คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : [R∞M4] ไม่ขอก็จะให้
สนทนา : มาแล้วฮ๊าฟ555 ขอบคุณสำหรับทุกกำลังใจและทุกคอมเม้นนะคะ เรารู้สึกดีมากจริงๆ เวลาที่เจอกับปัญหาหรือต้องผ่านอะไรที่มันยากๆแต่ถ้ารู้ว่าไม่ได้เผชิญกับมันเพียงลำพังอะไรๆมันก็ง่ายขึ้นเยอะ จาก100มันลดลงเหลือแค่10เอง :) อ่าาา ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ^^ ป.ล. ชื่อของตัวละครแค่ยืมชื่อเค้ามาใช้ให้คนอ่านมะโนรูปร่างหน้าตาของตัวละครออก ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องจริงแต่อย่างไร fiction นะจ๊ะ fiction :D
“ซิน! เดี๋ยว! ซินฟังพี่ก่อน
ซิน!” คนที่ยังคงนั่งอยู่กับที่บนตักมีกีตาร์โปร่งตัวโตวางพาดอยู่มองดูเหตุการณ์ด้วยความมึนงง หลังจากได้ยินเสียงทุ้มเอ่ยเรียกชื่อของคนที่มากับเขาดวงตาคู่กลมพลันหันไปยังแหล่งที่มาของเสียงริมฝีปากบางเอ่ยเรียกชื่อซึ่งเขาคิดว่าเป็นของใครคนนั้นออกมา คนตัวบางแสดงท่าทีลุกลี้ลุกลนพร้อมด้วยสีหน้าตื่นตกใจเมื่อเห็นว่าผู้ชายคนนั้นกำลังเดินมุ่งหน้ามาทางที่ตนยืนอยู่ พอเห็นว่าคนตัวสูงใหญ่นั้นเริ่มใกล้เข้ามาขาเล็กทั้งสองข้างจึงออกตัววิ่งหนีออกนอกร้านโดยที่ไม่แม้แต่จะบอกกล่าวหรือสนใจคนที่นั่งอยู่จำให้ต้องนั่งมองคนทั้งสองวิ่งไล่จับกัน
.
..
ในที่สุดเขาก็พาร่างกายและจิตใจอันห่อเหี่ยวของตนกลับมาถึงที่ห้องโดยสวัสดิภาพ ความรู้สึกตอนนี้สุดแสนเสียดายเพราะอะไรๆกำลังจะไปได้ด้วยดีแต่แล้วก็ต้องมีเหตุการณ์ไม่คิดไม่ฝันมาขัดขวางความสุขกันเสียก่อน มาคิดๆดูก็น่าน้อยใจเพราะตอนนั้นคนตัวเล็กไม่แม้แต่จะคิดหันกลับมาเหลียวมองเขาเอาแต่วิ่งหนีไป ใจจริงก็อยากจะตามไปอยู่เหมือนกันเพราะเป็นห่วง ห่วงว่าคนตัวโตนั่นจะทำให้คนบอบบางนั้นเป็นอันตราย ในขณะที่ตัวเขากำลังถูกฉุดให้ดิ่งลงไปในห้วงภวังค์ลึกๆเสียงปิดประตูปึงปังก็ดังมาจากห้องข้างๆเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าคนที่เขากำลังเป็นห่วงนั้นกลับมาถึงห้องโดยปลอดภัยแล้ว
“ซิน อย่าดื้อสิ! เปิดประตู! พูดกันให้รู้เรื่อง!” แต่แล้วเสียงที่ไม่คุ้นของอีกคนก็ดังขึ้นทำให้ฝ่ามือหยาบที่กำลูกบิดประตูห้องของตนอยู่นั้นต้องหยุดค้างไว้ที่เดิมแล้วเปลี่ยนมาตั้งใจเงี่ยหูฟังคอยเฝ้าระวังเหตุการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้น หลังจากที่เงียบกันไปสักครู่หนึ่งเสียงของบานประตูก็ถูกเปิดออกตามด้วยเสียงปิดลงอย่างแรง
“ซินต้องเข้าใจพี่!”
“ซินไม่เข้าใจ!”
“อย่าดื้อสิซิน~ ยังไงพี่ก็รักซินหมดใจ”
“พี่มันเห็นแก่ตัว!
ปล่อย! ปล่อยซิน! ปล่อย!”
เมื่อเห็นท่าจะไม่ค่อยดีคนที่ยืนเอาหูแนบกับกำแพงก็รีบเด้งตัวออกแล้วหยุดยืนนิ่งอยู่กับที่ราวกับกำลังใช้ความคิดสักพักก็ผลีผลามเดินออกจากห้องและหยุดอยู่ตรงหน้าประตูห้องข้างๆจากนั้นก็เคาะรัวลงที่บานประตูห้องอย่างแรงทำเอาผู้คนที่อยู่ชั้นเดียวกันต้องเปิดประตูออกมาดูต้นเหตุของเสียงดังรบกวนด้วยความสงสัยและไม่พอใจ
“ซิน! ซินโว้ย! เปิดประตูหน่อย! ซิน! ขี้จะแตกแล้วโว้ย!” แม้ว่าคนอย่างเขาจะหน้าหนากับใครบางคนแต่ก็ใช่ว่าจะสามารถทำตัวหน้าด้านหน้าทนกับคนทุกคนได้ เขาต้องกลั้นใจตะโกนถ้อยคำน่าอายเหล่านั้นออกมาทั้งที่รู้ดีว่ามีสายตานับสิบที่กำลังจ้องมองมาที่เขาอยู่ แต่ดูเหมือนว่าการกระทำนี้จะไม่เสียเปล่าแม้จะต้องแลกด้วยชื่อเสียงและหน้าตาอันหล่อเหลาของเขาก็ตาม ทันใดที่ประตูเปิดออกคนใจกล้าก็รีบผลุบตัวเขาไปในห้องแต่แล้วภาพที่เห็นนั้นก็ทำเอาต้องกลืนน้ำลายก้อนใหญ่ลงคอ เจ้าของห้องที่เปิดประตู้ให้เขาเข้ามานั้นอยู่ในสภาพที่หัวหูยุ่งเหยิง ตากลมโตออกจะแดงช้ำเล็กน้อยคาดว่าคงผ่านการร้องไห้มา และภาพที่เห็นเล่นเอาแทบกรีดร้องก็กระดุมเสื้อหลายเม็ดด้านบนถูกปลดออกเผยให้เห็นผิวขาวใสที่มีรอยแดงช้ำปรากฏอยู่บริเวณลาดไหล่และเหนือแผ่นอกเนียน
“คะคะคือ
ส้วมเต็ม ขอขี้หน่อย” ว่าแล้วก็ปิดประตูหายเข้าไปในห้องน้ำ ท่าทีที่เหมือนเด็กเล่นซนนี้ทำเอาเจ้าของห้องต้องลอบยิ้มออกมาแต่อีกชีวิตที่อยู่ในห้องนั้นเป็นต้องถอนหายใจยาว
“กลับไปก่อนได้ไหม
” น้ำเสียงหวานเอ่ยอย่างเย็นชากับคนตัวสูงใหญ่ที่พยายามจะทำร้ายตน ไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกจากปากคนร่างยักษ์เพียงแค่แทรกตัวผ่านร่างบางแล้วเดินออกจากห้องไป
.
“ออกมาได้แล้ว” เมื่อทุกอย่างกลับสู่สภาพปกติคนตัวบางก็เคาะประตูห้องน้ำเรียกให้ตัวก่อกวนออกมา
“ยังไม่เสร็จ~”
“นี่! เราไม่โง่น่า!” หลังจบประโยคประตูบานเล็กก็เปิดออกพร้อมกับร่างของคนตัวไม่เล็กแต่นิสัยและความคิดเหมือนเด็กน้อย
“อายชาวบ้านเขาไหม?” แม้จะพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบแต่บนริมฝีปากบางนั้นก็แฝงด้วยรอยยิ้มเล็กๆที่มุมปาก
“อายดิ! อายเชี่ยๆเลยแหละ” อีกคนตอบกลับมาด้วยสีหน้ายุ่งๆทำให้คนสวยไม่สามารถเก็กขรึมกลั้นหัวเราะได้อีกต่อไป
“ขอบใจนะ นัท” เมื่อคนตรงหน้าเล่นเอ่ยถ้อยคำจริงจังพร้อมด้วยรอยยิ้มหวานที่ถูกส่งมาให้ในสภาพที่น่ามองสุดๆแบบนี้ก็ทำเอาคนที่เป็นผู้รับเลือดสูบฉีดขึ้นใบหน้าพลอยให้ร่างกายร้อนผ่าวไปทั้งตัว
“อืม~”
.
หลังจากจัดแจงอาบน้ำอาบท่าเสร็จเขาก็พาตัวเองออกมายืนทอดกายปลดปล่อยอารมณ์อยู่บนระเบียงสายตาคมพลางเหลือบมองไปยังห้องข้างๆที่สักพักหนึ่งแสงไฟสว่างภายในห้องก็มืดดับลง ‘คงจะเพลียกับเหตุการณ์วันนี้สินะเลยรีบเข้านอนแต่หัววัน’ ในระหว่างที่กำลังคิดอะไรเพลินๆเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นขัดอารมณ์เรียกให้เจ้าของห้องต้องรุดเดินไปเปิดด้วยความฉงนใจ... ร่างบางในชุดเสื้อยืดสีเทาตัวใหญ่กับกางเกงบ็อกเซอร์สีเข้มตัวสั้นปรากฏตัวอยู่เบื้องหน้า
“อ่าวซิน~ เข้ามาก่อนสิ” เขาไม่อยากจะคิดให้ตัวเองได้ใจเลยว่ามีเหยื่อมาส่งถึงที่อีกแล้วเพราะคิดแบบนี้ทีไรวันรุ่งขึ้นเป็นอันต้องคิดทบทวนใหม่ทุกที
“จะมาอาบน้ำหรอ? คราวนี้คิดตังค์แล้วจริงๆนะเว่ย ฮ่าๆ” คนที่เป็นเจ้าของห้องเอ่ยแซวอย่างขำๆแต่แล้วก็ต้องหยุดขำในทันทีที่ได้ยินถ้อยคำสวนกลับของใครอีกคน
“ป่าว จะมาขอนอนด้วย
ได้ไหม?” คนตาแป๋วตรงหน้านี้เอ่ยขออนุญาตเขาด้วยน้ำเสียงที่ฟังดูแล้วชวนให้ใจมันฟีบลงพิกล
“อืม~ ทำไมจะไม่ได้ล่ะ” พอเห็นคนที่เคยดื้อดึงเอาแต่ใจตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ก็เล่นเอาเขาไปไม่เป็นกันเลยทีเดียว
.
หลังจากเจ้าของห้องเปิดไฟเขียวให้คนที่ได้รับอนุญาตก็ถือวิสาสะเดินไปนั่งลงที่ปลายเตียง
“แป้งไม่รับโทรศัพท์เรา”
“หืม?”
“พี่โย่ง เขาใจร้ายมาก
เขาทิ้งเราไปมีผู้หญิงอีกคน” ร่างบางยังคงหลุดถ้อยคำและประโยคต่างๆออกมาเรื่อยๆอย่างคนเลื่อนลอย ส่วนอีกคนนั้นก็ได้แต่ขยับเข้าไปยืนใกล้ๆไม่เอื้อนเอ่ยคำพูดใดๆทำหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดี
“วันนี้
เขาบอกเราต้องเข้าใจ”
“แต่เขาก็บอกว่า เขายังรักเราหมดใจ” ทันทีที่เอ่ยคำว่า รัก หยดน้ำใสๆก็พลันร่วงหล่นจากตา ภาพที่เห็นนี้ทำเอาอีกคนหัวใจหล่นวูบตามไปด้วย สักพักจึงค่อยๆวางฝ่ามือของตนลงบนศีรษะของคนขี้แยพร้อมกับลูบไล้เบาๆเพื่อปลอบประโลมคนน่าสงสาร
“รักหมดใจ? บางทีความหมายของเขากับของเรามันอาจต่างกัน” คนนึงรัก
รักมากจนไม่เหลือใจไว้ให้ใคร แต่อีกคนไม่รัก
ไม่มีให้อีกแล้วหัวใจ พอสิ้นประโยคตัดพ้อคนที่นั่งอยู่ก็ไม่อาจห้ามธารน้ำตาที่กำลังจะรินล้นต่อไปได้อีก ความรู้สึกมากมายพรั่งพรูออกมากับสายน้ำตา
หัวกลมนั้นเริ่มเอียงเอนอย่างหาที่พักจนสุดท้ายก็ซบเข้ากับลำตัวของคนที่ยืนอยู่ข้างหน้าแขนเล็กๆทั้งสองข้างเกาะเกี่ยวโอบล้อมรอบลำตัวแกร่ง อีกคนก็พลางเอื้อมมือมากอดกระชับคนในอ้อมกอดให้แน่นขึ้น เวลาผ่านไปพักใหญ่คนในวงแขนนั้นดูจะสงบขึ้นกว่าเดิมแต่ที่ดวงตาแดงช้ำนั้นยังคงมีสายน้ำอุ่นหล่อเลี้ยงตลอดเวลา ร่างโปร่งตัดสินใจจับมือที่เกาะเกี่ยวลำตัวของเขาออกแล้วจึงเดินไปจัดที่นอนให้เข้าที่เข้าทางเพื่อคืนนี้คนตัวเล็กจะสามารถนอนหลับได้อย่างสบายกายและสบายใจ มือใหญ่ทั้งสองข้างค่อยๆดันให้คนที่หน้าตาเซื่องซึมล้มตัวลงบนที่นอนครั้นจะเดินไปปิดไฟมือเล็กก็รีบคว้าแขนของเขาไว้ทำให้ต้องหยุดชะงักโน้มตัวลงประทับริมฝีปากบนหน้าผากมนมือเรียวจึงยอมปล่อยอีกคนให้เป็นอิสระ
เขาล้มตัวนอนลงบนเตียงข้างๆคนร่างบางที่บัดนี้ยังคงนอนลืมตาแป๋วอยู่ สักพักร่างข้างกายก็ตะแคงตัวหันหน้าเข้าหากันเขาจึงลุกขึ้นดึงผ้าห่มที่กองอยู่ตรงปลายเท้ามาคลุมตัวเองและคนข้างๆนี้ไว้พร้อมทั้งจัดท่านอนของตนในลักษณะเดียวกับคนที่นอนคู่กัน คนร่างกายบอบบางค่อยๆเขยิบเข้ามาใกล้พลางเอาหัวไถและซุกลงที่อกของอีกคนด้วยท่าทางอย่างเด็กต้องการไออุ่น คนที่ถูกอ้อนนั้นก็ได้แต่เก็บอารมณ์ข่มใจนิ้วมือพลางจับผมนิ่มของอีกคนม้วนเล่นและสูดกลิ่นหอมอย่างเพลิดเพลิน
“เรา..รักเขามากจริงๆ” ลมหายใจที่ถูกพ่นออกมาอย่างสม่ำเสมอเป็นสัญญาณให้รู้ว่าคนๆนี้ได้เข้าสู่ห้วงนิทราไปแล้ว
.
..
...
แสงแดดยามเช้าส่องทะลุผ่านผ้าม่านสีนวลสะอาดตาปลุกให้คนที่นอนหลับสนิทอยู่นั้นค่อยๆลืมตาตื่นขึ้นมาแต่แล้วก็ต้องรีบเด้งตัวขึ้นจากเตียงนอนเมื่อพบว่าพื้นที่ข้างกายนั้นว่างเปล่าปราศจากร่างของใครอีกคนหรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนั้นเป็นเพียงความฝัน อาจเป็นฝันร้ายของใครอีกคนแต่สำหรับตัวเขาแล้วเป็นฝันที่บ่งบอกถึงนิมิตหมายอันดี
มือหนาเอื้อมไปยังโต๊ะตัวเล็กที่วางติดกับหัวเตียงเพื่อควานหาโทรศัพท์มือถือแต่แล้วก็สัมผัสเข้ากับกระดาษโน๊ตใบเล็กที่ถูกเจ้าโทรศัพท์เครื่องยักษ์ทับไว้ บนกระดาษมีข้อความที่เขียนด้วยลายมือหวัดซึ่งคงไม่ใช่ของใครก็คนที่มาขออาศัยห้องพักของเขาเมื่อคืนนั่นเอง
‘ขอบคุณสำหรับที่พักพิงJ’ อย่างน้อยครั้งนี้คนตัวเล็กก็ไม่ได้วิ่งหนีเขาไปเสียดื้อๆอย่างทุกครั้งที่ผ่านมา
..
.
เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์มือถือที่ดังขึ้นทำเอาคนที่กำลังมีสมาธิในการขับรถต้องสบถอย่างขัดใจและยิ่งเบอร์โทรไม่คุ้นเคยที่ปรากฏอยู่บนหน้าจอใหญ่นั้นพาให้ประหลาดใจยิ่งขึ้น
“ฮัลโหล”
“ไม่อยู่ที่ห้องหรอ? เราซื้อข้าวมาเผื่อ” ทันทีที่ได้ยินเสียงใสตอบกลับมาจากปลายทางอีกฝั่งหนึ่งก็ทำให้รู้ได้ทันทีเลยว่าใครที่เขากำลังพูดสายอยู่ด้วย
“หา? ไปเอาเบอร์มาจากไหน?”
“จะกลับมากินไหม? ไม่อย่างนั้นเราจะได้ไปเทให้หมากิน”
“เฮ้ย! กลับๆ กลับๆ รอก่อน จะถึงแล้วเนี่ย!”
“แหม~ ร้องเป็นเป็ดเชียว ฮ่าๆ” พอสิ้นเสียงหัวเราะสายปลายทางก็ถูกตัดลงเหลือไว้เพียงคนที่ขับรถหน้าบานเพราะหุบยิ้มไม่ได้
.
ไม่ถึงสิบนาทีเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นทำเอาคนตัวบางที่กำลังจัดข้าวของที่เพิ่งซื้อมาให้เข้าที่อยู่ต้องรีบร้อนเดินไปเปิดประตูให้
“ทันใจ!” พอประตูห้องเปิดออกคนที่เพิ่งมาถึงก็ถือวิสาสะเดินเข้าห้องของอีกคนแม้ยังไม่ได้รับคำเชิญหรือคำอนุญาตก็ตาม
“เมื่อเช้าหายไปไหน?”
“เราไปหาแป้งมา”
“อืม~ แล้ว
ดีขึ้นรึยัง?”
“ดีขึ้นมาก~ แต่
กำลังจะแย่ลงกว่าเดิมถ้าไม่หยุดถาม!”
“โอเคๆ
แล้วไหนข้าวเรา?”
“เทให้หมาแดกไปแล้ว!”
“”แรงตลอด~” คนร่างหนาว่าพลางเดินเข้าไปใกล้อีกคนจากนั้นก็เอนศีรษะของตนให้ต่ำลงในระดับเดียวกับต้นแขนกลมของคนตัวเล็กแล้วค่อยๆถูไถไปมาในใจก็หวังว่าไอ้ท่าทางน่าเอ็นดูอย่างแมวช่างอ้อนนั้นจะพอทำให้อีกคนอารมณ์ดีขึ้น
“คันน่า~ ฮ่าๆ ข้าววางอยู่นู่น ไปจัดการเอาเอง” และแล้วคนใจอ่อนก็ต้องอ่อนใจยอมลงให้กับคนตรงหน้าทุกที เขารู้ดีว่าความรู้สึกบางสิ่งบางอย่างที่ก่อตัวขึ้นในจิตใจมันอาจรวดเร็วเกินไปกับการคิดเริ่มใหม่กับใครสักคน ไม่ได้เข็ด เพียงแต่กลัว กลัวว่าหากเรื่องราวที่จะเริ่มต้นใหม่ต้องดำเนินไปในทิศทางเดิมหัวใจดวงนี้ที่เปราะบางไม่นานคงแตกสลายลง ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่หน้าผากของตนซบลงกับแผ่นหลังกว้างนี้
“ซิน
” เสียงทุ้มต่ำเรียกชื่อของอีกคนอย่างแผ่วเบาแต่เพียงเท่านั้นก็สามารถเรียกสติของคนตัวเล็กให้กลับมาได้
“ขอ
”
“ไม่ต้องขอ ไม่เป็นไร
ช่วยอยู่แบบนี้ไปนานๆ” ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ คนที่ทำหน้าที่เป็นที่พักพิงจำเป็นรับรู้ได้เพียงแรงสั่นสะเทือนน้อยๆกับความเปียกชื้นบนแผ่นหลังของตนที่ใครอีกคนได้ส่งกลับมา
-end of chapter4-
ความคิดเห็น