คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : 第一章 等你回头来爱我
-1-
等你回头来爱我
รอเธอกลับมารักฉัน
ดวงใจแห่งข้า หากเจ้ายังมีลมหายใจ โปรดรับรู้เอาไว้...ข้ายังรอเจ้าอยู่ที่เดิม…
พรึ่บ!
เกวลีกระชากหูฟังออก ดวงตากลมโตฉายแววตระหนก หูยังคงแว่วเสียงคร่ำครวญของชายคนหนึ่งราวกับมันฝังลึกเข้าไปในสมองของเธอ! หญิงสาวเหลียวมองไปรอบกาย พบเพียงผู้โดยสารส่วนใหญ่อยู่ในห้วงนิทรารมย์ เมื่อหันมามองคนข้างตัว อาเฮียคนจีนนอนกรนคร่อกๆ น้ำลายยืดจนเปียกที่รองแขนเต็มไปหมด
หญิงสาวเอนตัวลงนอนอีกครั้ง สมองครุ่นคิดกับเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ แปลก มั่นใจว่าไม่ได้หูฝาดหรือคิดไปเอง เสียงนั้นมันดังอยู่ข้างหูจริงๆ ถ้าไม่มีใครมาพูดกับเธอ แล้วเสียงนั้นมันจะมาจากที่ไหนกัน
หล่อนก้มมองไอพอดบนมือ คิ้วของเกวลีขมวดเข้าหากันทันที เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นเสียงนักร้อง เพราะเธอจำได้ว่าเสียงปริศนามันแทรกเข้ามาในระหว่างเนื้อเพลง ซึ่งตอนนั้นเธอกำลังฟังเพลง 因为爱情 (เพราะความรัก) และเสียงที่เธอได้ยินก็ไม่ใช่เสียงร้อง แต่เป็นเสียงคร่ำครวญ! คิดได้ดังนั้นหญิงสาวก็เลื่อนหาท่อนเพลงก่อนที่จะได้ยินเสียงนั้นทันที
因为爱情不会轻易悲伤 所以一切都是幸福的模样
เพราะความรักไม่ได้เจ็บปวดง่ายขนาดนั้น ดังนั้นทั้งหมดจะเป็นเรื่องราวของความสุข
因为爱情简单的生长 依然随时可以为你疯狂
เพราะความรักจึงเติบโตขึ้นมาอย่างเรียบง่าย ถึงแม้ว่าบางครั้งจะบ้าคลั่งเพราะเธอ
因为爱情怎么会有沧桑
เพราะความรักทำไมถึงมีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
所以我们还是年轻的模样
ดังนั้นพวกเราถึงยังคงเยาว์วัยเหมือนเดิม
因为爱情在那个地方
เพราะความรัก ณ สถานที่แห่งนั้น
依然还有人在那里游荡人来人往
ยังคงมีคนเดินผ่านไปมา
ใช่แล้ว ก่อนที่ท่อนสุดท้ายจะซ้ำกันอีกครั้ง มันมีเสียงประหลาดแทรกขึ้น!!
เกวลีวนเพลงฟังใหม่ซ้ำแล้วซ้ำล่า หากไร้ซึ่งวี่แววของเสียงปริศนานั้น จะเป็นไปได้อย่างไร ในเมื่อเธอได้ยินจริงๆ
“คุณต้องการรับอะไรรึเปล่าคะ” แอร์โฮสเตสถามเป็นภาษาจีน คิดว่าสาวไทยคนนี้ต้องการอะไร ถึงหันซ้ายหันขวาคล้ายมองหาใครบางคน
“ไม่ค่ะ ขอบคุณ” เกวลีตอบกลับเป็นภาษาจีนเช่นกัน สำเนียงเธอชัดเจนราวกับเจ้าของภาษา จึงทำให้แอร์สาวเข้าใจได้อย่างไม่ยากเย็น
“ถ้าต้องการอะไรเรียกดิฉันได้นะคะ” เธอยิ้มหวานให้อีกครั้งก่อนจะไปบริการผู้โดยสารท่านอื่นต่อ
เกวลีปัดความคิดเรื่องเสียงปริศนาออกไป ปลอบใจตัวเองว่าเป็นเพราะนอนไม่เต็มอิ่มมาหลายคืน อาจทำให้สมองเธอทำงานไม่เต็มที่ จึงเกิดอาการฟุ้งซ่านคิดไปเอง
แต่ก็นะ…เธอได้ยินจริงๆ!!
เสียงของพนักงานสาวประกาศให้รัดเข็มขัด เพื่อเตรียมร่อนลงจอดสนามบินนานาชาติเมืองซีอาน…หนึ่งในเจ็ดเมืองโบราณของจีน
หลังจากที่เธอพร่ำเรียนจนจบปริญญาตรีด้วยเกียรตินิยมอันดับหนึ่งจากคณะอักษรศาสตร์ เอกภาษาจีน มาให้คุณแม่ได้ชื่นชม แต่กลับต้องมาพบกับความจริงอันโหดร้ายว่า แม่ของเธอกำลังเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย ในคราแรกเธอแทบไม่อยากเชื่อว่าเรื่องทั้งหมดเป็นความจริง คุณแม่ของเธอไม่มีอาการเจ็บปวดแสดงออกมาให้เห็น แถมนอนโรงพยาบาลครั้งล่าสุดก็เมื่อสิบปีที่แล้วด้วยโรคไข้หวัดนก แล้วแบบนี้จะให้เธอเชื่อได้อย่างไรว่าแม่ของเธอเป็นโรงมะเร็ง
ถามถึงคนเป็นพ่อ ท่านเสียชีวิตไปตั้งแต่ก่อนที่เธอจะเกิดด้วยซ้ำ แต่ความรักที่แม่มอบให้กลับทำให้เธอไม่รู้สึกว่าขาดความรักจากผู้เป็นพ่อเลย ตรงกันข้าม รู้สึกว่ามีมากกว่าคนอื่นเสียด้วยซ้ำ
แม่ของเธอเป็นเพียงครูสอนภาษาจีนที่มหา’ลัยของรัฐ เงินเดือนไม่ได้มากมายอะไร แต่ท่านกลับส่งเสียเธอเรียนจนจบได้ ในขณะเดียวกันเธอก็ตั้งใจเรียนจนคว้าทุนเรียนฟรีมาตั้งแต่สมัยประถม นั่นทำให้ครอบครัวมีเงินเก็บพอสมควร และเมื่อคุณแม่เธอป่วยหนักขนาดนี้ เกวลีก็ฉุดกึ่งกระชากแม่ให้ไปรักษาตัวที่โรงพยาบาล แต่แม่เพียงตอบกลับมาว่า
‘ทำไมต้องไป แม่ไม่ได้เป็นอะไรมากเสียหน่อย’
‘ไม่ได้เป็นอะไรมาก! มะเร็งระยะสุดท้ายเนี่ยนะแม่’
‘ก็แค่มะเร็งระยะสุดท้ายแต่ไม่ใช่ท้ายสุดนี่นา ถ้าท้ายสุดเมื่อไหร่ค่อยหามแม่เข้าวัดเลยแล้วกัน แม่ขี้เกียจเข้าๆ ออกๆ ระหว่างวัดกับโรงพยาบาล’
แม่ของเธอชอบทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็กเสมอ บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่า จะเป็นไปได้มั้ย ที่แม่มีบุญหนักจนอาการทรมานของโรคร้ายทำอะไรแม่เธอไม่ได้ ในวันที่เธอได้ใบตอบรับทุนเรียนปริญญาโทจากมหา’ลัยซีอาน เกวลีแทบล้มทั้งยืน นั่นไม่ได้หมายความเธอต้องอยู่ห่างแม่หรอกหรือ
‘กินั่นใบอะไร ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะลูก’
‘ม แม่ กิได้เรียนต่อโทที่เมืองซีอาน’
ใบหน้าของมารดาฉีกยิ้มกว้างต่างจากใบหน้าของหญิงสาวที่ขาวซีดยิ่งกว่ากระดาษ
‘แม่บอกแล้วว่ากิต้องได้ ดีนะเนี่ยที่แม่ให้กิยื่นทุนเรียน หนูจะได้มีความรู้เพิ่มมากขึ้นไปอีก’
‘ไม่เอากิไม่ไป ถ้ากิไปแล้วแม่จะอยู่กับใคร ใครจะคอยดูแลแม่ แถมตอนนี้แม่ยังป่วยอีก กิเป็นห่วง’
‘โอ๊ย! แค่สองปีแม่ยังไม่ตายหรอกลูก แต่ถ้ากิไม่ไปนี่สิ วันนี้แม่จะตายได้นะลูกเอ๋ย’
เพียงประโยคนี้ของมารดา ทำให้เธอตัดสินใจมาใช้ชีวิตอยู่ที่นี่ทันที เอาน่า แค่สองปี วันเวลาผ่านไปเร็วจะตาย…แม้ในใจเธอจะคิดเช่นนั้น หากความรู้สึกลึกๆ กลับใจหาย มันเหมือนกลับว่าระยะห่างของเธอกับมารดา…จะมากกว่าสองปี
สนามบินคราดคร่ำไปด้วยผู้คนมากมาย เกวลียืนชะเง้อหาป้ายชื่อ 王心 (หวัง ซิน) ไม่นานก็พบคุณป้าคนหนึ่งถืออยู่ หญิงสาวเดินไปคุยอยู่ไม่กี่คำก็เป็นอันเข้าใจว่ามหา’ลัยส่งคุณป้ามารับ
“แล้วคนอื่นละคะ” เกวลีถามทันทีเมื่อเห็นคุณป้าเตรียมเดินนำไปที่รถ ไม่รอนักเรียนคนอื่น
“ปีนี้มีคนยื่นทุนมาที่นี่แค่คนเดียวค่ะ” คุณป้าตอบยิ้มๆ ก่อนจะช่วยเธอลากกระเป๋า
ยื่นทุนแค่คนเดียว? อ่าวเวร เมืองนี้มันมีอะไรรึเปล่าเนี่ยทำไมถึงไม่มีคนขอทุนมาเลย ถึงได้ว่า ยื่นขอไปไม่นานก็มีผลตอบรับกลับมาทันที
…แม่จ๋า กิอยากกลับบ้าน
“คุณเคยมาเมืองนี้รึเปล่าคะ” คุณป้าชวนคุยหลังจากที่พวกเราขับรถออกมาจากสนามบินได้ซักพัก
“ไม่เคยค่ะ แต่เคยได้ยินชื่อเสียงของเมืองนี้มาก่อน เห็นเค้าว่า สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้ อยู่ที่นี่ใช่รึเปล่าคะ”
เพียงเท่านี้ คุณป้าก็บรรยายความงามของเมืองซีอานไม่หยุด ตั้งแต่เรื่องสถานที่ท่องเที่ยวยันสามีป้าเป็นโรคจิตชอบเอาขนรักแร้ตัวเองมาไชจมูก ซึ่งหญิงสาวก็ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง แต่ก็ต้องชวนคุยเป็นระยะเพื่อไม่ให้เป็นการเสียมารยาท
เกวลีทอดสายตามองออกไปนอกหน้าต่าง แม้ความมืดรอบด้านจะทำให้เห็นทิวทัศน์ไม่ชัดเท่าที่ควร หากวิวข้างนอกก็ทำให้เธอไม่รู้สึกสะอิดสะเอียนเท่ากับจินตนาการภาพสามีป้าแกเอาขนรักแร้มาไชจมูก แบบนี้ถ้าเธอเจอลุงคงเทียบหน้าไม่ติดเป็นแน่
“ชื่อคุณความหมายดีนะ” จู่ๆ ป้าก็เปลี่ยนเรื่องคุย ทำเอาเฌชมินทร์ตามแทบไม่ทัน
“ว่าไงนะคะ”
“หวัง กษัตริย์ ซิน หัวใจ ชื่อของคุณคือ หัวใจของกษัตริย์”
“ใช่ค่ะ แม่ของฉันเป็นคนตั้งให้” เธอพูดด้วยความภาคภูมิใจ โดยไม่ทันสังเกตอาการที่เปลี่ยนไปของคนข้างๆ
“อ่า กษัตริย์ หัวใจของกษัตริย์ หัวใจที่โดนหญิงสาวตัวเล็กๆ ทำลาย…”
“คุณป้าว่าอะไรนะคะ”
เธอหันไปมองคุณป้าด้วยสีหน้างงงวย แม้สายตาของคุณป้าจะจ้องไปที่ถนนข้างหน้า หากแท้จริงแล้วดวงตากลับดูเหม่อลอยคล้ายคนอยู่ในห้วงของอะไรบางอย่าง
“ความรัก ความหลง ความเชื่อใจ คนทรยศ โง่งมสิ้นดี”
ความเร็วของรถถูกเร่งขึ้น รถเริ่มสายไปสายมา จนออกไปเลนตรงข้าม รถที่ตามหลังเริ่มชะลอความเร็ว โดยไม่ลืมที่จะบีบแตรด่าไล่ตามมา ส่วนป้าก็ยังพร่ำอะไรออกมาไม่หยุด
เกวลีเบิกตาโพลงด้วยความตกใจเมื่อเห็นรถสิบล้อกำลังมุ่งตรงมา หญิงสาวตัวชา มือไม้เย็นเฉียบ หัวใจตกไปที่ตาตุ่ม หัวสมองคิดการทำอะไรบางอย่างก่อนที่ร่างของเธอจะถูกบีบอัดด้วยรถสิบล้อนั่น!
“คุณป้าคะ คุณป้าเป็นอะไรเนี่ย!” เธอตะโกนใส่หูอย่างสุดเสียง และได้ผล คุณป้ามีสติกลับคืนมา มืออวบหักพวงมาลัยบิดอย่างเฉียดฉิว พร้อมกับความเร็วของรถถูกลดลงมาจนเท่าเดิม สายตาของหญิงวัยกลางคนหันมามองหญิงสาวอย่างงุนงง
“อั้ยโย! ทำไมป้าขับไปเลนนู้นได้ ดีนะแถวนี้ไม่มีกล้องวงจรปิด ไม่งั้นโดนเล่นงานแน่ๆ”
แล้วคุณป้าก็บ่นนู่นนี่ต่อราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น เกวลีมองคนข้างๆ ด้วยความหวาดระแวง เหตุการณ์เมื่อครู่ยังทำให้สติของหญิงสาวกลับมาไม่ครบถ้วน มือเรียวสำรวจร่างกายตนเองว่าครอบถ้วนสามสิบสองประการรึเปล่า มีส่วนไหนหลุดลอยออกไปพร้อมรถสิบล้อนั่นหรือไม่
หากเมื่อกี้คุณป้าไม่ได้สติกลับมา นิยายเรื่องนี้…เธอคงไม่ได้เป็นนางเอกแน่นอน
“เห็นบ้านคนตรงนั้นมั้ย ข้างในมีศาลเจ้า ศักดิ์สิทธิ์มากเลยนะ” คุณป้าชี้ชวนให้ดูบ้านหลังหนึ่ง หญิงสาวมองตามอย่างสนใจ ปกติเธอเป็นพวกชอบอะไรแบบนี้อยู่แล้ว บางทีถึงขั้นงมงายเลยก็ว่าได้
“จริงหรอคะ” ถ้าได้มาศาลเจ้านี้แล้วขอพรให้แม่หายจากการป่วยเป็นโรคมะเร็ง จะได้ไหมหนอ
“จริงซี่ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ คนแถวนี้เขารู้จักที่นี่กันทุกคน เค้าว่ากันว่าขออะไรก็ได้อย่างนั้นทันตาเห็นเลยล่ะ ทั้งเนื้อคู่ สุขภาพ การเงิน การงาน โอ๊ย เรื่องอะไรก็ได้ผลทั้งนั้น ฉันยังเคยมาขอลูกชายเลย แม่คุณเอ๋ย เดือนต่อมาฉันได้ตามที่หวังจริงๆ”
ได้ยินแบบนี้เกวลีถึงกับหูผึ่ง ท่าทางจะศักดิ์สิทธิ์มากเลยนะเนี่ย เธอหันกลับไปมองศาลเจ้านั่นอีกครั้งหวังจะจำจุดสังเกตเอาไว้ ทว่าความมืดรอบด้านทำให้หญิงสาวเห็นอะไรไม่ชัดเจนนัก เห็นเพียงแค่กำแพงสูงๆ กับหลังคาเท่านั้น
“แถวนี้มีจุดสังเกตอะไรเด่นๆ รึเปล่าคะ เวลามาจะได้มาถูก”
“ไม่ต้องกลัวหลงหรอก แถวศาลเจ้าเค้าห้ามคนอยู่ แถมที่นี่ห่างจากมหา’ลัยแค่โค้งเดียวเอง เดินมาก็เจอศาลนี้ที่เดียวเท่านั้นแหละ”
ห้ามคนอยู่! ไม่ได้หมายความว่าบริเวณแถบนี้เป็นป่าทั้งหมดเลยเรอะ อ๋า เธอกำลังจะได้อยู่ท่ามกลางธรรมชาติ ท่ามกลางป่าดงพงไพร ท่ามกลางอ้อมกอดของขุนเขา…
ให้ตูบวชเถอะ!
เกวลีจัดการติดต่อห้องพักเรียบร้อย เธอก็จัดการกึ่งลากกึ่งแบกกระเป๋าใบโตขึ้นบันไดไป หอพักนักเรียนทุนจะเป็นหอรวม ห้องคู่ (แยกชายหญิง) ค่าห้องค่าน้ำไม่ต้องจ่าย จ่ายแค่ค่าไฟเท่านั้น ในแต่ละห้องจะมีห้องน้ำในตัว ซึ่งทำให้หญิงสาวรู้สึกโล่งใจไปเปราะหนึ่ง ก็แน่สิมาเมืองจีนสิ่งที่น่าหวาดกลัวอันดับหนึ่งก็คือ ส้วม!
หลังจากที่ขนย้ายของทั้งหมดมาไว้ในห้อง 513 หญิงสาวถึงกับนอนแผ่สามสลึงลงกลางห้อง คิดดูสิ กว่าเธอจะขนของขึ้นมาหมดก็ต้องเดินขึ้นลงบันไดตั้งหกรอบน่องไม่โตก็ให้มันรู้ไป
หญิงสาวกวาดตาสำรวจรอบๆ โชคดีจังที่เธอได้นอนคนเดียว เพราะปีนี้มีเพียงเธอที่ยื่นขอทุนมาเท่านั้น ฉะนั้นห้องนี้จึงตกเป็นของเธอ ฮูเร่!
กว่าเธอจะจัดการลงทะเบียนอะไรเสร็จเรียบร้อยก็ปาไปสิบโมงครึ่ง ถ้าเทียบเป็นเวลาไทยก็เก้าโมงครึ่งแล้ว (เวลาที่จีนเร็วกว่าไทยหนึ่งชั่วโมง) เกวลีโทรไปรายงานความเคลื่อนไหวของตนให้มารดาฟังไม่กี่คำก็ต้องวางสาย เพราะอีกฝ่ายติดสอน
เกวลีเดินออกไปซื้อของจำเป็นเข้าหอโดยไม่ลืมพกกระเป๋ายามใบเป้งไปด้วย เพราะเป็นหนึ่งในนโยบาลลดใช้ถุงพลาสติกเพื่อลดโลกร้อนของจีน อย่าได้คิดว่าไปซื้อในห้างใหญ่โต ขอเถอะ ห้างที่ใหญ่ที่สุดแถวนี้อารมณ์ประมาณโลตัสเอ็กซ์เพลส แถมมหา’ลัยนี้ก็อยู่แถบชานเมืองจะหาห้างดีๆ ไว้เดินเที่ยวล่ะก็ ฝันไปเถอะ!
ขากลับเธอได้แวะร้านขายจักรยาน สุดท้ายก็ถอยจักรยานมือที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้มาได้หนึ่งคัน กว่าเธอจะเฟ้นหาคันที่สภาพไม่ทุเรศทุรังเกินไปก็แทบทำเอาเหงื่อตก แอบกลัวเหมือนกันว่าถ้าเธอขี่อยู่ดีๆ แล้วล้อมันกลิ่งหลุดไปสภาพเธอตอนนั้นคงอุบาทว์ไม่ใช่น้อย
“สวัสดี”
เมื่อมาถึงห้อง เพื่อนห้องข้างๆ ก็เข้ามาทักทายทำความรู้จักอย่างเป็นมิตร นั่นทำให้หญิงสาวรู้ว่าเพื่อนใหม่ของเธอคนนี้ชื่อ อูมุ เป็นชาวแอฟริกา ปีนี้เธอเพิ่งขึ้นปริญญาตรีปีสาม แต่สำเนียงจีนของเธอกลับพูดได้ดีทีเดียว แถมเธอยังเป็นคนที่คุยเก่งมากขั้นสุดยอด แม้บางครั้งเธอต้องใช้ภาษามือในการสื่อสารก็ตาม
“ซินเอ่อร์ เธอเคยไปศาลเจ้าแถวมหา’ลัยรึยัง”
ที่เธอเรียกว่า ซินเอ่อร์ เพราะเธอเห็นว่าเรียก หวังซิน ดูเหมือนอาจารย์กำลังเรียกนักเรียนอย่างไรอย่างนั้น เรื่องเรียกชื่อจบแค่นี้ก่อน เพราะนั่นก็ไม่สำคัญเท่าเรื่องที่อูมุกำลังพูด
ให้ตาย! เธอลืมเรื่องศาลเจ้านั่นไปเลย ตั้งใจว่าจะไปขอพรให้แม่แต่ดันลืมซะได้ สมองฝ่อจริงๆ ยัยกิ!
“ยังๆ เธอเคยไปแล้วเหรอ เป็นไงบ้าง” อูมุก็เป็นพวกงมงายเรื่องแบบนี้เหมือนกัน ครอบครัวของเธอเป็นหมอผีประจำเผ่ามาหลายศตวรรษแล้ว ทำให้เธอถูกปลูกฝังเรื่องแบบนี้มาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ไม่ว่าประเทศไหนมีของขลังของดีอะไรอย่าให้เธอรู้ เธอกวาดเรียบมาแล้วทั่วโลก ขนาดหญิงสาวเป็นคนไทยแท้ๆ ยังไม่มีจตุรคามเลยซักรุ่น แต่อูมุกลับมีจตุรคามรุ่นลิมิเต็ดเลยอ่ะคิดดู
“แม่คุณเอ๋ย เชยสะบัดช่ออะไรเช่นนี้ เด็กในมหา’ลัยหรือแม้แต่นักท่องเที่ยวก็เหอะ เค้ามาเมืองนี้ไม่ได้มาดูสุสานจิ๋นซีฯ อย่างเดียวนะจ๊ะ โปรแกรมไหว้เจ้าขอพรที่ศาลนี้ยังต้องถูกบันทึกในโปรแกรมทัวร์เมืองซีอานเลย”
ป๊าดดด ยิ่งใหญ่อหังกาแห่งคมแฝกแบบนี้ มีหรือคนอย่างเธอจะพลาด!
---------------------------------------------------------------------------------
อ่านมาจนถึงบรรทัดนี้แล้ว คงจับใจความเนื้อเรื่องกันได้ใช่มั้ยคับว่าพอจะสื่อถึงอะไร
บทนี้จะเกริ่นคร่าวๆ ถึงสภาพเมืองจีนให้เป็นเกร็ดวามรู้กันนะ อย่างเช่นความต่างของเวลา การพกถุงเอง เป็นต้น
บทต่อไปแล้วนะที่เราจะเริ่มเข้าสู่เนื้อเรื่องกันจริงๆ ซักที
ยังไงก็อยากฝากผลงานของคนชอบเขียนนิยายคนนี้ไว้ด้วยนะคับ ^^ พบเจอคำผิดก็บอกกันได้เด้อ
ความคิดเห็น