คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #7 : บทที่ 7 อันตรธาน
บทที่ ๗
อั น ต ร ธ า น
ความจริงนั้นเหมือนภาพฝัน เพราะงดงามและเป็นสุขเกินกว่าจะเกิดขึ้นได้จริง แม้กระทั่งได้รับรู้และจับต้อง แต่ทั้งหมดทั้งมวล ก็ไม่น่าเชื่อหรอกว่าจะเป็นไปได้ในชีวิตใคร
ราวเสียงหวานแว่ว ยังเบาแผ่วอยู่ริมหู
“สวัสดีจ้ะ...คุณพี่...”
ความทรงจำยังฉายชัด
หล่อนก้าวออกมาต่อหน้า ทั้งๆ ที่ไร้เสื้อผ้าสักเพียงชิ้น
จนเขาต้องเบือนสายตาหลบ นึกเสียดายว่าความกระจ่างสะคราญ ไม่ควรสักนิดที่จะต้องแดดลม หรือแม้แต่เพียงแสงอ่อนแห่งนวลจันทร์
จนรู้สึกถูกสะกิดเบาๆ จึงกล้าหันกลับ
คราวนี้บนเรือนร่างของหญิงสาวมีอาภรณ์เพียบพร้อม เป็นชุดผ้าบางเบาราวถูกถักทอขึ้นจากใยบัว เป็นสีฟ้าอ่อนละมุน ประดับปุยเมฆขาวกระจ่างตา
เพราะมึนเมาหนักนัก ถึงความอัศจรรย์ที่บังเกิดให้เห็น จะทำให้แทบสร่าง แต่เขาก็ยังรู้สึกกึ่งฝันกึ่งจริง การพูดคุยสนทนา ยังเป็นแนวรำพันพร่ำเพ้อ
“อัปสรายาใจของพี่...”
“จ้ะ...”
เสียงรับคำสั้นๆ คล้ายดังก้องยืดยาว แทงลึกลงไปถึงก้นบึ้งแห่งหัวใจรัก
“เธอออกมาจากภาพวาดนั่นจริงละหรือ”
“จ้ะ... คุณพี่...”
“พี่ชื่อปราโมทย์...”
“ทำไมคุณพี่มานั่งดื่มอยู่คนเดียว”
“คนเดียวที่ไหน มีน้องเป็นเพื่อนอยู่นี้ยังไรเล่า”
ยังจำได้อีกว่าหล่อนยิ้มเหมือนยั่ว แววตาสุกใสไม่เชิงว่าไร้เดียงสา แต่ทั้งหมดของตลอดเวลาที่จ้องมองมา ล้วนกระตุ้นเร้าไฟเสน่หาให้โหมแรง...
“ถ้าคุณพี่ไม่รังเกียจ ฉันจะอยู่เป็นเพื่อน... นะ...จ๊ะ”
นั่นละคือที่มาของปัญหา...
ตั้งแต่ถูกปลุกเรียก แล้วเผลอดึงมือหนุ่มรับใช้ประจำตัว มาแนบแก้มรำพึงรำพัน
“อยู่กับพี่ อยู่กับพี่เถิดนะยาใจ...”
จนอีกฝ่ายรีบชักมือกลับ ถอยห่างไปไกล แล้วใช้แต่เพียงเสียงเรียกให้ตื่น
“คุณโมทย์เป็นอย่างไรขอรับ เมื่อกี้ละเมอถึงผู้หญิง ยาใจ... ยาใจ...”
“ก็ใช่ซี แม่อัปสรายาใจ ที่ก้าวออกมาจากภาพนั่นยังไง”
ในใจเขายังเชื่อว่า หล่อนปรากฏกายออกมา จากภาพวาดกระดาษหนังมนุษย์ได้จริงๆ
“ภาพ... ภาพไหนหรือขอรับ”
“นั่นยังไร ไอ้เซ่...อ”
คำหลังที่ค้างไว้เพราะไม่อยากเชื่อสายตา
ภาพวาดของแม่อัปสรายาใจของตน บัดนี้อันตรธานไปเสียแล้ว
เหลือแต่แผ่นผ้ารองพื้นเปล่าๆ ไร้ร่องรอยของแผ่นกระดาษหนังมนุษย์นุ่มเนียน
ราวกับว่าตนแขวนผ้าเปล่าไว้ตั้งแต่ต้น ครั้นจะหันไปสอบสวนเอากับไอ้คนที่เพิ่งสะกิดเรียกก็ใช่ที่
“เอ็งไปตามไอ้หนาน...”
ปราโมทย์ต้องเรียกหาอีกคน ที่ช่วยดูแลตนเมื่อเย็นวาน
“ไอ้หนานออกไปที่กรมตั้งแต่เช้าขอรับ”
“อุวะ... มันจะไปทำงานแทนข้าหรือไง”
“ไม่ทราบขอรับ”
“ว่าแต่เอ็ง เข้ามาตั้งแต่เมื่อไร”
“ก็ตอนที่ปลุกคุณโมทย์...”
“แล้วภาพแม่อัปสร!”
ปราโมทย์ตวาด ไม่เชื่อหรอกว่า ภาพวาดของหญิงสาวจะหายไปได้เอง
“พวกเอ็งมันรู้มาก รู้กันใช่ไหมเล่า ว่ากระดาษนั่น รูปวาดนั่น มันสำคัญ มันสูงค่าสักแค่ไหน...”
บ้านจัดงานของภรรยาท่านนายพลเรือเอก ผู้พ่วงตำแหน่งรัฐมนตรีอยู่ด้วยนั้น ไปทางน้ำสะดวกกว่า เพราะเลี้ยวเข้าคลองผดุงกรุงเกษมตรงเทเวศร์เข้าไป พายอีกไม่กี่จ้วงก็จวนถึง ยิ่งหัวค่ำน้ำขึ้น แรงฝีพายนั้นแทบจะทำความเร็วได้พอๆ กับแรงเครื่องยนต์
แม้งานนั้นจะอุดมไปด้วยสิ่งที่จะพาให้อารมณ์รื่นเริงขึ้นได้ รวมทั้งการรับคำมั่นเหมาะ ว่าจะสนับสนุนสัตยาให้เจริญในหน้าที่การงานต่อไปอย่างเต็มที่ แต่ตัวเขาก็ไม่ได้รู้สึกปรีดาเท่าที่ควร
เพราะยังข้องใจกับเรื่องรูปวาด ที่ปราโมทย์อ้างว่าหายไป เป็นการหายไปอย่างพิสดาร
เรื่องการที่กระดาษหนังคนนั่นจะกลายตัวเป็นตนขึ้นมา แล้วเดินหนีหายจากไป อย่างไรเสียก็เป็นไปไม่ได้
ไม่ว่าจะด้วยอาถรรพ์อะไรก็ตาม รูปสาวงามที่วาดลงไปนั้น ก็ไม่น่าจะแสดงอิทธิฤทธิ์อะไรได้ หรือไม่ ถ้าเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็น่าจะเพราะความแรงของกระดาษหนังคนนั่นมากกว่า
ยิ่งนึกถึงภาพที่วาดลงไว้ สัตยาก็อดนึกเศร้าใจไม่ได้ เพราะความมุ่งมั่นอันสูงสุดนี้หรอก ทำให้ตนต้องกระทำการหลายอย่างที่ไม่อาจให้อภัยตัวเองได้ แม้เรื่องราวเหล่านั้นจะเงียบลับจางหาย แต่ทุกฉากทุกตอนก็ยังฉายชัดอยู่ในมโนสำนึก... เป็นสำนึกที่ผสานอยู่กับคำที่ว่า... สายเกินจะแก้ไขอะไรอีกแล้ว...
ขากลับน้ำลง ฝีพายพายข้ามฝั่งเจ้าพระยา มาเลาะเลียบริมน้ำอยู่ฟากบางยี่ขัน สัตยาที่ดื่มไปไม่น้อย นั่งตากลมเพลินๆ อยู่ในประทุนกลางลำ ลำดับความคิดเรื่อยไปถึงช่วงชีวิตที่ผ่านมา
มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่มีเสียงดังกึง เหมือนหัวเรือจะชนขอนที่ลอยขวางอยู่กลางน้ำ แต่เรือยังจอดนิ่งอยู่อีกเป็นสองสามอึดใจ สัตยาจึงต้องชะโงกไปถาม
“ยังไง ติดแพสวะหรือยังไง”
ที่ถามไปอย่างนั้น เพราะปัญหาหนักของแม่เจ้าพระยายุคหลังปีสองพันห้าร้อยนี้ ก็คือแพใหญ่ของกอผักตบชวา ที่เพิ่งเข้ามาระบาดแพร่พันธุ์ในเมืองไทยเมื่อไม่กี่สิบปีก่อนนี้เอง
“ขัดกับกระไดตีนท่าน่ะขอรับ”
ฝีพายหัวเรือบอกโดยไม่ได้หันมา เพราะพยายามใช้พายยันหัวเรือให้เหออกจากท่าอยู่เต็มกำลัง
“น้ำเชี่ยวอย่างนี้ เอ็งพายยังไงให้มาติดหัวกระไดเขาได้”
“เหมือนเรือมันเบนหน้ามาเองขอรับ ต้องถามไอ้นายท้าย”
คนพายหน้ารีบโยนปัญหาไปให้คนคัดท้าย จนคนท้ายลำต้องแก้ตัว
“กระผมเปล่านะขอรับ มันเหมือนมีคนจูง ลากหัวเรือตัดน้ำมาติดอยู่นี่”
“พวกเอ็งอย่ามาพูดจาเพ้อพกกลางค่ำกลางคืน เอ้า! มาช่วยกันซีเล่า”
สัตยาก้าวพ้นประทุนออกมา ตั้งใจให้ฝีพายท้ายเรือขึ้นมาช่วยคนข้างหน้า พอเงยขึ้นมองที่ศาลาชายน้ำบนตลิ่งก็ตกใจเล็กน้อย
“ท่าวัดดาวดึงส์...”
แต่บรรยากาศไม่ได้เปล่าเปลี่ยวอะไรนัก เขาจึงก้าวพ้นกระไดท่าขึ้นไป ยืนรอให้คนพายช่วยกันแก้ไขปัญหา ที่ตัวเองก็มองไม่ถนัด ว่าหัวเรือมันติดอะไรอยู่กันแน่
เดือนเสี้ยวทำให้ความมืดยิ่งแผ่เงา ร่มศาลาทำให้แทบมองอะไรไม่เห็น สัตยาจึงขยับขึ้นมาถึงบนศาลา หวังใช้แสงไฟฟ้าที่ส่องมาจากที่ไกล ช่วยไม่ให้บรรยากาศวังเวงจนเกินไปนัก
เพราะน้ำงวดลงมากแล้ว กระไดพ้นน้ำร่วมสิบขั้น เงาตลิ่งจึงกั้นพวกนั้นไว้ข้างล่าง พอเขาก้าวพ้นขึ้นมาก็โล่งใจขึ้น รู้สึกว่านโยบายน้ำไหลไฟสว่างของท่านจอมพลผู้นำ มันดีอย่างนี้นี่เอง
แล้วก็เห็นเหมือนว่ามีใครนั่งแอบเสาอยู่ตรงด้านไกล คล้ายกำลังร้องไห้ เพราะได้ยินเสียงสะอื้นอยู่เบาๆ เป็นเสียงเล็กๆ ของผู้หญิง และเป็นเสียงที่คนได้ยินรู้สึกคุ้นหูอย่างประหลาด
กระดานพื้นศาลาลั่นตามแรงกดที่ก้าวขึ้น แต่ใครคนนั้นคงยังไม่รู้สึกตัว จนสัตยาขยับอีกสองก้าวนั่นละ เสียงสะอื้นนั้นจึงเงียบลง
แสงสลัวจากไฟฟ้าในที่ไกล ทำให้พอมองเห็นว่าร่างตรงหน้า ที่นั่งพิงเสาศาลาอยู่ไกลไม่เกินห้าหกก้าว เป็นหญิงสาวร่างแบบบาง แต่งกายไม่คล้ายกับที่สมัยกำลังนิยม
หล่อนซ่อนหน้าไว้ในเงา ที่มีเรือนผมดำยาวปรกไว้ราวจงใจ
“คุณ... คุณครับ”
สัตยาใช้เสียงนำไปก่อน ก่อนจะก้าวใกล้เข้าไป
“ช่วย... ช่วยฉันด้วย”
พอใกล้ขึ้น ก็ได้เห็นว่า ตัวหล่อนกำลังสั่นกลัว สองมือกอดกันอยู่เหมือนไม่เหลือที่พึ่งอื่นใด เสียงที่ได้ยินนั้นก็แสดงว่าทุกข์หนัก จนสัตยารู้สึกสงสารขึ้นมาจับใจ
“อย่างไร เป็นอะไรไปหรือครับ”
ใกล้เข้าไปอีกก้าว แต่หญิงสาวยังคงซ่อนหน้า
“ฉันหนีเขามา ไม่รู้จะไปทางไหน... ช่วยด้วย... ช่วยฉันด้วย”
สำเนียงถ้อยคำนั้นคุ้นหู และฟังรู้ว่าเป็นพวกถิ่นอื่น ไม่ใช่ชาวพระนครแน่นอน
“นี้มันยุคประชาธิปไตยเต็มใบ ในเมืองไทย ใครจะไปไหนมาไหนก็ย่อมได้...”
“ฉันหนีเขามา ไม่อยากถูกจับไปอีก ช่วยฉันด้วย”
“เงยหน้าเงยตาขึ้นมาพูดจากันเถอะครับ ผมไม่ทำร้ายคุณหรอก”
ถึงตอนนี้ สัตยาขยับใกล้เข้ามาจนในระยะเอื้อมมือก็แตะกันถึง
ยิ่งเห็นชัดว่า แพรพรรณบางเบา น่าจะเป็นชุดสำหรับการแสดงมากกว่าจะสวมใส่โดยทั่วไป เรือนผมดำขลับที่ยังซ่อนใบหน้านั้นไว้ ก็ชวนมองและคลับคล้าย ผิวพรรณผุดผ่องที่อาศัยแสงให้พอเห็น ก็ผุดผาดเกลี้ยงเนียน แม้ยังไม่ได้เห็นหน้า สัตยาก็คิดว่าต้องเป็นสตรีงดงามนางหนึ่ง
“ใจเย็นๆ นะครับ มีอะไรช่วยได้ผมก็จะช่วย”
“ช่วยด้วย ช่วยฉันด้วย...นะ... นะจ๊ะ”
คำท้ายนั้นพร้อมกับเงยหน้า...
พอเห็นชัดเท่านั้นสัตยาก็ตะลึงงัน ขนลุกชันไปทั้งร่าง รู้สึกเย็นวาบตั้งแต่ปลายสันหลังยันต้นคอ สัญชาตญาณกระตุ้นให้ผงะถอย
เป็นไปไม่ได้ที่จะเป็นหล่อน...
แต่ถ้าเป็นหล่อน...
ก็ต้องเป็นผี!
หรือว่าเป็นผีของหล่อนตามมาทวงหนี้แค้น! ไม่สิ! หาหล่อนเป็นภูตผีมีอิทธิฤทธิ์ ก็ต้องรับรู้ได้ ว่าแท้จริงแล้ว เรื่องราวคราวนั้น อะไรเป็นอย่างไร
ความคิดสับสนประดังเข้ามาในชั่ววินาที พร้อมกับที่ไม่ถึงอึดใจ สัตยาใช้แค่สองสามก้าวก็กระโดดถึงกลางลำเรือ
“ไป! ไปกันเร็ว!”
หรือจะเพราะแรงโยน ที่ผู้เป็นนายทำท่าคล้ายถลาลงมา ทำให้เรือถอยไปได้เป็นวา หัวเรือหลุดพ้นจากที่ติดขัด พอตั้งลำได้ กระแสน้ำกับแรงจ้วงพาย ก็พาทั้งลำเรือพ้นห่างจากศาลาท่าน้ำนั้นมาได้ภายในอึดใจเดียว
ใจของสัตยายังส่ำระทึก หรือจะเป็นวิญญาณอาถรรพ์นั่นจริงๆ...
ใจหนึ่งคิดอยู่เช่นนั้น แต่อีกใจก็ยังไม่อยากจะเชื่อ
เพราะที่เห็นนั่นก็เป็นตัวเป็นตน มีรูปมีเงา แลดูเป็นผู้หญิงธรรมดาๆ คนหนึ่งเท่านั้น
ตลอดเวลาจนมาขึ้นที่ท่าหน้าเรือนตน สัตยายังไม่เอ่ยอะไรออกมาทั้งสิ้น
พอก้าวพ้นก็สั่งให้ฝีพายเอาเรือเก็บแล้วไปพักผ่อน ตัวเองก้าวขึ้นเรือนอย่างเงียบเชียบ และแวะเข้าห้องหนังสือเพื่อหวังจะทบทวนเรื่องราวที่เพิ่งประสบต่อไป
จะว่าไม่ใช่อย่างที่ตาเห็น สัตยาก็แน่ใจ ตนเองไม่ได้เมามายหนักหนา
ที่เห็นว่าใช่นั้น ก็ด้วยสติเต็มเปี่ยมบริบูรณ์
หรือว่าจะแค่คลับคล้ายก็ไม่ใช่ เพราะที่เห็นชัดๆ นั่นคือต่อหน้าในระยะประชิด
ทั้งรูปร่าง ทั้งหน้าตา มีหรือที่จะจำไม่ได้ว่าเป็นใคร
‘อัปสรายาใจ หนีไปแล้ว’
อยู่ๆ คำพูดของปราโมทย์ก็ผุดขึ้นมาในห้วงคิด
“จะเป็นไปได้อย่างไร นั่นมันเรื่องตลก ก็แค่รูปวาด มันไม่มีทางเป็นไปได้”
สัตยาพยายามสะกดใจตนให้แน่วนิ่ง เลิกคิดถึงเรื่องผีสาง หรือปาฏิหาริย์อาถรรพ์อันใดอีก บอกกับใจตัวเองว่าที่เห็นนั่นมันคนชัดๆ ไม่มีทางเป็นอย่างอื่น
“มันต้องเป็นคนนี่ละ ต้องเป็นคนอย่างเราๆ นี่เอง”
เขาต้องบอกใจให้เชื่ออย่างนั้น ทั้งๆ ที่ยังฉงนหนัก
หากเป็นคนมีเลือดมีเนื้อ ทำไมรูปร่างหน้าตา สุ้มเสียงตลอดจนกิริยาอาการ ช่างเหมือนถอดแบบถอดพิมพ์กันออกมา
และ... จะคิดแบบนั้นก็ผิดอีก
ก็เขาเห็นอยู่ชัดๆ ว่าเป็นหล่อน...
คนรักเก่า ที่ทำให้เขาแทบขาดใจ เมื่อไม่สามารถทำอะไรได้ ต้องยอมปล่อยให้หล่อนตายไปต่อหน้าต่อตา!
ความคิดเห็น