คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #8 : บทที่ 8 เล่ห์อัปสรา
บทที่ ๘
เล่ห์อัปสรา
หลังจากรับตำแหน่งใหม่มาได้หลายวัน สัตยาก็เริ่มชินกับระบบเช้าชามเย็นชาม ทั้งเรื่องความเคร่งครัดในเวลาเข้าออก และเรื่องระยะเวลาของการงานที่ได้รับมอบหมาย
เมื่อเร่งรัดอยู่ฝ่ายเดียว แล้วก็เกิดการหาเหตุบ่ายเบี่ยงกันไปต่างๆ นานา หนักเข้า เขาก็ต้องรามือไปเอง หลังจากกำชับสองครั้งสามครั้ง ก็ต้องปล่อยให้เลยตามเลย
ส่วนตัวเอง หลังจากคล้ายมีเรื่องวุ่นวายเพิ่มขึ้นทุกวี่วัน การงานที่เคยเข้าออกตรงเวลา ความมุมานะมุ่งมั่น ก็อ่อนล้าคลายความเข้มงวดลงไป
ยิ่งเห็นว่าปราโมทย์ ญาติผู้พี่ของภรรยา ที่รับหน้าที่ในกระทรวงใหญ่กว่าสำคัญกว่า ยังร่อนตะลอนไปทั่วได้ทั้งที่อยู่ในเวลาราชการ ตนก็อดคิดไม่ได้ว่า อาจต้องทำตัวตามภาษิต ‘เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตาม’ เสียบ้างกระมัง
ดูอย่างเมื่อหลังเที่ยง ทั้งที่เป็นเวลางานช่วงบ่าย กลับขึ้นมาในห้องทำงาน นั่งให้ข้าวกลางวันเรียงเม็ดได้พักเดียว ปราโมทย์ก็โผล่เข้ามา
“ผมทบทวนจนแน่ใจแล้วนะ คงไม่มีใครขโมยภาพวาดนั่นไปหรอก”
บทสนทนาก็ยังไม่พ้นเรื่องเดิม คือการหายไปของภาพวาดจากกระดาษหนังมนุษย์ภาพนั้น
“พี่ปราโมทย์นึกได้อย่างนั้นผมก็ยินดีด้วย ข้าคนในบ้านมันจะได้สบายใจ”
“ก็นั่นน่ะซี คืนนั้นไม่มีใครเข้ามาเกี่ยวข้อง ไอ้สองคนนั่นมันก็รับใช้ไว้ใจมานาน เรื่องแบบนี้ ผมไม่ยอมให้มาเสียคนกันเองหรอก”
“ใช่ครับ ผมเห็นด้วย เรื่องรูปวาดเรื่องกระดาษอะไรนั่น หากพี่ปราโมทย์อยากให้ผมรับใช้อะไรอีก ก็ยินดีเสมอ”
“แต่ที่คิดดูแล้ว มันก็น่าอัศจรรย์ใจอยู่ไม่น้อยละนะ”
ท่าทางของปราโมทย์กลับเป็นคล้ายกำลังครุ่นคิดเรื่องสำคัญ
“หรือว่ากระดาษหนังคนแผ่นนั้นจะมีอาถรรพ์อะไรจริงๆ ไม่ซี...ผมว่า ต้องเป็นอย่างนั้นแน่ๆ พอมีคนไปก่อรูปก่อร่าง ได้มีตัวมีตนขึ้นก็ ก็เหมือนว่ากระดาษนั่นได้ใช้ต่างผิวหนัง ห่อหุ้มวิญญาณที่สิงสู่อยู่ก่อนหน้า”
“พี่ปราโมทย์คิดมากไปหรือเปล่าครับนี่...”
“ผมนั่งคิดนอนคิดมานาน แล้วก็คิดว่าวิญญาณนั่นต้องเป็นฝ่ายดี คุณคิดดูซี ไม่อย่างนั้นจะออกมานั่งเป็นเพื่อนผมเรอะ ไม่เป็นไรๆ หล่อนอาจมีอะไรต้องทำ ผมขอสัญญาไว้แล้ว ว่าให้กลับมาอยู่กับผม นี่ก็จุดธูปจุดเทียน บวงสรวงเซ่นวักกลางแจ้งไปตั้งแต่เมื่อเช้า”
สัตยาเห็นท่าทางจริงจังของฝ่าย แล้วก็ได้แต่ปลง ไม่อยากพูดจาขัดใจอะไรอีก
“อะไรที่ทำแล้วสบายใจก็ทำเถอะครับ คนอย่างพี่ปราโมทย์ เรื่องอย่างนี้ไม่เหลือบ่ากว่าแรงอยู่แล้ว”
“สรุปว่าเราพักเรื่องรูปวาดอะไรนั่นไว้ก่อน แม่อัปสรายาใจนั่น เขาอยากจะกลับมาเมื่อไรก็คงกลับมาเอง แต่เราๆ นี่ซี ชีวิตไม่สิ้นก็ต้องดิ้นกันต่อไป จริงไหมเล่า”
แล้วน้ำเสียงและท่าทางของปราโมทย์ ก็เปลี่ยนกลับไป เป็นแววของเจ้าหนุ่มรักสนุกเช่นที่เคย
“เรื่องนั้นมันก็จริงแท้แน่นอน”
“ไอ้ผมน่ะยังโสด ยังไปได้อีกหลายน้ำ แต่คุณนี่สิ อย่างที่เขาว่า มีภรรยาก็เหมือนมีห่วงผูกคอ พวกเรารู้ดีกันทั้งนั้นว่า น้องศิเขาเป็นคนอย่างไร”
“คุณศิเขาดีพร้อม ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง”
ไม่รู้คนพูดจะมาไม้ไหน สัตยาจึงต้องเอ่ยไปในทางดีไว้ก่อน
“คุณพูดอย่างนี้ผมก็ไม่กล้าชวนน่ะซี”
“ชวน...”
“ไม่เป็นไร ไว้เป็นธุระของผมเอง”
“เรื่องอะไรกันแน่ครับ”
“ก็คืนนี้ไงเล่า คณะนาฏศิลป์กัมพูชาเขามาจัดแสดง งานเชื่อมสัมพันธ์สองวัฒนธรรมนั่นไม่ใช่รึ”
“นั่นมันคืนพรุ่งนี้ไม่ใช่หรือครับ”
ก็สัตยาอยู่ที่กรมกองนี้ มีหรือจะไม่รู้เกี่ยวกับโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ที่พยายามให้สองชาติสมานไมตรี มีการก่อผลประโยชน์ร่วมกัน มากกว่าจะมากีดกันให้ต่างฝ่ายต่างได้รับความเสียหาย เรื่องการแต่งงานของคุณศรสวรรค์นั่นก็เช่นกัน ก็เรียกว่าเป็นการแต่งงานเพื่อการเมืองดีๆ นี่เอง
“นั่นมันรอบทั่วไป ที่มาชวนเพราะนายโรงเขาจะจัดรอบพิเศษ ให้เราๆ ได้ยลโฉมพวกนางรำได้อย่างใกล้ชิด นี่แว่วๆ มาว่า ถ้าถูกใจนางไหน จะให้เขาช่วยอุ้มสมให้ก็ยังได้”
“ผมว่าไม่เหมาะกระมัง”
“ก็ถึงบอกว่าคุณแต่งงานแล้ว ก็ไม่เป็นไร ผมแค่มาชวนไปเป็นเพื่อน เรื่องจะติดตาต้องใจใคร ถ้าคุณอยากได้จริงๆ ไว้เป็นธุระของผมเอง”
“งานผมยังมีอีกมาก”
สัตยาต้องบ่ายเบี่ยง เพราะพอจะอ่านลู่ทางออกแล้วว่า การแสดงรอบพิเศษนี้ น่าจะมีจุดประสงค์ไปในทางกามาเสื่อมทรามเสียมากกว่า
“อย่างนั้นผมไปชวนน้องศิก็ได้ คือ... แค่ไปเป็นเพื่อน คนเขาจะได้ไม่มองว่าผมฝักใฝ่เรื่องนั้นจนเกินงาม”
“อย่าไปรบกวนคุณศิเลยครับ ถ้าพี่ปราโมทย์อยากให้ไปด้วย ผมก็จะไป”
“ไม่เป็นไร ผมตัดสินใจแล้ว ชวนไปด้วยกันหมดนี้ละ จะได้สบายใจกันทุกฝ่าย”
หลังจากนัดกับปราโมทย์ไว้ว่า จะไปเจอกันตอนเย็นหลังเลิกงาน แต่ขนาดระยะทางที่ทำงานกับบ้านของสัตยา แทบจะเรียกว่าอยู่ตรงข้ามกับฟากแม่น้ำ พอกลับมาถึง ก็เห็นญาติผู้พี่ของภรรยานั่งรออยู่ก่อนแล้ว
“กระผมว่าเรื่องใจร้อนนี่คงไม่มีใครเกินพี่ปราโมทย์”
สัตยาอดพูดไม่ได้ แต่อีกฝ่ายจะรู้สึกขัดเคืองอะไรก็หาไม่
“อย่าว่าไปเชียวนาสัตยา คนอย่างผมนี่ละ ที่เจริญในหน้าที่การงานอยู่ได้ทุกวันนี้”
“ว่าแต่ ชวนคุณศิหรือยังครับ”
“โทร.มาชวนตั้งแต่ตอนเราแยกกันนั่นละ ไปเถอะ คุณก็ไปล้างหน้าล้างตาเสียก่อน”
“ได้ครับ ผมขอตัวสักครู่”
ก่อนสัตยาจะผละมา ยังเรียกให้สาวใช้ช่วยเปลี่ยนน้ำร้อนน้ำชาให้อีกชุด ซึ่งก็คงถูกใจผู้มาเยือนไม่น้อย เพราะคนบริการคือนังจืด หญิงรับใช้ที่หูตาแพรวพราวสู้แสงอยู่ไม่ใช่ย่อย
พอเขาเข้ามาถึงห้อง ก็เห็นว่าภรรยากำลังชื่นชมต่างหูคู่งามเพลินอยู่
“ได้มาใหม่แล้วหรือจ๊ะ”
สัตยาหมายถึงต่างหูลูกมรกตคู่ในมือของศศิประภานั่นเอง
“คู่เดิมนั่นละค่ะ หากันแทบพลิกแผ่นดิน ที่แท้ก็ตกอยู่ตรงข้างขาโต๊ะนี้เอง”
“หรือว่าจืดมันเอามาวาง”
“เป็นไปไม่ได้หรอกค่ะ พูดไปก็น่ากลัว คุณพี่เชื่อเรื่องผีบังตาไหมล่ะคะ”
“อย่าพูดเรื่องผีสางอีกเลยได้ไหม พี่ขอร้อง”
สัตยาชะงักมือจากที่คิดจะนวดไหล่ให้หล่อน เปลี่ยนเป็นถอยกลับไปนั่งบนที่นอน
“แสดงว่าคุณศิจะได้สวมให้เข้าชุดกันเสียที”
เขาจำได้ว่า ชุดที่ภรรยาสวมใส่ คือชุดเดียวกับเมื่อวานซืน ที่มีเรื่องต่างหูหาย จนหล่อนงอนไม่ยอมไปงานวันเกิดท่านผู้หญิงนั่นเอง
“คุณศิคิดยังไง กับที่พี่ปราโมทย์มาชวน”
สัตยาจำเป็นต้องถาม คิดว่าญาติผู้พี่ของหล่อน ต้องปิดบังเจตนาที่แท้จริงไว้แน่ๆ
“ก็ไม่เสียหายอะไรนี่คะ พวกคณะนาฏศิลป์ เขาเป็นถึงตัวแทนจากประเทศโน้น”
“มัน... จะไม่ใช่อย่างนั้นน่ะซี”
เสียงเขาเบาลง จนศศิประภาต้องลุกจากเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องแป้ง มานั่งฟังอยู่ข้างๆ
“ไม่ใช่อย่างนั้นแล้วอย่างไหน...”
“ก็... เป็นพวกอย่างนางเอกละคร กับท่านจอมพลผู้นำบ้านเรานี้ละ”
“หมายความว่า...”
ศศิประภาเข้าใจความหมายได้ทันที เพราะกิตติศัพท์ของท่านจอมพลผู้นำนั้น ขึ้นชื่อว่าเป็นที่หนึ่งในเรื่องนี้ จนแทบจะเกิดเป็นลัทธิเอาอย่าง ในหมู่ข้าราชการหรือพวกชั้นสูงๆ ในคณะรัฐบาล
“ถึงว่า ร้อยวันพันปี พี่โมทย์ไม่เคยคิดอยากจะดูอะไรพรรค์หยั่งนี้”
ศศิประภาสะบัดลุก แกล้งทำเป็นงอนสามีพ่วงไปด้วย จนสัตยาต้องลุกตามมาง้อ
“พี่ไม่ได้อยากไปเลยสักนิด ติดตรงที่ว่า... ก็ต้องตามใจคุณปราโมทย์ คุณศิก็รู้”
เขากอดภรรยาไว้ในอ้อมแขน กดจมูกลงที่ซอกคอเบาๆ เป็นสัญญาณให้รู้ว่า ผู้หญิงคนสำคัญที่สุดของตนนั้นอยู่ตรงไหน
“ชวนศิไปด้วยก็ดีแล้ว จะได้ไปคอยดู ว่ามีอินังเขมรหน้าไหน มันกล้ามาเล่นหูเล่นตากับคุณพี่”
คำว่านางเขมรนั้น คล้ายมีดเสียบเข้ากลางอก สัตยาถึงกับเผลอปล่อยศศิประภาจากอ้อมกอด
พอเห็นสามีชะงักไป หล่อนก็ได้ที
“ทำท่าเหมือนถูกแทงใจดำ ทำไมคะ หรือว่าคุณพี่ ไปเคยมีลูกมีเมียเป็นนังเขมร ขแมร์ที่ไหน”
พูดจบ ศศิประภาก็กระแทกตัวนั่งลง
ที่พูดนั่น ก็คิดว่าแค่หยอกไปอย่างนั้นๆ เพราะใจนั้นมั่นใจ ว่าในหัวใจของสัตยา จะต้องไม่มีใครกล้ามาเป็นตัวแทนหล่อน เรื่องราวครั้งเก่าก่อน ที่เคยระแคะระคาย หล่อนก็จัดการจนจบสิ้นไปนานแล้ว ไม่มีเสียหรอกที่มันจะข้ามป่าข้ามเขามาทำร้ายรังควาญ ที่ยังกลัวๆ ก็นังเดือนที่เพิ่งมาตายในบ้านนี้เท่านั้น
ทั้งที่เห็นว่าเก้าอี้ตัวกลม แทบชิดอยู่ข้างขาด้วยซ้ำ
แต่ศศิประภากลับผิดพลาด กลายเป็นทิ้งตัวลงกับอากาศเปล่า บั้นท้ายกระแทกกับพื้นดังตึง!
“อูยยย์...”
หล่อนคร่ำครวญยาวนาน เจ็บจนลุกไม่ขึ้น ต้องให้สัตยาเข้ามาช่วยประคอง
“ไหมล่ะ เคยบอกแล้วว่าให้งอนน้อยๆ หน่อย”
เขาพยายามพูดให้เห็นขัน
“เก้าอี้มันเลื่อนหนี...”
ที่ศศิประภาพูดเช่นนี้ ก็เพราะชำเลืองไปสำรวจ ว่าเก้าอี้โต๊ะตัวกลม ขยับจากที่เดิมจริงๆ
“ที่ไหนกันล่ะ ก็ตอนที่คุณศิล้ม คงดันให้มันเลื่อนไปเอง แล้ว... เจ็บตรงไหน”
“โอ๊ย! ตรงนั้น!”
ศศิประภาสะดุ้ง เมื่อสามีแตะตรงสะโพก
สัตยาต้องพาภรรยากลับมานั่งพักบนเตียง
“ตามหมอดีกว่านะ”
“คงแค่ขัดยอกหรอกมังคะ ให้หมายมานวดคงดีขึ้น”
“คราวหน้าคราวหลัง จะลุกจะนั่งก็ระมัดระวังนะจ๊ะ รู้ไหมว่าพี่ห่วงคุณศิแค่ไหน”
“เจ็บยังกับถูกผีผลัก”
“มันเป็นอุบัติเหตุน่ะ พี่ขอแล้วไง อย่าพูดเรื่องผีสางอะไรอีกเลย”
สัตยาตั้งใจจะหอมภรรยาสักฟอดเป็นการแสดงความห่วงใย แต่มีเสียงจากข้างนอกดังขัดจังหวะขึ้นเสียก่อน
“อะไรกันนักหนา ถ้าจะพลอดรักกัน รอไว้ทีหลังไม่ได้เรอะ เห็นใจคนไร้คู่บ้างเถอะ”
เป็นปราโมทย์ที่ตะโกนอยู่หลังประตูนี้เอง
“ถ้าไม่ออกมา จะเปิดเข้าไปละนะ”
เสียงข่มขู่ เป็นอย่างคนทะเล้นเต็มที่
“พี่คงต้องไปกับเขาเสียหน่อยแล้วละ”
ศศิประภาพยักหน้าเห็นด้วย แต่ก็ยังว่า
“อย่าไปนานนักนะคะ”
“พี่ไม่ได้อยากไปอยู่แล้ว รับรองว่าจะไม่เถลไถล สายตาจะไม่มองใครเลยสักคน”
“สัญญานะคะ”
“จ๊ะ... สาบานเลยก็ได้ ถ้าพี่ผิดคำพูด ขอให้ไม่ได้ตายดีเลยซีเอ้า”
เมื่อมาเห็นแน่แก่ตา สัตยาค่อนข้างมั่นใจ ว่าคณะนาฏศิลป์จากประเทศเพื่อนบ้าน ไม่ใช่ที่มาจากส่วนงานของรัฐบาลเป็นแน่ แม้จะจับระบำรำฟ้อน ให้ได้ระเบียบจังหวะงดงามสักเพียงไหน ก็เป็นแค่มาตรฐานอย่างละครเร่ทั่วๆ ไปนั่นเอง
แต่เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมสองแผ่นดิน มีหรือที่ใครจะกล้าสงสัยซักถาม ยิ่งสำหรับพวกที่มาในวันนี้ ที่จ้องบรรดานางรำกันตาเป็นมัน ก็ล้วนมีจุดมุ่งหมาย มากกว่าแค่ชื่นชมในศิลปะการร่ายรำแต่เพียงอย่างเดียว
และเพราะเป็นงานยิ่งใหญ่ ผู้จัดงานรอบ ‘พิเศษ’ วันนี้ จึงได้ทีอ้างว่าเป็นการซ้อมใหญ่ ใช้อุปกรณ์ทุกอย่างเป็นของสิ่งเดียวกับที่จะใช้แสดงจริง โดยจัดการแสดงบนเวทีกลางน้ำที่สร้างยื่นพ้นออกมาจากอาคารหลัก จัดเป็นลานแสดงมหรสพเฉพาะกิจสำหรับงานนี้โดยเฉพาะ
ซ้ำยังจัดให้ผู้ชม นั่งชมจากอีกฟากของสระกว้าง ซึ่งรับละอองไอเย็นจากน้ำพุที่กระเซ็นละอองมาสัมผัสผิวได้ตลอดเวลา
ชุดการแสดงผ่านไปพร้อมกับที่ปราโมทย์ได้จดบันทึกเอาไว้เรียบร้อยว่า ถูกตาต้องใจนางรำในชุดไหน ไม่ว่าจะยืนอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลัง ด้านซ้ายหรือด้านขวาของเวที ก็ล้วนถูกจดรายละเอียดไว้ทั้งหมด
ส่วนสัตยาก็สักแต่ว่ามองให้มันผ่านๆ สายตาไป จากความที่ตนเองเคยอยู่ที่โน่นมาหลายปี เคยชื่นชมบรรดาคนทำดนตรี นักร้องนักฟ้อนรำที่จัดการแสดงได้ประณีตละเอียดอ่อนกว่านี้มามากต่อมาก
เห็นอยู่ชัดๆ ว่า กระทั่งการจับระบำเป็นคู่เป็นหมู่ ก็ไม่สู้การแสดงเดี่ยว ที่เขาเคยรับชม ตั้งแต่ยังไม่ได้เข้ามาเจริญหน้าที่การงานในเมืองไทย
แต่แล้วสายตาก็สะดุดเข้าอย่างจัง กับความผิดปกติของชุดการแสดง
ก็นางมโนราห์เริงธาร มีครบอยู่แล้วทั้งเจ็ดพี่น้อง เหตุใดจึงมีอีกนางโผล่ออกมาในตอนสุดท้าย แทรกกลุ่มเข้ามารำฟ้อนอยู่กลางวง แทนที่จะเป็นนายพราน ผู้หมายมุ่งจะจับสักนางหนึ่ง ไปเป็นบรรณาการแด่พระราชา
ทว่าในความรู้สึกของสัตยา ก็เป็นหล่อนนั่นเอง ที่ทำให้ทั้งเวทีน่ามองขึ้นได้อย่างน่าอัศจรรย์
ที่สำคัญ... คือ...
นั่นไม่ใช่หรือ แม่อัปสรายาใจของปราโมทย์
คือคนที่ญาติผู้พี่ภรรยาตน คลั่งไคล้จนคล้ายกับคนวิกลจริต
ไม่รู้ว่าเขาจะขำออกหรือไม่ หากตนหันไปบอกว่า รูปที่คนนั่งข้างๆ นี้ลุ่มหลงนักหนา ที่แท้ก็คือรูปวาด ภาพเหมือนคนรักเก่าของตัวเขานี้เอง
แล้วตอนนี้หล่อนก็กำลังจับระบำอยู่บนเวที เป็นท่วงท่าเหมือนตอนนางมโนราห์บูชายัญ มากกว่าจะเป็นตอนที่พรานบุญใช้บ่วงนาคบาศเข้ามาจับตัว
หรือว่าใครๆ จะไม่เห็นเป็นเช่นนี้ สัตยาต้องลอบชำเลืองมองคนอื่น พอเห็นว่าจดจ้องสายตาอยู่บนเวทีเป็นปกติดีอยู่ ก็หันกลับ
แต่นางคนกลาง ที่ระเริงรำได้โดดเด่นเป็นที่สุดนั่น กลับอันตรธานไปเสียแล้ว
แค่พริบตาเดียวที่คลาดสายตา...
แม่อัปสรายาใจของปราโมทย์... ไม่น่าจะราโรงได้รวดเร็วเช่นนี้
สัตยาผุดลุก จนคนที่นั่งข้างตกใจ
ญาติผู้พี่ของภรรยาหันมา ส่งสายตาตำหนินิดหนึ่ง โทษฐานรบกวนสมาธิ แต่เขาจำต้องกล่าวขอตัว
“ไปห้องน้ำสักครู่นะครับ”
ปราโมทย์ไม่ได้หันมาอะไรอีก นอกจากโบกมือให้ เป็นทำนองว่า จะไปไหนก็ไปให้พ้นๆเสียทีเถอะ
สัตยาอ้อมมาด้านหลัง และก็เพราะเพิ่งรับตำแหน่งว่าที่เจ้ากรมศิลปะได้ไม่นาน จึงติดขัดนิดหน่อยกับการจะผ่านเข้าไป
ด้านหลังโรงดูวุ่นวาย มีทั้งผู้ที่กำลังจะสวมและจะถอด มีเสียงเรียกหาอุปกรณ์แต่งหน้าหรือเครื่องสำอางดังอยู่แทบตลอดเวลา
ช่างเสื้อวิ่งตัดวิ่งตรึงผู้แสดงตัวนั้นตัวนี้อยู่วุ่นไป ตัวแสดงไหนที่พร้อมแล้ว ก็ต้องเลาะโรงไปหยิบเทริดบ้างชฎาบ้าง แล้วไปออกันเตรียมพร้อมอยู่หลังฉาก
แต่ให้สัตยาพินิจพิจารณาอย่างไรก็ไม่เจอ
จะอาศัยจับสังเกตจากเสื้อผ้า ที่เมื่อครู่ตอนอยู่หน้าเวที หล่อนก็สวมสีตัดคนอื่นอยู่ดีๆ แต่พอมาอยู่ด้านหลัง ชุดสีนั้นของหล่อน กลับสวมใส่กันอยู่เป็นมากมายก่ายกอง
เขาจึงถือเป็นโชคเข้าข้าง ที่หลังจากมองทะลุเลยอีกด้านเวทีออกไป แค่เห็นหลังไวๆ ก็จำได้ว่าต้องเป็นหล่อน
สัตยาเดินลัดแทรกกลางเข้าไปด้วยหวังจะรีบตาม แล้วเร่งฝีเท้าจนแทบจะเป็นวิ่งไล่กวดมาเกือบถึงเขตรั้วพระราชฐาน
ทว่า ถึงตรงนี้แล้วกลับไม่เห็นวี่แวว จนได้แต่นึกโทษตนว่าตาฝาดไปเอง
เขาเดินอ้อมกลับมาอีกทาง ตรงนี้มีสระบัวจริงๆ ที่คงผันน้ำมาจากคลองในพระที่นั่ง มีศาลาชมธารตั้งอยู่ท่ามกลางแมกไม้ เป็นมุมลับตาที่หากใครไม่ตั้งใจเพ่งเล็งมาก็คงมองไม่เห็น
คราวนี้เหมือนมีเสียงกระซิบ เรียกให้สัตยาชะเง้อมอง แค่เห็นสีของอาภรณ์เท่านั้นเขาก็ตรงรี่เข้าไป
ยิ่งใกล้ยิ่งเห็นชัด กระจะกระจ่างอยู่ท่ามกลางแสงสุดท้ายของยามสนธยา
เป็นหล่อนจริงๆ เป็นมนุษย์ที่แลเห็นได้ว่ามีเลือดมีเนื้อ มีผิวพรรณเต่งตึงแน่นเนียน มายืนอยู่ต่อหน้า
“คุณพี่ เป็นคุณพี่ที่เราพบกันที่ศาลาท่าวัดนั้น ใช่หรือไม่”
สุภาพสตรีตรงหน้าเป็นฝ่ายเอ่ยขึ้นก่อน
“เอ่อ... ผม...”
สัตยาถึงกับพูดอะไรไม่ออก เพราะพินิจแน่ชัด แล้วไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง ว่าคนที่มีรูปร่างหน้าตา ตลอดจนน้ำเสียงหรือจริตกิริยา เหมือนราวกับเป็นคนคนเดียวกัน จะมีอยู่จริงๆ
ภาพที่ซ้อนขึ้นมาในมโนคือคนที่เคยรัก... เคยรักอย่างสุดหัวใจ
คือภาพของผู้หญิงคนที่เขาวาดลงไว้ในกระดาษหนังมนุษย์
คือผู้หญิงที่ทำให้ปราโมทย์ หลงรักหลงเพ้อจนถอนตัวไม่ขึ้น... นั่นเอง...
พอทำอะไรไม่ถูกก็หันกลับ หวังจะไปหาที่ตั้งหลักตั้งสติ
แต่ไม่ทันก้าวพ้นจากร่มศาลา ก็รู้สึกเหมือนถูกผลัก
เป็นแรงผลักที่ทำให้ถึงกับตัวกระเด็น ทั้งร่างถลาลงในสระบัวซึ่งลึกกว่าที่คิดมากมาย
สัตยาพยายามตะกายขึ้น แต่เหมือนแขนขาถูกรัดตรึง คงเป็นพวกกอสาหร่ายใต้น้ำที่พัวพัน ทำให้ยิ่งดิ้นก็ยิ่งขยับได้ยาก
ในอึดใจสุดท้ายนี้เอง ที่หัวใจส่วนลึกของตนได้โล่งใจ ว่าถึงตายไปก็ไม่เสียดายอะไรแล้ว เพราะได้พบเจอกับหัวใจรักของตัว ที่กลับมีอันต้องมาตายจาก และเขาต้องใช้เวลาอีกยาวนาน กว่าจะตั้งสติ ตั้งตัวและตั้งหลัก เพื่อวิ่งตามความฝันอันเคยเล่าสู่แบ่งปันกันกลับคนรักเก่า
สัตยาเลิกดิ้นรน ตั้งใจปล่อยให้ปรานแห่งชีวิต ถูกกลืนหายด้วยสายน้ำ
พอสุดห้วงหายใจ...
สติก็พลันดับวูบ...
แมลงเล่นไฟพลัดร้อนลงมาไต่ตอม บางตัวชอนเข้าไปในจมูก จนร่างกายต้องมีปฏิกิริยา ความรู้สึกตัวของสัตยา จึงได้กลับมาเพราะต้องป่ายปัด เจ้าตัวน่ารำคาญพวกนี้
เป็นเวลาดึกสงัดและเงียบวังเวง ดวงไฟที่ตามไว้ให้สว่างพอเฉพาะในร่มศาลา ไม่ช่วยให้เห็นภาพภายนอกว่าเป็นที่ไหน
คนเพิ่งได้สติต้องลำดับความ และไม่แน่ใจเลยว่า มานอนหมอบอยู่ตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไร
พยายามปรับสายตาให้คุ้นกับความมืด จึงค่อยเห็นได้ว่า ตนน่าจะยังคงตกค้างอยู่ในศาลาข้างสระใหญ่ในสวนอัมพรนี้เอง
ไม่ทันได้แปลกใจว่าเหตุใดไม่มีใครมาพบเห็น หรือเหตุไรเสื้อผ้าที่สวมใส่จึงยังชื้นอยู่นัก ก็มีเสียงคนกลุ่มหนึ่งดังใกล้เข้ามา
สัตยายังงุนงง ตอนที่ใครคนหนึ่งในนั้นเอ่ยถาม
“พ่อนาย เห็นใครผ่านมาทางนี้บ้างหรือหาไม่ นังนี่มันร้าย ทำอย่างนี้หลายครั้งหลายหน”
เสียงนั้นเย็นๆ เครือๆ และเป็นสำเนียงรัวๆ ของชาวขแมร์ที่เขาคุ้นเคย
แล้วทั้งกลุ่มก็ไม่รอคำตอบ พอคนนำพูดออกมาแล้ว ก็พากันผละไป ด้วยท่าทางการเดินเหินที่ออกจะแปลกประหลาด คือตัวแข็งๆ พิกล
สัตยามองตาม และถ้าตาไม่ฝาด เขาก็ไม่แน่ใจว่าทำไมไม่เห็นเงาร่างของคนพวกนั้น เพราะการที่บางคนถือโคมไฟไว้ในมือ ที่พื้นก็น่าจะมีเงาคนพวกนี้ทอดยาวบังแสงอยู่เป็นหลายเงาไม่ใช่หรือ
พอจะขยี้ตามองให้แน่ๆ พวกนั้นก็ลับพุ่มไม้ไปเสียก่อน พร้อมกับที่มีอีกเสียงเรียกมาจากด้านหลัง
“คุณพี่ๆ คุณพี่จ๊ะ”
เสียงหวานใส ทั้งหวาดระแวง และระแวดระวัง
“พวกนั้น ไปกันหมดรือยัง”
“จ๊ะ... จ้ะ”
เขาตอบไม่เต็มเสียง เพราะตะลึงอยู่กับผู้ที่เอ่ยทัก
เป็นแม่อัปสรายาใจของปราโมทย์นั้นเอง ที่เพิ่งโผล่พ้นพุ่มพู่ระหงริมสระน้ำออกมา
“ช่วยฉันด้วยเถิดจ้ะ ช่วยฉันด้วย”
“เธอคือ...”
“เราเคยพบกัน เมื่อคืนก่อน...”
“แล้วเมื่อหัวค่ำ”
“เมื่อหัวค่ำ?”
หญิงสาวส่งสีหน้าสงสัยมาให้แทนคำตอบ
“ก็... ที่แสดงระบำ...”
“อ๋อ... จ้ะ... ฉันอยู่ในคณะระบำนี้เอง”
หล่อนก้าวมาในศาลาเรียบร้อยแล้ว และพออยู่ใกล้เข้า สัตยาก็ยิ่งแทบไม่เชื่อสายตา ลอบสังเกตดูรูปเงา ก็เห็นว่ามีอยู่เป็นปกติ เลยมั่นใจว่าเป็นคนแน่ๆ ไม่ใช่ผีสางปลอมแปลงมาจากไหน
“ช่วยฉันด้วยนะ ช่วยฉันด้วย...”
คราวนี้หล่อนคุกเข่าลง น้ำตาไหลพรากอาบสองแก้ม
“มันเรื่องอะไรกัน ใช่คนพวกนั้นหรือเปล่าที่รังแกเธอ”
“จ้ะ พวกนั้นจะตามฉันกลับ นายโรงจะขายฉันให้เจ้าสัวเยาวราชที่ไหนก็ไม่รู้”
“ทำอย่างนั้นไม่ได้ นี้มันประเทศประชาธิปไตย”
“พี่จะช่วย... พี่จะช่วยฉันใช่ไหม...”
คำถามนี้ กลับทำให้สัตยาทำหน้าไม่ถูก
“ก็... แล้วผมจะช่วยได้ยังไงกัน”
“คุณพี่เจ้าขา ฉันขอร้อง ฉันกราบละ ช่วยฉันด้วยนะ”
หล่อนยกสองมือขึ้นพนมท่วมหัว เสียงนั้นยิ่งสั่นระรัว ต่อให้มีท่อนแขนปิดบัง สัตยายังเห็นได้ว่า น้ำตายังรินไหล
และพอเห็นสัตยายังนิ่งอยู่ในสีหน้าหนักใจนักหนา หล่อนก็ถึงกับก้มกราบลงที่แทบเท้า
“พอ... พอเถอะ บอกมาเถอะจะให้ช่วยอย่างไร”
“พี่รับปากฉันแล้วนะ ช่วยฉันด้วย พาฉันหนีให้พ้นจากพวกนั้น”
“แล้วจะให้พาไปที่ไหน มีคนรู้จัก มีญาติพี่น้องในพระนครนี้บ้างหรือเปล่า”
“ฉันตัวคนเดียว ถูกขายให้อยู่ในคณะ ไม่รู้จักใครเลย เคยหนี... เขาก็จับตัวกลับมา”
น้ำตายังพรั่งพรู นัยน์ตาที่มีหยาดน้ำตาเอ่อท้นอยู่ตลอดเวลา สะท้อนแสงไฟได้อย่างระยับจับใจ จนเขาไม่อาจละสายตา
ราวกับต้องมนตร์ ขณะที่จิตใจเบื้องลึกก็โหยหา คล้ายได้ของมีค่ากลับคืนสู่อ้อมอก เป็นคนมีเลือดเนื้อ ที่รำพึงรำพันขอความช่วยเหลืออยู่ตรงหน้า
ชั่วอึดใจที่สบสายตา สัตยาก็รู้ตัวเองว่า จะต้องพาหล่อนให้รอดพ้น มีอย่างที่ไหน ในภายใต้การนำพาประเทศของท่านจอมพล จะให้ใครมาซื้อมาขายสุภาพสตรี เหมือนบ้านป่าเมืองเถื่อนกระไรได้
“ฉันไม่มีที่ไปอีกแล้ว...”
หล่อนคร่ำครวญหนักขึ้น เมื่อเห็นสัตยายังทำท่าว่าตัดสินใจไม่ได้สักที
“หรืออยากกลับบ้านกลับเมือง”
“จะกลับไปที่ไหน ฉันไม่มีญาติพี่น้อง หรือพี่จะพาฉันไปปล่อยไว้วัดไหนก็ได้ แค่เพียงไม่ถูกจับไปขายให้ใครก็ไม่รู้”
“อย่าพูดอย่างนั้น ผมก็มีมนุษยธรรม ถ้าไม่มีที่ไป และไม่รังเกียจ ไปพักกับผมก่อน แล้วค่อยๆ หาลู่ทาง”
คราวนี้จากการที่หล่อนทั้งกราบทั้งไหว้ และดวงตาที่สบตากันอยู่แทบตลอดนั้น สัตยาเห็นชัดว่า หล่อนดีใจขนาดไหน
“แต่คงต้องอยู่คนเดียวไปก่อน และออกจะเปลี่ยวอยู่สักหน่อย...”
“ขอให้ไม่ถูกจับกลับมา ที่ไหนฉันก็อยู่ได้”
“อยู่กลางสวน ลึกเข้าไปในแถบคลองฟากข้างโน้น”
สัตยาหมายถึงเรือนจันทร์ เรือนกลางสวนที่ตนปลูกไว้สำหรับงานที่ต้องใช้สมาธิสูง อยู่ลึกเลยคลองชักพระเข้าไป จนถึงแถวปากคลองบางระมาด ย่านตลิ่งชัน
“แต่คงเป็นที่นั้นละ เป็นที่ส่วนตัว ไม่มีใครตามเจอ”
“ยิ่งไกลจากที่นี้ได้เท่าไหร่ก็ยิ่งดี เราไปกันประเดี๋ยวนี้เลยได้ไหม ฉันกลัวพวกนั้นจะย้อนกลับมา”
“อย่างนั้นก็ไปกันเลย เดินไกลหน่อยนะ กว่าจะถึงท่าเรือ ว่าแต่...”
การที่สัตยาหยุดคำไว้แค่นี้ ทำให้หล่อนหน้าเสีย
“จ๊ะ... หรือคุณพี่จะไม่ช่วย...”
“ไม่ใช่อย่างนั้น เพียงแต่... พี่ขอถามอีกสักคำ”
“จ้ะ ถามมาเถอะ”
“กลางค่ำกลางคืน ถ้าต้องอยู่คนเดียว จะอยู่ได้หรือ ไม่กลัวผีสางมาหลอกมาหลอนเอาหรือไร”
ที่ถามออกไป เพราะสัตยาเห็นอยู่แล้ว ขึ้นชื่อว่าเป็นหญิง แม้แต่คนใกล้ตัวของตนเอง ศศิประภายังกลัวผีกลัวสางเป็นจริงเป็นจัง นับประสาอะไรกับหญิงสาวไร้เดียงสา ไร้แววจริตมารยาที่นั่งเช็ดน้ำตาป้อยอยู่ตรงหน้านี้
แล้วหล่อนก็ตอบคำ หลังจากคงสบายใจได้แล้ว ด้วยน้ำเสียงหวานที่เจือแววยะเยียบเย็นจนสัตยารู้สึกชาวาบขึ้นมาในหัวใจ
“จะกลัวไปทำไมเรื่องผีสางนางไม้ คนซีจ๊ะที่น่ากลัวกว่าเป็นไหนๆ”
********************
ความคิดเห็น