ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ราตรีนิรันดร์ [YAOI&HAREM]

    ลำดับตอนที่ #2 : ตอนที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 2 พ.ค. 55







    "ที่นี่คือเขตจองจำ"
    "สำหรับคนบาปที่โชคร้ายอย่างเจ้า
    และคนบาปที่ไร้มลทินอย่างเรา"







    เสียงเฮฮาโหวกเวกโวยวาย ทำให้ข้าหันซ้ายหันขวา มองภายนอกเต็นทร์ที่ผู้คนต่างมีรอยยิ้ม พวกเขาหัวเราะอย่างมีความสุข บ้างก็นั่งผิงไฟรอทานอาหารค่ำ บ้างก็กำลังเล่นโยนขวดหรือร้องเพลงเป็นการแสดงอย่างนึง

    ช่างดูเป็นแคมป์ที่อบอุ่น

    "ที่นี่ไม่ได้ดีเหมือนที่อื่นไปซะหมดจนอย่าเผลอเรอไปล่ะราตรี" ข้าเบนสายตาจากอาหารแปลกตาเงยหน้ามองอัสรันที่กำลังมองไปที่การแสดง และเมื่อรู้ว่าข้ามองเขาอยู่เขาก็สบตากับข้าแล้วลูบหัวข้าเหมือนข้าเป็นเด็กน้อย



    ข้านิ่งค้าง ก่อนจะปัดมือเขาออก
    "ข้าไม่ใช่สัตว์"
    "แต่เราใช่ เจ้าน่าจะเคยได้ยินคำนี้นี่ เข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม" ข้าขมวดคิ้วว่าชายตรงหน้าข้านั้นเป็นสัตว์ตรงไหน ถึงเขาจะดูเป็นพวกที่ชอบจะใช้กำลังมากกว่าการใช้สมอง แต่ดูอย่างไร..เขาไม่มีขน เขาไม่มีหางซักหน่อย


    ดูเหมือนอัสรันจะรู้ว่าข้ากำลังคิดอะไรอยู่
    เขาเลยถือวิสาสเอามือมาลูบหน้าข้า ข้าท้วงและรู้สึกได้ถึงความชาตรงบริเวณที่เขาลูบ
    ข้าสัมผัสใบหน้าของข้า และข้าก็รู้ตัวว่าบัดนี้ใบหน้าของข้าเกิดบาดแผลจนเลือดสีดำซึม


    "เจ้าทำบ้า..." ข้านิ่งค้างไปเมื่อเห็นเล็บของอัสรัน บัดนี้มันยาวเหมือนเขี้ยวเล็บสัตว์ป่า นัยน์ตาสีเขียนสดบัดนี้เปลี่ยนไปเหมือนตาของพวกสัตว์ เมื่อเขาแยกเขี้ยวยิ้มออกมา ข้าก็เห็นว่าเขามีเขี้ยวแหลมคม


    "พวกเราทุกคนที่นี่เป็นพวก 'สัตว์พยศ' น่ะ" ข้าย้อนนึกไปถึงเรื่องราวในหนังสือที่ข้าได้อ่าน สัตว์พยศ อีกหนึ่งในสายเลือดบาปพวกเขาจะมีสายเลือดของสัตว์ตั้งแต่ที่ได้กำเนิดมา สามารถดึงพลังจากสัตว์สายเลือดได้ ทั้งคมเขี้ยว ความเร็ว เสียงร้อง พวกเขาสามารถทำได้หมดดั่งสัตว์ร้ายในคราบมนุษย์



    "เลือดสีดำ สัตว์พยศ ยักษานิรันดร์ คำที่พวกฝั่งนั้นตีตราเราว่าเป็นพวกบาปหนา ข้าพูดถูกไหมล่ะ"
    "เจ้ามาอยู่ที่นี่นานเท่าไหร่แล้วอัสรัน" อัสรันเหม่อมองจมดิ่งอยู่ในภวังค์ นั่งลงตรงขอนไม้ใกล้กองไฟ


    "นานแสนนาน จนลืมไปแล้วว่าใครคือบิดา มารดา ลืมไปจนสิ้นว่าอาหารของโลกนั้นรสชาติอย่างไร แต่ที่จำฝังใจ คือคนที่ฆ่าข้ากับไอ้เรื่องบาปนี่ล่ะ"

    "ใครฆ่าเจ้า"


    "พ่อแม่ข้าเอง ลงมือด้วยตัวเอง ต่อหน้าคนทั้งหมู่บ้าน" ข้าได้แต่นิ่งอึ้งกับคำตอบของชายข้างๆ แต่เชื่อหรือไม่ว่าอัสรันกลับพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ นัยน์ตาของเขาแค่เหม่อมองไปที่ๆข้าคงที่จะคาดเดาไม่ถึงเสียงของเขายังแจ่มใสและพูดฉะฉานเหมือนเดิม   ไม่มีเค้าของความเศร้ามีเพียงท่าทีที่ดูเหม่อลอยไปบ้างเท่านั้น


    "...เสียใจด้วย"
     "ไม่ใช่เรื่องที่ควรจะมาเสียใจด้วย มันก็แค่เรื่องเก่าๆที่ผ่านไปแล้วเพียงเท่านั้น" 

    "จำไว้ให้ขึ้นใจล่ะราตรี และก็จงไปโอ้อวดกับเพื่อนของเจ้าได้เลยว่าได้ อัสรัน จ้าวสิงห์ป่ามาเท้าความสอนวิธีการใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนคนบาปของที่นี่"  อัสรันพูดพร้อมกับคว้าไหล่ของข้าเข้าไปนั่งใกล้ๆ ข้าตวัดตามองอย่างไม่ชอบใจ แต่มีหรือที่ชายนามอัสรันจะสะทกสะท้าน ข้ามั่นใจว่าหน้าของเขาก็คงจะหนาไม่แพ้หนังเสือที่ไหนแน่ๆจากที่เขายังโอบไหล่ข้าอยู่   


    "ดินแดนที่นี่เราเรียกว่า 'เขตจองจำ'  แบ่งออกเป็นหกส่วน  พรรณ,วิหาร,สนามรบ,หอโคมแดง,ประตูเชื่อม,เขตเส้นกั้น และตอนนี้เจ้าอยู่ในส่วนของพรรณ เป็นสถานที่ๆอุดมสมบูรณ์ที่สุด มีพืชผักและสัตว์จากทั่วสารทิศ เราค้าขายกับเขตต่างๆทำให้ร่ำรวยไม่แพ้หอโคมแดงหรือวิหาร เจ้าเห็นว่าเราสงบสุข แต่เมื่อมีผู้ใดรุกราน  เราจะไม่ถอยหนีหรือยอมโดนข่มเหง ซึ่งข้า คนที่นั่งอยู่ข้างๆเจ้านั่นล่ะเป็น แม่ทัพใหญ่ ของส่วนพรรณ"  


    "เจ้าเนี่ยนะ?"
    "ข้าสามารถฆ่าเจ้าได้โดยพริบตาเดียว อยากลองไหมล่ะ"  ข้าเลือกที่จะสะบัดหน้าไม่ต่อปากต่อคำกับอัสรันต่อ เพราะขืนข้าเผลอไปท้าแล้วเขาฆ่าข้าขึ้นมาจริงๆ คนซวยก็ข้าไงล่ะ ! อัสรันหัวเราะหึหึแล้วเอาหน้าของเขาเข้ามาไซร้คอของข้า

    มันช่างน่า ..ขนลุกขนพอง


    "เจ้าทำบ้าอะไร !! เจ้าเป็นแมวหรือไงออกไปห่างๆจากคอของข้า!" อัสรันหัวเราะแล้วออกห่างจากคอของข้า ...แล้วมาเลียตรงที่เขาใช้เล็บกรีดตรงหน้าของข้าแทน !! ข้าอ้าปากคว้างแล้วตามด้วยใจคิด ข้าใช้มือของข้าฟาดไปที่หัวของแม่ทัพหนุ่มแห่งอาณาจักรพรรณทันที   

    "เจ้าบ้าไปแล้วหรือไงอัสรัน"
    "ก็เลือดของเจ้ามันอร่อย...เจ้าก็รู้ดีว่าสิงห์มันไม่กินผัก มันกินเนื้อ"
    "แล้วข้าใช้ก้อนเนื้อให้เจ้ามาแทะโลมงั้นหรือ แม่ทัพหนุ่ม"
    "ก็ใกล้เคียงอยู่.."  ข้าจิกตาแล้วพูดเน้นคำ


    "อธิบายให้ข้าฟังต่อ แล้วโปรดให้เกียรตข้าด้วย"  แม่ทัพหนุ่มขยับยิ้มแล้วอธิบายต่อไป มือของเขาเลิกโอบคอของข้าแต่หยิบอาหารจำพวกเนื้อสัตว์ดิบมาผิงไฟเพื่อทำให้มันสุกก่อนกินดับความหิวโหย  แววตาสีเขียวอเมทิสต์ของอัสรันเมื่อกระทบกับแสงไฟ ข้าถึงได้เห็นว่ามันกลายเป็นสีเหลืองอำพันของสัตว์ป่า มิจำเป็นว่าตอนที่ใช้พลัง มันก็ฉายออกมาผ่านแสงไฟที่กระทบได้เช่นกัน



    "ข้าเล่าเรื่องของอาณาจักรพรรณจบไปแล้ว ต่อมาคือ 'วิหาร' ที่ๆปลอดการต่อสู้ ทุกอาณาจักรจะรู้กันว่ามิอาจล่วงล้ำเข้าดินแดนนี้ได้หากใจของเราเปื้อนเลือด   ว่ากันว่า บาทหลวงของวิหารมีพลังที่ยิ่งใหญ่ล่วงรู้ทุกสิ่ง   เป็นที่ๆบูชาแก่เทพเจ้าและซาตานถึงแม้จะน้อยคนนักที่เข้าพื้นที่นี้เพื่อจุดประสงค์ในการบูชาก็ตามที ส่วนมากพวกที่อาศัยอยู่ในอาณาจักรวิหารคือพวกที่อ่อนแอ หันเข้าหาธรรมะเพื่อที่หลีกเลี่ยงความตายก็ตามที แล้วความมั่งคั่งของอาณาจักรวิหารได้มาจากไหน  ?   จากการบูชา การทำนาย การล่วงรู้และตำราโหราศาสตร์ของพวกบาทหลวง ณ อาณาจักรนั่นเอง" 


    " 'สนามรบ'  ตามชื่อเลย สถานที่ๆเหล่าพวกเศษแดนรวมกันอยู่ การโจรกรรม ความป่าเถื่อน กลิ่นของคาวเลือดหรือศพทีระเนระนาด มาจากที่แห่งนี้ทั้งนั้น มันเป็นเขตเสรีอย่างแท้จริง สามารถทำทุกสิ่งได้ตามใจคิด อยากฆ่าใครก็ได้เพื่ออำนาจหรือเงินตรา  แหล่งรวมยาเสพติด แต่ก็นั่นล่ะ สนามรบนั้นขาดแคลนสิ่งที่เรียกว่าอาหาร  พวกเขาเป็นพวกที่จะซื้อพืชผลกับเนื้อสัตว์ของอาณาจักรพรรณไปมากที่สุด พวกแร่ในอาณาจักรสนามรบนั้นมีมากก็จริง แต่เมื่อเงินทองเสียไปกับอาหาร อาณาจักรสนามรบจึงมีการเงินเป็นกลาง  ที่นั่นปกครองแบบเดียวกับพรรณ  แม่ทัพใหญ่คือผู้ตัดสินใจทุกสิ่ง" 
      

    "หอโคมแดง  อาณาจักรแห่งการสังสรรค์ ของมึนเมา ผู้หญิงผู้ชาย โรงแรมที่พัก นันทนาการทุกอย่างที่เจ้าจะคิดได้ ความสุขเพียงค่ำคืน เจ้าสามารถหาได้จากที่นี่ มันเป็นเหมือนศูนย์รวมความบันเทิงมากกว่า แต่เจ้าก็อย่าคิดว่าที่นี่จะสะอาดบริสุทธิ์และอ่อนแอเช่นวิหาร เปล่าเลย  หอโคมแดงนั่นล่ะที่เป็นม้ามืดตัวจริง ..พวกมันชอบเล่นลอบกัด กำจัดศัตรูก่อนที่ศัตรูจะกำจัดมัน รู้ทุกการเคลื่อนไหว ข่าวลือบอกว่าสายสืบขอหอโคมแดงมีไปทั่วดินแดน   และผู้ที่บริหารอาณาจักรนี้จะได้ตำแหน่ง 'เถ้าแก่' ไปครอง"

    "ต่อมาคือส่วนสำคัญ จดจำไว้ล่ะราตรี..ว่าการที่เจ้ามาอยู่ที่นี่ คือการที่มาอยู่ในการถูกตีตราว่าเป็นคนบาป เราถูกจองจำไว้ในดินแดนที่เต็มไปด้วยเบื้องลึกของจิตใจมนุษย์ ความประมาท ละโมภ กระหาย อิจฉาริษยา ราคะ ที่ 'แดนจองจำ' นี้มีหมด"

    "แต่มันยังมีอีกที่ราตรี  อีกที่ที่ต่างกันราวฟ้ากับเหว  มันต้องผ่านประตูเชื่อมไปให้ได้" 
    "ไม่เคยมีผู้ใดผ่านมันไปได้ หรือหากผ่านไปก็ไม่ได้กลับมาที่แดนจองจำนี้อีกเลย   ประตูเชื่อมมันคือเส้นทางสวรรค์ในแดนนรกนี้ราตรี  และหากจะไปถึงประตูเชื่อม  เราจะต้องผ่านเขตเส้นกั้นไปให้ได้ก่อน"



    "เขตเส้นกั้นสะท้อนจิตใจ ประตูเชื่อมนำทางสู่ห้วงลึก หอโคมแดงมึนเมาในราคะ สนามรบปลุกเจ้าตื่นจากฝันดี พรรณกระซิบถึงสรรพสิ่ง วิหารสองด้านจะสื่อถึงตัวตนที่แท้จริงของเจ้า"


    "...เจ้ากำลังกล่าวอะไรอยู่อัสรัน ข้าไม่เข้าใจ"



    "ไม่มีใครเข้าใจหรอกราตรี มันคือคำจารึกรอบเขตเส้นกั้น   เขตเส้นกั้นที่กั้นเราพวกผู้ถูกจองจำ จะเรียกว่า 'นักโทษ' ก็มิแปลก กับโลกอีกโลก โลกที่พระเจ้ามีอยู่จริง โลกที่เหนือจินตนาการ...จากที่ข้าถูกสอนมา เมื่อเจ้าผ่านประตูนั้นไป คำสาปจะหายไป เจ้าจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของพระเจ้า จะได้รับการอภัย จะได้เริ่มต้นใหม่ เจ้าจะได้ 'เกิดใหม่' " 



    "ตอนนี้เจ้าจะคิดไม่ได้ แต่เชื่อเถอะ ว่าถ้าหากเจ้าอยู่ในดินแดนนี้นานเข้า
    เจ้าจะ 'เบื่อหน่าย' กับมัน"  



    "สรุปดินแดนจองจำนี้มีอยู่ 6 ส่วน รูปร่างของดินแดนเป็นวงกลม เป็นเหมือนเกาะยักษ์เกาะหนึ่ง เขตเส้นกั้นอยู่ตรงศูนย์กลาง หากเราฝ่าเขตเส้นกั้นได้ เราจะเจอประตูเชื่อม และถ้าเราผ่านมันไปเราจะได้รับการอภัยโทษ  ไม่ต้องอยู่ในแดนป่าเถื่อน ก้าวเข้าสู่โลกอันเงียบสงบอีกรอบ"  



    "แต่ยังไม่เคยมีใครผ่านเข้าไปได้...เพราะอะไร"
    "นั่นเพราะ..!!"    ลมกระโชคทำให้ทั้งข้าและอัสรันชะงัก พร้อมกับเสียงฝีเท้าจำนวนมากและเสียงกู่ร้องของ...หมาป่า  ข้าหันไปมองไปรอบด้านที่ไม่รู้ว่าพวกหมาป่ามาจากไหน ต่างกระโจนเข้าใส่พวกคนในแคมป์ บ้างก็หลบทัน หันอาวุธเข้าห้ำหั่นบ้างก็ตกเป็นเป้าอาหารอันโอชะของเหล่าสัตว์แทน  อัสรันสบถออกมาเมื่อไฟรอบค่ายเริ่มดับลง ความเหน็บหนาวเข้ามาแทนที่  เขากระซิบที่หูของข้าง



    "มันไม่ปลอดภัยสำหรับเจ้า  กลับเข้าเต็นทร์ไปแล้วอย่าโผล่หน้าออกมา"  ข้าไม่ทักท้วงแต่อย่างใด เพราะชายข้างๆข้าเป็นถึงแม่ทัพใหญ่ของอาณาจักรพรรณ ข้าไม่จำเป็นจะต้องเป็นห่วงเขา ข้าควรจะห่วงตัวเองเสียมากกว่า


    "ข้านับถึงสาม เจ้าออกวิ่งเลยนะราตรี" ข้าพยักหน้าแต่ก็ห้ามเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นแรงไม่ได้ กลิ่นเลือดคละคลุ้งไปทั่ว เสียงตะโกนกู่ร้องดังไปทั่วค่าย เสียงกรรโชคของหมาป่าที่เตรียมพร้อมที่จะขย้ำเหยื่อ ทำให้สติของข้าถูกกระตุ้นลับให้แหลมคม

    "ข้าจะเรียกร้องความสนใจพวกมัน เอาล่ะนะราตรี"   อัสรันพูดกับข้า ข้าพยักหน้ามือของข้าซึมชื้นไปด้วยเหงื่อจากความตื่นเต้น ดูท่าอัสรันจะรู้เขามือของข้าขึ้นมาก่อนจะจุมพิตปลอบโยนแต่แววตาของเขากลับฉายประกายแววกล้า สอดส่องไปทั่วบริเวณเตรียมตัวกระโจนเข้าหาเหยื่อได้ทุกเมื่อหากเขาจับความเคลื่อนไหวของศัตรูได้ 

      มันทำให้ข้าไม่เข้าใจในความคิดของชายตรงหน้า ข้ากับเขาพึ่งเจอกันไม่ถึงวัน แต่เขากลับดูแลข้าดั่งครอบครัว... จะเป็นคนดีไปหน่อยแล้วมั้งแม่ทัพอาณาจักรพรรณ   ข้าสะบัดมือออกจากการกอบกุมขออัสรัน พูดเสียงฉะฉาน


    "ไม่ต้องมาปลอบใจข้า ข้าทำได้ เจ้าทำหน้าที่ของเจ้าให้ดีที่สุดก็พอ"  อัสรันกระตุกยิ้ม แล้วโค้งให้ข้าครั้งนึง


    "ตามบัญชาที่เจ้าประสงค์เลยราตรี"  


    หลังจากที่อัสรันให้สัญญาณ ข้าก็ออกวิ่งอย่างไม่คิดชีวิต ข้าได้ยินเสียงอัสรันตะโกนก้องไปทั่ว เสียงกรงเล็บที่เฉือนกับเนื้อเอย เสียงฝีเท้ามากมายที่รุมล้อมเขา  ข้ารู้สึกได้  ข้ารู้สึกได้ว่าอัสรันทั้งโกรธและเป็นห่วงใครคนหนึ่ง  

    ใครคนหนึ่งที่อัสรันกำลังคิดอยู่  ไม่ใช่ใคร  ก็ข้าไงเล่า !!

    ข้าได้แต่ยืนค้างมองภาพตรงหน้าทำอะไรไม่ถูก  แม่ทัพพรรณบอกให้ข้ารีบวิ่งเข้าเต็นทร์ แต่ข้าจะทำได้อย่างไรในเมื่อเต็นทร์ทุกเต็นทร์ถูกพวกหมาป่าฉีกทึ้งจนไม่เหลือเค้าแล้ว !! ข้ากัดฟันแล้วสบถออกมาเมื่อเหล่าหมาป่าเริ่มจ้องมองมาที่ข้า แล้วย่างสามขุมเข้ามาแล้ว 

    หากหนีเข้าป่า ข้าเชื่อได้ว่ายังมีพวกหมาป่าอยู่รอบนอกอีกแน่ๆ  และข้าก็จะโดนพวกมัน 'ขยี้'

    ข้าสูดหายใจเข้า เอาซิ ตายเป็นตาย !!  ข้าคว้ามีดสั้นที่เก็บเอาไว้ตอนที่ป้องกันตัวจากอัสรันเสียไว้ตรงเอว และตอนนี้มันได้เวลาที่จะใช้มันแล้ว  และข้าไม่โง่พอที่จะวิ่งเข้าหาฝูงหมาป่าในสภาพแค่มีดสั้นเล่มเดียว 

    ข้าจะฆ่าตัวเอง  ผิด 
    ข้าจะใช้ตัวเองเป็นตัวประกัน   ข้าไม่สำคัญขนาดนั้นข้ารู้ตัวดี 
    แต่สิ่งที่ข้าทำได้ตอนนี้  คือการหลั่งเลือด ...

    หยดเลือดสีดำค่อยๆไหลออกมาจากข้อมือของข้า มันหยดลงบนพื้นก่อนจะเพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ เหล่าหมาป่าเมื่อได้กลิ่นเลือดพวกมันกลับไม่แสดงท่าทีที่คร่ำครันหรือต้องการที่จะเข้ามากินข้าเลย ตรงข้าม พวกมันกลับก้าวถอยหลังไปเหมือนข้าเป็นคนที่พวกมันไม่สมควรยุ่งด้วย

    ข้าขมวดคิ้ว ทำไมกัน หรือว่ากลิ่นเลือดของข้ามันไม่น่าอร่อย 
    ข้ายกจมูกจรดข้อมือ ดมกลิ่นเลือดของตัวเอง เมื่อได้กินก็ต้องเลิกคิ้วขึ้น ... กลิ่นมันหวานเหมือนขนม เจ้าพวกหมาป่ามันจมูกไม่ดีหรือไงกัน !!

    เออ แล้วเลือดของข้าจะอร่อยเหมือนกลิ่นไหมนะ 
    อัสรันบอกว่าอร่อย ... เอาอย่างไรดีล่ะ  ข้ามองพวกหมาป่าที่ล่าถอยไป  ข้ายักไหล่แล้วค่อยจรดริมฝีปากตนเองลงข้อมือ หวังว่าจะลองชิมเลือดของตัวเอง

    แต่แล้วแรงหมัดของใครบางคนก็อัดมาที่ท้องของข้า !! ข้าล้มลงไปกองกับพื้นอย่างง่ายดาย ให้ตายเถอะนี่ข้าผจญความซวยหรืออย่างไร คราวที่แล้วก็ธนู คราวนี้เป็นหมัดล้วนๆ ชายที่อัดข้าช่างไม่มีปราณีเลยจริงๆ ข้าสบถออกมาเมื่อกลิ่นเลือดที่ฟุ้งจากตัวของชายที่ทำร้ายข้ามันเหม็นเสียจนข้าต้องเบนหน้าหนี 

    แต่น่าเสียดาย  ชายหมาป่าคนนั้นหันหน้าของข้าให้ประจันกับเขา 
    นัยน์ตาสีแดงฉานของเขาประสานตากับข้า
    ชายตรงหน้าข้าตัวขาวซีด  ร่างกายที่ไม่ได้กำยำเท่าอัสรันแต่แฝงไว้ด้วยพลังอันน่าเกรงขาม
    เขาแยกเขี้ยวออกมาเมื่อเห็นเลือดตรงข้อมือของข้า


    "เลือดสีดำ ของหายาก ..."  ชายแปลกหน้าจับข้อมือของข้าแล้วเลียเลือดตรงข้อมือของข้าอย่างหิวโหย  ก่อนจะกัดเต็มแรงจนข้าต้องร้องออกมาด้วยความเจ็บปวด  คมเขี้ยวของเขามันเหมือนพิษร้ายที่ลามไปทั่วร่างกาย มันร้อนเหมือนไฟ


    "อึก อ๊ากกกกกกกกกกกก !!"   ไอร้อนตรงข้อมือและความรู้สึกที่ชาไปทั่วร่างทำให้สมองของข้าพร่าเลือน  ข้าไม่มีแม้แต่แรงเรียกหาเพื่อนเพียงหนึ่งเดียวในโลกแห่งนี้ 'อัสรัน'   


    ชายตรงหน้ากระชากตัวของข้าขึ้นจากพื้น ก่อนจะโยนข้าลงหลังหมาป่าร่างใหญ่ขนสีดำเป็นมันแทน
    "กลับอาณาจักรเรา  วันนี้เรามาขยี้พวกพรรณมากพอให้หนำใจแล้ว
    กลับบ้านของเรา แล้วมาดูกันว่าเลือดสีดำที่แม่ทัพอัสรันเก็บไว้เลี้ยงเล่น มันมีอะไรดีกันแน่!!" 




    เสียงของหยดน้ำ
    จากหนึ่งเป็นสอง  จากสองเป็นสาม และนับไม่ถ้วน
    หยดน้ำที่กระเซ็นโดนใบหน้าของข้าทำให้ข้าค่อยๆกระพริบตา  ภาพของเพดานสีขาวลายสลักที่ไม่คุ้นตาทำให้ต้องกระพริบตาเผื่อสิ่งที่เห็นจะเป็นแค่ภาพพร่าเลือน


    แต่ไม่ ... มันคือความจริง
    ข้ามองไปรอบๆที่ดูจะเป็นห้องนอนสไตล์ยุโรป ช่างแตกต่างจากเต็นทร์ของพวกพรรณ .. 
    เดี๊ยวก่อนนะเต็นทร์ของพวกพรรณงั้นหรือ 
    ข้ารวบรวมสติแล้วก็เริ่มเรียบเรียงสิ่งที่เกิดขึ้น และเมื่อรู้สถานะของตัวเองว่าข้าโดนจับ ข้าก็นิ่งเงียบด้วยความช๊อค 


    ข้าไม่ร้องตะโกน เพราะรู้ดีว่าขืนทำไปพวกที่จับข้ามาก็ไม่ปล่อยข้าไป
    ตระกูลเหมันตร์สอนข้ามาดีพอว่าอันไหนทำแล้วดี อันไหนทำแล้วไม่ดี แต่มันก็ขึ้นอยู่กับข้านั่นล่ะว่าจะนึกมันออนหรือยอมทำมันหรือเปล่า  

    หยดน้ำมันยังกระเซ็นโดนใบหน้าของข้าอยู่ มันทำให้ข้าขมวดคิ้วมุ่น แล้วเงยหน้ามอง
    และเมื่อเห็นก็ห้ามสติของตัวเองไม่อยู่เพราะมันไม่ใช่หยดน้ำฝนอย่างที่ข้าคาดคิด  แต่มันคือน้ำลายของเจ้าหมาป่าตัวยักษ์ขนสีดำเป็นมัน จากที่ข้าคาดการณ์มันคือเจ้าตัวเดียวกับที่แบกข้าเข้ามาถึงที่นี่ 

    ข้าอ้าปากค้าง เห็นทุกอณูของการเคลื่อนไหวของน้ำลายของเจ้าหมาป่าที่อยู่เหนือหัวข้า
    ยิ่งมันเห็นว่าข้าตื่นแล้วมันยิ่งอาการหนักขึ้น
    ขาหน้าสองข้าที่น้ำหนักไม่ใช่น้อย ต่างเลือกที่ลงเป็นหน้าอกของข้าก่อนจะกดสุดแรง น้ำลายของเจ้าหมาป่าที่บัดนี้มันไม่ได้หยดอีกต่อไป

    แต่อย่าดีใจไป !  เพราะมันเปลี่ยนมาเป็นเลียหน้าข้าแทน !!



    "ฮะ เฮ้ ออกไปนะเจ้าหมาไร้มารยาท!!!"  ข้าตะโกนว่าเจ้าหมาป่าที่ทำให้ข้าหงุดหงิด กะจะใช้สองมือทุบให้รู้บ้างว่าอะไรทำที่ถูก และอะไรทำที่ผิด แต่เมื่อพยายามจะขยับข้อมือก็ต้องใจหายวาบ เพราะขยับไม่ได้
    และแรงเสียดสีของข้อมือนี่มัน



    ข้ามองไปตามแขนของข้าที่ยกสูงขึ้น  และก็เห็นว่าข้อมือของข้าโดนผ้าขนาดใหญ่ผูกไว้แน่นหนาอยู่!! ให้ตายเถอะ  มันช่างทำให้ข้าสติแตกยิ่งนัก !

    ข้ามองเจ้าหมาป่าที่ดูรักใคร่ข้า(มากเกินไป) และคิดที่จะหลอกล่อมัน



    "เจ้าน่ารักมากเจ้าหมาป่า ดูหน้าตาเจ้าซิหล่อเหลา ขนเจ้าก็มันแพลบ"


    เจ้าหมาป่ากระดิกหางชอบใจเมื่อข้าเอ่ยชมมัน ซึ่งอยากจะบอกว่าตามอารมณ์ที่แท้จริงข้าไม่ได้อยากชมมันหรอก ข้าอยากจะถีบแล้วพุ่งหลาวออกจากห้องนี้ หนีออกไปซะมากกว่า และข้าจะทำอย่างนั้นแน่ รอเพียงแค่เจ้าหมาป่าร่างยักษ์นี่กัดเชือกผูกข้อมือข้ากับไอ้เตียงบ้าก่อนก็แค่นั้น !


    "เจ้าหมาป่าหล่อแสนหล่อ เจ้าเห็นเชือกที่มัดข้าเอาไว้ใหม่ ถ้าเจ้ากัดมันเจ้าจะเป็นเด็กดีและหล่อเหลาเกรียงไรเชียวนะเจ้าหมาป่าขนดำตัวยักษ์" หูของเจ้าหมาป่ากระดิกไปมา แต่มันกลับไม่ทำตามที่ข้าหว่านล้อม!! มันกลับขย่มขาหน้าของมัน และมันทำให้ข้าแทบกระอักเลือด !! เพราะความเจ็บปวดของทั้งลูกธนูและการโดนอัดมันยังหลงเหลืออยู่ 



    เจ้าหมาเวร ! อย่าให้ข้าหลุดพ้นจากพันธนาการนี้ ข้าจะใช้เท้าของข้าถีบเจ้าแน่ๆ ! 

    "เจ้าพูดอะไรไปก็เปล่าประโยชน์ สัตว์เลี้ยงของข้ามันฟังแต่ข้าผู้เป็นนายเท่านั้นล่ะ"  ข้าสะดุ้งสุดตัวหันไปตามเสียงเมื่อเห็นตัวของข้าก็ชาวาบ เพราะเขายืนอยู่ในมุมมืดจ้าจึงไม่เห็นตัวเขา แสดงว่าชายตรงหน้าข้านั้นอยู่ในห้องมาตั้งแต่ตอนที่ข้าหลับจนตื่น 

    มันช่างน่าอับอายที่ข้าไปขอร้องสัตว์เลี้ยงของฝ่ายตรงข้าม 
    แต่มีหรือที่ข้าจะแสดงออก  ข้าเชิดหน้าขึ้นแล้วเปล่งเสียงมั่นคงไม่มีเค้าของความกลัว 

    "งั้นเจ้านายของมันก็ควรจะปล่อยข้าจากพันธนาการ"
    "เจ้ามีสิทธิ์เรียกร้องงั้นหรือ เจ้ามาที่นี่ในฐานะเชลยรู้ตัวบ้างรึไหม?" ข้าเบิกตาโพลงแต่ก็รีบตีหน้าเรียบเฉยเพื่อไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ว่าข้ากำลังตระหนกอยู่ 

    "เชลย ? ที่จำได้คือข้าไม่เคยทำอะไรเจ้า ข้าไม่ได้อยู่สังกัดใดที่พ่ายแพ้ให้กับเจ้า.../รู้ไหมว่าเจ้าไม่ควรจะตีตัวเท่ากับข้า"  ข้าชะงักบทสนทนาของตัวเองเมื่ออยู่ดีๆบุรุษในเงามืดแย้งขึ้นมา คำพูดที่ข้าเลือกที่จะถามต่อไป



    "ทำไมข้าจะตีตัวเท่าเจ้าไม่ได้ เจ้าเป็นพระเจ้าประทานพรให้ชาวบ้าน ช่วยเหลือพวกเขาหรือ ข้าว่าไม่ใช่ เจ้าก็เป็นมนุษย์เหมือนข้า...ไม่ใช่มนุษย์ก็ใกล้เคียงล่ะนะ  เจ้ามีเลือดเนื้อเหมือนข้า เจ้าเจ็บเป็น มีความรู้สึก หรือว่าข้าพูดไม่ถูกล่ะ" 



    เสียงฝีเท้าทำให้ข้าหันมองตาม  บุรุษผู้นั้นได้ก้าวออกมาจากเงามืดแล้วและข้าก็เลือกที่จะมองเขาแม้ว่าข้าจะอยู่ในสภาพทุเรศทุกังก็ตามที(ถูกจับมัดอยู่ตรงเตียง เจ้าคิดว่ามันสวยหรู ข้าขอแย้ง) รองเท้าหนังอย่างดี พร้อมเสื้อโค้ทสีดำเข้ม ทุกอย่างเป็นสีดำเหมือนรัตติกาลทั้งหมด เส้นผมของเขาเป็นสีเทาและนัยน์ตาสีเขียวอ่อน ใช่ เขามีดวงตาสีคล้ายๆกับอัสรัน เพียงแต่ว่านัยน์ตาของเขา มันอ่อนกว่าและขุ่นกว่า...เหมือนสีชา


    เมื่อเห็นหน้าดีๆข้าจึงจดจำได้ และเลือกที่จะโพล่งมันออกไป


    "เจ้ามันคนที่ซัดข้าแล้วโยนข้าขึ้นหลังหมาป่าตัวนี้นี่!!" ข้าตะโกนจนก้องไปทั่วห้อง หมาป่าตัวที่ทับข้าอยู่ดูจะรู้งานว่านี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่มันจะมาเล่นกับข้า มันจึงเลือกที่จะถอนขาหน้าของมันออกจากแผงอกของข้า แล้วค่อยๆเดินเข้าไปคลอเคลียผู้เป็นนายของมันแทน  

    "ญาณ ออกไปก่อน" หมาป่าสีดำนาม 'ญาณ' ครางออกมาก่อนจะเดินออกจากห้องไปโดยดี 
    ตอนนี้ห้องกลับมาเงียบสงัดอีกครั้ง 

    บุรุษตรงหน้าข้ามองข้าเหมือนกับว่าข้าเป็นมดปลวกที่เขาสามาถบดขยี้ได้ทุกเมื่อ
    มีหรือที่ข้าจะยอม  ข้าถูกฝึกมาดีนักล่ะเรื่องของการวางอำนาจหรือทำให้คนอื่นหมั่นไส้ ดูด้อยค่า จะอะไรก็แล้วแต่ที่มันด้านลบทางด้านความรู้สึกนั่นน่ะ


    อา..จะพูดว่าตระกูลเหมันตร์ฝึกข้าก็ถูก แต่เขาแค่ไม่ได้ฝึกเหมือนเป็นคอรส์หรือสอนโดยตรง
    เรียกว่าประสบการณ์สอนข้ามากกว่า
    มีคนรักย่อมมีคนเกลียดเป็นเรื่องธรรมดา 

    และเมื่อไม่มีเหล่าญาติผู้แสนดีข้านั้นก็มักจะถูกเมินเฉยโดยพวกเหล่าข้ารับใช้หรือลูกหลานตัวเล็กจ้อยไม่ก็พวกญาติที่นานๆทีจะมาหาข้าที  พวกไร้เหตุผลรังแกผู้ต่ำกว่า
    บ้างก็ขัดขาบ้างล่ะ  บ้างก็แกล้งหยิบชุดของข้าออกจากห้องเปลี่ยนชุดจนข้าต้องใช่ชุดซ้ำแล้วไปเปลี่ยนต่อในห้องบ้างล่ะ  สารพัดการกลั่นแกล้งแบบเด็กๆ ที่ข้าตอบสนองพวกเขาด้วยการ 


    ตีหน้าซื่อแล้วป้ายความผิดที่ข้าทำให้พวกเขา ต้องการตัวอย่างหรือ 

    ข้าจัดให้ ... 
    หากข้าเดินชมร่อนไปตามลานกว้าง และเห็นญาติคนนึงกำลังเล่นหมากรุก ข้าจะขอเข้าไปร่วมวงจนในที่สุดข้าก็ได้เล่นกับญาติผู้นั้นตัวต่อตัว 
    และเมื่อถึงเวลาที่มีคนเดินผ่านมา ข้าก็จะปัดสนามหมากรุกนั้นให้กระเด็นกระดอน ตกลานหญ้าที่เปื้อนโคลนหรือบ่อน้ำใกล้ๆบ้างล่ะ   ก่อนจะบีบน้ำตาแล้วตะโกนใส่หน้าญาติของข้าว่า


    "ท่านพี่ช่างใจร้าย เพียงแค่ข้าเดินผิดท่านพี่ถึงกับต้องโมโหโกรธา ปัดสนามหมากรุกเลยหรือ
    เงินทองพวกเราไม่ได้หาเองนะท่านพี่ หนึ่งหมากเท่ากับข้าวหนึ่งจานของชาวบ้าน
    ท่านช่างไร้ความมัธยัตถ์ทั้งมีหัวรุนแรง  ข้ามองท่านผิดไปจริงๆ!!"

    เห็นไหมทุกท่าน ว่าข้าเก่งถึงขนาดโยงเรื่องการปัดหมากรุกไปถึงเรื่องมัธยัตถ์ไปจนถึงข้าวหนึ่งจานของชาวบ้านได้อย่างมีศิลปะพร้อมผลลัพธ์ที่น่าพอใจคือ ญาติผู้นั้นถูกผู้เฒ่าผู้แก่ดุว่าเป็นการใหญ่

    ใครบอกกันหนอว่าข้าร้ายลึก
    ช่างพูดความจริงจนข้าอดหัวเราะในใจไม่ได้ !!   



    next chapter .

    พระเจ้า...ท่านจะเกลียดชังข้าไปถึงไหนกัน
    ข้าหนีมาได้แต่กลับหลงทาง  หลงที่ไหนไม่หลง ดันไปหลง..
    คุกของ 'สนามรบ'  คุกที่ได้ชื่อเต็มไปด้วยพวกสวะและแข็งแกร่งที่สุดในทุกอาณาจักร  !!
    พร้อมชายลึกลับผู้ถูงจองจำขังลืม . !!







    หนึ่งกำลังใจของคุณสร้างสรรค์ผลงานและล้านกำลังใจให้นักเขียนค่ะ :D

    คือเราไม่ได้กำหนดเม้นหรือซีเรียสหรอกนะคะ
    แค่รู้สึกว่า อัพตั้งแต่เช้า เขียนเยอะ(ในค.คิดเรา) ขึ้นมาแค่เม้นเดียวเอง แต่แฟนพันธุ์แท้กลับขึ้นพึดๆ T__T;

    อย่าเป็นนักอ่านเงาเลยค่ะ ออกมาให้นักเขียนชื่อใจหน่อยดีไหมคะ >_< ?







    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×