คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : ทักทายนอกรอบจ้า.....
นอกรอบครั้งที่1.
สวัสดีค่ะ ท่านผู้อ่านทุกท่าน ดาราเนตร รายงานตัวค่ะ
นานแล้วนะคะ ที่หายหน้าไปไม่ค่อยได้แวะเข้ามาทักทาย
.....
แต่ยังคิดถึงทุกท่านอยู่เสมอนะคะ (ฮิ้ววววว)
วันนี้มีเรื่องต่าง ๆ อยากเล่าสู่กันฟังมากมาย (อัดอั้น หาที่ระบายบ้าง อิอิ)
เป็นเรื่องราวตลอดหลายปีที่ผ่านมา (เหตุการณ์เหมือนเกิดขึ้นเมื่อวานนี้เอง ..ทั้ง ๆ ที่ กำลังจะเข้าสู่ช่วงสิ้นปีอีกไม่กี่เดือนนี้เอง)
ช่วงวันหยุดยาวสำหรับคนที่มีบ้านเกิดอยู่ต่างจังหวัด ต่างก็ต้องเดินทางจากเมืองใหญ่กลับสู่แผ่นดินเกิด ผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งในบรรดาผู้ขายแรงที่ต้องดั้นด้น ระหกระเหินจากพ่อแม่จากบ้านเกิดมาอาศัยอยู่ในเมืองหลวงตามลำพัง และทำงานเพื่อเลี้ยงดูพ่อแม่ ที่รอคอยอยู่ที่ ต่างจังหวัด หรือที่เราทั้งหลาย มักจะเรียกกันจนติดปากว่าบ้านนอก
บ้านนอก ทุกวันนี้ไม่เหมือนกับที่เคยรู้จักเมื่อหลายสิบปีก่อน .ที่ในอดีตคนบ้านใกล้เรือนเคียงต่าง
ถ้อยทีถ้อยอาศัย ..
แบ่งปัน และช่วยเหลือกัน ..
มีมิตรไมตรีที่ดีต่อกัน…
ทุกวันนี้ค่านิยมต่าง ๆ เปลี่ยนไป สิ่งสำคัญสำหรับการใช้ชีวิตคือ เงินตรา คนในชนบทในยุคปัจจุบัน กลับเริ่มมีการแข่งขันในทุก ๆ เรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการดำเนินชีวิต อันได้แก่ ความมีหน้ามีตาในสังคม ในหมู่บ้านเล็ก ๆ หากข้างบ้าน มีสิ่งใดคนบ้านใกล้เรือนเคียงก็ต้องมีสิ่งนั้น..การยกระดับฐานะเป็นเรื่องที่ดี หากเป็นการพยายามแบบค่อยเป็นค่อยไป.ด้วยกำลังของตัวเอง แต่ชาวบ้านส่วนใหญ่ประกอบอาชีพเกษตรกรรม ทำนาทำไร่ตามประสา บางครั้งก็ได้ผลผลิตที่ดี บางครั้งก็แทบไม่คุ้มค่าปุ๋ย..ค่ายา (โชคดีที่บ้านของผู้เขียนไม่ต้องเป็นหนี้เป็นสินกับค่าใช้จ่ายพวกนี้)
เมื่ออยากมีอยากได้ก็ต้องดิ้นรน ..ความกดดันทุกอย่างจึงตกอยู่ที่ บรรดาลูก ๆ ที่ต้องดิ้นรน และขวนขวายอยู่ในเมืองใหญ่ หรือบางคนที่มีโอกาศมากกว่า...ก็กำลังสู้ชีวิตอยู่ในต่างแดน
เพื่อให้ได้มาในสิ่งที่ต้องการ...
เพื่อความมีหน้ามีตา...
และเพื่อสุขสบายที่เพิ่มขึ้น จนบางครั้งสังคม บ้านนอกทุกวันนี้ แทบไม่หลงเหลือสิ่งที่เคยเห็นในอดีต หรือที่ยังพอมีบ้างก็น้อยมากเต็มที..
ที่ผู้เขียนเล่าให้ฟังเช่นนี้ไม่ได้กำลังพาดพิงใครนะคะ อย่าเพิ่งเข้าใจผิดเพียงแต่..ผู้เขียนบอกเล่าเรื่องราวที่ได้ประสบมาดัวยตัวเองเล่าสู่กันฟังและกำลังรู้สึก เสียดายและคิดถึง วิถีชีวิต แบบเก่าของผู้คนในต่างจังหวัดเท่านั้นเอง
จำได้ว่าเมื่อตอนที่ยังเป็นเด็ก เวลาที่ถึงหน้าเกี่ยวข้าว ชาวบ้านจะรวมตัวกันพร้อมกับช่วยกันเกี่ยวข้าวในนาที่เรามักจะเรียกกันติดปากว่า ลงแขก ร่วมแรงร่วมใจกันจนเสร็จ เจ้าของนาก็จะตอบแทนด้วยการเลี้ยงข้าว และอาจจะมีเครื่องดื่มตบท้ายในช่วงดึก เป็นพิเศษ
...แต่ทุกวันนี้ไม่เป็นเช่นนั้น แล้ว หากไม่มีเงินจ้าง เจ้าของนาก็ต้องทำกันเอง หรือสำหรับคนที่พอจะมีฐานะก็จ้างเป็นรถเกี่ยวเนื่องจากรวดเร็วและประหยัดกว่า
นอกจากนี้แล้วเรื่องน้ำใจและไมตรีของเพื่อนบ้าน ก็ลดน้อยถอยลงไป บางครั้งก็แอบรู้สึกเศร้าเหมือนกันนะคะ เพราะแม้แต่พี่น้องที่อยู่บ้านติดกันยังทะเลาะเบาะแว้งกัน
....แล้วนับประสาอะไรกับคนอื่น สาเหตุหลัก ๆ ก็คงไม่พ้นเรื่องความขัดแย้งกัน ไม่ว่าจะด้วยคำพูดหรือการกระทำ (บางครั้งมันก็เล็กน้อยมาก ตัวอย่างเช่น..เรื่องหมาของสองบ้านที่ไม่ถูกกัน ประจวบเหมาะกับเจ้าของทั้งสองสิงห์ ไม่อยู่เกิดกัดกันเข้า พอฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเพลี่ยงพล้ำก็กลายเป็นประเด็นใหญ่ของเจ้าของ ที่เริ่มมีปากเสียงกัน ทั้ง ๆ ที่หลังจากนั้น เจ้าสองสิงห์ มันกลับรักกัน ตัวที่แพ้ก็จะยกให้ตัวที่ชนะเป็นจ่าฝูง ทั้ง ๆ ที่คนก่อเรื่องมันจบไปแล้ว แต่ฝ่ายเจ้าของยังเป็นประเด็นยืดเยื้อ และสุดท้ายก็บานปลายในที่สุด)
เล่าเสียยืดยาวเลย (ต้องขออภัยสำหรับคนที่รู้สึกรำคาญนะคะ) เคยอ่านหนังสือเล่มหนึ่งเนื้อความหลักในนั้นที่พอจะจำได้ก็คือ คนเราเมื่อโตขึ้นความเป็นเด็กในตัวจะค่อย ๆ ลดน้อยถอยลงไป
ผู้เขียนเองก็คิดเช่นนั้น ความเป็นเด็กในที่นี้ไม่ใช่เพียงแค่ความคิดความอ่าน หรืออายุหลักหน่วย..ที่เพิ่มเป็นเลขสองหลักเท่านั้น (ณ.จุดนี้คงยังไม่มีใครอายุถึงหลักร้อยนะคะ ถ้ามีต้องขออภัยที่ไม่ได้กล่าวถึง..) แต่ยังรวมถึงเรื่องอื่น ๆ อีกด้วย มาว่ากันต่อดีกว่า
เมื่อตอนที่เราเป็นเด็ก แล้วมีข้อสงสัย เรามักจะเก็บความสงสัยเหล่านั้นได้ไม่นาน เราต้องหาคำตอบเหล่านั้นให้ได้ ไม่ว่าจากเพื่อน พ่อแม่ ผู้ปกครอง หรือจากหนังสือ..แต่เมื่อเราโตขึ้นเรามักจะตอบข้อสงสัยจากความรู้สึกของตัวเองไม่ว่าจะถูกหรือไม่ก็ตาม..เพราะเรื่องบางเรื่องไม่ว่าเราจะถามเพียงเพื่อต้องการคำตอบ หรือคลายข้อสงสัย แต่ในสังคมของผู้ใหญ่แล้วมันละเอียดอ่อนและกระทบกระเทือนต่อจิตใจได้ง่ายดายเหลือเกิน
ตอนเด็กไม่ว่าเราจะทะเลาะกับเพื่อน หรือโกรธกัน..แค่ไหน ผ่านไปไม่นาน..เราก็จะจับมือและเล่นด้วยกันและรู้สึกเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น สิ่งที่ตกตะกอนอยู่ในใจคือ..ครั้งหน้าเราจะไม่พูดหรือทำแบบนั้นอีกเพราะรู้ว่าเพื่อนเราจะไม่พอใจ แต่เมื่อเราโตขึ้น..ไม่ว่าเราจะเป็นฝ่ายถูกหรือฝ่ายผิด เราก็มักจะหาเหตุผลให้ตัวเองเป็นฝ่ายถูกเสมอ (หรือเรียกง่าย ๆ ว่าเข้าข้างตัวเองประมาณว่า ก็รู้ว่าเราทำไม่ถูก แต่ว่า.....) แล้วเหตุผลต่าง ๆ ก็ไหลเวียนอยู่ในความคิด มากมายไปหมด..สุดท้ายหากมีปัญหากันโดยส่วนใหญ่ต่างฝ่ายก็เลือกที่จะยืนคนละฝั่งและลืมมิตรภาพที่ดีต่อกันในที่สุด
เมื่อยามเป็นเด็กเรามองโลกใบนี้สวยงามเสมอ เพียงแค่มี พ่อหรือแม่อยู่เคียงข้าง แต่เมื่อเราโตขึ้น เรากลับปล่อยให้คนที่รักเราที่สุดต้องอยู่เพียงลำพังบ้าง ปล่อยปละละเลยบ้าง เวลาทุกวินาที..ใช้ไปกับการทำงาน การเรียน การดำเนินชีวิตประจำวัน และยกเหตุผลต่าง ๆ มากมาย ในการทอดทิ้งท่านเหล่านั้น…ไว้เบื้องหลัง
ผู้เขียนเองก็เป็นหนึ่งในบรรดาคนเหล่านั้น ที่ชีวิตในแต่ละวันต้องเร่งรีบ แข่งขัน และวุ่นวายจนบางครั้งต้องห่างหายจากการติดต่อทางบ้าน และให้เหตุผลว่าเพราะเราไม่มีเวลา..เพราะเรายุ่ง...เพราะเราติดงาน วันนี้ดึกมากแล้วรอพรุ่ง ..ช่วงนี้อ่านหนังสือเตรียมสอบหนักมาก..เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยโทรหาก็ได้ (อีกมากมายนับไม่ถ้วนที่เราจะยกให้ตัวเอง)
เหตุการณ์ที่เป็นจุดเปลี่ยนของชีวิต คือตอนที่พ่อและแม่ ของผู้เขียนเองประสบอุบัติเหตุทั้งคู่ต้องเข้าโรงพยาบาลโชคดีที่ไม่ถึงแก่ชีวิต ถัดมาไม่นานแม้แต่น้องชาย ก็รถคว่ำอาการสาหัสมาก และต้องอยู่โรงพยาบาล นานนับเดือน..
ผู้เขียนจำได้ว่าตอนนั้นเคว้งคว้างมาก เพราะกลัวพวกท่านเป็นอะไรไป พ่อต้องรักษาตัวอยู่นานค่ะ ปัจจุบันอาการภายนอกดีขึ้นมากแล้ว แต่ท่านยืนนานไม่ได้ และเดินมากไม่ได้เนื่องจากขาซ้าย ถูกชนอย่างจัง
เมื่อเหตุการณ์เหล่านั้นผ่านไป จึงทำให้ผู้เขียนคิดได้ว่าหากเรารอเวลา..ในการเริ่มทำเรื่องต่าง ๆ บางครั้งมันอาจจะสายเกินไป ทุกวันนี้ ผู้เขียนโทรหาทางบ้านสม่ำเสมอแม้บางครั้งจะโทร.ไปแล้วถามพ่อกับแม่ว่าได้แค่ ทานข้าวหรือยัง ก็สามารถรับรู้ได้ว่าเสียงจากปลายสายมีความสุขมากแค่ไหน (เลยพลอยทให้เรามีความสุขไปด้วย)
ถ้าอ่านมาถึงตรงนี้ (หวังว่าคงมีอย่างน้อย ซักคนนะคะ)
ผู้เขียนอยากจะเป็นกำลังใจให้กับน้อง ๆ พี่ ๆ เพื่อน ๆ ที่ ตอนนี้ค่อย ๆ เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ และกำลังฝ่าฟันกับปัญหาต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเรียน การทำงาน การใช้ชีวิต
.....รวมถึง คนที่ต้องต่อสู้ประสบปัญหาเรื่องสุขภาพไม่ว่าจะเล็กน้อย หรือหนักหนาถึงชีวิต
อย่างที่เราเคยได้ยินอยู่เสมอว่า ในความมืด ยังมีแสงสว่าเสมอ.. หากเรายังมีลมหายใจ ในอนาคตเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนบางครั้งคนที่เป็นโรคร้ายแรงอาจจะมีชีวิตยืนยาวกว่าคนที่แข็งแรงและไม่เคยป่วยเป็นโรคใด ๆ ก็ได้ เพราะฉะนั้นอย่าท้อนะคะ โรคพวกนั้นก็เป็นแค่ นาฬิกาชีวิตที่จะสั้นยาว ก็ขึ้นอยู่กับกำลังใจของตัวเราเองหากเรารู้เวลาที่เหลือชิวิตที่ดำเนินไปในแต่ละวันอย่างค่อย ๆ เป็น ค่อย ๆ ไป และมีชีวิตอยู่อย่างมีความสุข คุณยังน่านับถือกว่าคนที่แข็งแรงแต่กลับใช้เวลาแต่ละวันอย่างไร้คุณค่าและสร้างแต่ความเดือดร้อนให้กับผู้อื่น
...เริ่มนอกเรื่องอีกแล้วกลับมาเรื่องของตัวเองดีกว่า.. (สติเริ่มหลุดลอยไปไกล)
อย่างผู้เขียนเอง ก็ได้รับแสงสว่างจากผู้อ่านที่น่ารักเหมือนกัน งง กันใช่หรือเปล่า..ครั้งนี้จะเป็นครั้งแรกที่จะเปิดใจเล่าให้ทุกท่านได้รับทราบนะคะ
เมื่อหลายปีก่อน ทางบ้านของผู้เขียนประสบปัญหา (เรื่องเยอะจริง ๆ ) พ่อและแม่ตกงานทั้งคู่ ด้วยความที่อายุของท่านมากแล้วจึงไม่สามารถหางานทำได้ ทางบ้านจึงตกลงใจกันว่าจะเดินทางกลับบ้านเกิดที่ไม่ได้กลับไปเกือบ 20 ปี (บ้านเกิดของเราอยู่ที่ จังหวัดสุรินทร์ ค่ะ แต่ พ่อกับแม่พาครอบครัวย้ายมาทำงานที่ จังหวัดราชบุตั้งแต่ ผู้เขียนยังเล็กมาก)
อยู่กันมาหลายปี ก็ตกงาน (ซะงั้น) บ้านที่อาศัยอยู่กันตอนนั้น เป็นบ้านพักคนงานค่ะ พวกเราเลยหมดทุกอย่าง บ้านก็ไม่มีอยู่ งานก็ไม่มีทำ เรื่องเงินไม่ต้องพูดถึง(น้อยมาก) เป็นปัญหาจริง ๆ สำหรับคนหาเช้ากินค่ำ แม้ว่าเราจะอดออมแค่ไหนและพยายามสำรองเงินไว้ใช้ยามจำเป็น แต่เมื่อถึงเวลาที่ลำบากต่อให้มีเท่าไหร่ก็ไม่พอจริง ๆ
ตอนนั้นผู้เขียนเดินทางเข้ามาเรียนที่ ม.ราม พร้อมกับทำงานไปด้วย เมื่อพ่อกับแม่ต้องเดินทางกลับบ้านเกิดสิ่งที่ตามมาคือค่าใช้จ่าย (เคว้งคว้างอีกแล้ว)
หัวสมองน้อย ๆ ตอนนั้นมันตื้อจนคิดอะไรไม่ออกค่ะ ทางบ้านพักคนงานในฟาร์ม ให้ครอบครัวของผู้เขียน อาศัยอยู่ต่อได้อีกสี่เดือนก่อนที่ฟาร์มจะปิดตัวลง ผู้เขียนยอมรับว่าเครียดมาก (แต่ไม่ดื่มเหล้านะคะ อิอิ) ไม่รู้ว่าจะหาทางออกกับเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างไร เพราะตอนนั้นก็ทำงานเป็นพนักงานร้านหนังสือ รายได้ก็ไม่ได้มากมายอะไร
แต่อย่างที่บอกค่ะว่าในทุกความมืดยังมีแสงสว่างเสมอ เหมือนโชคชะตาจะชักพาให้เรารู้จักกัน (ฮิ้ว ..วววว อีกรอบ) มีน้องที่เป็นลูกค้าที่ร้านหนังสือ มาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับนิยาย บนโลกออนไลน์ และลองชวนไปเขียนดูบ้าง บอกตรง ๆ ว่า ไม่เคยมีความรู้เกี่ยวกับการเขียนมาก่อน ตลอดชีวิตที่เรียนมาก็เรียนคณะบริการ สาขาการบัญชี แต่เรื่องอ่านนี่มั่นใจเลยค่ะ ..ว่าไม่แพ้ใคร
ช่วงนั้นอาจจะเป็นเพราะความฟุ้งซ่านหรือใด ๆ ก็ตาม ทุกอย่างถูกแปลงเป็นตัวอักษร และถ่ายทอดออกมาเป็นนิยายเรื่องแรก (ที่ตอนนั้นบอกตามตรงว่า พวกเราสนุกกับการนั่งพิมพ์นิยายในร้านอินเตอร์เน็ตมาก พิมพ์ไป อัพไป แล้วที่สำคัญเรามีเคอร์ฟิวกันแค่เที่ยงคืน) เลิกงานประมาณ สี่ทุ่มครึ่ง เดินทางไปถึงร้าน อินเตอร์เน็ต ก็ห้าทุ่มแล้วค่ะ เพราะฉะนั้นทุกท่านจึงไม่ต้องแปลกใจ ว่าเพราะเหตุใด นิยายเรื่องแรก ถึงน่าปวดหัว กับคำผิดขนาดนั้น ที่สนุกกว่านั้นคือ บางวันระหว่างที่พิมพ์เสร็จแล้ว เตรียมอัพนิยาย แม่เจ้า!!! ฝนตกไฟดับค่ะ เศร้ามาก
ตลอดระยะเวลาที่แต่งนิยายและเริ่มมีคนติดตามขึ้นเรื่อย ๆ กำลังใจที่หดหู่เริ่มค่อย ๆ ดีขึ้นทีละน้อย อาจเป็นเพราะเมื่อเราได้จดจ่อกับสิ่งใดสิ่งหนึ่งจึงทำให้ความเครียดลดลง และบางครั้งเมื่อได้อ่านกำลังใจบางประโยค ก็ช่วยทำให้พลังใจได้อย่างไม่น่าเชื่อ บางท่านอาจจะไม่รู้ตัวเลย
...แต่ผู้เขียนทราบซึ้งกับเรื่องราวเหล่านั้นมากจริง ๆ ค่ะ
ก่อนอื่นต้องขอบคุณนักอ่านทุกท่านมากนะคะ ที่ให้การตอบรับนิยายเรื่องแรก คือปรารถนารักซาตาน จนหนังสือเล่มแรกได้ตีพิมพ์และ ขอขอบคุณสำนักพิมพ์ ทวีสาส์นที่ ช่วยอนุเคราะห์ พิมพ์หนังสือจากนักเขียนหน้าใหม่คนนี้
จะเรียกได้ว่าครอบครัวของเราเป็นหนี้บุญคุณทุกท่านก็ไม่ผิดนักเพราะหลังจากตีพิมพ์ เงินก้อนนั้นผู้เขียนก็มอบให้พ่อกับแม่ซึ่งท่านได้ใช้ในการขนย้ายของกลับต่างจังหวัด และกันบางส่วนไว้สำหรับเริ่มต้นชีวิตใหม่ แม้มันจะไม่ใช่เงินก้อนใหญ่ ..แต่มันก็ช่วยบรรเทาความเดือดร้อนให้กับครอบครัวเล็ก ๆ ที่กำลังมืดแปดด้านให้มีลมหายใจต่อไปได้อีกระยะหนึ่ง..
...ขอบคุณทุกท่านจากใจอีกครั้งค่ะ..
หากเปรียบชีวิตคนเราเป็นเหมือนผ้าขาวผืนหนึ่ง เหตุการณ์ต่าง ๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิตก็คงเป็นสีต่าง ๆ ที่คอยแต่งแต้ม ไม่ว่าจะขาว ..ดำ...สดใส หรือขุ่นมัว
เพราะคนเราไม่มีใครที่จะพบแต่ความสุข หรือวนเวียนอยู่กับความทุกข์ ทุกคนต่างก็ต้องเจอเรื่องร้ายและดี ปะปนกันไป ทุก ๆ ครั้งที่มีสีสันแต่งแต้มเพิ่มขึ้นก็เปรียบเสมือนกับการเพิ่มสีสันให้กับที่ว่างบนผืนผ้าใบ เมื่อเวลาเลยผ่านแล้วเรามองกลับไป...ไม่ว่าเราจะ ผิดหวัง หรืออาจจะชื่มชมกับสีสันที่เกิดขึ้นกับผ้าขาวผืนนั้น.
.แต่สิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ก็คือ คนที่ลิขิต..และคนที่ค่อย ๆ เติมสีสันให้กับผ้าใบชีวิตนั้นก็คือตัวเราเอง
เมื่อยามที่เราทุกข์ และท้อแท้กับเรื่องราวต่าง ๆ จนบางครั้งรู้สึก
มืดทุกทาง..
หาทางออกไม่ได้..
อย่ามัวแต่จมอยู่ในความทุกข์ หรือมัวแต่โทษโชคชะตา.ฟ้า ดิน.(ถึงจะห้ามยากก็เถอะ) เรื่องความทุกข์เป็นเรื่องของส่วนบุคคล หากใครไม่เจอ..หากใครไม่เป็นคนที่กำลังเผชิญอยู่ก็ไม่มีทางเข้าใจความรู้สึกนั้นลึกซึ้ง..แต่เมื่อเวลาผ่านไปแล้วเราลองย้อนกลับไปคิดถึงเรื่องราวเหล่านั้น เรากลับเข้มแข็งและไม่เจ็บปวดกับมันเท่ากับช่วงเวลาที่เรากำลังจะก้าวผ่าน
ผู้เขียนอยากให้ทุกคนสร้างกำลังใจให้ตัวเอง เพราะบางครั้งท่ามกลางความโชคร้ายของเรา..เราจะได้เรียนรู้ใจคนรอบ ๆ ตัวว่ามีความจริงใจกับเราแค่ไหน..และใครคือมิตรแท้ที่พร้อมจะอยู่เคียงข้างในตอนที่เราล้มลง หรือแม้สุดท้ายจะไม่มีใครเลย แต่เชื่อเถอะว่าต่อให้ไม่เหลือใครแต่เมื่อเกิดวิกฤติเกิดขึ้นปัญหาเหล่านั้นจะช่วยหล่อหลอมให้เราแข็งแกร่งขึ้น
ชีวิตไม่มีอะไรที่ได้มาเพราะความบังเอิญ..หากแต่อาจจะเป็นผลพวงจากการกระทำของตัวเราเองอยู่ที่ว่าเราตั้งใจหรือไม่เท่านั้น
เรื่องราวเล็ก ๆ ที่เล่าสู่กันฟังอาจจะดูบางเบาสำหรับคนที่ต้องเจอเรื่องที่เดือดร้อนและหนักหนาสาหัสอยู่ขณะนี้ และอาจจะดูเป็นเรื่องย่ำแย่ สำหรับคนที่เกิดมาสุขสบายและชีวิตไม่ต้องพบเจอคำว่าอุปสรรค ประสบการณ์ในชีวิตของผู้เขียนยังดูน้อยมาก เมื่อเปรียบเทียบกับคนที่ผ่านโลกมามากกว่า แต่ก็หวังว่าเรื่องราวเหล่านี้คงพอที่จะเป็นอุทาหรณ์ให้กับน้อง ๆ ที่อายุยังน้อยและกำลังจะเปลี่ยนจากวัยเด็ก เติบโตเข้าสู่วัยรุ่น รวมถึง วัยทำงาน ...ได้บ้าง
รวมถึง ผู้เขียนหวังว่า บทความในครั้งนี้อาจจะเป็นอีกหนึ่งแรงที่ช่วยเติมพลังชีวิตให้กับทุกท่านได้บ้างไม่มากก็น้อยเพราะผู้เขียนเองก็เคยได้รับพลังใจนั้นจากประโยคสั้น ๆ ที่ว่า
“สู้ ๆ นะคะ จะเป็นกำลังใจให้ค่ะ”
ขอบคุณอีกครั้งที่ทนอ่านมาถึงบรรทัดนี้
ด้วยรัก
ดาราเนตร
ความคิดเห็น