ลำดับตอนที่ #6
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : ตอนที่ 5 60 %
"ที่นี่ล้วนแต่บริสุทธิ์"
"ข้าก็บริสุทธิ์ แต่จิตใจข้ากลับกรีดร้องและอยากจะกระชากฉีกทึ้งให้หายอยาก"
ณ ชายแดนของพวกพรรณ
"เราควรจะพาอัสรันกลับเมืองหลวง"
"แล้วหากพวกสนามรบมันมาแหยมพวกเราอีกล่ะ"
"อีรอส...ผู้ชายคนนั้น ไม่มีใครหยุดเขาได้นอกจากท่านแม่ทัพเรา"
"แต่หากไม่พากลับ เราอาจสูญเสียเขาไปอย่างไม่มีวันกลับ!!" เสียงประกาศกร้าวจากรองแม่ทัพฉายา 'สมิงกร้าว' ทำให้ทุกคนต่างปิดปากการถกเถียงเรื่องนี้ทันที ใช่แล้ว พวกทหารพรณและเหล่าหมอต่างถกเถียงมาพักใหญ่แล้ว และข้อสรุปที่ถกกันไปมาสมิงกร้าวมิได้คิดว่าอันไหนดีหรือไม่ดี เพราะทุกข้อคิดเห็นมันมีทั้งข้อดีข้อเสีย
แต่เราควรจะเร่งมือปฎิบัติ เพราะสภาพแม่ทัพของเรานั้นดูไร้เรี่ยวแรงซะจนรองแม่ทัพอย่างเขาใจหาย 'โยวะ' คือผู้ชายรูปรางผอมบางผิวสีแทนเข้มและนับว่าร่างเล็กหากเปรียบเทียบกับทหารนายอื่น แต่เนื่องด้วยกายภาพที่ว่องไวคล่องแคล่วนั้นเองที่ทำให้ศัตรูส่วนใหญ่ประมาทและออมมือ จนสุดท้ายก็เป็นผู้พ่ายให้แก่รองแม่ทัพคนนี้มานักต่อนักแล้ว
โยวะเห็นอย่างนี้แต่เขาก็ได้ชื่อว่าเป็นผู้บุกเบิกในการต่อสู้ประชิดในรูปแบบเน้นรับก่อนจะสังหารศัตรูด้วยการลงมือเพียงครั้งเดียวด้วยซ้ำไป หมัดของเขาหนักยิ่งกว่ายามที่อัสรันต่อสู้ธรรมดาด้วยซ้ำไป
"ส่งเขากลับเมืองหลวง ให้หมอหลวงวินิจฉัยแล้วค่อยว่ากันต่อ"
"เราเสียอัสรันไม่ได้ เขาคือศูนย์กลางของพวกเรา ขาดเขาเราจะแตกตื่น...ดังเช่นตอนนี้ก็ใช่อยู่" นัยน์ตาสีทองของโยวะกวาดมองเหล่าทหารที่ได้แต่กลืนน้ำลายยอมรับความจริงกันไปแถว เขาผ่อนลมหายใจ สาวเท้าเพื่อที่จะออกจากเตนทร์ใหญ่และปิดการประชุมกันเสียที แต่ก็ต้องชะงักฝีเท้าก่อนที่จะส่งสายตาไม่เป็นมิตรไปให้ผู้มาเยือนที่กำลังแหกม่านเข้ามาภายใน
เสียงฮือฮาดังไปทั่ว แต่โยวะกลับนิ่งงันและจ้องมองเขาอย่างไม่เป็นมิตร
แม่ทัพใหญ่แห่งสนามรบมาเยือนแดนพรรณทีไร ไม่เสียเปรียบก็โดนหยามหน้าทุกที
"ต้องการอะไรกัน อีรอส" ชายหนุ่มเจ้าของฉายาหมาป่าเดียวดายจ้องมองโยวะอย่างดูหมิ่นก่อนที่จะกวาดมองไปทั่วเตนทร์เหมือนควานหาบางสิ่ง และเมื่อไม่ด้ตามที่คาดคิดเขาก็เลิกที่จะค้นหามันแล้วกลับมาถามรองแม่ทัพแห่งพรรณตามเจตจำนงค์ที่มาที่นี่
"ข้าต้องการพบอัสรัน"
"ท่านอัสรันป่วยหนัก ข้าไม่อณุญาต เพื่อความปลอดภัยของแม่ทัพเรา" คำพูดอันระแวดระวังของโยวะทำให้อีรอสกระตุกยิ้ม แล้วสาวเท้าเข้าไปใกล้รองแม่ทัพพรรณที่ในความคิดเขาจะหวงหัวหน้ามากไปหน่อย สู่รู้ทำมาเป็นปกป้อง
"เพื่อความปลอดภัยของแม่ทัพเจ้า ? อย่าทำให้ข้าขำไปหน่อยเลย"
"เพียงข้าคนเดียวก็สามารถจัดการทุกคนในเตนทร์ได้หมดเพียงแค่ต้องการเวลาสักหน่อย ไม่นับเหล่าทหารของข้าที่ติดตามข้ามา จะบอกให้ ข้ามาอย่างสันติ หรือเจ้าต้องการศัตรูในยามที่แม่ทัพเจ้ากำลังนอนซมกันล่ะ"
"คงไม่น่าปลื้มซักเท่าไหร่ หากเจ้าคิดเช่นนั้น จงอณุญาตให้ข้าพบอัสรัน" ยังหยิ่งจองหองมิเปลี่ยนแปลง ความคิดของเหล่าพวกพรรณต่างสมพงษ์ซึ่งกันและกันในเรื่องนี้อย่างแน่นอน แต่พวกเขาจะทำอะไรได้ โยวะเองก็เช่นกัน เขารู้ดีว่าพละกำลังมันต่างกันเกินไปและประสบการณ์เองก็เช่นกัน เขาไม่ได้ออกรบเท่าอัสรัน การตัดสินใจไม่เฉียบขาด อย่างตามตำราสงครามว่า หากตัดสินใจพลาดเพียงครั้งเดียวจงเตรียมใจที่คอของเจ้าจะถูกศัตรูฟันและสิ้นลมหายใจตราบนิรันดริ์
และเขายังไม่อยากสิ้นลมหายใจตอนนี้ แถมอีกอย่างหากอีรอสมาดีจริงก็ไม่น่าเป็นห่วง
โยวะหรี่ตาก่อนเอ่ยปาก
"เรายอมรับ แต่มีข้อแม้ข้าจะเข้าไปในเตนทร์ของอัสรันกับท่านด้วย เป็นหลักรับประกันว่าท่านจะไม่ทำอะไรแม่ทัพเรา"
"ตามแต่ใจเจ้า พาข้าไปซักที"
สภาพของแม่ทัพพรรณตรงหน้าทำให้อีรอสขมวดคิ้วมุ่น ร่างกายร้อนเป็นไฟเสียงหายใจที่หอบถี่ดั่งผ่านศึกหนักและร่างกายที่เกร็งไปทั้งตัว เขาจ้องมองอัสรันที่แม้แต่แรงจะลุกขึ้นมายังน้อยเต็มแก่อย่างสังเวชและสงสัย ว่าเหตุอันใดอัสรันผู้แข็งแกร่งจึงต้องล้มหมอนนอนเสื่ออยู่
"รู้สาเหตุบ้างไหม" โยวะส่ายหน้า
"ไม่เลย ตั้งแต่ที่ท่านชิงเลือดสีดำตนนั้นไปได้เพียงแค่ข้ามคืน ท่านอัสรันก็เริ่มออกอาการแต่มาหนักในราตรีที่สอง"
"เลือดสีดำ.." 'ราตรี' งั้นซิ เขาก้าวเข้ามาใกล้อัสรันก่อนที่จะจับไปที่ชีพจร โยวะมองแม่ทัพแห่งสนามรบอย่างระแวดระวัง สายตาของอีรอสสื่ออยู่ว่าเขากำลังใช้ความคิด ความคิดที่เพียงแค่มีจุดเล็กๆมาสะกิด เรื่องราวทั้งหมดคงจะแถลงไข
"อาการของมัน มีไอเป็นเลือดสีดำด้วยใช่ไหม"
"..." เขาเบนสายตาไปมองรองแม่ทัพที่ปิดปากเงียบ ปฎิกริยาอย่างนี้แสดงว่าสายของเขารายงานมาไม่ผิดพลาด หากอัสรันไอเป็นเลือดสีดำ ราตรีเองก็จะต้องมีส่วนเกี่ยวข้องเป็นแน่ แต่ทำอย่างไรล่ะถึงได้มีเลือดสีดำแพร่ในร่างกายของแม่ทัพพรรณได้
"เลือดสีดำเคยโจมตีอัสรันไหม"
"ไม่เคยถึงขั้นเลือดตกยางออก" แล้วมันคืออะไรกันเล่า เขาคำรามออกมาอย่างไม่ชอบใจ ลุกขึ้นแล้วเดินวนไปวนมาในห้อง และเมื่อรู้อีกหนึ่งสาเหตุที่เป็นไปได้ หัวใจของเขาก็เหมือนจะหยุดเต้นไปในห้วงขณะหนึ่ง หากเลือดแพร่เข้าไปในทางการลิ้มรสล่ะ
"...หิมะ"
"เจ้าพูดอะไร" โยวะถามซ้ำเมื่ออยู่ดีๆหมาป่าเดียวดายกลับพร่ำถึงสิ่งขาวบริสุทธิ์ที่ตอนนี้กำลังตกหนักในเขตวิหารขึ้น อีรอสสบถออกมาแล้วกัดฟันอย่างอารมณ์เสีย เขาสัมผัสได้ถึงความหนาวเย็นเมื่อเท้าสัมผัสกับหิมะ เสียงหอบ เขาสัมผัสมันได้แม้จะไม่ใช่ตัวเขาที่กระทำมัน ...
ราตรี เหยื่อของเขาคนนั้น .
มันปลูกเลือดสีดำเข้าไปทั้งในแม่ทัพแห่งพรรณยังมิวาย เขาเองก็เผลอเรอโดนมันแพร่เลือดเข้าอีกคนจนได้ !!
"แฮ่ก .." เสียงหอบหายใจข้าและไอหนาวที่ออกมาทางปาก ทำให้ข้ากัดฟันแน่นด้วยความไม่สบอารมณ์ กระดูกตรงอกเจ็บไปหมดเพราะการหายใจถี่ ขาทั้งสองข้างก็ดูจะไร้เรี่ยวแรงเพราะความเหนื่อยล้าที่วิ่งติดต่อกันเป็นเวลานาน แถมความหนาวนี่อีก ถ้าหากว่าไม่มีเสื้อหนังสัตว์ตัวใหญ่นี่ข้าอาจจะหนาวตายกลางหิมะนี้ไปแล้วด้วยซ้ำ
คิดแล้วก็เผลอลูบเสื้อขนสัตว์ตัวใหญ่นี่ ยิ่งนึกถึงคนให้ข้าก็ต้องหลับตาลงเพราะความเหนื่อยล้า
ป่านนี้ชายผู้ช่วยข้าจะเป็นอย่างไรบ้างนะ จะตายหรือรอดกัน
ราตรีเม้มปากแน่นก่อนที่จะออกวิ่งต่อ ไปตามทางเดินอิฐสีเทาที่เริ่มปรากฎขึ้น
ผืนอิฐเย็นเฉียบจนคนใส่รองเท้าบางต้องรีบกระโดดไปวิ่งไป หมายจะรีบหาที่หลบแล้วออกมาเดินทางหนีต่อในดินแดนที่เขาไม่เคยรู้จัก เด็กใหม่อย่างเขาก็เหมือนคนหลงทาง หากไม่มีคำชี้นำก็ไม่ต่างจากเด็กอมมือ
การที่ได้พบผู้คนมากมายเป็นทั้งโชคดี โชคร้าย
มันสอนให้เขาได้รับประสบการณ์มากมาย และอันตรายที่สามารถฆ่าเขาได้เพียงอึดใจหากเขาพลาด
สอนให้ใช้ไหวพริบเอาตัวรอด และจงระวังในทุกนาทีที่ยังมีลมหายใจ
"อึก!! .." แรงกระทบที่เน้นบริเวณใบหน้ากับเข่าทำให้ข้าต้องตะโกนร้องออกมาอย่างหมดความอดทน คนมีเลือดสีดำสบถออกมาหยาบคายเพราะเห็นว่าอยู่ตัวคนเดียว เพราะอะไร เพราะข้าสะดุดล้มลงไปกองกับผืนหิมะเย็นเฉียบและรองรับด้วยอิฐเทาไงล่ะ ! และความเจ็บปวดปานนี้ก็เชื่อได้เลย ว่าเข่าของข้าต้องแตกไปข้าง
ลองขยับดูแล้วก็ต้องยิ้มรับชะตากรรมน่าเศร้า
ขาซ้ายดูท่าจะร้าว ส่วนอีกข้างก็ได้แผลใหญ่จนเลือดสีดำไหลออกมาโชว์อากาศหนาวเล่น
อา...พระเจ้า ท่านช่างไม่เมตตาข้าเอาซะเลย
"สวบ.." เสียงของสิ่งมีชีวิตทำให้ตัวของข้าสะดุ้ง ก่อนที่จะรีบยันตัวขึ้นแม้จะเจ็บสิ้นดี ข้าสบถออกมาทั้งน้ำตา แล้วเลือกที่จะใช้ขาขวายันขึ้น ส่วนขาซ้ายก็ปล่อยให้ห้อยต่องเต่งไปแม้จะไม่อยากจะให้สภาพมันทุเรศทุรังแบบนี้ จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อเขาต้องหนีรอดมากกว่าการเอาใจใส่รูปลักษณ์ตัวเองตอนนี้ !!
"เดี๊ยวก่อน" เสียงของอิสตรีที่เรียกข้างหลังทำให้ข้าหันหลังกลับไปมอง และภาพที่เห็นคือหญิงสาวในชุดนักบวช นัยน์ตาสีแดงฉานกำลังจับจ้องเขาอย่างงงวย เขี้ยวขาวจากทั้งสองข้างริมฝีปากที่เผยอออกมา เธอช่างดูเหมือนสัตว์ร้ายในคราบมนุษย์ เธอจ้องมองเขาอย่างพิจารณา
"ท่านเป็นคนต่างถิ่นซินะ ได้รับบาดเจ็บงั้นหรือ" เธอสาวเท้าใกล้เข้ามาและเมื่อเห็นว่าเลือดที่ไหลตรงเข่าของข้าเป็นสีดำเข้มก็รีบเอามือตะครุบปากตัวเอง กลั้นเสียงร้องอย่างตกใจ มองหน้าข้าเหมือนเห็นของหายากที่ล้ำค่า
"เลือดสีดำ.."
"หากจะเอาข้าไปขายหรือไปเป็นของเล่นให้เลี้ยงดูยามเบื่อก็ตัดความคิดนั้นไปเดี๊ยวนี้เลย นักบวชหญิง" นักบวชหญิงคนนั้นเบิกตากว้างอย่างไม่เชื่อหูตนเองว่าชายผู้ถือครองเลือดสีดำ วาจาจะเราะร้ายใช่เล่น เธอส่ายหน้าพลันก่อนที่จะก้มหัวให้ตามมารยาท แล้วอธิบายไขข้อข้องใจให้แก่ผู้แปลกถิ่นในดินแดนแห่งวิหาร
"เราเป็นนักบวช สิ่งละโมภเช่นนั้นพวกเราทิ้งไปนานแล้ว ขอท่านจนพำนักรักษาตัวในวิหารของเราก่อนเถิดค่ะ ท่านผู้ครองเลือดสีดำ ท่านฮูโร บาทหลวงของเราคงอยากจะพบท่านใจจะขาด"
'วิหาร' เขตของเหล่านักบุญ ไร้การต่อสู้ศรัทธาและอุทิศร่างกายให้พระเจ้า ดินแดนที่สงบสุขและผู้คนต่างอยู่กันอย่างพี่น้อง มิมีการคดโกงและโป้ปด อาศัยอยู่ใต้ร่มเงาของความดี โดยศูนย์รวมทางจิตใจและการปกครองของที่นี่ก็คือ วิหารขนาดใหญ่กลางน้ำที่ทางเข้าและออกนั้นมีเพียงทางเดียวคือสะพานข้ามธารร้อยสาย ที่ซึ่งธารนี้เชื่อมต่อไปถึงอีกสามเขตซึ่งคือ พรรณ หอโคมแดง และสนามรบ
ด้านหน้าของวิหารถูกประดับไปด้วยลานน้ำพุขนาดใหญ่ที่เมื่อเข้าฤดูหนาวเหล่าน้ำในลานน้ำพุได้จับตัวแข็งเป็นน้ำแข็งเป็นดั่งรูปสลักแทน ภายนอกตกแต่งไปด้วยพืชพรรณหลากชนิดแต่เห็นปลูกมากคงจะเป็นกุหลาบสีขาวสะอาด
"ท่านฮูโรชอบกุหลาบสีขาวน่ะค่ะ" คำแถลงไขให้ทำให้ราตรีพยักหน้า ก่อนที่จะก้มลงมองบาดแผลของตนเองที่ตอนนี้ถูกพันไว้ด้วยผ้าสะอาด และไม่รู้สึกถึงความเจ็บใดๆด้วยฤทธิ์ยาของสาวนักบวชที่กำลังนำทาเขาอยู่
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่ากฎของนักบวชที่นี่คือพกน้ำมนตร์ที่ 'ฮูโร' บาทหลวงแห่งวิหารปลุกเสกไว้กับตัวเผื่อมีเวลาฉุกเฉินจะได้เอาออกมาใช้ให้ทันการ และเธอก็เลือกที่จะใช้มันเพื่อรักษาแผลให้กับข้า และเมื่อนึกถึงตำแหน่งบาทหลวงในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ ก็ระลึกคำพูดของอัสรันได้ไม่ยากว่า ฮูโรผู้นั้นคือผู้ที่มีอำนาจมากที่สุดในเขตวิหารเป็นแน่
"ถึงแล้วค่ะ เชิญเข้าไปข้างใน ท่านฮูโรกำลังรออยู่ค่ะ" ข้าพยักหน้ารับก่อนที่จะก้าวเข้าในไปในห้องที่หญิสาวนักบวชบอกข้าอย่างเสียไม่ได้ เมื่อยามที่ข้าปิดประตู ข้ารู้สึกโล่งใจ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่ตอนนี้ข้ากลับรู้สึกระแวดระวังทุกคนที่พบเจอ ไม่ว่าเขาจะดีมากแค่ไหน แต่นั่นล่ะ รู้นิสัยแล้ว รู้ใจแล้ว แต่สันดานความจริงมันเป็นเช่นไรเราไม่รู้หรอก รอแต่วันที่พวกมันจะออกมาก็เท่านั้น
ข้าถอนหายใจแล้วมองบรรยากาศในห้องที่ถูกตกแต่งไปด้วยสีขาวพิสุทธิ์ เสียงน้ำไหลจากเพดานข้างบนจรดมาถึงอ่างอาบน้ำใหญ่ข้างล่างและความอบอุ่นจากน้ำจนลอยขึ้นมาเป็นไอฟุ้งไปทั่ว เตียงนอนสีขาวที่ถูกโรยไปด้วยดอกกุหลาบสีบริสุทธิ์ที่ถ้าไม่เพ่งดีๆแทบจะไม่เห็นมันเลย ทำให้ข้ากลืนน้ำลายดังเอื๊อก ว่านี่น่ะหรือ ที่นอนของบาทหลวง
ช่างหรูหราต่างจากที่ข้าคิดไว้
ข้ามองไปทั่วแล้วก็ต้องมุ่นหัวคิ้วว่า จะให้ข้าไปนั่งรอท่าฮูโรที่นักบวชหญิงนั่นเคารพอย่างไร ในเมื่อในห้องนี้ปราศจากเก้าอี้ให้ข้านั่งเลยสักตัว ที่เห็นก็มีแต่ ชั้นหนังสือล้อมรอบ (ค่อยสมเป็นห้องนักบวชก็ตรงนี้) และเถาวัลย์ที่ตกแต่งอย่างดีระโยงระยางไปทั่วเพดานแก้วที่มีน้ำไหล่พาดผ่านแล้วตกสู่อ่างอาบน้ำร้อน ชำระความหนาวในฤดูผกผันนี่
คิดถึงความหนาวข้าก็ต้องรีบถูผิวกายเมื่อนึกถึงตอนที่อยู่ท่ามกลางหิมะ ช่างหนาวถึงขั้นหัวใจ
แต่ในห้องนี้ยังดีหน่อย ที่ไอร้อนทำให้อุณภูมิร่างกายของข้าอุ่นขึ้นหน่อย
ข้าหันซ้ายหันขวาเมื่อไม่เห็นคนที่ต้องมาเจอ ก็ยักไหล่ แล้วไปนั่งริมขอบอ่างใหญ่แล้วหย่อนขาแกว่งไปมาอย่างสบายอารมณ์
ช่างเป็นยาผ่อนคลายและน่าหลับได้ดีจริง ๆ ถ้าแช่ทั้งตัวคงจะดีไม่น้อย
ข้าส่ายหัวคัดค้านความคิดของตนเอง จะทำได้อย่างไร นี่คือของผู้อื่น การใช้พลการก็ไม่ได้ต่างจากขโมยสักเท่าไหร่หรอก อดใจรออีกไม่เท่าไหร่ บาทหลวงฮูโรคงจะมาคุยกับข้าแล้ว
คิดแล้วก็ต้องเดาะลิ้นไปมา สงสัยใช่เล่นว่าคนอย่างบาทหลวงจะมาคุยอะไรกับคนสืบเลือดบาปอย่างข้า
"อึก ...อ๊ะ !" ราตรีชะงักการกระทำของเขาไปเมื่อเสียงอะไรบางอย่างดังระงมไปทั่วห้อง เขาหันรีหันขวางว่าเกิดอะไรขึ้น และก็ต้องเบิกตากว้างเมื่อไอร้อนปิดบังภาพนั้นจากสายตาของเขาอย่างไม่น่าให้อภัย ในอีกฝากของอ่างใหญ่นี้ กำลังมีชายหนุ่มร่างผอมบางคนหนึ่งกำลังนั่งหายใจรอยรินเกาะขอบสระ ใบหน้าของเขาขึ้นสีแดงเรื่อ ปากขบเม้มอย่างสะกดกลั้นอารมณ์
เสียงน้ำที่กระเพื่อมแรง และใบหน้าที่เต็มไปด้วยราคะ และแขนที่ขยับอย่างรวดเร็วแบบนั้น
สิ่งเดียวที่นึกออกและสิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุด ทำให้ราตรีต้องสบถออกมาเบาๆ แล้วหันหน้าหนีอย่างเสียไม่ได้
การปลดปล่อยอารมณ์ทางเพศของเพศชายในการจินตนาการ
ไม่อยากจะเชื่อ ว่าจะเห็นนักบวชตำแหน่งใหญ่ทำก็คราวนี้ !
"อ๊ะ ยะ อย่านะ !!" เสียงที่เหมือนคัดค้านความรู้สึกตนเองของนักบวชร่างเล็ก ทำให้ราตรีต้องรีบหันขวับกลับมาด้วยความสอดรู้ และแล้วก็เผลอสบตาเข้ากับชายหนุ่มผู้ซึ่งกิจธุระส่วนตัวไปเสร็จหมาดๆ นัยน์ตาสีม่วงอ่อนกำลังมองตอบเขากลับมาอย่างเหนื่อยอ่อน
"...เจ้า" เสียงอ่อนระโหยเรียกเขาอย่างงงวย ราตรีกลืนน้ำลายเอือกใหญ่ ก่อนจะส่งยิ้มกลืนไม่เข้าคายไม่ออกมาให้เขา
"ข้าราตรี เลือดสีดำ..นักบวชหญิงบอกว่าเจ้าต้องการพบข้าน่ะ"
"เลือดสีดำ.."
เขาทวนคำพูดของข้าและเมื่อตั้งสติได้ เขาก็ร้องตะโกนลั่นก่อนที่จะรีบวิ่งแจ้นไปใส่เสื้อผ้า
ปากก็พร่ำคำขอโทษนับหมื่นนับแสนในเรื่องที่ทำกิจไม่เหมาะสมลงไป
ข้าได้หัวเราะแห้งๆ ก่อนมองชายหนุ่มนาม 'ฮูโร' ที่ดูไม่ได้น่าเกรงขามเหมือน อีรอส หรือ อัสรัน เอาเสียเลย
ร่างผอมสูงที่คงจะสูงกว่าเขาไม่กี่มิลและรอยยิ้มใสซื่อนั่น
ราตรีรีบขัดความคิดของตนเองอย่างรวดเร็ว
จะไปซื่อได้อย่างไร เล่นสนุกสนานกับตนเองขนาดนั้นน่ะ
นี่ซินะ อย่ามองคนที่ภายนอก ข้ารู้ซึ้งก็คราวนี้ล่ะ !
writer talk .
ไม่ได้เจอกันนานมากกกกกกกก ขอโทษนะคะที่นักเขียนโดน ไรต์คัมแบคแล้วค่าา -///-
เปิดฉากต่อวิหารจริงๆ อย่างที่ใครหลายคนคิดไว้ และก็เจอคนใหม่ เหมือนที่ใครหลายคนคิดอีกเช่นกัน (ฮา)
และไคลแมกซ์ของตอนนี้ก็คือ
ราตรี โดน แน่นอนค่าาาาาาาาาาา -,,- (แต่จะโดนยังไงต้องไปอ่านเอง แฮะ -.- )
สุดท้าย ขอบคุณที่ติดตามเรื่องนี้นะคะ ขอบคุณทุกกำลังใจ
หนึ่งกำลังใจของคุณคือหลากแรงผลักดันของไรต์ค่ะ :D
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น