ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เล่ห์ลวง...บ่วงเสน่หา

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 16 ก.ค. 56


    บทนำ

     

    เสียงจอแจ ของผู้คนมากมาย ทั้งชาวไทยและต่างชาติที่เดินสวนกันขวักไขว่  บริเวณท่าอากาศยานแห่งชาติ ที่วันนี้ดูจะแน่นหนาเป็นพิเศษ เนื่องจากเป็นช่วงวันหยุดยาว จึงทำให้ทั่วทั้งบริเวณคราคร่ำไปด้วยผู้โดยสาร และบรรดาญาติที่ทั้งมารอรับและอีกไม่น้อยที่กำลังยืนส่งลูกหลานของตนขึ้นเครื่องด้วยความห่วงใย

    ร่างเพรียวระหงในชุดกระโปรงสีหม่นนั่งมองผู้คนที่เดินผ่านหน้าไปมาด้วยท่าทีเงียบสงบ ดวงตากลมโตจะจับจ้องไปยังประตูทางออกครั้งแล้วครั้งเล่า  เพื่อมองหาบุตรชายของเจ้านายของตน ที่ถึงแม้จะไม่เคยพบหน้าแต่จากรูปถ่ายที่ได้เห็นจนชินตาและเรื่องราวมากมายที่เธอรับรู้จากคุณท่าน และบริวารเอก ทั้งซ้ายขวา ที่เธอแอบตั้งให้นั้น กลับทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยกับอีกฝ่ายเสมือนรู้จักกันมาเนิ่นนาน 

    “หิวหรือยังครับ  จะให้ผมไปซื้ออะไรมาให้ทานก่อนก็บอกได้นะครับ”เสียงที่ดังขึ้น  ส่งผลให้ร่างเพรียวที่จดจ่ออยู่ที่ช่องผู้โดยสาร ขาออก ละสายตากลับมาพร้อมกับยิ้มให้และกล่าวปฏิเสธไมตรีนั้นด้วยน้ำเสียงสดใส

    “ป่านไม่หิวหรอกคะ  ว่าแต่ลุงเถอะ...หิวหรือเปล่าค่ะ”

    “ลุงนะเรียบร้อยมาแล้วห่วงก็แต่คุณป่าน  วิ่งวุ่นเตรียมงานให้คุณท่านทั้งวัน  แล้วยังต้องมารอรับคุณภีมอีก” น้ำเสียงที่บ่งบอกถึงความเป็นห่วงทำให้ หญิงสาวยิ้มหวานส่งให้อีกครั้ง

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณท่านช่วยเหลือป่านมาตั้งมากมาย  ทำเพื่อคุณท่านแค่นี้ สบายมาก” หญิงสาวเอ่ยด้วยความรู้สึกทราบซึ้งจากใจ

     ปารลีเป็นลูกสาวของเพื่อนสนิทที่ท่านให้ความเมตตาเอ็นดูและหยิบยื่นความช่วยเหลือให้กับพวกเธออยู่เสมอ หญิงสาวจำได้ดีว่าชีวิตในวัยเด็กจนล่วงเข้าสู่วัยรุ่นเธอและแม่ต้องอยู่ยากลำบากมาก

     เรื่องอดมื้อกินมื้อเธอกับแม่ก็ยังพอสู้ไหว แต่เมื่อแม่ล้มป่วยและต้องทำการรักษ  ชีวิตของทั้งคู่ก็เหมือนมาถึงทางตัน  ค่ารักษาที่เธอรับรู้นั้นมันมากมายเกินกว่าที่เด็กสาวในวัยเพียงสิบห้าปีจะหามาได้ เพราะความช่วยเหลือของคุณท่านจึงทำให้มารดาได้รับการรักษา แต่สามปีหลังจากนั้นมารดาก็ได้จากเธอไปอย่างไม่มีวันย้อนกลับ

     ความสูญเสียที่ต้องเผชิญนั้น ช่างเจ็บปวดและอ้างว้าง  ปารลี ร้องจนเธอไร้ซึ่งน้ำตา  ความรู้สึกเคว้งคว้างเมื่อไร้ที่พึ่งยังไม่เจ็บปวดเท่ากับทุก ๆ วันที่เธอต้องกลับไปยังห้องพักเล็ก ๆ ที่เคยอยู่กับมารดาแล้วพบว่าบัดนี้ช่วงเวลาเหล่านั้นมันจะไม่มีอีกต่อไป

    เมื่อไม่มีมารดาคอยเป็นร่มไทรคอยปกป้องคุ้มภัย  การอาศัยอยู่ลำพังถือเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับหญิวสาวที่กำลังเป็นสาวรุ่น ประกอบกับใบหน้าที่ออกเค้าสวยมาตั้งแต่เด็ก เธอจึงเริ่มต้องพบเจอกับอันตรายจากทั้งเพื่อนบ้านตัณหากลับ และเศรษฐีใจบุญวัยเกษียนที่ต้องการอุปการะเธอไปเป็นเมียคนสุดท้อง

    เมื่อคุณท่านทราบเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับเธอ  ท่านได้รับเธอมาอยู่ที่ คชาบดินทร์และให้การอุปการะเธอจนกระทั่งปัจจุบัน

    กว่าเจ็ดปีที่เธออาศัยอยู่ที่คชาบดินทร์เธอไม่เคยได้พบ ภีร์มะ บุตรชายคนเดียวของท่านแม้แต่ครั้งเดียว เมื่อคิดถึงภีร์มะ หญิงสาวจึงเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าคนที่พวกเธอมารอรับนั้นยังไม่มีทีท่าว่าจะมาถึงทั้งที่เลยเวลาไปมากแล้ว

     “ว่าแต่ ทำไมป่านนี้คุณภีมของลุงถึงยังไม่มาถึงซักทีค่ะ นี่มันเลยเวลาที่คุณท่านบอกตั้งสามชั่วโมงแล้ว” ชายชราเริ่มมีท่าทีร้อนใจไปอีกคน เพราะยังไม่เห็นชายหนุ่มที่มารอรับแม้แต่เงา

                ร่างบางติดต่อกลับไปยังบ้าน คชาบดินทร์ อีกครั้งเพราะเกรงว่าอาจจะสวนทางกับชายหนุ่ม ก่อนที่จะได้รับคำตอบที่ทำเธอต้องเผลอถอนหายใจออกมา พร้อมกับเอ่ยกับร่างผอมที่เริ่มชะเง้อมองหาลูกชายเจ้าปัญหาของเจ้านายตน

                “ลุงมีค่ะ เรากลับกันเถอะค่ะ”

                “อ้าว แล้วคุณภีมละครับ”  ท่านเอ่ยถามอย่างแปลกใจที่เห็นว่าปารลี ทำท่าจะกลับทั้งที่ยังไม่พบ

    ภีร์มะ

                “ก็คุณภีมของลุงเขากลับไปถึงบ้านแล้วนะสิคะ” น้ำเสียงของหญิงสาวนั้นราบเรียบผิดกับภายในใจที่ตอนนี้กำลังเดือดดาลเพราะโมโหชายหนุ่ม

     ชายชราพยักหน้ารับรู้ก่อนจะรับเดินตามร่างของหญิงสาวที่ยังคงสงบนิ่ง พร้อมกับรู้สึกเห็นใจหญิงสาวอยู่ไม่น้อยที่มาวันแรกก็เจอฤทธิ์ของชายหนุ่มเสียแล้ว

     

    ทั้งคู่เดินทางกลับมาถึงบ้านคชาบดินทร์ในช่วงหัวค่ำ หญิงสาวเดินตรงไปยังห้องรับแขกทันทีเพราะทราบจากภรรยาของลุงมี ว่าในขณะนี้ประมุขของบ้านกำลังรอเธออยู่ด้วยความกระวนกระวาย

    “หนูป่าน” 

    “คุณท่านยังไม่หายดี ไม่น่าลำบากออกมารอเลย” หญิงสาวรีบเข้าไปประคองร่างของหญิงสูงวัย ที่กำลังจะเดินเข้ามาหา

    “ฉันไม่เป็นไรแล้วล่ะ  ว่าแต่หนูเถอะเหนื่อยหรือเปล่าวันนี้ทั้งวันยังไม่ได้พักเลย” ความอารีย์และอบอุ่นจากน้ำเสียงที่ท่านส่งมา  ทำให้ความรู้สึกหงุดหงิดที่มีต่อร่างสูงเมื่อช่วงเย็นบรรเทาลง

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ”

    “ฉันขอโทษแทนตาภีมด้วยนะ เจ้าลูกชายคนนี้นี่มันน่านัก” น้ำเสียงนั้นแม้จะดูโมโห แต่เธอกลับรู้สึกว่า น้ำเสียงของท่านนั้นดูอบอุ่นและมีความสุขกว่าทุกวัน

    “เรื่องนั้นไม่....” เสียงใสที่กำลังจะเอ่ยต้องชะงักลงเมื่อเสียงทุ้ม ห้าวและทรงพลังดังขึ้นจากเบื้องหลัง

    “มาถึง ก็รีบมาประจบคุณแม่ทันที.. คงกำลังฟ้องเรื่องของฉันอยู่ละสิ” ดวงตาหวานกลมโต  ตวัดมองที่มาของต้นเสียงทันที  ร่างสูงในชุดลำลอง ยืนกอดอกอยู่เบื้องหลัง ก่อนจะเดินตรงมายังบริเวณที่เธอนั่งอยู่  สายตาที่ไม่เป็นมิตรของอีกฝ่าย ฉายแววบางอย่างก่อนที่ดวงตาแข็งกร้าวนั้นจะจ้องมองเธอโดยไม่ปกปิดความรู้สึกเกลียดชังส่งมาให้

    “นี่ตาภีม หยุดพูดจาว่าร้ายหนูป่านซะที  แล้วที่สำคัญขอโทษหนูป่านเขาด้วยที่ปล่อยให้ไปรอที่สนามบินเป็นนานสองนาน”

    “โธ่คุณแม่ครับก็ผมบอกแล้วว่าไม่ต้องให้ใคร..ไปรับ”  ใครที่ว่าเหลือบตามองร่างสูงที่นั่งลงข้าง ๆ ประมุขของบ้านพร้อมกับสวมกอดท่านอย่างประจบ  สายตาคมกริบ ยังคงจ้องมองมาแต่ปารลีเอยก็ไม่ได้มีท่าทีหวาดหวั่นกลับจ้องกลับอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัว

    “ยังไม่หยุดพูดแบบนั้นอีก  อ้อ หนูป่านนี่ตาภีมลูกชายฉันเอง” สิ้นเสียงแนะนำหญิงสาวพนมมือพร้อมกับแสดงความเคารพอีกฝ่ายอย่างนอบน้อม  แม้ร่างสูงจะไม่คิดที่จะใส่ใจเธอแม้แต่น้อยก็ตาม

    “ฉันขอโทษแทนตาภีมด้วยนะหนูป่าน ไปพักผ่อนเถอะ เหนื่อยมาทั้งวันแล้ว” ปารลีรับคำเบา ๆ ก่อนจะรีบแยกตัวออกมาเพราะกลัวว่าจะห้ามใจไม่อยู่เผลอตำหนิบุตรชายสุดที่รักของเจ้านายของตน

    “โธ่คุณแม่ครับ”เสียงทุ้มเอ่ยอย่างออดอ้อน พร้อมกับหอมแก้มมารดาอย่างเอาใจ

    “อย่ามาประจบแม่เลย  แก้มเหี่ยว ๆ ของแม่คนนี้คงจะสู้แก้มแหม่มสาว ๆได้ละสิ  แกถึงไม่ยอมกลับมาซะที”  ร่างสูงโอบกระชับร่างบอบบางของมารดาตนแน่นขึ้น  รู้สึกผิดที่ทำตามใจของตนและใช้ชีวิตอิสระอยู่ที่ต่างประเทศเสียนานหลังจากเรียนจบ

    “ผมก็กลับมาแล้วไงครับ”

    “ย่ะ  ถ้าฉันไม่ขู่ว่าจะยกทุกอย่างของฉันให้หนูป่านแกก็คงจะไม่กลับมาหรอก” ใบหน้ารูปไข่  แก้มชมพูระเรื่อ พร้อมกับริมฝีปากอิ่มสีกุหลาบ ของเจ้าของดวงตาหวานลอยเข้ามาในความคิด ก่อน ภีร์มะ จะคลายอ้อมแขนจากมารดาตน

    ดวงตาคมกล้า ฉายแววขุ่นเคืองอีกครั้ง เขาเคยได้ยินมารดาเล่าเรื่อง “หนูป่าน แสนดี” ให้ฟังอยู่บ่อย ๆ แต่สิ่งที่ท่านบอกมานั้นช่างแตกต่างกับเรื่องราวมากมายที่ได้รับจากบรรดาญาติ ๆโดยสิ้นเชิง เดิมทีเขาไม่คิดจะเชื่อจนกระทั่งมารดาขู่จะยกทุกสิ่งทุกอย่างที่มีให้กับผู้หญิงคนนั้น ความคิดแง่ลบที่มีต่อเธอจึงเพิ่มขึ้น ยิ่งเขาพบกับท่าทีหยิ่งผลองจนน่าหมั่นไส้นั่นยิ่งทำให้เขามีอคติมากยิ่งขึ้น

     ภีร์มะไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะมีใบหน้าที่หวานหยด  ทั้งกิริยาที่ดูนุ่มนวล  ไหนจะดวงตาคมกล้าที่จ้องตอบเขาอย่างไม่หวั่นเกรงนั่นอีก  เห็นใบหน้าใส ๆ แบบนั้น  ใครจะคิดว่าเธอจะกล้าจ้องตอบสายตาเขาอย่างไม่เกรงกลัว

    “เอะอะ ก็หนูป่านผมยังเป็นลูกของคุณแม่อยู่หรือเปล่าครับ”  น้ำเสียงน้อยใจเอ่ยขึ้น  พร้อมกับค่อย ๆ เอนกายนอนหนุนตักมารดาอย่างเอาใจ

    “เป็นสิ..แต่ถ้ายังไม่เลิกทำตัวเสเพล ไปเรื่อย ๆ แบบนี้  ซักวันฉันจะตัดแม่ตัดลูกกับแก  คอยดู”  รอยยิ้มอบอุ่นส่งให้บุตรชาย  ที่ห่างหายเธอไปกว่า เจ็ดปี  หนุ่มน้อยที่คอยอ้อนเธออยู่ทุกวัน บัดนี้ได้เติบโตเป็นชายหนุ่มต็มตัว ที่รูปร่างหน้าตาหล่อเหลาถอดแบบบิดา  จมูกโด่งเป็นสันและรูปร่างที่สูงบึกบึนกว่าชายไทย  เพราะบิดาเป็นลูกเสี้ยว แม้ภีร์มะ จะมีเชื้อสายยุโรปอยู่เพียงเศษเสี้ยว แต่ก็ส่งผลให้มีดวงตาสีมรกตที่ทำให้น่าหลงใหล  และเธอต้องปวดหัวกับบรรดาสาว ๆ ของบุตรชายตั้งแต่เริ่มเป็นหนุ่ม กระทั่งบุตรชายเดินทางไปศึกษาต่อที่ต่างประเทศ และทำงานอยู่ที่นั่นนานหลายปีข่าวคราวเกี่ยวกับความเสเพลของบุตรชายก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย หนำซ้ำกลับเพิ่มขึ้นจนท่านต้องปวดหัว

    “โธ่คุณแม่ครับ  นั่นมันก็แค่เรื่องปกติของผู้ชาย”

    “ผู้ชายมักง่ายนะสิ ถ้าเกิดหลังจากนี้มีแหม่ม หรือใครหน้าไหนก็ตามอุ้มท้องมาเรียกร้องให้แกรับผิดชอบละก็  น่าดู”  น้ำเสียงเข่นเขี้ยวดังขึ้นพร้อมกับหยิกเข้าที่แขนลูกชายแรง ๆ เมื่อได้ยินคำตอบ

    “ไม่มีทางหรอกครับ......มือระดับนี้แล้ว การป้องกันเป็นเลิศ”

    ภีร์มะหัวเราะเบา ๆ หลังจากยั่วโมโหมารดาของตนได้ ก่อนจะรีบสาวเท้าออกห่างมารดา เมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าจะหยิกซ้ำ

    ร่างสูงกลับถึงห้องนอนของตนพร้อมกับรอยยิ้มเขากลับมาถึงบ้านก็ตรงเข้าห้องพักและหลับสนิททั้งที่ยังไม่ได้สำรวจห้องนอนของตนโดยละเอียด  สายตาคมมองไปทั่วห้องความรู้สึกอบอุ่น ปลอดภัย และคุ้นเคย หลายปีที่เขาไม่ได้กลับมาที่บ้านแต่ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม  แต่สิ่งที่ไม่เหมือนเดิมคือ การมีผู้หญิงคนนั้นมาอยู่ที่บ้านหลังนี้ ...ปารลี  เขาไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนั้นล่อลวงอะไร หรือหว่านล้อมมารดาของตนอย่างไร  ท่านถึงได้รักและเอ็นดูเธอนัก ที่สำคัญมารดาคงให้ความสำคัญกับเธอมาก ท่านถึงกล้าเอ่ยปากขู่ว่าจะยกทุกสิ่งทุกอย่างให้กับเธอหากเขาไม่กลับมา

    “ปารลี”  ชายหนุ่มเอ่ยชื่อหญิงสาวที่อยู่ในความคิด

    คนเราไม่สามารถวัดกันได้จากสิ่งที่ตามองเห็น   ภายนอกเธอดูไร้พิษภัยแต่ความจริงแล้วหญิงสาวอาจซ่อนความเลวร้ายเอาไว้เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด....

     

    รุ่งเช้า….

    ก๊อก ก๊อก  เสียงเคาะประตูดังขึ้นก่อนประตูห้องจะถูกเปิดออกตามด้วยร่างสูงที่เดินยิ้มร่าเข้ามา  และหุบยิ้มทันทีเมื่อเห็นร่างของปารลีนั่งอยู่ข้างกายมารดาของตน

    “ผมอุตส่าห์คิดว่าจะมาหาคุณแม่แต่เช้าแล้วเชียวแต่ไม่คิดว่าจะมีคนอื่นไวกว่า” สายตาคมกริบจับจ้องที่ใบหน้าหวานนิ่ง

    “ป่านขอตัวนะคะคุณท่าน” ปารลี เอ่ยกับเจ้าของห้องหลังจากที่เข้ามารายงานผลการประชุมเมื่อวานให้ท่านทราบ

    ร่างเพรียวเดินเรื่อย ๆ  ตรงไปยังโรงรถ เพื่อเดินทางไปทำงานตามปกติ เสียงฝีเท้าหนัก ๆที่ดังตามหลังมาพร้อมกับเสียงทุ้มที่เรียกเอาไว้นั้นส่งผลให้คิ้วเรียวขมวดมุ่น ด้วยความรู้สึกขุ่นเคือง

     “เดี๋ยว”  ฝีเท้าที่กำลังก้าวชะงักลงชั่วครู่  ก่อนจะสาวเท้าเรื่อย ๆ โดยไม่หันกลับไปสนใจชายหนุ่มที่ยังส่งเสียงอยู่เบื้องหลัง

    “อุ้ย!!” เสียงใสร้องอุทานก่อนจะหันกลับไปมองร่างสูงอย่างเอาเรื่อง เมื่ออีกฝ่ายรั้งแขนเธอไว้อย่างถือวิสาสะ

    “ฉันเรียกไม่ได้ยินหรือไง” ปารลี สะบัดแขนจนหลุดก่อนจะตอบกลับอีกฝ่ายอย่างไม่เกรงกลัวแม้แต่น้อย

    “ได้ยินค่ะ  แต่ไม่ทราบนี่คะว่าคุณเรียกใคร”  แม้ภีร์มะ จะหัวเสียกับท่าทียียวนของหญิงสาว ที่แตกต่างกับท่าทีที่ดูว่าง่ายและเรียบร้อยอ่อนหวานยามอยู่ต่อหน้ามารดาของตนมากแต่เขาก็พยายามข่มใจอีกครั้ง

     “ในเมื่อมีกันอยู่สองคน  แล้วจะเป็นคนอื่นได้ยังไง”

    “อ้าว...เหรอค่ะ” ปารลี  เหลียวซ้าย แลขวาก่อนจะตอบกลับอย่างหาเรื่องไม่น้อยไปกว่ากัน

     “แต่เท่าที่เห็น..นอกจากดิฉันแล้วยังมีคนอื่น ๆ อีกหลายคนนะคะ ถ้าคุณมีเรื่องจะพูดเท่านี้ก็ขอตัวก่อนนะคะ  ดิฉันกำลังรีบ” ปารลีพยายามหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้ากับชายหนุ่มเพราะไม่ต้องการสร้างความเดือดร้อนใจให้กับประมุขของบ้านแต่เมื่อเขายังกัดไม่ปล่อยเธอก็ไม่คิดจะยอมให้เขาหาเรื่องอยู่ฝ่ายเดียว  ในชีวิตของเธอนอกจากแม่บังเกิดเกล้า  และคุณ สุวิมลประมุขของบ้านแล้ว เธอก็ไม่คิดจะยอมอ่อนข้อให้หากเธอไม่ได้ทำผิด

    “ปากเก่งจริงนะ  ท่าทางใสซื่อเวลาอยู่ต่อหน้าคุณแม่หายไปไหนล่ะ  หรือเห็นว่าเป็นคนโปรดของคุณแม่ก็เลยไม่คิดจะเกรงใจ  แม้แต่ลูกแท้ ๆ อย่างฉัน” ร่างที่กำลังเดินไปชะงักพร้อมกับหันกลับมาจ้องมองอีกฝ่ายอย่างเอาเรื่อง ริมฝีปากอิ่มเม้มเน่นก่อนจะค่อยคลายความโกรธของตัวเองลงเมื่อเห็นว่า  ร่างสูงมีท่าทีสะใจที่สามารถทำให้เธอหงุดหงิดได้

    “ขอตัวนะคะ” มือเรียวพนมมืออย่างนอบน้อมก่อนจะรีบสาวเท้าเดินไปยังรถที่จอดรออยู่

    “คุณป่านเป็นอะไรหรือเปล่าครับ  ทำไมหน้าเครียดเชียว” ลุงมี   เอ่ยถามเมื่อเห็นใบหน้าหวานดูเคร่งเครียดกว่าทุกวัน

    “ไม่เป็นไรมากหรอกค่ะลุง  แค่ถูกเด็กพาลใส่”  ลุงมีหน้ายุ่งก่อนจะเอ่ยถามอีกครั้งอย่างแปลกใจ

    “เด็กที่ไหนกันครับ”

    “ช่างมันเถอะค่ะอย่าไปใส่ใจเลย  เรารีบไปกันเถอะค่ะ” ปารลีพยายามข่มใจและส่งยิ้มให้ชายชรา เพื่อให้ท่านคลายกังวล

    “เอ่อ....วันนี้คงยังไปไม่ได้หรอกครับ” เพราะอาการอึกอักของท่านจึงทำให้ปารลีเอ่ยถามอย่างแปลกใจ

    “ทำไมละค่ะ”

    “เมื่อคืนคุณท่านแจ้งไว้ว่า  วันนี้คุณภีมจะเข้าไปที่บริษัทด้วยนะครับ” ปารลี ถอนหายใจดัง ๆ ก่อนจะทอดสายตาออกไปที่ท้องฟ้าเบื้องหน้าอย่างใช้ความคิด  ยายป่านเอ๊ย...มาวันแรกเขาก็ตั้งตัวเป็นศัตรูขนาดนี้แล้วแบบนี้เธอจะอยู่ช่วยคุณท่านจนสำเร็จหรือเปล่า

    ไม่นานนักร่างสูง ของภีร์มะก็เปิดประตูเข้ามาพร้อมกับนั่งลงข้าง ๆ เธอ

    “ลุงมีออกรถได้แล้วครับ”

    เพราะสายตาตำหนิที่ส่งมาให้เป็นระยะส่งผลให้ภีร์มะเอ่ยปากในที่สุด

    “จ้องอะไรมิทราบตะลึงในความหล่อของผมหรือไง”  ปารลีอยากจะข่วนหน้าคนข้างกายให้หายแค้นนัก  แต่สิ่งที่ทำได้มีเพียงนั่งเงียบพร้อมกับเบือนหน้าหนี

    “อ้อ..ผมมีเรื่องจะบอกเอาไว้ก่อนนะครับคุณเลขา   อย่าเพิ่งบอกคนที่บริษัทรู้เด็ดขาด ว่าผมเป็นใคร” ปารลีไม่ตอบแต่สิ่งที่ดังก้องอยู่ในความคิดของเธอตอนนี้คือ ไม่ว่าเขาจะทำอะไรเธอก็ไม่คิดจะยุ่งถ้าเขาไม่ใช่ลูกชายของเจ้านายและผู้มีพระคุณของตน

    “แล้วจะบอกคนอื่นว่ายังไงค่ะ”

    “ถ้าใครถามก็บอกเขาว่าผมเป็นผู้ช่วยของคุณก็ได้เอ๊ะ...หรือว่าเป็นคนรักดี” น้ำเสียงและท่าทียียวนชวนหาเรื่องของชายหนุ่ม เริ่มกวนอารมณ์ที่เรียบสนิทเมื่อครู่ให้ขุ่นเคืองอีกครั้ง

    “กวนโมโหจริงๆ  ผู้ชายบ้านี่.....ใจเย็นๆไว้ยายป่าน” ปารลี ทำได้เพียง ตำหนิอีกฝ่ายในใจ พร้อมกับ นับหนึ่งถึงร้อยไปตลอดทางเพื่อไม่ให้ตัวเองต้องโมโหอีกฝ่ายมากกว่าที่กำลังเป็นอยู่ในขณะนี้

     

     

    ******************************

     

    เสียงโทรศัพท์ที่โต๊ะทำงานของปารลีดังขึ้นไม่หยุดตั้งแต่เช้า ทำให้หญิงสาวต้องละมือจากงานตรงหน้าครั้งแล้วครั้งเล่า เพื่อตอบคำถามเกี่ยวกับร่างสูงที่นั่งอยู่ภายในห้อง

     นับตั้งแต่ย่างเท้าก้าวเข้ามาภายในบริษัทชายหนุ่มก็ส่งยิ้มหวานโปรยเสน่ห์ไปทั่วแทบทุกชั้น ทุกแผนก  นับแต่วินาทีนั้นจนถึงขณะนี้เธอยังไม่ได้อยู่อย่างสงบเลยเพราะต้องคอยตอบคำถามสาว ๆ เหล่านั้นว่าบุรุษรูปงามที่เดินเคียงคู่เธอมานั้นเป็นใครแต่สิ่งที่ทำให้เธอหงุดหงิดยิ่งไปกว่านั้นก็คือการที่ภีร์มะกลับนั่งผิวปากอย่างสบายอารมณ์โดยไม่เดือดร้อนที่ทำให้เธอต้องลำบาก และจ้องมองมาที่เธอนิ่ง

    “สวัสดีค่ะ..” ใบหน้าที่ยุ่งเหยิงคลายความกังวลลง และเอ่ยตอบคำถามจากปลายสายอีกครั้ง

    “วันนี้ท่านหยุดค่ะไม่ใช่เพราะอาการป่วยหรอกค่ะท่านดีขึ้นมากแล้ว ...ป่านจะเรียนให้ท่านทราบนะคะว่าท่านฝากความเป็นห่วงมาให้ ขอบพระคุณอีกครั้งค่ะ” ปารลีวางสาย และจ้องตอบอีกฝ่ายนิ่ง

    เธอรู้สึกแปลกใจที่ตัวเองอารมณ์แปรปรวนง่ายดายเมื่อถูกอีกฝ่ายก่อกวนทั้งที่เธอเคยตั้งสติและรับเรื่องราวต่าง  ๆ ได้ดีกว่านี้    ตั้งแต่เล็กเริ่มโตเป็นสาวเธอถูกสายตาโลมเลียจากเพศตรงข้าม นอกจากความรู้สึกรังเกียจแล้วเธอก็ไม่เคยรู้สึกหวั่นไหวและหงุดหงิดได้เท่ากับสายตากวน ๆคู่นี้เลยซักครั้ง

    “ไม่ถูกชะตาเลยจริง ๆชิ” ปารลีบ่นเสียงอุบพร้อมกับก้มหน้าก้มตาทำงานต่อ

    “วันนี้คุณแม่ มีนัดหรือเปล่า” เสียงทุ้มเอ่ยถามลอย ๆ

    “วันนี้คุณท่านมีนัดทานมื้อเย็น กับคุณแม่...อ๊ะ คุณหญิงวิไลค่ะ” ปารลีเอ่ยถึงเพื่อนสนิทของคุณท่าน ที่นอกจากจะเป็นเพื่อนรักกันแล้วในขณะนี้ทั้งสองกำลังมีแผนการใหญ่นั่นคือการจับคู่ให้กับบุตรสาวและบุตรชายของพวกเขาโดยหวังให้เธอคอยประสานงาน  เนื่องจาก วิรดี บุตรสาวของคุณหญิงวิไล นั้นเป็นเพื่อนรักของเธอ

    ร่างสูงเลิกคิ้วขึ้นน้อย ๆ เป็นการรับรู้  มือหนาหยิบเอกสารและแฟ้มต่าง ๆ ที่วางอยู่ตรงหน้าบนโต๊ะทำงานของมารดา มาเปิดอ่านและนิ่งเงียบไปในที่สุด

    ปารลีลอบมองอีกฝ่ายนิ่ง จากท่าทางของภีร์มะ นั้นช่างแตกต่างกับเรื่องราวที่เคยได้ยินเกี่ยวกับตัวเขา ถึงแม้เขาจะดูทะเล้น กะล่อนและไม่น่าไว้ใจแต่ก็ดูไม่เหมือนคนไม่เอาไหนที่เอาแต่เที่ยวเล่นไปวัน ๆ เพราะจากคำถามที่อีกฝ่ายเอ่ยถามในแต่ละครั้งนั้นบ่งบอกว่าเขาไม่ได้เพียงเปิดผ่านเอกสารตรงหน้าเท่านั้น แต่เขายังใส่ใจในรายละเอียดและเข้าใจในคำอธิบายของเธอโดยทันที

    ภายในห้องกลับเข้าสู่ความสงบอีกครั้งเพราะต่างฝ่ายต่างจมอยู่กับกองเอกสารตรงหน้า..จนเวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วงเที่ยงวัน

    “กริ๊ง กริ๊ง ๆๆ” เสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้งหลังจากที่เงียบอยู่นานนับชั่วโมง

    “ค่ะ....อ้าวเที่ยงแล้วเหรอ  ป่านทำงานเพลินจนลืมเวลา ....วุธรอแป๊ปนะคะ”  มือเรียววางสายลงพร้อมกับรีบเก็บของของตรงหน้าเพื่อไปตามนัด

     ทุกอาการของปารลีอยู่ในสายตาของภีร์มะโดยตลอด  ร่างสูงลุกขึ้นและเดินตามร่างเพรียวไปไม่ห่าง

    “ยัยนั่นมีนัดกับผู้ชายด้วยเหรอนี่”

    “นี่คุณจะเดินตามมาทำไมค่ะ” ปารลีหยุดอยู่กับที่เมื่อเห็นว่าร่างสูงยังคงตามเธอมาไม่ห่าง

    “อ้าวผมก็หิวเป็นนะคุณ เป็นเลขาท่านประธานภาษาอะไร....ไม่คิดจะดูดำดูดีลูกชายเข้าของบริษัทเลยหรือไง”เสียงทุ้มเอ่ยกระซิบให้ได้ยินเพียงเขาและเธอ

    “อ้อ..จริงสิ ฉันก็ลืมไป” ร่างเล็กมองไปรอบ ๆ ก่อนจะหยุดอยู่ที่สาว ๆกลุ่มใหญ่ที่แอบมองดูพวกเธอทั้งคู่ชนิดที่ไม่ยอมให้คลาดสายตา

    “พี่ครีมค่ะ” เจ้าของชื่อรีบเดินตรงมาหาทันที  พร้อมกับส่งสายตาหวานเป็นประกายไปให้กับร่างสูง

    “มีอะไรหรือค่ะ น้องป่าน”

    “พอดีว่าป่านมีธุระต้องรีปไป ถ้ายังไงช่วงพักกลางวันฝากดูแลผู้ช่วยของป่านด้วยนะคะ”

    “ด้วยความยินดีเลยค่ะ” เสียงตอบรับในทันทีนั้นไม่เปิดโอกาสให้ภีร์มะได้ปฏิเสธเพียงอึดใจร่างสูงก็ถูกห้อมล้อมไปด้วยสาว  ๆ ส่วนปารลีนั้น หนีไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ภีร์มะต้องหูชาอยู่กับสาว ๆที่ตอนนี้กำลังส่งเสียงเซ็งแซ่จนเขารู้สึกว่าแก้วหูกำลังอักเสบเพราะเสียงของแต่ละนางที่แหลมและไม่มีใครยอมฟังคำปฏิเสธของเขาแม้แต่น้อย

    “แสบนักนะ” ภีร์มะได้แต่เข่นเขี้ยวอีกฝ่ายในใจ พร้อมกับมองตามรถที่ ปารลีนั่งไปจนลับสายตา

                                             

     

     

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×