ตัวละครแฟนตาซีที่สุดของนวนิยายเรื่องนี้ก็คือ ซาเฟียรา (Saphira) มังกรบินตัวมหึมา ก็ได้บริษัทสร้างภาพเอ็ฟเฟ็คที่ฝีไม้ลายมือโดดเด่นสุด ๆ ของวงการภาพยนตร์ทุกวันนี้ถึงสองแห่งมากันสร้างสรรค์ด้วยเครื่องไม้เครื่องมือสุดไฮเทคคือ WETA Digital (จาก Lord of the Rings ทั้งสามภาค และ King Kong) กับ Industrial Light & Magic (จาก Star Wars ทุกภาค และ Jurassic Park ทุกภาค) โดยเฉพาะฉากสงครามที่ฝ่ายธรรมะซึ่งนำทัพโดย เอรากอน นักรบหนุ่ม (Dragon Rider Eragon) กับ ซาเฟียร่า (Saphira) เข้าห่ำหั่นกับกองทัพอธรรมของ กษัตริย์กัลบาทอริกซ์ (King Galbatorix) สุดโฉดในช่วงท้ายเรื่องที่ WETA เนรมิตได้ตื่นตาตื่นใจสุด ๆ
กว่าสองพันปีแล้วที่ มังกร เป็นที่รัก, เป็นที่เกรงกลัว, หรือแม้แต่เป็นที่เคารพบูชา ขึ้นอยู่กับแต่ละวัฒนธรรม และยุคสมัย จนมาถึงปัจจุบันที่สัตว์ในเทพนิยายกลายเป็นสัญลักษณ์ที่ได้รับความนิยมอย่างกว้างขวาง ซาเฟียร่า (Saphira) ใน เอรากอน กำเนิดนักรบมังกรกู้แผ่นดิน ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากสัตว์ปีกตัวมหึมาที่เล่าขานผ่านตำนานเก่าแก่ แต่นี่เป็นครั้งแรกที่วิทยาการล้ำยุคจะเนรมิตให้มันมีชีวิตชีวาสมจริงที่สุด ถ้าคุณเคยตะลึงกับฝูงไดโนเสาร์ใน Jurassic Park รับรองว่า มังกร ใน เอรากอน กำเนิดนักรบมังกรกู้แผ่นดิน จะทำให้คุณได้อึ้งอย่างแน่นอน เพราะ ซาเฟียร่า (Saphira) ก้าวล้ำบรรดาไดโนเสาร์ใน Jurassic Park ด้วยภาพที่แสดงทั้งอารมณ์และความนึกคิดออกมาทางสีหน้าและแววตาได้อย่างน่าทึ่ง
วิสัยทัศน์ และ ความสำเร็จ ของ คริสโตเฟอร์ เปาลินี - จากนวนิยายสู่จอภาพยนตร์ (The Vision and Triumph of Christopher Paolini: Bringing ERAGON to Screen)
ตอนที่สำนักพิมพ์ Knopf ตีพิมพ์นวนิยายเรื่อง เอรากอน (Eragon) ฉบับปกแข็งออกจำหน่ายเป็นครั้งแรกเมื่อเดือนสิงหาคม 2003 ก็กลายเป็นหนังสือยอดขายดีเป็นประวัติการณ์ มันติดอันดับขายดีทันทีที่วางแผง และครองอันดับอยู่ใน The New York Times Bestseller List นานถึง 87 สัปดาห์ติดต่อกัน และครองอันดับอยู่ใน Publisher's Weekly Young Adult Fiction Bestseller List นานถึง 21 เดือนติดต่อกันโดยครองแชมป์อันดับหนึ่งอยู่นาน 9 เดือน เฉพาะในอเมริกาเหนือ หนังสือนวนิยายเรื่อง เอรากอน (Eragon) ทั้งฉบับปกแข็งและฉบับปกอ่อน ขายไปแล้วกว่าสองล้านห้าแสนเล่ม และยังตีพิมพ์แพร่หลายไปในอีก 38 ประเทศทั่วโลกด้วย
เอรากอน (Eragon) เป็นตอนแรกของนวนิยายไตรภาค เล่มที่สองชื่อ เอลเดสท์ (Eldest) ตีพิมพ์ออกจำหน่ายในสหรัฐอเมริกา (United States) และแคนาดา (Canada) เมื่อเดือนสิงหาคม 2005 และกลายเป็นหนังสือนวนิยายขายดีอันดับหนึ่งของสหรัฐอเมริกา (United States) ซึ่งฉบับปกแข็งขายได้มากกว่าหนึ่งล้านเล่มเป็นอันดับหนึ่งของ The New York Times Children's Best Seller และติดอันดับ USA Today Top-50 Bestseller ทั้งยังคว้า รางวัล Young Adult/Teen 2006 Quill Book Award มาครองด้วย
ช่วงที่ภาพยนตร์เรื่อง เอรากอน กำเนิดนักรบมังกรกู้แผ่นดิน จะออกฉายนี่ นวนิยายเรื่อง เอรากอน (Eragon) ก็ยังคงครองอันดับหนึ่งใน The New York Times Children's Paperback Best Seller List ขณะที่ เอลเดสท์ (Eldest) ครองอันดับหนึ่งใน Times' Children's Hardcover Best Seller List ยอดขายของหนังสือทั้งสองเล่มยังคงเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมีการวางจำหน่ายฉบับพิเศษ Eldest Limited Edition ควบคู่ไปกับการโฆษณาประชาสัมพันธ์ภาพยนตร์ซึ่งสร้างจากตอนแรกของนวนิยายไตรภาคที่ช่วยสร้างกระแสความนิยมให้ขยายวงกว้างขึ้น
ความเป็นมาของ เปาลินี ก็แฟนตาซีไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าผลงานการประพันธ์ของเขาเลย นวนิยายเรื่อง เอรากอน (Eragon) ได้รับการตีพิมพ์ครั้งแรกโดยสำนักพิมพ์ของครอบครัวเขาเอง แล้วปีถัดมา อัลเฟร็ด เอ นอฟ (Alfred A. Knopf) ก็ตีพิมพ์นวนิยายเล่มนี้วางแผงไปทั่วโลก และประสบความสำเร็จมหาศาล
ปีเตอร์ บุชแมน (Peter Buchman) ที่เคยเขียนบทภาพยนตร์เรื่อง Jurassic Park III เป็นผู้ถ่ายทอดนวนิยายเรื่องแรกให้เป็นบทภาพยนตร์ บุชแมนซึ่งเป็นแฟนตัวยงของบทประพันธ์และภาพยนตร์แนวแฟนตาซีกับวิทยาศาสตร์ยังถึงกับ "ทึ่ง" ในความฉลาดเกินวัยของ เปาลินี ทั้งความเหนือชั้นของการเดินเรื่อง กับการสร้างสรรค์ตัวละคร และความสามารถในการเนรมิตโลกสุดจินตนาการได้อย่างน่ามหัศจรรย์ บุชแมนทุ่มเทแรงกายแรงใจอย่างเต็มที่ในการถ่ายทอดความล้ำลึกของเรื่องราวและตัวละครจากนวนิยายของ เปาลินี เพื่อให้แฟน ๆ ของหนังสือนวนิยายมากมายทั่วโลกประทับใจกับภาพยนตร์เรื่อง เอรากอน กำเนิดนักรบมังกรกู้แผ่นดิน ไม่แพ้คนที่จะได้สัมผัสโลกของ เอรากอน (Eragon) เป็นครั้งแรกด้วย
ศูนย์กลางของนวนิยายและภาพยนตร์เน้นอยู่ที่ ความผูกพันของ เอรากอน (Eragon) กับ ซาเฟียรา (Saphira) "แนวคิดสุดวิเศษของ คริสโตเฟอร์ อยู่ตรงที่ ชายหนุ่ม ค่อย ๆ ผูกพันกับ มังกร มากขึ้นทุกที" บุชแมนเล่า "ความผูกพันนี้เองที่เป็นหลักใหญ่ใจความของนวนิยาย และเราก็พยายามถ่ายทอดมันออกมาให้เห็นในภาพยนตร์เรื่องนี้เด่นชัดที่สุด"
สตีเฟ่น แฟงไมเออร์ (Stefen Fangmeier) สนใจบทภาพยนตร์ของ บุชแมน มาก "ตอนอ่านนี่ ผมสนุกกับมันมาก" ผู้กำกับภาพยนตร์เล่า "หนังสือนี่แฟนตาซีสุด ๆ ไง ผู้คนก็เลยคาดหวังว่า ผมคงจะถมภาพเอ็ฟเฟ็คเข้าไปแยะมาก ๆ ไง แต่ผมกลับคิดว่านวนิยายเรื่องนี้โดดเด่นด้านการถ่ายทอดอารมณ์ความรู้สึกเสียมากกว่า"
ภาพยนตร์เรื่อง เอรากอน กำเนิดนักรบมังกรกู้แผ่นดิน ถ่ายทอดเทพนิยายว่าด้วยเหล่านักรบมังกร (Dragon Riders) ที่เคยกอบกู้แผ่นดิน นำความสงบ และความรุ่งเรืองมาสู่ ดินแดนอาลาเกเซีย (Alaga?sia) พวกมังกรจะถ่ายทอดพลังให้กับนักรบ รวมทั้งความเป็นอมตะด้วย ดังนั้นศัตรูหน้าไหนก็ไม่อาจพิฆาตนักรบมังกรได้ จนกระทั่งกษัตริย์กัลบาทอริกซ์ (Galbatorix) ตัดสินใจรวบรวมพลังวิเศษไว้กับตัวเอง และกำจัดนักรบมังกรเสียสิ้น แต่พอ เอรากอน เจอ ไข่สีน้ำเงินเข้มผิวเป็นมัน และฟักตัวออกมาเป็นมังกรเพศเมียชื่อ ซาเฟียร่า ตำนานนักรบมังกรก็โลดแล่นอีกครั้ง
ยิ่งค้นพบรากเหง้าของตัวเองว่าสืบเชื้อสาย นักรบมังกร พร้อมคำชี้แนะจากบรอม (Brom) เอรากอน ก็มุ่งมั่นทวงคืนความยุติธรรมให้กับแผ่นดิน ถ้าเขาเอาชีวิตรอดจากเงื้อมมือของกษัตริย์กัลบาทอริกซ์ (King Galbatorix) สุดเจ้าเล่ห์ได้นะ ชื่อเสียงของ เอรากอน เป็นที่เลื่องลือไปทั่วโลกแห่งเวทย์มนต์และพลังพิเศษจนกลายเป็น ฮีโร่ตัวจริง และเป็นเพียงความหวังเดียว ความหวังสุดท้ายของประชาชนแห่งดินแดนอาลาเกเซีย (Alaga?sia)
เอ็ด สเพลเลียร์ (Ed Speleers) ชายหนุ่มวัย 18 ปีหน้าใหม่ของวงการบันเทิงคว้าบทนำแสดงไปครองสำเร็จหลังจากที่ Twentieth Century Fox และคณะผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้เลือกเฟ้นชายหนุ่มจากทั่วโลกผ่านกระบวนการคัดสรรที่ยิ่งใหญ่ไม่แพ้ Harry Potter และทดสอบหน้ากล้องครั้งแล้วครั้งเล่า รวมทั้งการทดลองแสดงจริงหน้ากล้องอีกหลายสิบครั้ง
บทบาทอื่น ๆ ในภาพยนตร์เรื่องนี้ก็ได้นักแสดงแถวหน้าของฮอลลีวู้ดมาร่วมแสดงคับคั่ง ทั้ง เจเรมี ไอร่อนส์ (Jeremy Irons) นักแสดงเจ้าของรางวัลออสการ์ (Academy Award?) รับบท บรอม (Brom) อดีตนักรบมังกรที่คอยชี้แนะเอรากอน, จอห์น มัลโควิช (John Malkovich) ที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ (Oscar? nominee) รับบท กษัตริย์กัลบาทอริกซ์ (King Galbatorix) ผู้ทรงอำนาจและชั่วร้ายสุด ๆ, โรเบิร์ต คาร์ไลล์ (Robert Carlyle) นักแสดงเจ้าของรางวัล BAFTA Award รับบท ดูร์ซา (Durza) พ่อมดผู้มีพลังแก่กล้า, เซียนน่า กิลลอรี่ (Sienna Guillory) รับบท อารีอา (Arya) นักรบสาวสวย, จีมอน ฮานซู (Djimon Hounsou) ที่เคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลอสสการ์ (Oscar? nominee) รับบท อาจิฮัด (Ajihad) หัวหน้ากบถวาร์เดน (Varden), และ การ์เร็ต เฮ็ดลันด์ (Garrett Hedlund) รับบทเป็นชายหนุ่มผู้มีอดีตน่าสนใจ
ส่วน ซาเฟียร่า เองก็ได้นักแสดงหญิงเจ้าของรางวัลออสการ์ (Academy Award) ราเชล ไว้ซ์ (Rachel Weisz) มาพากย์เสียงได้สมบทบาท ต้องถือว่า ไว้ซ์ ช่วยถ่ายทอดแนวคิดสำคัญของ คริสโตเฟอร์ เปาลินี (Christopher Paolini) ในนวนิยายเรื่องนี้ที่เน้น วิธีการสื่อสารกันระหว่าง ซาเฟียร่า กับ เอรากอน ออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม เพราะ ซาเฟียร่า ไม่พูดเหมือนมังกรที่ผู้ชมคุ้นเคย ดังนั้นริมฝีปากของเธอจึงไม่ต้องอาศัยคอมพิวเตอร์มาสร้างภาพขยับปากแต่อย่างใด หากแต่มังกรเพศเมียสื่อสารกับนักรบด้วยกระแสจิต นั่นยิ่งเป็นการตอกย้ำ การถ่ายทอดอารมณ์ และความผูกพันกันทางจิตวิญญาณของตัวละครทั้งสองให้ชัดเจนขึ้น
ภาพยนตร์เรื่อง เอรากอน กำเนิดนักรบมังกรกู้แผ่นดิน กำกับโดย สตีเฟ่น แฟงไมเออร์ (Stefen Fangmeier) อัจฉริยะงานภาพเอ็ฟเฟ็คตัวจริงของวงการภาพยนตร์ทุกวันนี้ ตอนที่ยังทำงานให้กับ Industrial Light & Magic เขาก็ร่วมสร้าง "Saving Private Ryan," "Twister," "The Perfect Storm," และ "Master and Commander: The Far Side of the World" ทั้งยังเป็นเจ้าของรางวัล BAFTA Award สามรางวัลและยังเคยได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลออสการ์ (Oscar nominee) ถึงสี่ครั้งแล้ว
ภาพยนตร์เรื่อง เอรากอน กำเนิดนักรบมังกรกู้แผ่นดิน ยังได้คณะสร้างภาพเอ็ฟเฟ็คฝีมือดีของ แฟงไมเออร์ ระดมเทคนิคล้ำยุคมาเนรมิต ซาเฟียร่า และดินแดนอาลาเกเซีย (Alaga?sia) ให้เป็นโลกเวทย์มนต์ย้อนยุคที่เป็นอมตะ - ไม่ใช่โลกล้ำยุคดาด ๆ - ที่ผู้ชมจะต้องตะลึง โดยมี วูล์ฟ โครเกอร์ (Wolf Kroeger) ออกแบบสร้างสรรค์ฉาก, ฮิวจ์ จอห์นสัน (Hugh Johnson) ถ่ายภาพ, และคิม บาร์เร็ต (Kym Barrett) ออกแบบเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายเฉียบคมให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ตื่นตาตื่นใจสมกับที่ผู้ชมทั่วโลกรอคอย |
ข้อความที่โพสจะต้องไม่น้อยกว่า {{min_t_comment}} ตัวอักษรและไม่เกิน {{max_t_comment}} ตัวอักษร
กรอกชื่อด้วยนะ
_________
กรอกข้อมูลในช่องต่อไปนี้ไม่ครบ
หรือข้อมูลผิดพลาดครับ :
_____________________________
ช่วยกรอกอีกครั้งนะครับ
กรุณากรอกรหัสความปลอดภัย
ความคิดเห็น