับนะ!”
อ้าวๆ...กลายเป็นปัญหาสังคมไปซะแล้วน้องสองคนนี้ ดึงกันในซอยไม่พอ ฝ่ายชายดันฉุดกระชากฝ่ายหญิงออกมาสู่ทางเดินข้างถนนใหญ่ ให้คนมองซะอย่างนั้น คงจะไม่เข้าไปยุ่งหรอก ถ้าสองคนนั้นไม่ฉุดกระชากกันมาหยุดตรงหน้าฉัน...ถ้าน้องผู้หญิงไม่คว้ามือฉันไปจับไว้…
“พี่คะ! ช่วยด้วยค่ะ ฮือๆๆๆ”
ฉันอ้าวต่ออีกหลายที อ้าปากหวอจนรู้สึกได้ถึงน้ำลายที่กำลังไหลย้อย
ทว่าก่อนจะไหลออกมาจริงก็รีบปิดปากแล้วมองไปรอบๆตัว
ตายละวา กลายเป็นจุดสนใจเสียแล้ว แต่น้องผู้หญิงก็น่าสงสารจริงๆ ดูท่าทางน้องผู้ชายโหดมาก เหมือนจะซ่าไม่เช่นเล่น ทั้งเจาะหูทั้งโกรกผม ฉุดกระชากกันแบบไม่กลัวแขนหลุด ฝ่ายน้องผู้หญิงแกร้องไห้ซะ...หน้าตาน่ารักๆนั่นเปื้อนน้ำมูกน้ำตาไปหมด อะไรกันนะเด็กสมัยนี้
“น้อง พอเหอะ แฟนน้องร้องไห้แล้วนะ”
“ไม่ใช่แฟนนะ ฮึกๆ…เราเลิกกันแล้วค่ะ”
เวรกรรมของไอ้หยงเมื่อน้องสาวคนนั้นกระโดดมากอดฉัน อาศัยจังหวะที่ไอ้หนุ่มนั่นเผลอกระชากแขนหลุดแล้วคว้าแขนฉันแทน เอาหน้ามาถูที่ต้นแขนอีกแน่ะ
เยี่ยม! ไทยมุงหันไปซุบซิบกันอย่างออกรส มีฉันทำหน้างงเป็นของตกแต่ง
“อ๋อ ไอ้คนนี้ใช่มั้ย คนนี้น่ะเหรอ!”
คนไหนวะ น้องสุดหล่อกำลังพูดอะไร
“เออ! คนนี้แหละ พี่สุดเท่ สุดเซอร์ คณะวิศวฯปิโตรเคมีคนนี้คือแฟนใหม่เรา!”
ค่ะน้อง พี่เท่และเซอร์...ว้าก! ฉันเบิกตาโพลง หันซ้ายหันขวาเพื่อหาไอ้คนที่น้องแกพูดใหม่ ไม่มี...มายก็อด!! ไอ้เด็กนี่มันหมายถึงฉัน ฉันสะบัดหน้ากลับมามองก็เจอดวงตาคู่คมอำมหิตของไอ้หนุ่มมอปลายจ้องซะยังกับจะเผาทิ้ง ไม่ใช่...ไม่ใช่...พี่ไม่ได้อยู่ปิโตรเคมี พี่อยู่คอมมม
“นะ น้อง ขะ เข้าใจผิดแล้วมั้ง จำคนผิดรึเปล่าจ๊ะ”
“วิปริต!!!”
เง้อออ
ไอ้หนุ่มมันไม่สนใจเลย ตวาดได้คำเดียวก็พุ่งเข้ามาทำท่าจะชก คว้าคอเสื้อฉันแล้วแต่ถูกยื้อหมัดไว้ด้วยมือเล็กๆของน้องผู้หญิง ฉันที่ตอนแรกยังงงๆเริ่มเข้าใจสถานการณ์รีบผลักอกไอ้เด็กนั่นทันที
“น้อง! ใจเย็นหน่อยสิ ที่ด่าว่าวิปริตยังไม่เอาเรื่องน่ะ แต่อย่ามาทำร้าย...”
“วิปริต!!!”
ร่างสูงที่แม้จะถูกผลักจนล้มอยู่กับพื้นก็ยังทำปากดีได้...ภาพที่คุ้นตาอย่างประหลาด
...ตาคมๆ คิ้วสวยๆ ปากบางๆ เสียงทุ้มๆ...
“นาย...” เหมือนมันติดอยู่ตรงปลายลิ้น…ชื่อนั้น…
“ผักหวาน...ใช่แล้ว นายนี่เองผักหวาน!”
แล้วฉันก็ตะโกนออกมาเสียงดังด้วยอารมณ์ตกใจ ผักหวาน...ผักหวานเป็นน้องของไผ่หลิว ไผ่หลิวซึ่งก็คือเพื่อนสนิทอีกคนหนึ่งของฉันและเป็นคู่หูกับกีตาร์ เพียงแต่วันนี้หมอนั่นมีธุระที่อื่น
จำได้แล้ว ไอ้เด็กปากร้ายนามว่าผักหวาน...ฉันเจอเขาตอนมอหกเทอมสอง พวกเราไปเที่ยวกันส่งท้ายและก็แวะมาที่บ้านของไผ่หลิว ด้วยความที่ไผ่เป็นผู้ชายค่อนข้างแปลกคือขี้อ้อนก็เลยเอาหน้ามาถูๆแขนฉันแบบนี้แหละ และก็เป็นไอ้เด็กนี่ที่วิ่งออกมาตะโกนว่า...
“วิปริต!!!”
...ยังกับฉายเทปซ้ำ มีเหรอที่ฉันต้องยอมเขาอีก โดยเฉพาะเวลาที่ไม่ต้องเกรงใจไผ่หลิว
“ยังมาว่าฉันอีกนะผักหวาน นายเป็นยังไงพี่ชายนายพูดให้ฟังหมดแล้ว ไม่เจอกันสองปีดูดีขึ้นนี่หว่า ไปเรียนโรงเรียนอินเตอร์หวังจะชุบตัวรึไง อ้อออ นี่ก็โดนแฟนทิ้งใช่มั้ย ถ่อยๆเถื่อนๆอย่างนายก็สมควร!”
คราวนี้เป็นน้องผู้หญิงที่อ้าปากค้างแทน ส่วนฉันดีใจจนอยากจะร้องแร็พมันเสียเดี๋ยวนี้
แค้นที่คั่งค้างมานาน...จะได้สะสางกันเสียที เพราะเขาบังอาจไปบอกไผ่หลิวว่าฉันคิดไม่ซื่อ ทำให้ในที่สุดฉันก็ต้องตัดใจยอมถอยออกมาเป็นแค่เพื่อน และไม่ได้ไปเหยียบบ้านไผ่หลิวอีกเลย...นั่นก็หมายถึงไม่ได้เจอกับเด็กนั่นอีก...ทั้งที่ทุกอย่างกำลังเป็นไปด้วยดีแท้ๆ...วันนี้ฟ้าเป็นใจแล้ว หึๆ
“น้องสาวคนนี้แฟนฉัน นายมีปัญหามั้ยวะ ไอ้น้อง”
ความคิดเห็น