ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ร่างนางรำ

    ลำดับตอนที่ #9 : บทที่ 9 เรือนเสน่หา

    • อัปเดตล่าสุด 13 ม.ค. 58


    บทที่ ๙
    เรือนเสน่หา

     

     

     

    เหมือนมนตร์ดลใจ และกำกับกายให้สัตยากระทำการ เริ่มตั้งแต่หาหนทางลัดเลาะจากสวนอัมพรลงมาทางสะพานมัฆวานรังสรรค์

     

    แล้วจ้างเรือที่คล้ายตั้งใจมาคอยท่า พายลิ่วๆ ตัดข้ามแม่น้ำเจ้าพระยา เลี้ยวเข้าคลองบางกอกน้อย กระทั่งมาเทียบท่าศาลา เรือนจันทร์แถวหัวคุ้งย่านคลองบางระมาด

     

    ตลอดทางมานั้น สัตยาแทบไม่รู้ตัวว่า เวลาผ่านไปช้าเร็วแค่ไหน และแทบไม่ได้ชำเลืองแลอื่นใด นอกจากวาวแสงในประกายตา ของหญิงงามที่รูปโฉมเป็นเสมือนคนคนเดียวกัน กับหญิงสาวที่ตนประกาศรักไว้นักหนา

     

    เหมือนกึ่งฝันกึ่งตื่น จึงไม่แน่ใจว่าพอขึ้นมาบนศาลาท่าน้ำบ้านเรือนจันทร์แล้ว ตัวเองแสดงการขัดขืนหรือวางก้ามไว้อย่างไร พลพายทั้งสองนายจึงเร่งฝีพายกลับ ลับหัวคุ้งไปรวดเร็วราวกับภูตผี ทั้งที่ยังไม่ทันได้รับค่าจ้าง

     

    สัตยาจำต้องนึกเสียว่าเขาคงจำได้ ว่าตนเป็นใคร จึงเกรงใจและยินดีบริการ

     

    มารู้สึกตัวชัดๆ อีกครั้งก็ตอนที่สายลมโชยกลิ่นหอมดอกไม้มาให้ชื่น

     

    สีหน้าที่ผ่อนคลายลงของเขา พร้อมกับอาการที่สูดหายใจลึกๆ เข้าไปอีกหลายครั้งนั้น คงทำให้สตรีที่มาด้วยสังเกตได้ไม่ยาก

     

    มีอะไรหรือจ๊ะ

     

    จบคำถามแรกแล้วหญิงสาวก็เหมือนชะงัก

     

    ก่อนจะเปลี่ยนถ้อยคำเป็น...

     

    หอม... หอมอะไร

     

    พอได้สบสายตากับหล่อนอีกครั้ง สัตยาก็คล้ายตกอยู่ในมนตร์สะกดอีกครา จะถามจะตอบก็เป็นไปเพียงแค่ที่ได้ยิน ไม่ได้สนใจว่าจะมีพิรุธสิ่งไร อยู่ในน้ำเสียงหรือท่าทีของสตรีตรงหน้า

     

    หอมจันทน์... หอมกลิ่นจันทน์... จันทน์กระพ้อน่ะ... จ้ะ

     

    คำตอบทั้งกระท่อนกระแท่นและตะกุกตะกัก เพราะยิ่งเพ่งพิศก็ยิ่งเห็นชัด ว่าไม่มีเสี้ยวส่วนใดๆ เลยของหล่อน ที่ผิดแผกไปจากคนที่เขาเคยรัก

     

    บ้านสวนเรือนจันทร์... มุมสงบของผมเอง

     

    พอเลิกหวนกระหวัดถึงความหลังครั้งเก่า ถ้อยคำจึงกลับสุภาพอ่อนโยนได้เหมือนเดิม

     

    เธอ... เธอคงต้องอยู่ที่นี่ไปก่อน

     

    คำแรก หยุดไปเพราะไม่แน่ใจ ว่าจะเรียกหล่อนว่าอย่างไร

     

    แข... แขจ้ะ ฉันชื่อแข...

     

    ชื่อเพราะจริง... คุณแข

     

    เรียกฉันว่า แข เฉยๆ ดีกว่า

     

    สัตยาเดินนำหล่อนใกล้ตัวเรือนเข้ามา ผ่านแนวไม้ต้นสูง และพุ่มไม้เลื้อย ที่เลื้อยระโยงระย้าอยู่ตามราวรั้วมาตลอดทางเดิน

     

    อย่าเลย... ถ้าไม่รังเกียจ ต่อไปผมจะเรียกว่า...แม่แข...

     

    เพราะจริง... แม่แข...หล่อนทวนคำ

     

    ที่ไหนกัน ก็แค่ คำเรียกทั่วไป...

     

    แต่ก็ให้เกียรติ

     

    ใช่ซี... ผู้ชายไทย ล้วนแต่ให้เกียรติผู้หญิง

     

    ไม่จริงหรอกค่ะ... แต่ช่างเถอะ เมื่อกี้คุณ... คุณพี่... ออกชื่อต้นอะไรนะจ๊ะ

     

    หล่อนก็แกล้งติดขัด ทำเป็นไม่รู้จะเรียกสัตยาว่า คุณพี่ ต่อไปจะดีหรือไม่

     

    ผมชื่อสัตยา ถ้าจะเรียกเป็นพี่ เรียก พี่ยา ก็ได้

     

    จ๊ะพี่ยา... พี่ยาของแม่แข...

     

    ตามใจเถอะนะ แล้วแม่แขชอบที่นี้หรือไม่

     

    ชอบซีคะ ที่หอมๆ ต้นจันทน์กระพ้อใช่ไหมจ๊ะ

     

    แม่แขทวนคำ แสดงให้เห็นว่าหล่อนทั้งสนใจและพอใจ เรือนจันทร์นี้นักหนา

     

    ที่จริงมีต้นจันปลูกสลับกับจำปีและจันทน์กระพ้อ ก็ไม้หอมทั้งนั้นละ แต่ที่โชยกลิ่นอยู่นี้เป็นจันทน์กระพ้อเลื้อย...

     

    สัตยาตอบหล่อนจนครบถ้วน โดยไม่รู้เลยว่า คนถามจะได้กลิ่นอะไรสักนิดก็หาไม่

     

    เรือนจันทร์... เรือนจันทร์กระพ้อ...

     

    หญิงสาวมาหยุดอยู่ตรงซุ้มศาลาสองเสา ที่ปลูกคร่อมสะพานไม้ซึ่งทอดไปสู่เชิงบันไดที่อยู่ลึกเข้าไป พยายามอ่านคำภาษาไทยบนป้ายชื่อเรือน ทำให้สัตยาถึงกับอมยิ้ม คิดว่าท่าทางผู้หญิงคนนี้คงไม่ใช่นางรำพื้นๆ ธรรมดาทั่วไป

     

    แค่... เรือนจันทร์... แม่แขเก่งนะ อ่านภาษาไทยได้

     

    ได้บ้างค่ะ นายโรงรับงานในนี้บ่อยๆ แต่คุณพี่... คุณพี่ยา...

     

    เรียกแค่ พี่ยา... เถอะนะ

     

    จ๊ะ แต่พี่ยาก็เก่ง พูดเขมรได้คล่องแคล่ว

     

    สัตยาไม่ทันเห็นว่า นัยน์ตาของหล่อนสว่างวาวขึ้นมาวูบหนึ่ง

     

    ผมเคยอยู่ที่นั่นหลายปี

     

    หลายปี ที่เขมร

     

    ใช่

     

    โชคดี ฉันโชคดีใช่ไหม ที่ได้เจอพี่ยา

     

    ถึงเชิงบันได สัตยาถอดรองเท้าแล้วล้างเท้า ก่อนจะเดินนำขึ้นไป โดยลืมเตือนคนที่เดินตามมา ว่าให้ล้างเท้าเสียก่อน

     

    และแม้แม่แขจะเห็นแต่ก็ไม่คิดจะทำตาม หล่อนก้าวผ่านขึ้นมาเลย

     

    เงียบเหงาไปสักนิด แต่ก็ปลอดภัย ข้าคนเขาจะมาจัดการความสะอาดต่อเมื่อผมบอกว่าจะมาใช้งาน

     

    ต่อไปให้ฉันจัดการก็ได้...

     

    ได้อย่างไร แม่แขมาเป็นแขก

     

    ได้ซีจ๊ะ บ้านนี้เรือนนี้น่าอยู่ไปจนวันตาย

     

    ผม... ผมไม่แน่ใจว่า...

     

    ประโยคหลังของสัตยาไม่ดังไปกว่ากระซิบ

     

    หรือว่าฉันทำให้พี่ยาลำบากใจ

     

    ไม่ใช่หรอก... ช่างเถิด... คืนนี้แม่แขพักผ่อนให้สบายใจเสียก่อน

     

    ให้อยู่คนเดียวน่ะหรือจ๊ะ

     

    ตั้งแต่แรกที่สัตยาพาหล่อนมานั่งตรงเฉลียงนี้ เขาก็แทบไม่กล้าสบตากับหล่อนอีกเลย จนอีกฝ่ายต้องเป็นฝ่ายขยับ เปลี่ยนที่นั่งมาให้เห็นหน้ากันชัดๆ

     

    ก็... แม่แขบอกว่าไม่กลัวอะไรๆ

     

    เขาไม่อยากเอ่ยคำว่าผี ในที่มืดๆ เปลี่ยวๆ เช่นนี้ และที่ว่ามืดๆ เปลี่ยวๆ ก็เพราะยังไม่ยอมเปิดไฟ ด้วยเกรงว่าจะเป็นที่สังเกตของชาวบ้านในละแวกใกล้เคียง

     

    ไม่กลัว... แต่มันแปลกที่

     

    ดึกมากแล้ว พี่... คือผมต้องกลับ... บ้าน

     

    ฉันทำให้พี่ลำบากจริงๆ ซีนะ แล้วพี่ยาจะกลับอย่างไร หรือว่าบ้านอยู่ใกล้ๆ

     

    จบคำถาม สัตยาเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า มาเรืออาศัย ไม่ได้มาเอง

     

    มีเรือเครื่องเล็กๆ อยู่ลำหนึ่ง ค่อยๆ ขับไปก็คงพอจะได้

     

    พี่ไม่อยากอยู่เป็นเพื่อนฉัน...

     

    เสียงที่ออดอ้อนนั้น สัตยาคุ้นนัก เข้าใจว่าเป็นความไร้เดียงสา มากกว่าจะมารยา

     

    มันจะไม่เหมาะ แม่แขเป็นผู้หญิง และพี่มีครอบครัวแล้ว...

     

    นิ่งไปนิดหนึ่ง คล้ายกำลังตัดสินใจอะไรบางอย่าง แต่ในที่สุด หล่อนก็ไล่ต้อนเขาต่อไป

     

    พี่ยารังเกียจแขหรือจ๊ะ

     

    ไม่... ไม่มีทาง... ที่จริง ที่จริงน่ะ ที่เราได้พบกันถือเป็นโชคดีของพี่ด้วยซ้ำ จะไปรังเกียจรังงอนแม่แขได้อย่างไร ที่จริงคือ แม่แข... เหมือนเธอมาก... คนรักเก่าของพี่ และ... และก็เป็นคนเขมรเหมือนกัน ซ้ำยัง... ชื่อจันทร์ เหมือนกัน...

     

    ใช่ซี... แข... ภาษาไทยว่า พระจันทร์ ดวงเดือน

     

    เธอชื่อรอมเปญ... แม่เปญ

     

    คำนี้ของเขา ทำให้ดวงหน้าของหล่อนสลดลงจนเห็นได้ชัด

     

    แต่ก็แค่แวบเดียว ก่อนที่แม่แขจะส่งยิ้มรื่นมาให้

     

    เป็นโชค หรือดวงชะตา...หรือ... บุพเพ... ใช่ซี คงเป็นบุพเพสันนิวาส

     

    เป็นโชค คงเป็นโชคของพี่

     

    แต่เป็นบุญของฉัน

     

    แม่แขพักผ่อนเถิดนะ วันรุ่งพี่จะมาแต่เช้า

     

    พี่ยารังเกียจฉันจริงๆ ถ้าอย่างนั้นฉันก็จะไปตามทาง

     

    พี่ไม่ได้รังเกียจ แต่มันไม่เหมาะ

     

    ไม่เหมาะอย่างไร ในเมื่อ ฉัน... ฉันยอมมากับพี่ พี่ยาเป็นคนช่วยเหลือ ให้ฉันรอดจากนายโรง ฉัน... ฉันยินดีรับใช้รองมือรองเท้าพี่ยาไปตลอดชีวิต ถ้า... ถ้าพี่ยาไม่รังเกียจ

     

    บอกแล้ว พี่น่ะ... ที่จริงอยากอยู่เป็นเพื่อนใจจะขาด แต่แม่แขต้องเข้าใจ พี่มีครอบครัวต้องรับผิดชอบ

     

    พี่จ๊ะ... ฉันจะเจียมตัว จะรู้อยู่ ขอแค่ได้อยู่ ได้อาศัย ได้รับใช้...

     

    แต่...

     

    สัตยายังอึดอัดใจอยู่นัก แต่พอหล่อนทำท่าจะลุกขึ้น เขาก็ยุดมือเอาไว้

     

    แม่แข... แม่เนื้อเย็น อย่างอน อย่าดื้อกับพี่เลย

     

    คำเรียก แม่เนื้อเย็นเป็นจากความรู้สึกจริงๆ ที่ได้สัมผัสเนื้อตัวหล่อน

     

    และถ้อยคำก็ออดอ้อน แสดงว่าใจจวนจะอ่อนอยู่เต็มที่

     

    ฉันจะไม่ไปไหนเลย หากคืนนี้พี่ยาจะอยู่เป็นเพื่อน

     

    หล่อนตอบคำพร้อมกับทรุดตัวลงแนบชิด ชิดจนสัตยาแอบกลัวว่า หล่อนจะได้ยินเสียงเต้นระรัวของหัวใจตน

     

    นะจ๊ะ... แค่คืนนี้ก็ได้...

     

    คำนี้หล่อนกระซิบที่ริมหู

     

    เขาไม่ได้รู้สึกร้อนผ่าวจากลมหายใจ

     

    แต่คิดว่าราวกับมีกระแสไฟอ่อนๆ วิ่งผ่านเข้ามาในสมอง

     

    กระทั่ง... ทำให้ตกลงใจได้ในที่สุด

     

    ได้... ได้... โน่น... ห้องนอน มาซี... พี่จะพาไปนอน...

     

    สังวาสนั้นอัศจรรย์นัก คล้ายภูตผีบันดาลดล ชักพาฟ้าฝนมาโหมกระหน่ำ ให้ทั้งเรือนจันทร์ไหวโยน ซ้ำยังกระแทกกระเทือนทั้งดินแดนให้เปียกชุ่ม สายฟ้าฟาดเปรี้ยง แล้วชำแรกแทรกหายลงในดิน มหาวาตาถั่งท้นท่วมทุกหุบห้วย แม้บนสูงสุดของยอดปลายเนิน ดอกไม้ใบหญ้ายังช้ำยับเพราะพายุแห่งกามา

     

    พอการต่อสู้ฟาดฟันในสมรภูมิสุดสิ้น ผู้พ่ายแพ้ก็พังพาบลงกับอก ทั้งที่เมื่อนาทีก่อนยังมีเรี่ยวแรงดุจปิศาจชักพา แต่บัดนี้สัตยาคล้ายถูกสูบโลหิตจนหมดร่าง หลับใหลไม่ได้สติ

     

    ที่ยังนอนเคียงกัน ย่อมคือแม่แข นางภูตพรายผู้ตามรัก ตามมาพร้อมกับความเคียดแค้นชิงชัง และผูกอาฆาตมาตั้งแต่ตนคิดว่ามีอันต้องตกตาย ด้วยน้ำมือของมันผู้นี้

     

    แต่หัวใจหรือก็ยังคือหญิง คือต่อให้ชังแสนชัง เกลียดแสนเกลียด เมื่อได้มาใกล้ชิดคลอเคลีย หมื่นแสนความรักความหลังก็ประดังเข้ามา

     

    หากไม่มักใหญ่และใฝ่สูงเกินไปนัก มีหรือที่เขาจะผลักไส ทอดทิ้งให้หล่อนต้องตายตกอยู่ในกองเพลิง

     

    กับผู้ชายที่นอนหลับเหมือนตายอยู่ต่อหน้านี้ ตั้งแต่พบหน้า หล่อนอยากจะฆ่าเสียให้ตายตั้งหลายครั้ง

     

    แต่แล้ว... ก็เพราะความผูกพัน ความลำบากตรากตรำที่เคยผจญมาด้วยกัน มันกลับเป็นเยื่อใยคอยเหนี่ยวรั้ง ไม่ให้หล่อนกรีดกรงเล็บลงกับผิวเนื้อ เสียดแทงเชือดเฉือน เลาะหนังเลาะเนื้อ ออกมาทีละชิ้นๆ จนเหลือแค่โครงกระดูก

     

    ก็ดูเถิด... เขายังเหมือนเดิม ยังหวาน ยังทรงเสน่ห์...

     

    ทุกพริบตาที่สบตา แม้ว่าหล่อนจะใช้มนตราดลจิตใจ

     

    แต่ก็เหมือนเป็นหล่อนนั่นเอง

     

    ที่...

     

    ตกหลุมรัก...

     

    อีกครั้ง...

     

    ความทรงจำไหลหลั่งพรั่งพรู ล้วนแต่เป็นตอนอ่อนหวาน สู่หาออดอ้อนกันเมื่อคราวพบรัก

     

     

     

    ...เมื่อแรกนั้น หล่อนยังแปลกใจ ที่คนอย่างเขา ทั้งรูปร่างผิวพรรณ เสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย บอกไม่ได้สักนิดเลยว่าเป็นคหบดีชาวขแมร์ ที่นิยมเที่ยวชมสมสุข อยู่ในสำนักสถานชำเราชาย

     

    แม้ว่าพอได้สบตา แล้วจะติดใจในแววตาจ้าวเสน่ห์นั้นอยู่ไม่น้อย แต่ก็ไม่ได้สนใจอะไรเกินไปกว่า เขาก็แค่คนมาเที่ยวชม เลือกซื้อหาความสุขในรสสัมผัส ไปปรนเปรอความกระสันซ่านอยากของตนเอง

     

    หล่อนเห็นตั้งแต่สัตยาเดินเก้กังเข้ามา ก็คงเป็นเพราะชื่อเสียงและรูปร่างหน้าตาที่อวดโฉมอยู่ที่หน้าร้านนั่นละ ชักพาให้เขาเข้ามาสบสายตากับตน

     

    นึกเวทนาอยู่นิดๆ ด้วยซ้ำ ตอนที่เห็นเขาถูกเชิญให้ไปนั่งอยู่มุมไกล เพราะมุมที่ดีที่สุด ที่จะเห็นหล่อนได้ชัดเจนที่สุด เป็นโต๊ะพิเศษราคาแพง ต้องจ่ายและจอง และต้องมีศักดิ์ศรีกับอำนาจบารมีเพียงพออยู่ในกัมพุชประเทศ

     

    และเพราะระบำอัปสรานั้นต้องใช้สมาธิขั้นสูง ตัวเอกชูโรงอย่างหล่อน ที่ได้รับการฝึกฝนแนวระบำพระราชทรัพย์ หรือนาฏยศิลป์ชั้นสูงมาจากแม่ครูในวังโดยตรง จึงจำต้องละความสนใจจากชายหนุ่มผู้มีรูปเป็นทรัพย์คนนี้

     

    แล้วเขาก็หายไปเป็นแรมเดือน...

     

    ก่อนจะได้กลับมาพบกันด้วยความประหลาดใจยิ่งกว่า

     

    อีกทั้งความประหลาดใจในครั้งนี้ ก็ระคนอยู่กับความหมิ่นหยามดูแคลน ที่ตัวหล่อนบังเกิดมีขึ้นในใจ เพราะเงื่อนไขการได้พบปะ

     

    อย่าบอกนะ ที่หายไปเป็นเดือน ก็เพราะเงินก้อนนี้

     

    เพราะหล่อนเป็นนางรำชั้นสูง ถูกทะนุถนอมจากนายโรงราวกับไข่ในหิน มีแม่ทูนหัวคอยช่วยประคบประหงม และดูแลการพบปะ

     

    ผู้คนที่ปองจะเด็ดดอกฟ้าแห่งเมืองพระนคร อย่างน้อยที่สุดหากอยากจะได้พบกันเป็นการส่วนตัวสักครั้ง ก็ยังต้องใช้เงินจำนวนมาก

     

    ก็... ต้องทำงานเก็บเงินอยู่ทั้งเดือนนี้ละจ้ะ

     

    แต่คำตอบที่แสนซื่อของชายหนุ่ม ก็ทำให้ความรู้สึกหมั่นไส้ของหญิงสาวลดลงไปได้ไม่น้อย

     

    อย่างนั้นก็เก็บไว้เถิด เงินขนาดนี้ หาเงินแต่งภรรยาได้สบายๆ ในพระนคร

     

    หล่อนยังจำทุกคำพูดเมื่อแรกพบสนทนาได้แม่นยำ

     

    เรื่องนั้นถูกต้อง ผมจึงอยากให้คุณรอมเปญตรองดูให้ลึกซึ้ง จะได้ไม่เป็นการตำหนิตนเอง

     

    เขาพูดยาวๆ นั่นบอกชัดว่า แม้ชำนาญในถ้อยคำภาษา แต่สำเนียงก็ยังไม่ใช่ชาวพื้นเมืองถิ่นนี้ หล่อนนึกอยู่ในใจว่า ต้องเป็นคนไทยนั้นละ ที่สามารถจะมีสีผิวรูปร่างละม้ายเหมือน แต่หล่อเหลาลงตัว แสนคมสมส่วนทั้งรูปหน้ารูปตัว

     

    และเพราะวางตัวเองไว้ในฐานะนักแสดง แม้จะอยู่ในสถานที่ที่หากชายใดปรารถนาเชยชิดกับเนื้อสาว ก็สามารถใช้เงินตราหาซื้อให้สมใจ หล่อนก็ยังรักษาความบริสุทธิ์ผุดผ่องเอาไว้ได้ด้วยเงื่อนไขที่ว่า หากนายโรงข่มเหงน้ำใจ ริจะซื้อขายความสวยความสาวของหล่อนให้ใครๆ หล่อนก็จะขอตายสถานเดียว เหตุนี้จึงทำให้ความรู้สึกชื่นชมชายหนุ่มตรงหน้า ที่แม้จะบังเกิดมีขึ้นเพียงใด ก็จำต้องสะกดเก็บเอาไว้ไม่ให้แสดงออก

     

    กับคำถามที่ถูกถามกลับ มีหรือที่หล่อนจะไม่รู้ เขาหมายถึงว่าคุณค่าของตัวหล่อนนั่นเองที่ทำให้เขาต้องทุ่มเทให้แก่ความยากลำบาก เพื่อจะได้เงินมาจ่ายค่าพบปะสนทนา แม้เพียงชั่วครู่ชั่วยาม

     

    ถ้าให้เกียรติกันถึงเพียงนั้น เราก็คงคบกันในฐานะมิตรสหายได้กระมังคะ เพียงแต่... ในฐานะอย่างคุณ เราจะพบปะกันได้สักกี่ครั้ง...

     

    เรื่องนั้นผมไม่คิดว่าเป็นปัญหา หากเรายอมรับว่า รู้จักคบหา เป็นมิตรสหายกันได้แล้ว ไม่ว่าเนิ่นนานไปแค่ไหน จะได้พบกันอีกหรือไม่ คำว่ามิตรสหาย คำว่ามิตรภาพที่เกิดมีขึ้น ก็ย่อมจะคงอยู่ตลอดไป จริงหรือไม่...

     

    เรื่องอะไรที่หล่อนจะตอบคำถามนี้ ให้ตัวต้องกลับเป็นฝ่ายออกปากยอมรับไมตรี

     

    พอเห็นว่าหล่อนนิ่งไป เขาก็หันเหไปยังเรื่องของประดับในห้องรับรองส่วนตัว ที่หล่อนใช้รับแขก ผู้ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันเข้ามา เสนอราคาค่าตัวมหาศาล แลกกับการยอมให้คนเหล่านั้น ได้เชยชมแม้สักเพียงแค่ครึ่งคืน

     

    อังกอร์วัดรูปนี้... สวยแปลกตา...

     

    เขาเอ่ยขึ้น ทำให้หล่อนต้องมองตาม

     

    เป็นภาพวาดสีน้ำมันของนครวัดยามราตรี มีมหาบารายเป็นฉากหน้า มีบัวบานขยายกลีบรับแสงจันทรา เบื้องบนเป็นเดือนเพ็ญส่งแสงเย็นนวลตา เปลี่ยนความตระหง่านงามของมหาปราสาทหิน ให้ละม้ายกลายเป็นชายหนุ่มผู้อบอุ่น ยืนรอรับสตรีที่รักให้เข้ามาซุกซบอยู่ในอ้อมกอด

     

    ไม่เคยเห็นรูปวาดอังกอร์ตอนกลางคืนเท่าไรค่ะ หรือที่เคยเห็นก็มืดๆ ทึมๆ แต่รูปนี้กลับตรงข้าม แม้จะเป็นเวลากลางคืน แต่ทุกอย่างกลับกระจ่างชัด คนวาดทำให้รู้สึกได้ว่า ความจริงเป็นสิ่งที่คงอยู่ ไม่ว่ากลางวันหรือกลางคืน เพียงแต่เราจะเลือกมองมุมไหน อย่างไร เท่านั้นเอง

     

    สัจจธรรมา

     

    เขาออกชื่อที่น่าจะเป็นของคนเขียน ที่กำกับเป็นลายอักขระเล็กๆ อยู่ที่มุมล่างของภาพ

     

    คนวาดกระมังคะ แต่ก็คงไม่ได้โด่งดังมีชื่อเสียงอะไร ภาพนี้ซื้อมาจากแผงภาพริมทางเท่านั้นเอง

     

    แต่... คุณ... ให้ผมเรียกว่าคุณเปญได้หรือไม่...

     

    ตามสบายเถิดค่ะ

     

    แต่คุณเปญ ก็ยังนำมาประดับไว้ในห้องสำคัญเช่นนี้ ทั้งที่หากคุณเอ่ยปาก ใครต่อใครก็คงหาภาพของศิลปินสำคัญมาทูนหัวให้

     

    เรื่องนั้นก็จริงค่ะ แต่ที่สำคัญกว่านั้นคือ ฉันรักภาพนี้ รักความกระจ่างแจ้ง ตรงไปตรงมา ในแบบที่ไม่แข็งกระด้างจนเกินไป

     

    หล่อนลุกขึ้นมาพิจารณาภาพนครวัดยามคืนเพ็ญใกล้ๆ อีกครั้ง รายละเอียดของเส้นสายปลายพู่กัน บอกชัดว่าคนวาดชำนาญการในเทคนิควิธีถึงเพียงไร ในการใช้สีเดี่ยวค่อยแต้มลงทีละเส้นๆ ราวกับการปักผ้าด้วยไหมเส้นน้อย จนแต่ละสีสันกลมกลืน ผสมผสานกันได้อย่างน่าอัศจรรย์

     

    น่าสงสารนายสัจจธรรมาคนนี้เหมือนกันนะครับ

     

    ทำไมล่ะคะ

     

    ก็... ตรงที่เขาไม่มีโอกาสได้รู้ว่า มีสตรีงดงามผู้หนึ่ง ถึงกับออกปากว่าหลงรักในผลงานของเขา

     

    แต่ฉันไม่คิดอย่างนั้น ฉันเชื่อว่าคนวาดเองก็ต้องรู้ดี หากเขาทุ่มเทชีวิตจิตใจ สร้างสรรค์ผลงานชั้นเยี่ยมออกมาได้ถึงขนาดนี้ เขาจะต้องรู้สึกได้ว่า ตนเองและฝีไม้ลายมือของเขานั้น ยอดเยี่ยมขนาดไหน

     

    พร้อมกับที่พูด หล่อนก็กลับมานั่ง รินน้ำชาร้อนให้เขาถ้วยหนึ่ง เป็นสัญญาณบอกว่าถึงเวลาที่ต้องลากันเสียที

     

    สัตยาตามมานั่งใกล้ๆ ไม่ได้แสดงท่าทางขัดขืนว่าไม่อยากจากไปไหน ซ้ำยังชวนคุยเรื่องรูปวาดต่อไป

     

    คุณเปญคิดว่าหากนายสัจจธรรมา มีโอกาสได้วาดภาพเหมือนของคุณสักครั้ง เขาจะถ่ายทอดออกมาได้ดีสักแค่ไหน

     

    หล่อนยิ้ม หันไปมองภาพประดับผนังอีกครั้ง ก่อนจะตอบคำ

     

    หากเขาทำให้ความทึบทะมึนของอังกอร์วัดยามค่ำคืน ดูนุ่มนวลอบอุ่นได้ถึงขนาดนั้น รูปของดิฉัน... ก็คงจะสวยงามไร้ที่ติ และก็คงจะเหมือนได้ราวกับมีชีวิต

     

    คุณเปญอยากให้เขาวาดรูปนั้นให้จริงๆ หรือไม่ล่ะครับ

     

    ทำไมคะ... หรือว่าคุณรู้จักนายสัจจธรรมา...

     

    หล่อนหยุดนิดหนึ่ง

     

    จริงสิ คุณชื่อสัตยา... สัจจธรรมา... ที่แท้แล้วคนวาดภาพอังกอร์วัดคือคุณนั่นเอง

     

    เพราะตั้งแต่เริ่มบทสนทนาเมื่อแรกพบ หล่อนจะไม่ยอมออกชื่อเขาเลย ทั้งที่รู้จากแม่ทูนหัวอยู่แล้วว่า จะต้องพบกับใครในวันนี้

     

    แต่ตอนนี้ก็เข้าใจชัดเจนแล้ว ผู้ชายที่ทั้งรูปร่างหน้าตากิริยาอาการ ล้วนชวนให้หลงเสน่ห์เหมือนต้องมนตร์ ยังมีฝีมือทางการรังสรรค์งานศิลปะ ชนิดที่หล่อนยังไม่เคยเห็นฝีมือของใครจะยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้

     

    ความทรงจำต่อจากตรงนี้ไปสิที่สูญหาย มันเป็นห้วงเวลาแห่งการตัดสินใจ เป็นการสมยอม หรือเป็นความคิดชั่ววูบก็ไม่อาจบอกได้

     

    กระทั่งความเลิศเลอหฤหรรษ์ที่เขาบรรจงมอบให้ ก็แทบจำรสชาติแห่งห้วงเสน่หานั้นไม่ได้อีกแล้ว

     

    รู้แต่เพียงว่า...

     

    หลังจากได้มอบใจมอบกายให้เขาแล้ว ก็ไม่คิดจะชำเลืองแลใครอีก

     

    พี่อยู่ในนี้ ก็เหมือนคนพลัดถิ่น โอกาสจะลืมตาอ้าปากก็ยากนัก ทางโน้น... ที่เมืองไทย ท่านผู้นำประเทศในตอนนี้ก็จบจากโรงเรียนเสนาธิการฝรั่งเศส ถ้าได้กลับไปทางโน้น คงมีโอกาสเจริญก้าวหน้าได้มาก...

     

    แล้วความทรงจำตอนนี้ก็กลับมาชัดเจน เป็นตอนที่เขาเริ่มถ่ายทอดถึงความฝันใฝ่ในชีวิต อ้างอิงเชื่อมโยงไปถึงท่านผู้มีส่วนก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ดำรงตำแหน่งผู้นำประเทศมานานนับสิบปี จากการสนับสนุนของกองกำลังทหาร รวมถึงยังเคยปรากฏนามสกุลเป็นชื่อจังหวัดหนึ่งในกัมพูชานี้อีกด้วย

     

    แต่ไม่ว่าอย่างไร เรื่องของเราสองคน พี่จะต้องทุ่มเทกายใจ ทำให้ถูกต้อง ให้สมกับเกียรติยศ...

     

    ฉันเป็นคนไม่มีเกียรติยศอะไรเลย แค่พี่สัญญาว่าจะไม่ทอดทิ้ง แค่นั้นก็พอใจแล้ว

     

    แต่ฐานะของพี่เวลานี้ มันยากนักที่จะทำอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอันขึ้นมาได้

     

    หล่อนจำได้กระทั่งน้ำเสียงเป็นกังวลของเขา ตอนที่กระชับวงแขนให้ร่างของหล่อนแนบแน่นอยู่กับแผ่นอกอบอุ่น

     

    อย่าพูดอย่างนั้นอีกเลยค่ะ ที่ฉันรัก ก็รักเพราะความอ่อนโยน ความสุภาพ รักในตัวตนของพี่ รักในความเป็นศิลปินของพี่ ไม่เกี่ยวกับความยากดีมีจนใดๆ ทั้งสิ้น

     

    พี่ขอให้สัญญา ว่าชาตินี้ พี่จะไม่มีใครอื่น จะรัก จะซื่อสัตย์ต่อสุดที่รักคนนี้ของพี่คนเดียวเท่านั้น

     

     

    ถึงคำพูดนี้

     

    หล่อนยันตัวขึ้นมามองตาเขาให้ชัดๆ

     

    น้ำตาแห่งความปลาบปลื้มเอ่อคลอขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

     

    ในฐานะเช่นหล่อน แม้จะรักนวลสงวนตัวไว้เพียงไรก็ตาม ใครเล่าจะเชื่อว่าหล่อนยังเป็นพรหมจรรย์ บริสุทธิ์ผุดผ่องอยู่ได้ ในสถานที่เช่นนี้

     

    นับเป็นบุญของน้องนักแล้วที่พี่พูดอย่างนี้ ผู้หญิงที่อยู่ในสถานที่แบบนี้ ใครเล่าจะเชื่อว่าไร้ราคี แล้วใครเล่าจะกล้าให้คำมั่นสัญญาอย่างที่พี่พูด

     

    แต่พี่พูดจากหัวใจจริงๆ

     

    น้องเชื่อค่ะ แต่วันพรุ่งนี้ไม่เคยแน่นอน หากเกิดผิดพลาดอะไรขึ้นมา น้องก็คงมีแต่จะขอลาตาย ไม่ขออยู่บนโลกนี้ต่อไป

     

    อย่าพูดอย่างนั้น บอกแล้วว่าพี่สัญญา หรือจะให้พี่สาบานก็ได้ ต่อมหาอังกอร์อันเกรียงไกรในเกียรติยศ ต่อมหาพราหมณ์ผู้เป็นบรรพบุรุษแห่งชาวกัมพุชประเทศ ต่อสิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลายในสากลโลก...

     

    หยุดเถิดค่ะ ฉันเชื่อพี่ตั้งแต่คำแรก ถึงบอกว่าหรือกระทั่งพี่ทรยศฉัน ฉันก็คงมีแต่จะขอตาย

     

    พี่สาบานว่าจะไม่เป็นอื่น สาบานว่าหากได้ดิบได้ดีมีหน้ามีตาขึ้นมาเมื่อไร จะมาสู่ขอน้องให้สมเกียรติ ให้สมฐานะตามประเพณี... ดีหรือไม่

     

    คำนี้ละที่ทำให้หล่อนเป็นปลื้มนักหนา ก้มลงหอมแก้มเขาเบาๆ เป็นเชิงยอมรับในสัญญาลูกผู้ชาย

     

    น้องเชื่อว่าพี่ต้องได้เจริญในลาภยศอย่างแน่นอน เพียงแต่... เขาพูดต่อๆ กันมาไม่ใช่หรือจ๊ะ ว่าลาภยศมักทำให้จิตใจของคนเราเปลี่ยนแปลงไปได้ง่ายๆ น้องก็หวังแต่เพียงเมื่อถึงเวลานั้นจริงๆ พี่จะไม่ทอดทิ้งคำมั่นสัญญาของเราในคืนวันนี้

     

    พี่ให้สัญญา จะให้ยืนยันอีกร้อยครั้งพันครั้ง พี่จะพูดเหมือนเดิม...

     

    เขากอดหล่อนกระชับแน่นในวงแขน จูบเบาๆ ที่หน้าผาก

     

    ในหน้าที่การงานนั้น พี่ตั้งใจแน่วแน่ว่าจะต้องขึ้นไปให้ถึงจุดสูงสุดแห่งเกียรติยศ ส่วนในเรื่องความรัก พี่ก็สัญญากับใจไว้ตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็นหน้า จะรักจะบูชา จะซื่อสัตย์กับน้องคนเดียวไปจนวันตาย

     

    แล้วอยู่ๆ เขาก็ผุดลุกขึ้น พร้อมกับเอ่ยเสียงเข้มข้น

     

    หรือหากน้องยังไม่เชื่อ พี่จะขอกรีดเลือดสาบาน ให้แม่พระเพลิงเป็นพยาน

     

    เขาทำท่าจะคว้ากรรไกรเล็มปลายผมที่โต๊ะเครื่องแป้ง ขึ้นมาทำอย่างที่ว่าจริงๆ จนหล่อนต้องผวาตาม

     

    อย่าค่ะ น้องบอกแล้วว่าน้องเชื่อ น้องเชื่อทุกถ้อยทุกคำของพี่

     

    มันติดขัดอยู่อย่างเดียวเท่านั้น

     

    เขาทิ้งตัวลงกับที่นอนอีกครั้ง โดยหล่อนยังกอดอยู่ไม่ปล่อย

     

    น้องคงต้องรอพี่อีกสักหน่อย รอให้พี่สะสมทุนรอนอีกนิด ภาพวาดพวกนั้น ถ้าขายได้ทั้งหมด พี่ก็คงได้กลับบ้านเกิดเมืองนอน ไปสร้างตัวตนให้เกิดมีขึ้นในสังคม สร้างชื่อเสียงเกียรติยศ

     

    พี่จะให้รอนานสักแค่ไหน...

     

    พี่จะทำให้ดีที่สุด เร็วที่สุด

     

    เขารับคำหนักแน่น ซึ่งที่จริงหากเขารับคำแค่แผ่วเบา หล่อนก็ยินดีจะเชื่อเขาหมดหัวใจอยู่แล้ว

     

    ตอนนี้ พี่ก็หวังแต่เพียงว่า ภาพพวกนั้นจะขายได้ราคา ขายได้เร็วๆ มีคนมามองเห็นคุณค่าของมัน เหมือนผู้หญิงที่สวยที่สุดในเขมร คนที่อยู่เคียงข้างพี่ในตอนนี้ได้มองเห็น

     

    จะนานถึงเพียงนั้นเชียวหรือคะ... กับคนไม่มีชื่อเสียงหรือเส้นสาย เมื่อไรเล่าภาพพวกนั้นจะขายได้ราคา

     

    ถึงตอนนี้หล่อนผละจากเข้า ขยับมาทางโต๊ะเครื่องแป้ง เปิดลิ้นชัดหยิบกล่องแบนใบใหญ่ขึ้นมา

     

    แก้วแหวนเพชรทองพวกนี้ น้องแอบสะสมไว้ทั้งชีวิต

     

    เขาคงเข้าใจเจตนาหล่อนได้ทันทีจึงรีบปฏิเสธ

     

    อย่าทำอย่างนี้ พี่เป็นลูกผู้ชาย ไม่คิดจะใช้ทรัพย์สินของผู้หญิงนำทางไปสู่ความเจริญก้าวหน้า

     

    จะเป็นอะไรไปคะ เราก็เป็น... เถอะค่ะ ถ้าพี่ลำบากใจ เอาอย่างนี้ ทั้งกล่องนี้ พี่คงเอาไปใช้เป็นทุนรอนได้จนสำเร็จ เอารูปวาดทั้งหมดมาฝากไว้ที่น้อง ทำเหมือนว่าเอามาจำนำไว้ ใครๆ จะพูดว่าพี่ไม่ได้ ดีไหมคะ

     

    ตอนนี้ละที่แค้นนัก!

     

    หล่อนแค้นหัวใจตัวเอง แค้นความอ่อนไหวอ่อนต่อโลก แค้นต่อความไว้เนื้อเชื่อใจ ที่ยอม... ยอม... ยอมเขาไปหมดทุกอย่าง

     

    เวลานี้ละ ตั้งแต่คืนนี้ไปนี่ละ... ที่หล่อนจะไม่ยอม

     

    ไม่ยอมให้เขาจากพรากไปไหนอีกแล้ว...

     

    ********************

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×