คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บอกลา
หนึ่งอาทิตย์ที่แสนเหนื่อยล้าของปารลีสิ้นสุดลง เมื่อคุณสุวิมลเดินทางกลับมาและเดินทางมาทำงานตามเป็นปกติ
ภีร์มะเดินมาหยุดอยู่บริเวณเยื้องโต๊ะทำงานของมารดา ที่เป็นกระจกใสบานใหญ่พร้อมก้มมองนิ่งอยู่กับภาพที่ชินตาของเขาในทุกพักกลางวัน คือชายหนุ่มท่าทางสุภาพ แต่งกายด้วยชุดทำงานภูมิฐาน มารอรับ ปารลีไม่ไกลจากตัวตึกนัก จากที่เห็นไกล ๆ เขาพอจะเดาได้ว่าอีกฝ่ายคงมีรูปร่าง หน้าตาหล่อเหลา เอาการจึง ทำให้บรรดาพนักงานสาว ๆ พากันมองปารลีด้วยความอิจฉาเธอเสียหนักหนา
“ผู้ชายคนนั้นเป็นใครหรือครับ” ภีร์มะเอ่ยถามมารดา เมื่ออยู่กันตามลำพังภายในห้อง
“ใครกัน...อ๋อ พ่อเอกวุธ ทำไมเหรอ” มารดามองตามสายตาลูกชายก่อนจะเห็นร่างสูงของ เอกวุธ ที่ยืนรอที่ประจำ บริเวณที่เขาจะมารับปารลี
“เปล่าผมแค่สงสัย ว่าหมอนั่นไม่มีงานมีการทำหรือไง ถึงได้มารอรับเลขาของแม่ได้ทุกวัน”
“แหม ตาภีมปากร้ายจริงนะเรา เห็นหนูป่านเคยเล่าให้ฟังว่าพ่อเอกวุธทำงานเป็นสถาปนิก บริษัทก็อยู่ไม่ไกลจากที่นี่นัก ตอนนี้คงเป็นช่วงทำคะแนน แม่เห็น ฝ่ายนั้นตามจีบตั้งแต่เรียนมหาลัย หนูป่านก็ยังไม่ยอมใจอ่อนซักที” ท่านเอ่ยตามที่เห็นและรับรู้ความสัมพันธ์ของหนุ่มสาวทั้งคู่มาโดยตลอด
“ไม่ใจอ่อน แต่ก็ยังไปไหนมาไหนกับเขาแบบนี้..เหรอครับ” ภีร์มะนึกดูแคลนหญิงสาวที่กำลังก้าวขึ้นรถพร้อมนั่งเคียงคู่ไปกับชายหนุ่มด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“น่าตีนักเชียว ลูกคนนี้ แม่เป็นคนบอกหนูป่านเอง ว่าให้โอกาสพ่อเอกวุธก่อน ..เพราะบางที การที่ได้ศึกษาและเรียนรู้กันไป โดยที่ทั้งคู่มีพื้นฐานความรู้สึกดี ๆ ต่อกันวันหนึ่งมันอาจจะเปลี่ยนเป็นความรักก็ได้ อีกอย่างแม่ก็เห็นว่าพ่อเอกวุธเขาก็เป็นคนดี เสมอต้นเสมอปลาย แล้วก็คบกันอยู่ในกรอบที่ดี ถ้าทั้งคู่ตกลงปลงใจกันได้ แม่จะดีใจมาก” ผู้เป็นแม่เฝ้าดูอาการของภีร์มะเงียบ ท่านรู้เรื่องที่บุตรชายร้ายกาจและหาเรื่องกลั่นแกล้งปารลี แต่ท่านก็มั่นใจว่าปารลีจะสามารถจัดการกับลูกชายตัวแสบของท่านได้
“ว่าแต่เราเถอะ เท่าที่ได้ยินมาว่า ขนาดกลับมาแล้ว บรรดาแฟนคลับก็ไม่ลดลงเลยนะ แม่ขอเถอะไอ้เรื่องสาว ๆ เรื่องเที่ยวเนี่ยเพลา ๆ ลงบ้างเถอะ ” ภีร์มะแกล้งถอนหายใจยาวเหยียดก่อนจะโอบกอดมารดาอย่างเอาใจพร้อมกับเอ่ยเสียงอ้อน
“โธ่คุณแม่คร๊าบ..ทำไมไม่เชื่อใจลูกชาย แต่ไปเชื่อที่คนอื่นฟ้องละครับ”
“คนอื่นนะใครย่ะ พ่อตัวดี” คุณสุวิมลดักคออย่างหมั่นไส้
“ก็ยัยเลขาตัวแสบ ของคุณแม่นะสิครับ”
“อย่างหนูป่านนะเหรอจะบอก แม่รู้ของแม่ก็แล้วกัน เอาล่ะเรื่องนั้นพอก่อน..ตอนนี้งานถึงไหนแล้ว” ภีร์มะเอ่ยเกี่ยวกับงานให้มารดาฟังคร่าวๆ พร้อมกับแจ้งมารดาเกี่ยวกับปัญหาภายภายในเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่ได้รับฟังจากบรรดาสาว ๆ ที่เคยไปทานข้าวช่วงพักกลางวันอยู่บ่อยครั้ง
“แหมไม่เสียแรงที่แม่ไว้วางใจให้หนูป่านดูแลเรา”
“โธ่คุณแม่ครับ ทำไมไม่คิดว่าเป็นเพราะผมเก่งบ้างล่ะครับ” ภีร์มะเอ่ยอย่างตัดพ้อที่มารดายกความดีความชอบทุกอย่างให้ปารลี
“แม่ไม่เถียงหรอก เรื่องที่ลูกแม่เก่ง ฉลาด แต่เสียอยู่เรื่องเดียว..ขี้เกียจ จับจด ความอดทนต่ำ ขี้โมโห” ท่านยังเอ่ยเรื่อง ๆ แต่ภีร์มะรีบห้ามเอาไว้เสียก่อนเมื่อยิ่งฟังก็ยิ่งรู้สึกเหมือนความดีของตนลดน้อยลงเรื่อย ๆ
“พอเถอะครับคุณแม่ เรื่องดี ๆที่คุณแม่พูดเมื่อครู่ผมจำไม่ได้แล้ว ตอนนี้เรื่องแย่ ๆ มันกลบเสียไม่เหลือข้อดีเลย” ภีร์มะโอดครวญ
“ไม่ต้องมาคร่ำครวญเลย ..เดี๋ยวแม่จะปลอบใจโดยการเลี้ยงข้าวกลางวันก็แล้วกัน” คุณสุวิมลเอ่ยเสียงเรียบเรื่อยเพราะท่านนัดกับคุณวิไลว่าเที่ยงนี้จะพาบุตรทั้งสองฝ่ายไปทานอาหารกลางวันโดยที่ไม่บอกให้ทั้งคู่รู้เรื่องล่วงหน้า
“ถ้าผมบอกว่าไม่ไปละครับ” ภีร์มะหยั่งเชิง มารดาหันกลับมาส่งยิ้มหวานให้ แต่ดวงตาของท่านกลับไม่ยิ้มเลย
“ก็ตามใจแม่ไม่บังคับหรอก ...แต่แม่จะไม่เลี้ยงข้าวแกอีกเลย ” ภีร์มะไม่ได้คัดค้านอีก ชายหนุ่มเดินตามหลังท่านออกไปจากห้องทำงานอย่างว่าง่าย
วันนี้เป็นโอกาสทองในการยั่วโมโหปารลีหลังจากที่ต้องรามือไป เพราะมารดาเดินทางกลับมา... แต่วันนี้มารดาจะเข้าบริษัทแค่ช่วงเช้า เขาจึงอารมณ์ดีและตามใจมารดาเป็นพิเศษเมื่อคิดถึงช่วงเวลาที่จะได้ใช้ในครึ่งวันหลังกับปารลี
ตลอดหลายอาทิตย์ที่ได้ทำงานร่วมกัน เขาไม่ปฏิเสธเรื่องที่ปารลี ทำงานเก่ง คล่องแคล่ว รวมถึงการอธิบายงานต่าง ๆ ก็เข้าใจง่าย รวมทั้งเธอยังได้รับความไว้วางใจจากบริษัทคู่ค้าเป็นอย่างดี ถ้าตัดเรื่องความไม่พอใจส่วนตัว เขาคิดว่าเธอเป็นผู้ร่วมงานที่ดีมาก แต่สิ่งที่เธอเก่งไม่แพ้เรื่องทำงานคือการต่อปากต่อคำและกวนอารมณ์ให้เขาต้องขุ่นเคืองทุกครั้งที่ทั้งคู่ต้องลับฝีปากกัน
“ท่าทางอาหารมื้อนี้จะหวาน...น่าดู” ภีร์มะเอ่ยขึ้นลอย ๆ
มือที่กำลังพิมพ์จดหมายสรุปรายงานการประชุมชะงักไปครู่ ก่อนจะทำงานต่อโดยไม่สนใจเสียงที่ดังมาตามลม เธออุตส่าห์ทำงานอย่างสบายใจมาหลายวันแต่กลับต้องมาปวดหัวทันทีที่อยู่กันตามลำพัง อยู่ที่บ้านก็ยังพอหลบเลี่ยงได้ แต่เมื่ออยู่ในห้องทำงาน เธอก็ทำได้เพียงก้มหน้าก้มตาทำงานและ พยายามอดทนเก็บความไม่พอใจเอาไว้
“ผมถามไม่ได้ยินหรือไง” ภีร์มะเอ่ยเสียงเข้มขึ้น ปารลีเงยหน้าขึ้นจากงานตรงหน้า ดวงตากลมโตมองสบตาคมอีกฝ่ายนิ่ง พร้อมกับเอ่ยเสียงเรียบ
“ได้ยินค่ะ ..แต่ไม่รู้ว่าคุณถามใคร”
“แล้วในนี้มีกันอยู่แค่สองคนแล้วผมจะถามใครได้อีก”
“ขออนุญาติไม่ตอบค่ะ” ภีร์มะเริ่มสนุกเมื่อเห็นใบหน้าเรียบสนิทเริ่มแดงระเรื่อขึ้นด้วยความโกรธ เขาก็ไม่ใช่คนชอบต่อล้อต่อเถียงแต่ทำไมกับปารลีแล้วเขาถึงชอบยั่วให้เธอโกรธเสียทุกครั้งไป แล้วถ้าเธอโกรธจนปากอิ่มเม้มแน่นเพื่อระงับความโกรธแล้วเขาก็ยิ่งรู้สึกพอใจมากขึ้น
“ก๊อก ก๊อก” เสียงเคาะประตูดังขึ้นเป็นอันยุติเสียงพิพาทของหญิงสาวภายในห้องที่ยังส่งสายตาจับจ้องกันโดยไม่วางตา
“เชิญค่ะ” ปารลีเอ่ยกับคนที่อยู่นอกห้องทำงาน พร้อมกับก้มลงทำงานในมือของตนต่ออย่างไม่สนใจชายหนุ่มอีกต่อไป
“โกโก้ร้อนค่ะคุณป่าน ส่วนนี่กาแฟร้อนของคุณภีม จะรับอะไรเพิ่มหรือเปล่าค่ะ” แม่บ้านเดินเข้ามาภายในห้องทำงาน พร้อมกับวางเครื่องดื่มให้ทั้งสองคน ก่อนจะเดินออกจากห้องไปเมื่อทั้งสองต่างก็ปฏิเสธ
นับตั้งแต่แม่บ้านเดินออกจากห้องทำงานไป ปารลีแทบไม่ได้อยู่อย่างสงบเมื่อภีร์มะหางานให้เธอไม่หยุด แม้รายละเอียดงานบางอย่างเธอได้ทำสรุปให้เขาไปบ้างแล้วแต่พ่อตัวดียังต้องการข้อมูลโดยละเอียด ที่น่าเจ็บใจไปกว่านั้นคือเขา ไม่ต้องการรับเอกสารที่แนบส่งให้ทางเมลล์ แต่กลับต้องการเอกสารที่เป็นตัวกระดาษและทันทีที่เธอนำแฟ้มหนา ๆ มาวางไว้ตรงหน้าเขากลับไม่สนใจเอกสารที่บอกว่าต้องการมากมายนั้นและให้เธอนำกลับไปเก็บที่ห้องข้อมูลทันที
“อ้าว..เรียบร้อยแล้วเหรอ แก”
“ใช่ ขอบคุณมากนะฟ้าที่ ช่วยหาเอกสารให้ แล้วขอโทษด้วยที่ทำให้ลำบากต้องรื้อเอกสารกองเบ้อเริ่ม” ปารลีส่งยิ้มให้อย่างรู้สึกผิด เพราะนึกเห็นใจอีกฝ่ายที่ต้องเป็นฝ่ายรื้อเอกสารให้ มิหนำซ้ำเธอยังต้องเก็บเอกสารกองโตตรงหน้าเพียงลำพัง
“ไม่เป็นไรหรอก เรื่องแค่นี้เองถ้าต้องการอะไรเพิ่มก็บอกแล้วกัน ....ว่าแต่เมื่อเที่ยงเพื่อนเห็นนะจ๊ะว่าที่แฟนมารับอีกแล้วสิน่าอิจฉา ชะมัด” นฤมล สาวสวยประจำแผนกเอกสาร(เพราะทั้งห้องมีเธอเพียงคนเดียว) เอ่ยอย่างล้อเลียน
“อย่ามาแซวเลย เราตกลงเป็นแค่พี่น้องเรียบร้อยแล้ว” ปารลีเปรยขึ้น พร้อมกับดวงตากลมโตที่เศร้าลงไป เมื่อนึกถึงใบหน้าเจ็บปวดของเอกวุธ เธอรู้ว่าเขาเป็นคนดี และรักเธอจากใจจริงแต่มันจะดีกว่าเขามากกว่าถ้าชายหนุ่มได้มีโอกาสพบกับคนที่รักเขา และดูแลเขามากกว่าคนที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่สามารถรักเขาในฐานะคนรักได้เช่นเธอ
“จริงเหรอ อย่างนี้ฟ้าก็มีโอกาสแล้วละสิ” นฤมลเอ่ยเสียงใสพร้อมกับเงียบลงเมื่อเห็นว่า ปารลีเองก็ไม่ได้รู้สึกดีกับเรื่องราวที่เกิดขึ้น
“ว่าก็ว่าเถอะ ฉันละเสียดายแทนจริง ๆ ทั้งหล่อ หน้าที่การงานดีเวอร์ แล้วก็รักแกมากขนาดนั้น ปล่อยให้หลุดมือได้ยังไงยัยป่าน ” ในที่สุด นฤมลก็ห้ามใจไม่อยู่ บ่นอย่างนึกเสียดาย
“ไม่รู้สิ..ป่านแค่ไม่อยากทำร้ายพี่วุธไปมากกว่านี้ จะให้เขารอแบบนี้ไปเรื่อย ๆ ทำไม ในเมื่อรู้อยู่แก่ใจว่าความรู้สึกที่มีต่อเขาคงไม่เปลี่ยนแปลงไปเป็นอย่างอื่นแน่” ปารลีเอ่ยอย่างที่ใจคิด เธอไม่เห็นประโยชน์ที่เธอจะรั้งและยื้อเวลาเหล่านี้เอาไว้เพียงเพราะกลัวว่าชายหนุ่มจะผิดหวัง
.....บางทีการปล่อยให้เขาผิดหวังเสียตั้งแต่ตอนนี้ อีก ไม่นานเอกวุธคงได้พบเจอกับคนที่ดี ที่พร้อมจะยืนอยู่ข้างเขาในฐานะคนรักไม่ใช่เธอที่ไม่ว่ายังไงเธอก็รู้สึกกับเขาได้เพียงผพี่ชายที่ดีเท่านั้น
“ความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้นี่นะ..ว่าแต่ป่านบอกยัยวิหรือยัง” ปารลีส่ายหน้าช้า ๆ เธอไม่รู้ว่าจะบอกวิรดีอย่างไรดีเพราะเธอเป็นคนที่ ให้การสนับสนุนเธอและเอกวุธมากกว่าใคร
“เอาละ ๆ เปลี่ยนโหมดเถอะ ฉันไม่ค่อยชินอาการแบ็ตหมดอย่างนี้ของแกเลย เอาอย่างนี้ดีมั๊ยเย็นนี้เราไปหาอะไรกินกันแล้วก็ชวนยัยวิไปด้วย” ปารลียิ้มให้เพื่อน
“อือ..เย็นนี้เจอกัน ไว้จะรีบเคลียร์งาน”
“เดี๋ยวป่าน..ฟ้าฝากความคิดถึงไปให้ผู้ช่วยสุดหล่อด้วยนะ” ปารลีเบ้หน้าให้กับประโยคที่ได้ยินทันที พร้อมกับตอบกลับก่อนเดินออกจากห้องไป
“หล่อตายล่ะ ...ไม่รับฝากใด ๆ ทั้งสิ้น ...จบนะ”
ความคิดเห็น