In My Love (Yaio)
ชิเงรุ อาซึ ชายผู้บังอาจเรียกชื่อจริงของผมโดยไม่บอกกล่าว พวกเราไม่สนิทกัน อย่างน้อยก็ในความคิดผม ไม่เข้าใจอีกด้วยว่าเพราะอะไรผมกับเขาจึงดูไม่ถูกกันและอย่างน้อยผมก็คิดว่าผมเหม็นหน้าตานี่ทุกครั้งที่เจอ
ผู้เข้าชมรวม
966
ผู้เข้าชมเดือนนี้
0
ผู้เข้าชมรวม
เนื้อเรื่อง
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ผมเพิ่งสังเกตเป็นครั้งแรกในชีวิตว่า ตัวเองมีเรื่องหนักใจมากแค่ไหนก็ตอนนี้ จำไม่ได้เลยว่าผมกลายเป็นคนที่หาทางออกให้กับปัญหาตรงหน้าไม่ได้ตั้งแต่ตอนไหน และไม่อยากเชื่อเลยว่าชีวิตวัยรุ่นของผมต้องมานั่งหนักใจกับ ‘อีตาบ้า’ คนหนึ่ง
“มองไรซึกิ?” นั่นไงตัวปัญหาผม ชิเงรุ อาซึ ชายผู้บังอาจเรียกชื่อจริงของผมโดยไม่บอกกล่าว พวกเราไม่สนิทกัน อย่างน้อยก็ในความคิดผม ไม่เข้าใจอีกด้วยว่าเพราะอะไรผมกับเขาจึงดูไม่ถูกกันและอย่างน้อยผมก็คิดว่าผมเหม็นหน้าตานี่ทุกครั้งที่เจอ
“ว่าไง? ถามไม่ตอบหรอซึกิจัง”
“นายว่าใครเป็นซึกิจัง?”
“อ๊ะ! ก็นายไงล่ะกิจังตัวน้อย”ตัวน้อย?ใช่สิผมมันตัวน้อย เป็นผู้ชายที่ไม่สมกับเป็นผู้ชาย หุ่นบาง ร่างน้อย พูดง่ายๆว่าบางทีผมอาจจะหุ่นดีกว่าผู้หญิงบางคนในห้องอีก
“ฉันไม่อยากพูดกับนายเลยว่ะ ไปไกลๆเหอะ” ผมออกปากไล่ เย็นไว้ซึกินายต้องใจเย็นๆ จงรวบรวบสมาธิไปยังกองบัญชีห้องที่อยู่ตรงหน้าซะดีๆ!!
“โฮ้ย! ทำเป็นไม่ใส่ใจเราหรอซึกิจัง หืม~ ซึกิจังผู้น่ารัก” เจ้าตัวปัญหามานั่งข้างหน้าผมแถมช้อนสายตาเหมือนลูกหมาอ้อนเจ้าของใส่ มันทำให้ผมปั่นป่วนนิดหน่อย...จริงๆแล้วก็ไม่หน่อยล่ะมั้ง ผมรู้สึกว่าใบหน้าเริ่มร้อนขึ้นอย่างฉับพลันแถมยังรู้สึกว่าอะไรบางอย่างในท้องกำลังวิ่งไปมา
“นายมีอะไรกับฉันรึไง” ผมตอบทั้งๆที่ในใจอยากไล่เต็มที่แต่เหมือนว่าดวงตากลมโตนั่นทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหวอย่างประหลาด
ชิเงรุยิ้ม รอยยิ้มของเขาคล้ายดวงอาทิตย์สำหรับผม ทุกครั้งที่เขายิ้ม ผมจะรู้สึกว่ารอบตัวดูสว่างไสวสายลมอ่อนๆที่พัดผ่านจากหน้าต่างบานใหญ่ในห้องกระทบเข้ากับเส้นผมละเมียดละไมของชิเงรุ ทำให้เขาดูคล้ายภาพวาดของเจ้าชายน้อยยังไงยังงั้น และอีกครั้งที่ผมรู้สึกปั่นป่วนในท้องและรู้สึกว่าเลือดบนใบหน้าพุ่งพล่านอีกครั้ง
“ซึกิจังหน้าแดงล่ะรู้มั๊ย?” เออรู้เว้ย! ว่าหน้าแดง อย่ามาพูดมากได้มั๊ยเล่า!! ก็เพราะนายและก็นายและก็นายนั่นแหละที่ทำให้เป็นอย่างนี้ไง ผมรีบทำตัวให้เย็นชาโดยการตีสีหน้าให้เรียบเฉยทักษะที่ดีของผมก็คงจะเป็นเรื่องสวมหน้ากากตีสีหน้าได้แนบเนียนนี่แหละ ผมหลุบตาลงแสร้งทำเป็นมองกองหนังสือ (จริงๆแล้วอยากหลบหน้ามากกว่า) ผมหวังในใจให้ตอนนี้มีใครสักคนสังเกตเห็นบรรยากาศอันแปลกประหลาดตรงหน้าผม แล้วรีบมาช่วยผมออกไปที่ก่อนที่หัวใจของผมจะหยุดเต้นเสียก่อน
“ซึกิ ต่อไปชั่วโมงพละไม่รีบเดี๋ยวโดนทานุกิด่าเอาน้า”
“อ่า ขอบคุณนะ ไม จะไปเดี๋ยวนี้แหละ” ผมรีบใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์ที่สุดโดยการรีบชิ่งออกจากห้องก่อนที่ชิเงรุจะพูดอะไรออกมา ผมได้แต่บอกตัวเองว่าอย่าหันไปมองด้านหลังไม่ว่ายังไงเพราะยังไงผมก็รู้ว่าจุดประสงค์ของชิเงรุเป็นยังไงกันแน่...
พอฉุดคิดถึงความต้องการของชิเงรุในใจผมก็เจ็บแปล๊บขึ้นมาทันที มันเป็นปัญหาของผมที่มีมาตั้งนานแล้ว ‘อามามิยะ ซึกิ’ หรือหนุ่มน้อยหน้าสวยย่อมเป็นที่น่าแกล้งสำหรับเหล่าผู้ชายอยู่แล้ว มันก็เรื่องราวตั้งแต่สมัยมัธยมต้นที่ผมมักจะถูกล้อเลียนหรือไม่ก็แกล้งแหย่พูดจาหวานๆใส่ผมราวกับผมเป็นผู้หญิง
และผมก็คิดว่าชิเงรุก็ไม่ต่างจากผู้ชายพวกนั้น
“ที่ต้องทำคือทำเป็นไม่ใส่ใจ” ผมมองฟ้า วันนี้อากาศดีท้องฟ้ามีเมฆสีเทาครึ้มๆเหมือนฝนจะตกสายลมเย็นๆพัดมาชวนหดหู่ นี่แหละบรรยากาศที่ผมชอบ
“อากาศไม่ดีเลยเนอะซึกิ” ไมที่เหมือนธิดาของดวงตะวันพูด ผมหัวเราะจะให้บอกเธอยังไงดีว่าผมคิดว่ามันดีสำหรับผม
“คงงั้นมั้ง”
วันนี้อาจารย์ทานุกิให้เล่นวอลเล่ย์บอล ไม่อยากบอกว่ามันเป็นกีฬาที่ผมไม่ถนัดเอาซะเลยและมันเหมือนเป็นตัวล่อให้ผมโดนแกล้งมากขึ้น สงสัยวันนี้ผมต้องตัวเขียวกลับบ้านอีกแน่ๆ
“นาย อามามิยะ” ผมสะดุ้งเฮือกสุดตัว นั่นไงโดนจนได้ ว่าแล้วต้องโดนเรียกเข้าไปในทีมไม่ใช่เพราะเก่ง แต่เพื่อความสะใจก็แค่นั้น ผมมองไปยังอีกสนามที่อยู่ใกล้ๆ ในใจอยากให้ชิเงรุเห็นว่าผมกำลังจะโดนแกล้งและอยากรู้ว่าเขาจะทำยังไงถ้าผมโดนแกล้ง แต่นั่นก็ไม่สำคัญชิเงรุก็อาจจะไม่ต่างจากคนอื่นๆ ผมถอนหายใจเตรียมรับความเจ็บปวด อยากให้สนามวอลเลย์บอลห่างออกไปสักไมล์ผมจะได้มีเวลาอืดอาดพอ ผู้ชายคนอื่นๆหัวเราะอย่างน่าเกียจทันทีที่ผมเข้าสนาม เออมาเลยว่ะ อยากทำไรก็ทำ ไงๆผมมันก็แค่ ‘นาย
ตูม!
แล้วดอกแรกก็มาทันทีที่ขอ มันเสยคางผมไปจนรู้สึกชาที่กราม แต่ช่างมันเถอะ ผมยังไหวอยู่ แต่ก็คงไม่นานเพราะผมเห็นมันตั้งท่าอีกรอบและ...
ตูม!โครม!
โดนจนได้ แต่คราวนี้ผมรู้สึกราวกับมันขว้างก้อนเหล็กสักตันใส่ผม ผมล้มทันทีที่มันกระทบเข้าที่หัวรู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างเหยียบหัวแล้วจากไป
“เฮ้ย! คราวนี้แค่ 2 ลูกเองว่ะ แกทำลายสถิติ” ผมได้ยินใครบางคนพูด เจ้าคนที่ยิงหัวผมเมื่อกี้นี่เอง ผมอยากจะต่อยมันสักเปรี้ยงแต่รู้ว่าทำไม่ได้ ผมรู้สึกหัวหมุนและมันเป็นสิ่งสุดท้ายที่ผมได้คิดก่อนจะสลบไป...
ครืด~ปัง
เสียงประตูปิดลง ผมคิดว่าอย่างงั้น ผมได้ยินแต่ผมไม่เห็น ตอนนี้ผมฝันไปรึเปล่านะ ผมเห็นเจ้าตัวปัญหาของผมยืนอยู่ปลายเตียงแล้วพูดอะไรบางอย่างกับอาจารย์อาจจะเล่าเรื่อง 2 ลูกก็น็อค ของผมล่ะมั้ง? ผมเห็นชิเงรุกับอาจารย์พูดกันอีกสักสองสามประโยคแล้วชิเงรุก็เดินจากไป ดีไปซะที ผมจะได้ตื่นได้แล้ว
“อ้าว!? ตื่นแล้วหรอจ๊ะอามามิยะคุง”
“ครับ” ผมยิ้มจืดๆ รู้สึกเหมือนอะไรบางอย่างอุดที่จมูกจึงดึงมันออกมา เฮ้ย! เลือด ผมสะดุ้งเลือดสีเข้มและแดงฉานกระจายเต็มทิชชู่ที่อุดอยู่ในจมูกเมื่อกี้
“ผู้ชายโรงเรียนนี้เล่นแรงนะว่ามั๊ย? ครูไม่ชอบเลยจริงๆ นี่มันแรงเกินไปนะนี่” ผมพยักหน้า อาจารย์คิตามิเป็นคนดีเสมอ สาวสวยและเพียบพร้อมก็ยังมีในโลกนะนี่
“ผมออกไปล้างหน้าหน่อยได้มั๊ยครับ?”
“เชิญจ๊ะ แต่ระวังล้มนะ ครูคิดว่าเธอยังไม่หายมึนหรอก” ดูเหมือนครูจะพูดถูก ทันทีที่ผมก้าวลงจากเตียงก็รู้สึกเหมือนโลกเอียงไปด้านหนึ่งเล่นเอาผมเซไปเลย
ผมเดินไปตามระเบียงทางเดินที่เงียบสงบชั่วโมงเรียนยังไม่หมดจึงไม่มีเสียงรบกวนให้ปวดหัวยิ่งขึ้น ผมสูดอากาศ หายใจลึกๆกลิ่นหญ้าชื้นๆที่ลอดผ่านหน้าต่างที่แง้มอยู่ ทำให้รู้สึกอบอุ่นสบาย ผมนึกถึงก๊อกน้ำข้างนอกมันอยู่ด้านหลังโรงเรียนใกล้ๆกับสวนหย่อมโรงเรียนบางทีผมถือโอกาสนี้แอบโดดไปนั่งเล่นแถวต้นไม้ก็ไม่เลวแฮะ พอจบชั่วโมงก็กลับบ้านได้เลยอีกต่างหาก แม้ในใจของผมจะรู้สึกผิด แต่ผมก็ไม่มีทางเลือก ถ้ากลับไปผมคงโดนน็อคตั้งแต่ลูกแรกแหงคราวนี้
สวนหย่อมของโรงเรียนเป็นต้นไม้ใหญ่เป็นส่วนมาก มีพุ่มไม้ที่ตัดเล็มอย่างดีอยู่รอบๆและมีแปลงดอกไม้ที่ชมรมพฤกษาเป็นคนดูแลอยู่ทางด้านขวาใกล้กับแท่นกระเบื้องสีส้มยาวที่มีก๊อกน้ำเรียงรายอยู่
ซู่!
เสียงน้ำไหลดังขึ้นหลังก๊อก แต่เจ้าของคนที่เปิดนั้นหลบอยู่ใต้กำแพงสีส้ม ผมจึงมองไม่เห็นตัว แต่ก็ไม่เกี่ยวอะไรกันผมเดินไปยังก๊อกน้ำ ป่านนี้ชิเงรุคงไปขำขันกับเพื่อนแล้วล่ะมั้ง ผมเปิดก๊อกกวักน้ำเย็นๆใส่หน้า น้ำที่กระทบผิวนั้นทำให้ขนเส้นเล็กๆของผมตั้งชัน กระตุ้นสติที่เคยลืมทิ้งไว้บนสนามวอลเล่ย์บอลกลับมาอีกครั้ง ผมเงยหน้าขึ้นสะบัดน้ำที่ชุ่มโชกหัวออก เสียงก๊อกน้ำจากฝั่งตรงข้ามหยุดไปแล้วและ..
“อ้าว!? ซึกิ หายแล้วหรอ?”
“เฮ้ย! ชิเงรุนายมาทำไรที่นี่” ผมสะดุ้งสุดตัวไม่ยักรู้ว่าคนที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามเป็นชิเงรุ
“เอ้า! ก็มาล้างหน้าล้างตัวอ่ะเด่ะ แล้วก็ซักเสื้อด้วย” ชิเงรุชี้ไปที่เสื้อเชิ้ตสีขาวที่มีรอยสีแดงจางๆเป็นหย่อม ผมสังเกตทันทีแต่ไม่ใช่รอยเลือด แต่เป็นเรื่องที่ชิเงรุดันเปลือยอกต่อหน้าผมน่ะสิ
“แล้วทำไมนายต้องถอดเสื้อเล่า” ผมพูดอย่างเคืองๆรู้สึกร้อนผ่าวบนใบหน้าอย่างประหลาดเลือดดูเหมือนจะสูบฉีดขึ้นมาด้านบนอย่างรุนแรงจนเหมือนเลือดกำเดาจะไหล
“ฮ่ะๆ นายนี่ถามแปลกนะ ก็ฉันซักเสื้อก็ต้องถอดสิ หรือนายจะซักให้ฉันเพราะเลือดที่อยู่บนเสื้อก็เลือดของนายนิ”
“หา? เลือดของฉันหรอ??”
“อื้ม เลือดนายนั่นแหละ ก็ฉันเป็นคนอุ้มนายมาห้องพยาบาลเองนี่ ตัวนายทั้งเล็กแถมยังเบาอีกนะ”เจ้าชิเงรุพูดทำไม้ทำมือแสดงขนาดตัวของผมไปด้วย ผมเกลียดมันจริงๆ แต่อีกนัยนึงก็สงสัยว่าทำไมต้องถ่อมาจากอีกสนามเพื่อมาอุ้มผมแต่ถ้าจะให้ถามผมก็คงไม่กล้าอยู่ดีนั่นแหละ
“อ่า เอาเถอะ ฉันซักให้ก็ได้” ผมคว้าเสื้อเชิ้ตจากมือชิเงรุมาขยี้ๆกับน้ำ มันคงไม่ออกหมดแต่ก็จางลงบ้างแหละน่า สายตาชิเงรุดูเหม่อลอยขณะท้าวแขนดูผมซักเสื้อ อยากรู้จังว่านายคิดอะไรในใจ นายตั้งใจจะช่วยฉันจริงๆ หรือมีอะไรแอบแฝงรึเปล่า?
เสียงกริ๊งหมดเวลาดังขึ้นทันทีที่ผมซักเสร็จ เสียงครืดคราดของเก้าอี้ที่ถูกลากดังขึ้นมากมายผมรีบส่งเสื้อที่จางลงแล้วให้ชิเงรุ
“ของนาย เอาไปสิ” ผมยัดใส่มือชิเงรุที่ดูงงๆผมอยากรีบไปจากเขาที่สุด เขาคือตัวปัญหาของผม และเขาเหมือนกำลังทำให้ผมรู้สึกหวั่นไหว ผมสะบัดหน้าเมื่อนึกถึงผิวสีขาวละเอียดของเขาและกล้ามเนื้ออันแข็งแรง หยดน้ำที่ไหลจากผมที่ส่องประกายระยิบระยับเมื่อโดนแสงอาทิตย์ ทันทีที่คิดเลือดก็ถูกสูบฉีดขึ้นบนใบหน้า มันรุนแรงจนรู้สึกเวียนหัวและเหมือนอะไรจะไหลออกจากจมูก
แหมะ...
เวรกรรม เลือดกำเดาสีแดงฉานค่อยๆไหลย้อยหยดบนลงหลังมือที่ผมเพิ่งจะถูจมูก ผมแนบหลังตัวเองกับเสา โรคจิต? ใช่เลยผมคงโรคจิต ทำไมผมถึงต้องมารู้สึกวูบวาบกับผู้ชายด้วย และโดยเฉพาะมันเป็นกับชิเงรุผมถอนหายใจสมเพชตัวเอง เท้าชาๆของผมลากตัวเองไปยังห้องพยาบาล ผมคงต้องการนั่งพักเพื่อดับอารมณ์ที่กำลังพุ่งพล่านอยู่ในตัว
“ผมขอนอนต่อสักพักได้รึปล่าวครับ”
“เชิญสิจ๊ะ คงยังเวียนหัวอยู่ล่ะสิ” ผมยิ้มให้อาจารย์คิตามิขณะโน้มตัวลงนอนบนเตียงสีขาวเนียนนุ่ม มีกลิ่นฉุนของยานิดหน่อย ใช่ ผมต้องการพักผ่อนและต้องการที่จะหนีจากชิเงรุ
...ผมคงอยู่ในฝัน รอบตัวของผมมีแต่สีขาวโพลน เหมือนมีหมอกหนาๆกั้นเอาไว้ ไม่ว่าจะมองไปทางไหนก็มองไม่เห็น
“นายคิดยังไงกับชิเงรุ?” มีเสียงหนึ่งดังขึ้นมันเป็นเสียงประหลาดที่ไม่เคยได้ยินมาก่อน ผมสะดุ้งรู้สึกเหมือนกำลังคุยกับเงาที่มองไม่เห็น
“ฉันไม่ได้คิดอะไรกับเขา” ผมตอบอย่างหนักแน่นเพียงลมปาก ในใจของผม ผมกลับไม่แน่ใจ
“จริงหรอ? ฉันว่านายหลงรักเขามากกว่า” เสียงนั้นว่าต่อไป
“ไม่มีทาง!”
“เชื่อสิ นายหลงรักเขา”
“ไม่” ผมปฏิเสธเสียงสั่น
“ถ้านายว่ายังงั้นล่ะก็...” เสียงนั้นพูด แล้วจู่ๆก็หยุดลง เหมือนย้อนเวลากลับไปหมอกหนาๆรอบตัวผมกลายเป็นฉากที่มีเพียงผมกับชิเงรุ ไม่ว่าตอนไหนๆที่ผมโดนแกล้งทำไมนะ ผมถึงเพิ่งสังเกตว่าคนที่ยืนช่วยเหลืออยู่จึงเป็นชิเงรุ ผมเห็นภาพของชิเงรุที่ยืนอยู่ข้างๆผมเสมอ ผมเห็นภาพชิเงรุยิ้ม มันเป็นรอยยิ้มที่สวยและอบอุ่นจนรู้สึกเหมือนโดนกอดผมรู้สึกน้ำตาจะไหล ภาพต่างๆจางหายไปและก่อเกิดรูปใหม่ขึ้นมาแทน ผมยื่นนิ้วชี้อย่างลืมตัว ผมเห็นตัวเองล้มลงทันทีที่ลูกบอลที่พุ่งอย่างแรงมากระทบเข้าที่หัวและผมก็เห็นใครบางคนที่หน้าตาคุ้นเคยแต่มองไม่ค่อยชัดวิ่งมา และอุ้มผมแนบกับตัว เสื้อเชิ้ตสีขาวของเขาเปื้อนเลือดของผมเป็นหย่อมๆ
“ชิเงรุ..” ผมเอ่ย ภาพต่างๆหายไปแล้ว ผมก็ได้ยินเสียงของเจ้าตัวประหลาดอีกครั้ง
“นายรักชิเงรุ ใช่มั๊ย?”
ผมไม่ตอบ หมอกหนาๆค่อยๆหายไป แล้วก็รู้สึกถึงความมืดอีกครั้ง
“อามามิยะคุงจ๊ะ” เสียงที่คุ้นเคยดังขึ้น ผมลืมตา อาจารย์คิตามิยืนอยู่เบื้องหน้ายิ้มหวานสดใสเช่นเคย
“กลับบ้านเถอะจ๊ะ จะมืดแล้ว” จริงด้วย นอกหน้าต่างเมฆกลายเป็นสีทองอ่อนๆของยามเย็น ไม่มีนักเรียนคนไหนเดินอยู่แล้ว
“ขอบคุณครับอาจารย์” ผมยิ้ม โค้งให้อาจารย์คนสวยแล้วเดินออกจากห้อง ขาชาๆลากผมไปที่ห้องเรียนซึ่งไม่มีคนอยู่แล้วในตอนนี้ มีเพียงกระเป๋าของผมที่ยังคงวางอยู่บนที่นั่งอันว่างเปล่า เมื่อกี้ผมฝัน ฝันประหลาดซะด้วย ผมได้ยินเสียงที่ไม่รู้จักหาว่าผมรักชิเงรุ แต่ผมไม่แน่ใจ ผมไม่เคยใส่ใจว่าเขาทำอะไรให้ผมบ้าง ผมเลื่อนตัวไปเกาะขอบหน้าต่างสายตาเหม่อมองออกไปยังผืนฟ้าสีทองอ่อนผมหวังว่า ผมคงไม่ได้รู้สึกอะไรกับชิเงรุจริงๆ
“เฮ้! ซึกิมัวทำอะไรอยู่?” ผมหันหน้ามอง ชิเงรุนิ!
“นายมาทำอะไร?” เขาไม่น่าจะอยู่ที่นี่แล้วด้วยซ้ำ
“เออ... ก็เปล่า” เขาเกาหัว “อ๋อ ซ้อมบาสน่ะ”
“หืม? บาส?จำได้ว่าวันนี้สนามบาสปิดปรับปรุงนะ” ผมว่า ชิเงรุดูอึกอักแปลกๆ
“อ่ะ! ก็ได้ๆ ฉันรอนายนั่นแหละ” ชิเงรุว่า อีกครั้งที่ผมรู้สึกเขินๆ รอผมหรอ? ชิเงรุเนี่ยนะ
“ก็... นายป่วยอยู่ก็เลยห่วงว่านายจะล้มเอากลางทางซะงั้น แต่เมื่อนายไม่เป็นไรก็กลับเถอะ” ชิเงรุคว้ากระเป๋าสะพายของผมจากโต๊ะแล้วออกแรงดึงมือผม สัมผัสที่มืออ่อนนุ่มอย่างประหลาดมือของเขาอุ่นและกระชับมือผมแน่น จำไม่ได้ว่าเคยอบอุ่นขนาดนี้มานานแค่ไหน
“นายน่าจะหัดสู้พวกนั้นบ้าง อย่าปล่อยให้มันรังแกนายสิ ถ้าไม่สู้ก็บอกฉันก็ได้ เดี๋ยวฉันจัดการให้” น้ำเสียงของชิเงรุฟังดูโกรธๆ ผมนึกอยากหัวเราะคน อย่างหมอนี่เคยฉุนฉียวกับเขาด้วยหรอ
“นายเป็นห่วงฉันรึไง?” จู่ๆผมก็นึกถามออกไป เท้าของชิเงรุสะดุดลงกระทันหัน ใบหน้าของเขาดูเฉยๆแต่หูของเขา.. .ผมว่ามันแดงชอบกล
“เฮ้ย! อะ..อะไร ก็..มะ..เออ..อ่า ช่างมันเถอะ... เว้ย...” ชิเงรุพูดตะกุกตะกัก ผมหัวเราะอีกครั้งรู้สึกเป็นครั้งแรกว่าเขาน่ารัก
“นายนี่มันน่ารักนะ ชิเงรุ” หน้าชิเงรุแดงแปร๊ดขึ้นทันที
“ชมผู้ชายว่าน่ารักได้ยังไงกัน”
“อ้าว? ก็นายยังชมฉันได้เลยนิ”
“เฮ้ย! ไม่เกี่ยวกัน”
“หรอ?” ผมหัวเราะ และยิ้มให้เขาเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่เขากลายเป็นตัวปัญหาของผม
แหมะ...
เสียงบางอย่างดังขึ้น ผมเงยหน้ามองชิเงรุ
“เฮ้ย! นายเลือดกำเดาไหลอ่ะ” บนจมูกของชิเงรุมีเลือดกำเดาย้อยลงมา มันหยดลงบนปกเสื้อของเขาเป็นวงใหญ่พอควร
“จริงดิ สงสัยอากาศร้อน” ชิเงรุว่าเขาดูลุกลี้ลุกลนขณะเอามือป้ายเลือดออก ผมควักผ้าเช็ดหน้าออกมาแล้วเช็ดให้เขาอย่างเบามือ
“กะ... ก็... นายมันน่ารักเองนิ” ชิเงรุพูดและผมก็หัวเราะอีกครั้ง
“วันนี้นายหัวเราะหลายรอบจังนะ”
“หืม? จริงหรอ? ช่างเถอะกลับบ้านกันเถอะ ชิน” ผมเอ่ย ชิเงรุดูอึ้งแต่ก็ยิ้มอย่างยินดี
“อื้ม กลับกันเถอะ ซึกิ” เรามองหน้ากันอีกครั้ง และรู้อะไรมั๊ย ผมว่า ผมหาทางออกให้กับปัญหาของผมได้แล้ว
ผมนึกถึงฝันเมื่อครู่นี้ ถ้าสมมุติว่าเสียงประหลาดถามผมอีกครั้ง คราวนี้ผมรู้แล้วว่าจะตอบว่าอะไร
“ผมรักชิเงรุจริงๆด้วย”
THE END
ผลงานอื่นๆ ของ ~NecronomicoN~ ดูทั้งหมด
ผลงานอื่นๆ ของ ~NecronomicoN~
ความคิดเห็น