ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ราตรีนิรันดร์ [YAOI&HAREM]

    ลำดับตอนที่ #5 : ตอนที่ 4 100 %update

    • อัปเดตล่าสุด 20 ก.ค. 55












     
     


    "ข้ามีความรู้สึก มีบาป มีความโลภ เหมือนมนุษย์ทั่วไป ข้ารู้สันดานของมนุษย์ ของตัวเอง แต่ก็รู้ว่าตอนไหนที่จะปล่อยไปตามธรรมชาติ หรืออดกลั้นมันเอาไว้..เฮ้ ! อย่ากัดหูข้าซิ!!" ข้าร้องเมื่อลอสต์เริ่มไม่อยู่สุข เขาหัวเราะออกมาเมื่อข้ารู้ตัวว่าเขากำลัง 'แทะโลม' ข้าอยู่ 

    "ก็เจ้ามันน่าหมั่นเขี้ยว" ข้ายิ้มเย็น
    "เอ็นดูข้าไปเถอะ เพราะยามที่ข้าไม่ต้องพึ่งเจ้า เจ้าก็รู้ดีว่าข้าทำร้ายทุกคนได้ถ้าหากข้าต้องการ"
    "ข้าเชื่อว่าเจ้าไม่ทำ เพราะเจ้ามันเป็น 'มนุษย์' มากเกินไป" ข้าขมวดคิ้วเมื่อเขาซบลงบนไหล่ข้าก่อนที่จะหอมแก้ม  ชายคนนี้ช่างรู้จักวิธีการฉาบฉวยจริงๆ  ซึ่งมันทำให้ข้าหงุดหงิดจนต้องออกแรงผลักแล้วลุกยืนขึ้น

    "เจ้าเองก็เป็นมนุษย์"
    "แต่มันก็น้อยซะจนหายากเต็มที" ข้าหัวเราะแล้วชายหนุ่มที่ปิดบังตัวตนที่แท้จริง ข้าคุกเข่าลงใกล้ๆเขาแล้วตบไปที่อกด้านซ้ายของเขา  กรีดยิ้มออกมาแล้วบอกสิ่งที่ข้าถือมานานนม

    ข้าผ่านอะไรมาเยอะกว่าที่ใครๆคิด
    ฝันร้าย  ความละโมภของพวกชาวบ้านที่กรอกหูข้า
    ใต้จิตใจ คนดีคือคนชั่ว คนชั่วที่เห็นอาจเป็นคนดี  แต่ทำไมคนอื่นมองไม่เห็น
    เพราะจิตเราเลือกที่จะหลอกลวงเรา เห็นว่าหนทางใดที่ยอมรับแล้วจะสบายใจ ทางใดที่จะปิดหูปิดตา ถ้าหากเผื่อความสุข  เขาก็จะทำมัน


    "การที่เจ้ามีความรู้สึก มีความสุข รู้จักโกรรธ โลภ หลง มีจิตสัมปชัญญะ นั่นล่ะคือสิ่งที่เรียกว่า 'มนุษย์' ล่ะ"

    "มนุษย์ไม่ได้บริสุทธิ์ ข้าไม่เคยบริสุทธิ์ เรามีความคิดชั่วแค่จะมากจะน้อยจะกระทำออกมาให้เห็นหรือเปล่ามันก็เพียงแค่นั้น  จงอย่าตอกย้ำว่าเราตกต่ำไปเลย  เจ้าอาจจะมองไม่เห็น แต่คนอีกหลายคนเห็นว่าเจ้ามีดีกว่าที่เจ้าคิด"

    ลอสต์นิ่งเงียบไป เขาจับมือของข้าที่วางทาบไปที่หน้าอกข้างซ้าย 

    "เจ้าได้ยินเสียงหัวใจของข้าไหม"  คำถามที่ทำให้มุ่นหัวคิ้ว  และไม่ว่าจะเพ่งสมาธิหรือเงี่ยหูฟังเท่าไหร่ คำตอบก็เด่นชัดคือ 'ไม่'  ข้าส่ายหัวอย่างคิดไม่ตก ลอสต์หัวเราะแล้วจับมือของข้าไปรูปที่แก้มของข้า ผิวเนียนนุ่มที่มีรอยสักสีดำพากผ่านอยู่

    "แล้วตรงนี้ล่ะ  เจ้าได้ยินมันไหม"  ข้าอ้าปากเตรียมจะพ่นคำเสียดสีใส่เขา แต่เมื่อได้ยินเสียงของมัน ข้าก็ได้แต่อ้าปากค้าง  ข้าได้ยินเสียงมัน เสียงของคำว่า'มีชีวิต'  ตึก ตึก ตึก
    ข้าเม้มปากแน่น  ไม่ผิดแน่ ...
    นี่มันเสียงของ 'หัวใจ'

    ลอสต์ขยับยิ้มก่อนจะเอามือมาลูบหน้าข้า

    "มีอีกหลายอย่างในดินแดนที่เจ้าต้องเรียนรู้อีกเยอะ  ถึงพวกเราจะโดนกระชากร่างทั้งหลัง แทงทะลุหน้าอก หรือว่าเลาะกระดูก แต่พวกเราจะไม่ดับสูญ.."
    "ทางเดียวที่จะดับสูญ คือสิ่งที่เจ้ากำลังจับมันอยู่  'รอยสัก'  มันคือหัวใจของเราในดินแดนคนบาปนี้"

    "แสดงว่าถ้าข้าจิกหรือกรีดมัน  เจ้าจะตาย..." เขามุ่นหน้า
    "แค่เจียน ถ้าจะฆ่าจริงๆจะต้องเผาไฟ ไม่ให้เหลือเถ้าถ่าน นั่นล่ะถึงเรียกว่า 'ดัญสูญ' จริงๆ"
    "หืมมมมม"  ข้าลูบไล้รอยสักของเขาอย่างเชื่องช้า  เลื่อนไปมองใบหน้าของคนที่ชี้จุดอ่อนของตนเองให้ข้ารับรู้  ใบหน้าเรียวที่ดวงตาถูกพาดผ่านโดยผ้าเก่าสีดำขาดรุ่งริ่งสกปรก เปลี่ยนจากรอยสักตรงแก้มเนียนมาที่ดวงตาของลอสต์แทน 

    "หัวใจของเจ้าเป็นอย่างนั้น แล้วดวงตาของเจ้าล่ะจะเป็นอย่างไร"
    "เขาบอกกันว่า ดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ  มันเป็นเรื่องจริงหรือไม่ข้าอยากรู้นัก" ประโยคคำพูดของข้าทำให้ลอสต์หัวเราะร่วน   
    "นั่นมันก็แค่คำพูดสวยหรู ลองให้คนโกหกมาจ้องตากับเจ้าซิ มันขึ้นอยู่กับว่าเขาสามารถปิดบังเจ้าได้มากแค่ไหน สามารถทำให้เจ้าเชื่อใจได้เท่าไหร่ ยิ่งเจ้าถลำกับคนๆนั้นเท่าไหร่ เจ้าก็จะปิดหูปิดตาเชื่อแต่เขา และไม่เคยคิดจะสงสัยถึงแม้ว่าเขาจะทำผิด"   ข้าเลิกคิ้วขึ้น

    "พูดเหมือนเจ้าเจ้าเคยโดน" ลอสต์แค่นยิ้ม 
    "คำโกหกคือบ่อเกิดแห่งคำว่า 'ทรยศ' จำไว้ให้แม่นล่ะราตรี" 
    "รับราชการเป็นทหารจนได้ขึ้นมาเป็นแม่ทัพใหญ่ของจักรพรรดิ กลับไปหาหญิงที่รักเพื่อทำตามสัญญาตั้งแต่เด็ก 'แต่งงาน' เมื่อถึงวันแต่งงานข้าจับได้ว่านางมีคนรักอยู่แล้ว  ที่นางแต่งงานกับข้าเพียงเพราะเกียตริ และเงินตราของข้า"

    "นางคิดจะเอาสิ่งพวกนี้ไปแลกกับการไถ่คนรักออกมาจากคุก...เจ้าคิดว่านางบ้าไหม ยอมคิดที่จะผูกมัดกับคนที่ไม่ได้รัก เพื่อคนที่ไม่มีดีอะไรเลยสักอย่าง ไม่มีเงินตรา ไม่มีเกียรติ ไร้ศักดิศรีจนให้ผู้หญิงมาคุ้มกะลาหัวให้ ...น่าขันสิ้นดี ฮะ ฮะ "  คำพูดส่งท้ายเหมือนเป็นเรื่องน่าขัน  แต่มันไม่ใช่สิ่งที่ควรจะขำเลยแม้แต่นิดเดียว 

    คำพูดของเขาทำให้ข้าหวนนึกถึงพวกหญิงสาวชาวบ้าน  
    ที่นั่งคุกเข่าต่อหน้าข้า ตั่วสั่นสะท้านไปด้วยแรงอารมณ์ มือของพวกนางจับมาที่ชายกางเกงของข้า อ้อนวอน ขอร้อง ว่าจะมีทางใดช่วยคนรักของพวกนางที่ไปสู้เพื่อเมืองในสนามรบได้หรือไหม 
    แต่จะให้ช่วยอย่างไรได้  ในเมื่อ 'ความตาย' เป็นสิ่งที่แสนจะนิรันดร์ และไม่มีใครสามารถฝืนชะตาของมันได้  แม้แต่ข้าผู้มีญาณ 

    ผู้มีญาณมิใช่ผู้แก้ไข  แต่เป็นเพียงแค่ผู้รับรู้และตักเตือน  
    เราต้องเที่ยงตรงมิมีบิดพริ้ว  ยอมรับและก้าวต่อไปแม้นั่นจะเป็นสิ่งที่ต้องเหยียบย่ำความรู้สึกของใครหลายคน 
    ข้าจ้องมองหญิงสาวมากมายที่กรีดร้องเหมือนพวกนางตายทั้งเป็น
    มันทำให้ข้าอึดอัด แต่ข้าเลือกที่จะจ้องพวกนางนิ่ง เพื่อสอนให้ตัวเองได้รู้

    ว่าจงอย่าไปมีเลย 'ความรัก'  มันไม่ได้สวยหรูอย่างที่ใครคิด
    ใช่ มันทำให้เจ้ามีความสุข  ทำให้เจ้าตื่นเต้น  มองโลกในแง่ดี แต่อีกด้าน 
    มันเจ็บปวด และไร้ทางต่อสู้ ทำให้กรีดร้องคลุ้มคลั่งหรือแม้แต่ก้มหัวขอร้อง ถวายชีวิตให้ 
    ช่างไร้สาระ  และน่าอดสู ... 

    "มันเป็นเพราะความรัก" ลอสต์เสริมต่อ
    "รักที่โง่งม" ข้าาพยักหน้าเห็นด้วย  ชายตรงหน้าข้าผ่านอะไรมาเยอะนักเกี่ยวกับ'สังคม'  เขามีส่วนๆนึงที่คล้ายกับข้า เพียงแต่ว่าเขาตกเป็นเหยื่อ  ส่วนข้าเป็นเพียงผู้เฝ้ามอง

    ทำไมข้าถึงไม่ได้ตกเป็นผู้กระทำ หรือ เหยื่อ
    เพราะข้าขีดเส้นไว้กับตัวเอง และมิเคยก้าวล้ำเส้นนั้นไปอย่างไรล่ะ  เพราะมิอยากจะเล่นกับความรู้สึกของตน  ไม่อยากเศร้าจนแทบบ้า  หรือสุขขนาดที่จะยิ้มแก้มปริได้ทั้งวัน

    ขอใช้ชีวิตตามธรรมชาติกับเหล่าสัตว์และพืชนานาพรรณซะยังจะดีกว่า !

    "แต่หากไร้รัก เจ้าไม่คิดหรือไง ว่าชีวิตมันแสนจะจืดชืด"  ข้าเลิกคิ้วขึ้นเมื่อลอสต์ยังจมดิ่งอยู่กับหัวข้อนี้ไม่เลิก แต่ในเมื่อเขาเสนอหัวข้อนี้และต้องการจะดำเนินมันต่อ ข้าก็จะไม่ขัดศรัทธาของเขา ข้านั่งลงแล้วค่อยๆเอามืออังกับกองไฟเพราะอากาศเริ่มหนาวเย็น

    "รักของเจ้าหมายถึงรักแบบไหน คลั่งรัก เสียสละเพื่อรัก รักที่ได้การตอบกลับ หรือรักที่ซื่อสัตย์กันล่ะ"
    "ข้าขอเดาว่าเจ้าไม่ได้อยู่ในกรณีไหนเลยใช่ไหมล่ะ ราตรี" ข้าขยับยิ้มแล้วปรายตามองชายตาบอดที่ยิ้มบางอย่างรู้ทัน

    "เจ้าเกรงกลัวอะไรกัน" 
    "บาดแผลทางกายมันหายได้ แต่บาดแผลที่ตราตรึงในความคิด ข้าว่ามันคงไม่น่าอภิรมย์ซักเท่าไหร่ เจ้าว่าไหมล่ะ"  ก่อนที่จะรู้ตัวข้าก็ต้องสบถออกมาเมื่อตัวของข้าอยู่ในอ้อมกอดของนักโทษลึกลับคนนี้อีกครั้ง เขาคลอเคลียกับแก้มของข้า ก่อนจะกัดเบาๆที่คอขาวของข้า เม้มมันซะจนข้าต้องตะโกนด่าว่าเขาช่างเป็นคนหน้าด้านหน้าทน 

    "ตัวข้ามีค่ามากกว่าจะให้เจ้ามาทำเรื่องบัดสี  จงถอยออกไปลอสต์"
    "อย่าโกรธข้าเลยจอมซน ข้าเพียงอยากจะตีตราเจ้าเอาไว้ เพราะข้าไม่ยอมยกเจ้าให้ไอ้หมาป่านั่นแน่ ...ข้าชักจะติดใจเจ้าแล้วล่ะ"  

    หมาป่า เขาหมายถึงอะไรกัน  ..

    และก่อนที่จะรู้ตัว  ริมฝีปากของข้าก็ถูกบดขยี้ด้วยริมฝีปากของคนไหวพริบดีเยี่ยมอย่างลอสต์ไปที่เรียบร้อย ข้าทั้งขัดขืนและทุบไหล่ของเขาแต่มือหรือเขาจะถอนริมฝีปากออกไป
    ไม่เลย เขากลับยิ่งรุกเร้าข้า  เหมือนอยากจะให้ข้าสยบแทบเท้าเขา !
    ความฝัน   เจ้าคงจะทำได้แค่ฝัน ข้าคนนี้ไม่มีทางเสียเกียรตเพียงเพราะจุมพิต 


    "เขากำลังจะเอาตัวเจ้ากลับไปรู้ไหม"  ข้าสะดุ้งเมื่อเขาผละจากริมฝีปากของข้า แล้วกระซิบที่ข้างหูของข้าด้วยเสียงแหบพร่า  
    "ข้าจะให้ทางเลือกกับเจ้าราตรี  สองทางเลือก อาจจะเปลี่ยนชีวิตเจ้าได้"
    "จะหนีหมาป่าป่าเถื่อนนั่น  หรือจะกลับเข้ารังของมันกลายเป็นของเล่นของมันในยามว่าง เลือกเอาแล้วกันนะราตรี" 

    ข้าเบิกตากว้างเมื่อลอสต์รู้ว่าหมาป่าที่กัดข้าจมเขี้ยวนั่นเป็นใคร 
    "เจ้าจะบ้าหรือไง  แน่นอน ข้าไม่มีทางกลับไปหาคนที่แว้งกัดข้าแน่" ลอสต์หัวเราะเบาๆกับคำตอบของข้า ก่อนที่จะถอดเสื้อของเขาให้ข้า คลุมหัวของข้าเอาไว้และบอกให้ข้ากระชับมันเอาไว้แน่น 

    "พวกหมาป่ามันจมูกดี คลุมไว้อย่างน้อยมันจะงงงวยกลิ่นเพราะมันมีกลิ่นข้าผสมไปด้วย  จงออกวิ่ง วิ่งอย่าไม่คิดชีวิตไปทางตะวันออก เข้าสู่น่านน้ำใสสู่ดินแดนสีขาว 'วิหาร' หากข้ามีเวลาข้าจะหาตัวเจ้าแล้วรับเจ้าไปหอโคมแดงนะจอมซน  แต่ตอนนี้..."   

    เขาผลักข้าไปข้างหลัง   เสียงของเขาช่างจริงจรังจนข้าอดไม่ได้ที่จะทำตาม
    แต่สิ่งที่ข้ารู้ดีว่า  อีรอสจะต้องมาตามตัวข้าแน่   แต่ลอสต์จะเอาอะไรไปสู้แม่ทัพใหญ่ของสนามรบได้ ..ข้ามองเขาด้วยสายตาลังเล  

    เหมือนลอสต์จะรู้ดีว่าข้ายังไม่ไป เขาจึงพูดทิ้งท้ายเพื่อไม่ให้ข้าเป็นห่วง

    "ข้ามันหนังเหนียว โดนหมาป่ามันกัดสักรอยสองรอยไม่ถึงกับตายหรอกราตรี 
    เจ้าน่ะ  ออกวิ่งได้แล้วก่อนที่หมาป่าเถื่อนนั่นจะลากเจ้ากลับเข้ารังมัน ไปเดี๊ยวนี้ !!"  เสียงตะโกนครั้งสุดท้ายเหมือนสัญญาณออกเริ่ม  ข้าวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต  สายลมที่ตีแสกหน้าทำให้ข้าหายใจไม่สะดวก  

    ข้ามิได้หันหลังอีกต่อไป  มิใช่เพราะไม่ห่วง แต่ไม่อยากให้จุดประสงค์ของลอสต์สูญเปล่า
    ข้ารู้ ว่าเขากำลังมา  อีรอส . 

    ข้าจะลองเชื่อใจเจ้าสักครั้งลอสต์   หวังว่าเจ้าจะทนเขี้ยวของเจ้าหมาป่าคลั่งนั่นได้ ขอให้โชคจงอยู่กับเจ้า !!



    ลอสต์เพียงแค่ยืนนิ่งเฉย  รอเวลาที่ 'สหายทางการค้า' ของเขาจะไล่ตามเขาทัน
    ชายหนุ่มไม่ปล่อยเวลาให้เปล่าประโยชน์ เขาแต่งเครื่ององค์ทรงกายของเขาใหม่ ปัดมือเพียงครั้งเดียว ความมืดกลับพัดพาแสงไฟจากกองไฟให้หายเป็นสิ้น  ทั่วบริเวณปกคลุมไปด้วยความมืด ลอสต์ยิ้มบาง เพราะนี่เป็นสิ่งที่เขาชินชามาตั้งแต่เขามาในดินแดนนี้ตั้งแต่แรก 'ความมืด' แต่ถ้าถามว่าเขาก่อไฟขึ้นมาทำไม ก็จะตอบอย่างตรงประเด็น  เพื่อให้ความสะดวกสบายแก่ราตรี  

    คิดแล้วก็ทำให้เขาหงุดหงิดไม่ใช่น้อยที่ต้องปล่อยให้จอมซนออกเดินทางไปคนเดียว ถึงราตรีจะดูรู้เรื่องรู้ราวอยู่บ้างแต่ในเมื่อเป็น 'เด็กใหม่' ของดินแดนนี้ ถึงจะรู้ประสีประสาแค่ไหนก็สามารถหลงทางได้เหมือนกันล่ะ   แต่จะร่วมเดินทางไปด้วยก็ทำไม่ได้

    ก็จอมซนของเขาดันไปยุ่งเกี่ยวกับแม่ทัพใหญ่แห่งสนามรบเข้าให้ 
    ขืนเขาแค่สร้างกับดักทิ้งไว้  มีหรือ จะคณามืออีรอสผู้นั้น  

    เขามองจ้องมองร่างกายของตนเองที่ใส่ชุดที่ไม่ใช่ตัวเขาเอาเสียเลย แถมสีผมนี่เอง  เขาหลับตาลงอย่างเชื่องช้าใจเย็น  และเมื่อลืมตา  ชายนักโทษปลอมแปลงมาก็ได้หายไปเป็นปลิดทิ้ง  

    กลายเป็นชายหนุ่มรูปงาม ใบหน้าคมคายที่นัยน์ตาสีม่วงอ่อนนั้นช่างดูน่าหลงใหล เส้นผมยาวไปจนถึงกลางหลังที่ถูกมัดไว้เอาไว้และพาดไปด้านซ้าย ริ้วรอยตามตัวจากเหล่าตะปูและโซ่ที่ตรึงไว้แน่นหายไปเป็นปลิดทิ้งดั่งภาพมายา กลายเป็นผิวขาวนวลอย่างคนอุดมสมบูรณ์สิ่งเดียวที่ยังคงเดิมไว้มีเพียงรอยสักข้างแก้มของเขาที่ยังเด่นชัดเหมือนเดิมคำว่า 'คนหลงทาง' นั่นเอง 

     เขาขยับยิ้มออกมาก่อนจะเสยผมอย่างสบายตัว 

    การที่เขาใช้พลังตลอด มันไม่ได้ทำให้เขาสิ้นแรงหรอก เพียงแค่มันไม่สบายตัวก็แค่นั้น
    คิดแล้วก็เอาที่จะเลียริมฝีปากเนียนของตนเองไม่ได้
    แกล้งอยู่ในสภาพนั้น ใครล่ะจะไปคิดว่าจะได้เจอเพชรเม็ดงามในดินแดนตายซากนี่ ... 

    และเมื่อคิดถึง 'ราตรี' คนที่เขารอคอยก็โผล่ขึ้นมาแทบจะทันทีทันใด  
    เสียงขู่คำรามของหมาป่าเถื่อนดังไปทั่วบริเวณ  และเหล่าหมาป่าต่างหลีกทางให้คนเพียงคนเดียว เพื่อให้ชายคนนั้นมาประจันหน้ากับเขา   มิใช่ใครอื่นเลย   

    เขาประจันหน้ากับอีรอสนิ่งก่อนจะแย้มยิ้มแสร้งตีหน้าซื่อ 

    "เหนื่อยไหมสหาย  เจ้ามานั่งพักดื่มน้ำเมากับข้าสักคืนไหมจะได้ผ่อนคลาย"  อีรอสชักสีหน้าก่อนจะแผดเสียงใส่เขาอย่างไม่ไว้หน้า 
    ก็นะ  ไม่มีใครหรอกที่แม่ทัพใหญ่แห่งสนามรบไว้หน้า

    "อย่ามาทำเป็นเล่นลิ้น 'ต้าหลุน' เชลยของข้าอยู่ที่ไหน !!" เสียงตะโกนมิทำให้ชายที่อีรอสเรียกขานนามว่าต้าหลุนกลัวเกรง  เขากลับยังยิ้มสบายอารมณ์ต่อ ก่อนจะผายมือไม่ยี่หระเหมือนคำพูดของแม่ทัพใหญ่แห่งสนามรบเป็นเพียงลมผ่านหู

    สร้างเสียงคำรามเดือดดาลให้แก่อีรอสดีนัก

    "อย่ายกตัวเองให้มันสูงไปนัก 'เถ้าแก่แห่งหอโคมแดง' ยามใดที่เจ้าลาจากตำแหน่งนี้ ข้าจะขยี้เจ้าให้แหลกคามือเป็นแน่" 

    "จะไปสนทำไมอนาคต เพียงแค่ตอนนี้เจ้าไม่สามารถทำร้ายข้าได้ แค่นี้ก็ดีมากพอแล้วไม่ใช่หรือ" ต้าหลุนหัวเราะออกมาเมื่อเห็นสายตามุ่งร้ายจากเจ้าหมาป่าเลือดร้อนที่ปิดไม่มืด  ใช่ อีรอสไม่มีทางกล้าทำอะไรเขาเป็นแน่ในเมื่อเขาคือผู้ควบคุมดินแดนแห่งแสงสี 'หอโคมแดง'

    หอโคมแดงนั้นมิได้เน้นเรื่องสู้รบปรบมือ จึงไม่มีตำแหน่งอย่างแม่ทัพใหญ่  กลับมีตำแหน่งที่ช่างน่าเล่าลือไปทั่วดินแดนคนบาปนี้ 'เถ้าแก่' ผู้ที่มีหัวสมองอันชาญฉลาดรบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง เสน่ห์และมายาเจ้าเล่ห์แพรวพราว ผู้ที่มีอิทธิพลเงินตรามากจนนับไม่ถ้วนลึกลับหาตัวจับยาก จะพ้นใครที่ไหนไป  ถ้าหากไม่ใช่ผู้นำแห่งหอโคมแดงอย่างเขา  'ต้าหลุน' 

    แต่สาเหตุที่อีรอสไม่จู่โจมเขาไม่ใช่เรื่องที่เขามีอิทธิพลหรือเงินตรามาก  เป็นเพราะคำว่าหัวหน้าเขตมันค้ำครองต่างหาก  หากผู้นำเขตใดทำร้ายผู้นำอีกเขตเป็นเหมือนการยื่นสาสน์ท้ารบไปสู่เขตนั้นๆ แน่นอน ว่าไม่มีใครปรารถนาสงคราม แม้แต่คนหัวรุนแรงอย่างอีรอส เพราะผู้เสียหายคือประชาชน เขาต้องคิดถึงส่วนรวมก่อนเสมอ 

    "เป็นถึงเถ้าแก่แต่กลับเป็นพวกขี้ขโมย ไร้ศักดิ์ศรีเสียจริง"
    "ก็แค่ขโมยของมาจากขโมยอีกทอด จะมาว่ากล่าวไปทำไมกันล่ะผู้ขโมยของมาจากเจ้าป่า"
    "มันโง่เองที่ไม่ระวังให้ดี ไม่คุมเข้มของหายาก" ต้าหลุนยักคิ้วเพล่
    "งั้นท่านก็คงไม่ได้ต่างจากอัสรัน  โง่เอง..." ไม่ทันจะกล่าวจบประโยค แรงผลักไปติดต้นไม้ข้างหลังทำให้ต้าหลุนขมวดคิ้วมุ่น ไม่ใช่ใครทีไหน อีรอสนั่นเอง บัดนี้มือขอเขาเผยเล็บยาวที่พร้อมจะกระชากเถ้าแก่แห่งหอโคมแดง เขี้ยวแสยะออกพร้อมตะโกนขู่

    "อย่าเหิมเกริมนักเถ้าแก่"
    "การกระทำของเจ้ามิต่างจากหมาบ้ารู้ตัวไหมอีรอส"
    "ข้าต้องการของๆข้าคืน" 
    "แล้วเห็นเขาอยู่กับข้าไหมล่ะ" อีรอสสบถออกมาและเพียงทันใด ลมบางอย่างก็เกิดขึ้นทำให้เขาต้องคลายพันธนาการจากต้าหลุน  ลมแรงโหมสะบัดไปทั่ว ใบหน้าของต้าหลุนบัดนี้เรียบเฉยนัยต์ตาสีม่วงเหม่อมองไปไกล 

    และก่อนที่ผู้นำทั้งสองจะพุ่งเข้าใส่ก่อน เสียงฝีเท้าของหมาป่าก็ดังไปทั่วบริเวณ
    เสียงหอนของพวกมันดั่งบอกข่าว  ทำให้ขาของอีรอสที่ก้าวจะเดินเข้าไปหาต้าหลุนหยุดชะงัก 
    "..." ต้าหลุนเอียงคออย่างงุนงง เมื่อเห็นบรรยากาศที่เปลี่ยนไปจากเดิม 
    อีรอสสบถออกมาก่อนที่จะมองหน้าเขาอย่างไม่ชอบใจนัก ก่อนที่จะหันหลังแล้วเลือกที่จะล่าถอยกลับไป  ทิ้งท้ายไว้คำเดียว  


    "อัสรันป่วยหนัก  ไอเป็นเลือดสีดำ เกิดอาเพศขึ้นกับแม่ทัพใหญ่พวกไพรกำลังแตกตื่น"
    "ข้าจะไปดูมันสักหน่อย หาข้อมูลเกี่ยวกับพลังของของราตรี  ส่วนเจ้า..ไสหัวออกไปจากเขตของข้า"
      
    ต้าหลุนหรี่ตาอย่างไม่ชอบใจ  อย่างอัสรันน่ะหรือจะป่วยแถมเลือดสีดำ 
    แต่คิดไปคิดมา คนอย่างอีรอสไม่ใช่พวกชอบโกหกปล้อนปลิ้น  และการถอยตอนนี้ก็ถือว่าเป็นการดี ...เขาเดินออกจากจุดนั้นอย่างเชื่องช้า ก่อนจะหายไปกับความมืดเหมือนมิเคยมีตัวตนมาก่อน 



    ทิ้งไว้เพียงความหนาวเหน็บและเสียงกู่ร้องของพวกหมาป่า 
    ว่าอาเพศได้มาเยือนดินแดนแห่งคนบาปเสียแล้ว . . .












    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×