ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พรายเสน่หา*

    ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 6

    • อัปเดตล่าสุด 12 พ.ค. 56


     


    บทที่ 6





    “มันกลายเป็นแบบนี้ไปได้ยังไงเนี่ย” ฉันบ่นดังๆ กับความมืดสลัวนอกหน้าต่าง หลังจากที่คนอื่นๆ แยกย้ายกันไปหมดแล้ว

    ยกเว้น... อีตานี่ พรายหนุ่มจ้าวเสน่ห์ ที่ฉันกลับต้องเป็นฝ่ายให้ความคุ้มครอง และเมื่อพี่สิทธายื่นเงื่อนไขไปอย่างนั้น แทนที่จะเป็นเพียงการเกื้อกูลกันแบบพิสดาร มันจึงเลยเถิดกลายเป็นธุรกิจที่มันไตรกลายเป็นลูกค้า และฉันอาจต้องให้บริการ... รับใช้... นอกจากจะควรให้แค่ที่พักเพื่อซ่อนตัว

    หน้าต่างบานใหญ่เป็นกระจกเลื่อนที่ยังใสกระจ่าง ทำให้อารมณ์ขุ่นมัวของฉันพอคลี่คลายลงได้บ้าง เมื่อได้มองหมู่ดาวระยิบระยับกลางคืนเดือนมืด ที่ฟากฟ้าราตรีจ้าแจ่มไร้เมฆหมอกมาบดบัง

    แล้วหางตาฉันก็เหลือบเห็นท่อนขาแข็งแกร่งในกางเกงผ้าเนื้อบาง มาทรุดกายนั่งลงข้างๆ อยู่บนโซฟาตัวเดียวกับฉัน

    “เพราะคุณใจดีเกินไปถึงเป็นแบบนี้ ทั้งที่คุณเองก็กลัว แต่คุณกลับรับผมมาด้วย ที่สำคัญคือคุณดันมีพี่ชายที่เห็นเงินเป็นพระเจ้าอีกต่างหาก”

    เขาเอ่ยขึ้นโดยไม่ต้องสนใจว่า ฉันจะยินดียินร้ายอะไรหรือไม่ และสิ่งที่พูดนั้นก็ตรงเผงกับคำตอบที่ฉันใช้ปลอบใจตัวเอง

    “แล้วคุณล่ะ ต้องมาตกอยู่ในสภาพนี้ คุณโอเคหรือเปล่า”

    เพราะท่าทาง วิธีคิดและวิธีพูดจาของมันไตรเปลี่ยนไปแบบเป็นคนละคน ฉันจึงกล้าตั้งคำถามอย่างนี้ ซึ่งหากเป็นเขาคนเดิม ฉันไม่มีวันที่จะตั้งคำถามแบบชี้โพรงให้กระรอกแบบนี้เด็ดขาด แต่ในที่สุดฉันก็จำเป็นต้องขยายความ

    “คือ หมายความว่า การที่พิชากันจอห์นเห็นคุณเป็นสมบัติล้ำค่าชิ้นหนึ่ง ที่จะต้องเก็บซ่อนไว้ในหีบเก่าคร่ำคร่าอย่างมิดชิด... เอิ่มมม์... ซึ่งหีบใบนั้นคือฉันเอง”

    “ผมก็สบายไปน่ะซี ที่พวกเขายังคงจงรักภักดี จนยังคงหาทางดูแลผมเป็นอย่างดี”

    “เชอะ!”

    เห็นไหมล่ะ ถ้าเป็นมันไตรคนเก่าละก้อ เขาจะไม่พูดในทางดีอย่างนี้เด็ดขาด

    “คุณทำอย่างกับว่า ผมคนเก่าเป็นคนเลวร้ายมาก... หรือไม่ก็ต่างกันสุดขั้ว คือเป็นพ่อพระที่ใครๆ ก็ยินดีรับใช้”

    ความคาดเดาอันนี้ทำให้ฉันถึงกับขำออกมา

    “แสดงว่าไม่ใช่ อย่างนั้นหรือ”

    “เอาเถอะค่ะ อย่างที่คุณว่ามาน่ะดีแล้ว คุณสบายใจได้ว่า อย่างน้อยเขาก็ยังจงรักภักดี ยินดีรับใช้ และดูแลคุณอย่างดีที่สุด”

    ฉันคงจำเป็นต้องให้กำลังใจเขาบ้าง ทั้งที่ไม่แน่ใจหรอกว่า ค่าคุ้มครองที่ได้รับนั้น ผูกพันไปถึงการดูแลด้านจิตใจด้วยหรือไม่

    “รำคาญไหมคะ นั่งให้พัดลมเป่าอย่างนี้”

    “ไม่ครับ ผมโอเค”

    อย่างไรเสีย ฉันก็หันกลับไปปรับแรงลมของมันให้เบาลง คิดอยู่ในใจว่า ที่จริงตัวเองก็ไม่ได้ชอบพัดลมนักหรอก แต่เครื่องปรับอากาศมันเกินกำลังเงิน

    สิ่งที่ตามมากับการเบาพัดลม คือมันเริ่มสั่น และส่งเสียงดังขึ้น

    “เสียงมัน... เอ่อ... คุณไม่รำคาญหรือ”

    นี่คงเป็นคำบ่นกระมัง

    “อรัญก็พูดเหมือนแบบนี้เปี๊ยบเลยละค่ะ”

    ฉันแนบตัวลงกับพนักโซฟา ใช้คางเกยไว้ด้านบน สายตายังทอดออกไปสู่ท้องฟ้ายามราตรี

    “แล้วอรัญของคุณไปอยู่ที่ไหนเสียล่ะ”

    “อัสสัมมังคะ ทางตะวันออกของอินเดีย”

    “เขาบอกหรือ”

    “แน่นอนค่ะ”

    “อย่าหาว่าผมยุ่งเรื่องส่วนตัวนะ แต่ขอเดาว่าคุณกับเขาจืดจางกันไปหมดแล้ว...”

    นี่เขาพูดได้สุภาพเกินไปหรือเปล่าเนี่ย

    “ก็... ก็คงอย่างนั้นละค่ะ และดูท่าว่ามันจะไม่มีโอกาสหวนกลับมาได้อีกแล้ว”

    ฉันรู้สึกว่าตัวเองใช้น้ำเสียงได้ราบเรียบที่สุดเท่าที่พูด หลังจากความสัมพันธ์ของฉันกับอรัญต้องสะดุดหยุดลง

    มันไตรรูปร่างสูงใหญ่ โซฟาคู่ตัวนี้จึงค่อนข้างเล็กไปสำหรับเขา แต่ก็ยังพยายามเหยียดตัวออก เพื่อที่จะเอนตัวลงแนบกับพนัก และให้ใบหน้าหนุนอยู่กับส่วนบนของมัน ใบหน้าของเราห่างกันไม่ถึงหนึ่งฟุต

    โอ้!... คุณพระคุณเจ้า... แววตาลึกซึ้งจากนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม ในกรอบขนตาดกหนาและยาวเป็นแผงของดวงตาคมเข้มคู่นี้... ทำให้หัวใจฉันสูบฉีดเร็วและแรงขึ้นอย่างห้ามไม่ได้

    “เล่าให้ผมฟังบ้างสิ”

    เขาพูดเหมือนกระซิบ แต่มันกลับก้องกังวานเข้ามาในหัว คิ้วเข้มยกขึ้นนิดหนึ่ง หลังจากได้โลหิตสังเคราะห์ที่พี่สิทธาเสิร์ฟให้เมื่อชั่วโมงที่แล้ว ทำให้ดวงหน้าหล่อคมสัน ซับไปด้วยสีเลือดฝาดอ่อนจาง

    “ที่จริง คุณต้องรู้จักอรัญดี เพราะเขาทำงานอยู่ในเขตรับผิดชอบดูแลของคุณ แต่ถ้าคุณจะจำไม่ได้ก็ช่างเถอะ เกี่ยวกับเขา จะว่ายังไงดี ก็ฉลาด รอบคอบ ใจเย็น พึ่งพาได้... แค่บางอย่างก็หุนหันพลันแล่นไปหน่อย”

    ไม่เคยคิดมาก่อนหรอกว่า ต้องมาเล่าเรื่องราวของตัวเองกับแฟนเก่าให้ใครรับรู้ โดยเฉพาะคนที่กำลังตั้งอกตั้งใจฟังอยู่ตรงหน้านี้คือมันไตร

    “เขารักคุณไหมครับ”

    เป็นคำถามสุภาพที่เสียดแทงหัวใจได้เจ็บปวดที่สุด น้ำตาฉันเอ่อขึ้นมาทันทีที่จบคำถาม นึกถึงเรื่องนี้ครั้งใด หัวใจเจ้ากรรมมันกลับมาเจ็บช้ำได้ทุกทีเลยเชียว

    “ตอนนั้น... ก็คิดว่าเป็นอย่างนั้นนะ เขาเรียกฉันว่าที่รัก...”

    ยิ่งพูดก็ยิ่งเศร้า

    “แต่พอนังพรายนั่นติดต่อมาเท่านั้นละ เขาก็เปิดแน่บไปหา”

    ฉันรู้ทีหลังว่าเมวีฬ์แอบส่งข้อความให้เขาทางเฟสบุ๊คส์

    “หล่อนเคยใช้ชีวิตร่วมกับอรัญ นั่นหมายถึงจะต้องเป็นคู่ผัวตัวเมียกันไปตลอดชาติหรือเปล่าล่ะ ฉันไม่แน่ใจหรอกว่าพวกคุณยึดความสัมพันธ์กันแบบไหนบ้าง กับผู้ที่เปลี่ยนให้คุณเป็นพราย แต่นั่นก็เป็นเหตุผลที่เขาบอกฉันว่า จำเป็นต้องรีบไปทันทีที่ผู้สร้างเรียกหา และในที่สุดอรัญก็รู้ว่าที่แท้มันเป็นยังไง...”

    ตอนที่พูดอยู่นี้ สายตาฉันยังเหม่อมองไปยังหมู่ดาว จนถึงประโยคท้ายจึงได้หันกลับมาเห็นว่า มันไตรกำลังตั้งใจฟังเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะตอนนี้ ที่ความฉงนสงสัยปรากฏอยู่ในดวงตาคู่สวยทั้งสองข้าง

    “ที่แท้แล้วคือหล่อน หลอกให้อรัญไปเข้ากับพวกไสย์ดำ ศาสตร์มืด อะไรทำนองนั้น”

    “จริงรึ!”

    คงเป็นเรื่องร้ายแรงที่จะเกิดขึ้นกับพรายดีๆ สักตนหนึ่ง มันไตรที่สูญเสียความทรงจำจึงมีปฏิกิริยาได้ถึงขนาดนี้

    “อรัญบอกว่า หล่อนหลอกให้เขาไปสังกัดอยู่กับพวกพรายที่วังเวียง ที่ประเทศลาวน่ะค่ะ โดยให้เอาข้อมูลสำคัญไปด้วย ข้อมูลที่เป็นภารกิจสำคัญของอรัญ คือรวบรวมรายชื่อและแหล่งข้อมูลเกี่ยวเหล่าพรายในแดนอุษาคเนย์ทั้งหมด ที่เตรียมไว้ให้กับมหารานีของพวกคุณ”

    ฉันพยายามรวบรัด ไม่อยากจะต้องอธิบายอะไรเพิ่มเติมในเรื่องปลีกย่อยอื่นๆ

    “แล้วยังไงอีกครับ”

    ตอนเล่าให้โปร่งฟังฉันยังไม่สนุกปากเท่านี้ อาจเป็นเพราะโปร่งเป็นคนธรรมดา การเล่าเรื่องบางอย่างจำเป็นต้องข้ามไปบ้าง เพราะหลายอย่างกฏหมายมนุษย์ยังไม่อนุญาต แต่กับพรายหนุ่มความจำเสื่อมตรงหน้า การเล่าเรื่องของพวกเดียวกันกับเขา ไม่จำเป็นต้องคอยระวังเรื่องควรไม่ควรอะไรเลย

    “หล่อนชื่อเมวีฬ์ ทั้งที่เป็นคนสร้างและอยู่เป็นคู่ของอรัญมาเป็นร้อยๆ ปี หล่อนกลับทรมานเขาแบบไม่รู้สึกอะไรเลย”

    มันไตรขยับตัวอย่างอึดอัด เขาคงไม่อยากจะเชื่อว่า ‘ผู้สร้าง’ จะทำร้ายผู้ที่ตนสร้างขึ้นเพื่อผลประโยชน์อะไรก็ตาม

    “ฉันหรือกระทั่งตัวอรัญเองก็ไม่อยากจะเชื่อหรอกค่ะ ว่าหล่อนจะทำได้”

    คราวนี้คนฟังพยักหน้าเห็นด้วย

    “มันเกี่ยวกับเราก็คือ คุณเป็นหัวหน้าสังกัดของอรัญที่เจริญกรุง ฉันไปหา แล้วคุณก็แนะนำให้ฉันไปตามหาอรัญถึงแถวพนัสนิคม มันไม่ง่ายเลยนะคะที่อยู่ๆ จะเข้าไปในแหล่งมั่วสุมของพวกพรายป่าแถบนั้น”

    มันไตรขยับตัวเองครั้ง ดูเหมือนจะใกล้ฉันเข้ามาอีกนิด

    “ก็เป็นสวนอาหารกึ่งผับมังคะ ออกแนวเพื่อชีวิต ร้านนั้นชื่อเรือนพนัส แต่พวกสัตว์สมิงจะเรียกกว่าโรงเชือด อ้อ!... เป็นคุณเองที่ให้ฉันไปพร้อมกับสัตว์สมิงอีกตนที่เคยเป็นหนี้บุญคุณกับคุณอยู่ ระหว่างที่ตามหาอรัญ ฉันยังได้ไปพักอยู่กับเขา”

    พูดมาถึงตรงนี้ฉันก็อดนึกถึงชายในฝันอีกคนไม่ได้ ภูอินทร์ เป็นหนุ่มเหนือที่สะอาดสะอ้านหมดจด ทั้งที่รูปร่างทั้งเรือนกายแกร่งไปด้วยลวดลายมัดกล้ามเนื้อ แต่ไม่มีส่วนใดเลยที่ไม่น่าสัมผัสลูบไล้

    “ก็... อย่างที่บอก ขึ้นชื่อว่าโรงเชือด ฉันเองก็แทบเอาตัวไม่รอด”

    ฉันตัดบทมาถึงตอนสำคัญ

    “ยังไงกัน!!!”

    ดูเขาจะตื่นเต้นขึ้นอีกเป็นร้อยเท่า

    “ถูกขวาก ไม้ไผ่เหลาปลายแหลมเปี๊ยบ แทงให้น่ะซี ตัวฉันเองยังไม่อยากจะเชื่อว่ารอดมาได้ยังไง”

    แน่นอน ตอนนี้พรายหนุ่มตรงหน้าก็แสดงสีหน้าทึ่งสุดๆ เช่นกัน ก่อนที่จะเอ่ยขึ้นว่า

    “แผลคงลึก คงยังมีแผลเป็นอยู่ ใช่ไหมครับ”

    “ยังมีอยู่ ถึงมันจะ...”

    ฉันหยุดกะทันหัน จนเขาถึงกับยื่นหน้าเขามาใกล้ เหมือนกับลุ้นอยู่ใจจะขาด

    “ถึงมันจะ... อะไรครับ”

    “ถึง... มันจะดูแปลกๆ กับการที่คุณจะบอกให้พรายในสังกัดของคุณที่ไปฝังตัวอยู่ที่พนัสนิคมรักษาอาการบาดเจ็บจนฉันรอดมาได้ และคุณยัง... ให้ฉันดื่มเลือดของคุณ เพื่อให้ฉันแข็งแรงขึ้น และมีกำลังที่จะออกตามหาอรัญอีกครั้ง”

    ฉันรู้สึกได้เลยว่าตัวเองหน้าแดงขึ้นขนาดไหน เรื่องที่พรายสักตนจะยอมมอบโลหิตของตนให้กับผู้อื่นมันเป็นเรื่องสยองขวัญปนโรแมนติก ที่ฉันก็กระดากใจไม่น้อย หวังเพียงว่าใบหน้าที่แดงซ่านขึ้นมานี้ จะไม่ถูกเขาสังเกตเห็น

    “ในที่สุดคุณก็ช่วยอรัญไว้ได้”

    เขาช่วยสรุป

    “ใช่ค่ะ” ตรงนี้เป็นความภาคภูมิใจอันหนึ่งในชีวิตของฉัน

    “ฉันนี้ละ ที่ช่วยให้จมูกสวยๆ ของเขาไม่บุบสลายมากไปกว่านั้น”

    ฉันพลิกตัวเองจากที่ซบอิงอยู่กับพนักโซฟา ตอนนี้บอกได้เลยว่ารู้สึกดีขนาดไหน เวลาที่มีคนคุยด้วยและแสดงว่าสนอกสนใจเราถึงขนาดนี้ ฉันถลกชายเสื้อขึ้น ให้เขาดูรอยแผลเป็นตรงสีข้าง

    พรายหนุ่มจ้าวเสน่ห์พิจารณาอย่างจริงจัง ก่อนจะใช้ปลายนิ้วเกลี่ยลงบนผิวหยาบๆ ของมัน พร้อมกับส่ายหน้าแสดงความหมายว่า เรื่องนี้ไม่ควรจะเกิดขึ้นกับฉัน

    แต่มันเกิดขึ้นแล้วนี่นะ เรื่องอะไรที่จะต้องมานั่งฟูมฟาย รีบพลิกตัวกลับไปในท่าเดิม

    “แล้ว...หล่อน เมวีฬ์น่ะ เกิดอะไรขึ้นต่อจากนั้น”

    น้ำเสียงของมันไตรเปลี่ยนไปนิดหนึ่ง ฉันไม่แน่ใจว่าเขากำลังคิดอะไร เลยตอบด้วยความระมัดระวังกว่าเดิม

    “ก็...” ต้องเรียบเรียงอยู่พอสมควร ก่อนจะพูดต่อไปได้ “...ตอนที่กำลังแก้มัดให้อรัญ หล่อนก็จู่โจมเข้ามา ตอนนั้นละที่ฉัน... ฉันฆ่าหล่อน”

    ใบหน้าของคนฟังตอนนี้ บอกชัดว่าไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เพิ่งได้ยิน

    “คุณน่ะนะ... เคยฆ่าใครอื่นมาก่อนงั้นรึ”

    “บ้าสิ! ไม่หรอกน่ะ”

    ฉันเดือดปุดๆ ขึ้นมานิดหนึ่ง “ก็แค่ป้องกันตัว หรือที่จริง ก็... มันก็ต้องโต้ตอบกันบ้าง กับคนที่จะเอาชีวิตเรา คุณก็น่าจะรู้ว่า อีกไม่นานเมวีฬ์ก็จะฟื้นจากความตายอีกครั้ง ซึ่งนั่นก็ดีสำหรับความรู้สึกของฉัน พวกมนุษย์ไม่จำเป็นต้องฆ่าใครเพื่อให้ตัวเองอยู่รอด”

    “แต่ก็ฆ่ากันเองอยู่ตลอด...”

    “ไม่ใช่ทุกคนหรอกค่ะ”

    “นั่นคือสิ่งที่ต่างจากเรา พวกพรายเรา... ถ้าจะเรียกแบบโหดๆ ก็พูดได้ว่า พวกเราทุกคนเป็นฆาตกร”

    “ไม่หรอก ฉันว่าคุณดูเหมือนพญาเสือโคร่งมากกว่า”

    คราวนี้มันไตรตามความคิดฉันไม่ทัน

    “...เสือ...”

    “ใช่ค่ะ เพราะเสือเป็นนักล่า และนักฆ่าที่เฉียบคม”

    ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่า ความคิดเช่นนี้ผุดมาจากไหน

    “และ... คุณฆ่าเพราะจำเป็น มันเป็นเรื่องจำเป็นที่คุณจะต้องมีเครื่องหล่อเลี้ยงชีวิต”

    “ความคิดของคุณก็ไม่เลวนะ เพียงแต่ว่า ที่ผมรู้สึกดีกว่าพญาเสือโคร่งอะไรของคุณก็ตรงที่ว่า พวกพรายอย่างเราๆ มีรูปร่างหน้าตาเหมือนผู้คนทั่วไป ซึ่งที่จริง ถ้าจะสืบสาวกันไปจริงๆ พวกเราทุกคนในรุ่นนี้ ที่จริงก็เคยเป็นมนุษย์มาก่อน เราสามารถดื่มโลหิตจากพวกคุณได้ พอๆ กับที่จะสามารถรักใครสักคนในพวกคุณ”

    พรายหนุ่มหยุดนิดหนึ่ง ขณะที่ส่งสายตามีเลศนัยให้ฉัน

    “เสือของคุณคงไม่คิดจะรักกับเนื้อทรายได้หรอก จริงไหม”

    ตายละ! อยู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนบรรยากาศรอบตัวเปลี่ยนไป คำว่าพญาเสือโคร่งที่ฉันเผลอยกตัวอย่างออกไปนั้น มันดันไปพ้องกับความเป็น “เสือหิว” ของมันไตรก่อนที่จะถูกพวกร่างผีฟ้าทำให้ความจำเสื่อม และตอนนี้ ฉันก็ชักจะรู้สึกว่า กำลังกลายเป็น ลูกกวางน้อย ก็กำลังถูกเสือรูปหล่อย่างสามขุมเข้าหา

    คงจะดีกว่านี้ ถ้ามันไตรจะดูกังวลบ้างหรืออะไรอื่นบ้าง กับการที่ตัวเองต้องตกอยู่ในสถานการณ์อย่างที่กำลังเป็น ซึ่งหมายถึง เขากำลังตกอยู่ในความคุ้มครองของฉัน

    “คุณไตรคะ...” คงต้องเตือนสติกันสักนิดกระมัง “...ที่จริงรูปการตอนนี้ คุณอยู่ในบ้านนี้กับฉันในฐานะผู้ได้รับการคุ้มครอง และได้รับอนุญาตให้อยู่ในบ้าน หมายความว่า ถ้าฉันออกปากยกเลิกเมื่อไหร่ คุณจะต้องกระเด็นออกไปอยู่ข้างนอก ในชุดนอนที่... เอิ่ม... คุณคงไม่อยากให้ใครอื่นเห็นในสภาพอย่างที่เป็นอยู่นี้”

    “ทำไมครับ ผมพูดอะไรให้คุณโกรธหรือเปล่านี่”

    นัยน์ตาคมซึ้งที่จ้องมานี้ แสดงความจริงใจและสำนึกผิดจริงๆ เสียด้วย

    “ถ้าพูดอะไรผิดไปก็ต้องขอโทษคุณจริงๆ ผมแค่ พยายาม... ทำความเข้าใจกับการอธิบายของคุณ... คุณลิน คุณมีโลหิตสังเคราะห์เหลืออีกไหมครับ แล้ว... พี่ชายของคุณ สิทธา ตกลงว่าเขาเตรียมเสื้อผ้าอะไรมาให้ผม อย่างหนึ่งที่คุณโชคดีคือการที่มีพี่ชายที่เจ้าเล่ห์เพทุบายนี่ละ”

    คำท้ายเขายังอดประชดพี่สิทธาไม่ได้ ก็แน่นอนละ อยู่ๆ เขาก็ต้องเสียเงินเป็นล้าน ซึ่งฉันก็ไม่ได้ถือสาในคำพูดนี้ เพราะพี่ชายของฉันก็แสบจริงๆ อย่างที่เขาว่า

    ฉันลุกมาในครัว หยิบขวดโลหิตสังเคราะห์ในตู้เย็นมาอุ่นด้วยเตาไมโครเวฟ ระหว่างที่รอก็สำรวจเสื้อผ้าที่พี่สิทธาซื้อมา เสื้อยืดไม่มียี่ห้อ แต่เนื้อแน่นลื่นและเย็นสบาย กับยีนราคาไม่เกินสี่ร้อยบาทนี้ หวังว่ามันไตรคงจะชอบ

    หลังจากฉันนำทั้งหมดกลับมาให้มันไตร คุยต่ออีกพักหนึ่งก็ขอตัวเข้านอน เลยเที่ยงคืนมาแล้ว แต่เขายังดูท่าจะสนุกอยู่กับซีดีละครเก่าเรื่อง “เงา” ที่คุณแซม ยุรนันทร์ รับบทเป็นพรายกระหายเลือด เป็นเรื่องที่มันไตรส่งเสียงขำได้เป็นระยะๆ

    เสียงนั้นดังผ่านเข้ามาถึงในห้องนอน แต่ก็ไม่ได้สร้างความรำคาญให้ฉันเลยสักนิด ตรงกันข้าม กลับทำให้อุ่นใจด้วยซ้ำ ว่าเวลานี้ฉันยังมี ‘เพื่อน’ อยู่ในบ้าน

    แต่เรื่องราวในหัวยังพัวพัน เรื่องนั้นเรื่องนี้ที่ผ่านเข้ามาช่างมากมาย ทำให้ฉันไม่อาจข่มตาข่มใจให้หลับลงได้ง่ายๆ

    ...สถานการณ์ตอนนี้ทำไมไม่ใช่ช่วงหยุดปีใหม่สบายๆ แต่กลับกลายเป็นว่า ฉันต้องสวมบทบาทเป็นพนักงานใต้ดินขององค์กรสำคัญ ที่มีหน้าที่ต้องให้การคุ้มครองพยานในคดี โดยใช้บ้านหลังนี้เป็นที่ซ่อนตัว โดยในโลกนี้จะไม่มีใครรับรู้อีกว่ามันไตรอยู่ที่ไหน นอกจากฉัน ตัวเขาเอง พี่ชายฉัน พิชาและจอห์นสองลูกน้องผู้จงรักภักดี...

    คิดเรื่อยเปื่อยมาถึงตรงนี้ ก็เป็นตอนที่รู้สึกว่า ต้นเหตุแห่งความยุ่งยากทั้งหมดกำลังค่อยๆ หย่อนกายลงบนเตียง

    แต่ฉันง่วงงุนมากกว่าจะมีอารมณ์ลุกขึ้นมาผลักไส

    เมื่อคืนวานมนุษยธรรมของฉันยังยอมให้เขา ในฐานะผู้สูญเสียความทรงจำและยังมีอาการหวาดกลัวอยู่ไม่วาย ได้นอนร่วมเตียง แถมยังนอนกุมมือเขาจนผล็อยหลับไป ถึงคืนนี้สถานการณ์จะเปลี่ยนไปมาก แต่ความสุภาพที่เขาแสดงออกมาเมื่อคืน ก็ทำให้ฉันยอมที่จะให้เขาร่วมเตียงด้วยในคืนนี้

    หลังดึก หน้าต่างตรงหัวนอนยังเปิดกว้าง ทำให้ในห้องรับอากาศเย็นลงได้เต็มที่ ฉันนอนหงายท่าที่สบายที่สุดอยู่ใต้ผ้าห่มผืนบาง

    “หนาวไหมคะ”

    ฉันพึมพำถามออกไป

    “ไม่เท่าไหร่”

    เขาตอบเบาๆ ก่อนที่จะตะแคงตัวมาใช่ท่อนแขนอบอุ่นโอบสะโพกฉันไว้อย่างนุ่มนวล ฉันกลั้นลมหายใจอยู่นาน ลุ้นว่าเขาจะทำอะไรต่อไป แต่พอแน่ใจว่าเขาจะไม่ล้วงล้ำเข้ามามากกว่านั้น ฉันก็รู้สึกผ่อนคลายได้อย่างบอกไม่ถูก และในที่สุดก็หลับเป็นตาย





    เสียงโทรศัพท์แผดดังระรัว กระชากฉันให้ตื่นขึ้นจากการหลับอันแสนสุข แสงสว่างแยงตาจนต้องยกผ้าห่มขึ้นคลุมโปง แต่โทรศัพท์ยังไม่หยุดแผดเสียง

    ปรับตัวอยู่อีกอึดใจ กว่าจะเลื่อนผ้าห่มลง แสงเช้าแผดจ้า เป็นอีกวันที่อากาศสดใส จนช่วยให้ฉันทำใจลุกขึ้นจากเตียงได้ไม่ยาก

    ประตูห้องนอนฉันยังเปิดค้าง เช่นเดียวกับประตูห้องนอนเล็กฟากตรงข้าม ทำให้มองเลยไปถึงตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ด้านในสุด ประตูตู้ยังเปิดค้าง แสดงว่ามันไตรก็คงเผลอหลับ และรีบร้อนกลับลงไปนอนในโลงที่ซ่อนอยู่ในพื้นตู้หลังใหญ่นั่น ด้วยความทุลักทุเลพอสมควร

    เสียงนกเล็กๆ ร้องเรียกหากัน กลิ่นหอมของยามเช้าโชยชื่น สายลมพัดพาเอาอากาศสดใสส่งผ่านเข้ามา ไอเย็นของค่ำคืนอันยาวนานผสมผสานกับความสดใสของยามเช้า ทำให้รู้สึกสบายกายสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

    ที่สำคัญคือมันต่างจากเมื่อเช้าวานนี้อย่างลิบลับ

    เมื่อเช้าวาน... ฉันตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสับสนและลุ้นระทึก ขณะที่เช้าวันนี้ ฉันรู้แล้วว่ามีอะไรเกิดขึ้นบ้าง สถานการณ์ที่แท้จริงเป็นเช่นไร และเรากำลังคิดจะดำเนินการอย่างไรต่อไป รวมทั้งในอนาคตอันใกล้ รูปการอย่างไรบ้างที่น่าจะเกิดขึ้น

    แล้วทั้งหมดก็พังทลาย เมื่อฉันเดินไปรับโทรศัพท์

    “ลินใช่ไหม... สิทธาล่ะ!”

    เป็นเสียงคุณอิงอร เจ้านายของพี่ชายฉันเอง มันดังแบบคุกคามและคงกำลังจะเดือดดาลเต็มที่ เธออาจคิดว่าผู้ชายอะไรจะชื่ออิงอร และหากว่าเธอมีโอกาสได้เจอตัวเป็นๆ ของเขา จะยิ่งมั่นใจได้ว่า ชื่อนั้นไม่ได้เหมาะกับเขาเลยสักนิดจริงๆ

    “จะถามว่าพี่สิทธาอยู่ไหนหรือเปล่าคะ ถ้าจะถามอย่างนั้น ฉันก็ตอบได้ว่า ไม่ทราบ”

    ฉันไม่ได้เจตนาจะยียวน แต่ก็อดไม่ได้หรอก กับคนที่มาทำลายยามเช้าแสนสดชื่นของฉัน

    “คุณสมภพก็รู้ว่าพี่สิทธาเป็นอย่างไร ป่านนี้คงหลับอุตุอยู่กับนางแบบสักคน”

    คุณอิงอร หรือที่ใครๆ ก็พากันเรียกเขาว่าคุณหยิ่ง ไม่เคยโทร.ตามหาพี่ชายกับฉันมาก่อน ฉันจึงแปลกใจนิดๆ กับเรื่องนี้

    ปกติพี่สิทธาจะตรงเวลาดีมากในเรื่องการทำงาน ซึ่งเวลาสำนักงานแปดชั่วโมงนั่น เขาก็จะทุ่มเทให้กับมันอย่างเต็มที่ ซึ่งนั่นเป็นชีวิตประจำวันช่วงกลางวันของเขา ตั้งแต่การขับรถสีสดใสไปที่บริษัทรับเหมาโยธา เปลี่ยนเป็นขับรถกระบะของบริษัทไปตระเวนตรวจงานหรือสั่งการที่ได้รับมาอีกที ให้กับหัวหน้างานตามหน้างานต่างๆ ทั่วกรุงเทพและปริมณฑล

    และการตอกกลับไปอย่างนั้น ก็ทำให้คุณอิงอรอึ้งไปได้เหมือนกัน

    “ลิน ผมว่าสุภาพสตรีอย่างคุณ ไม่น่าจะใช้คำพูดอย่างนั้น”

    เสียงคนโทร.เข้ามาอ่อนลงจนเห็นได้ชัด

    เขาคงตกใจไม่น้อย ที่สาวโสดอย่างฉัน พูดจาเรื่องที่พี่ชายคนเดียวทำตัวเป็นเสือผู้หญิงได้อย่างไม่กระดากปาก

    “ช่างเถอะค่ะ ที่โทร.มานี้ หมายถึงคุณจะบอกว่า พี่สิทธาขาดงาน ซึ่งรวมทั้งคุณโทร.ไปที่บ้านเขาเรียบร้อยแล้ว”

    ฉันทำใจให้เย็นลง เรียบเรียงเหตุการณ์ให้เจ้านายขอพี่ชายฟังอีกครั้ง

    “ถูกต้องครับ ทั้งสองข้อ และผมก็ส่งนายแสงไปดูที่บ้านเรียบร้อยแล้ว”

    ทางปลายสายก็มีท่าว่าจะใจเย็นขึ้นเช่นกัน

    แต่คราวนี้กลับเป็นฉันที่เริ่มรู้สึกถึงความผิดปกติอย่างจริงจัง

    “แล้ว... รถเขาอยู่ที่บ้านหรือเปล่าคะ”

    ฉันเลี่ยงไปถามถึงรถ แทนที่จะถามตรงๆ ถึงคนที่มีท่าว่าจะหายตัวไป

    “ยังอยู่ นายแสงบอกว่ามันจอดอยู่หน้าบ้าน กุญแจยังคาอยู่ และ... ประตูก็ไม่ได้ปิด”

    “บ้านหรือรถคะ”

    “อะไรนะ ผมได้ยินไม่ถนัด”

    “ประตูที่คุณบอก ประตูบ้านหรือประตูรถล่ะคะที่เปิดทิ้งไว้”

    “ก็ประตูรถน่ะสิ”

    คุณพระช่วย!

    ฉันรู้สึกเย็นยะเยือกไปทั้งตัว ไม่อยากคิดเลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับพี่ชายฉันได้บ้าง

    “คุณพบกันครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”

    “เมื่อคืนนี้เองค่ะ ออกไปสักประมาณห้าทุ่ม บอกว่าจะกลับไปบ้าน...”

    “ออกไปกับใครหรือเปล่า”

    “คนเดียวค่ะ... เขาแยกไปคนเดียว...”




    ****************
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×