ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พรายเสน่หา*

    ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 5

    • อัปเดตล่าสุด 9 พ.ค. 56


    บทที่ 5





    จากลักษณะการใช้ชีวิตของพวกพราย หรือแม้แต่อมนุษย์อื่นๆ ที่หันมาเปิดตัวอยู่ร่วมสังคมกับพวกเราแบบให้เห็นกันจะๆ ที่จริงพวกเขาก็ยังพอใจที่จะซ่อนกายอยู่ในเงามืดของยามราตรี เครื่องหล่อเลี้ยงชีวิตที่ไม่ใช่จากอีกชีวิตอีกต่อไป จึงทำให้พวกนี้ต้องทำมาหารายได้ ซึ่งคงไม่มีอะไรจะเหมาะสมไปกว่าบรรดาธุรกิจกลางคืนสารพัน

    นอกจากผับบาร์ที่ดูเป็นที่นิยมเปิดเป็นกิจการส่วนตัว ก็ยังมีทั้งร้านอาหารโต้รุ่ง หรือร้านสะดวกซื้อ หรือกระทั่งการเช่าห้องแถวเปิดร้านซักอบแห้งยี่สิบสี่ชั่วโมง แต่ก็นั่นละ อย่างไรเสียกิจการที่ทำรายได้ได้งดงามที่สุด ก็ย่อมต้องใช้อบายมุขเป็นสะพาน อย่างพวกผับบาร์นี่ละ

    “พูดง่ายๆ คือพวกร่างผีฟ้าจะเรียกเก็บค่าคุ้มครอง อย่างงั้นใช่ไหม”

    ไม่รู้พี่สิทธาจะย้ำอีกทำไม มันอาจทำให้พวกพรายรู้สึกเสียศักดิ์ศรี จนไม่อยากให้มีสักขีพยานในเรื่องน่าอายอย่างนี้ เหลือรอดไปได้สักคน ซึ่งก็เป็นเราสองคนนี้เอง ที่อาจจะต้องรับกรรมที่ไม่ได้ก่อ

    “เรื่องนั้นช่างมันก่อนเถอะค่ะ คุณพิชายังไม่ได้ตอบฉันเรื่องทำไม อยู่ๆ มันไตรถึงมาวิ่งอยู่แถวนี้ เสื้อก็ไม่มี รองเท้าก็ไม่ใส่”

    พรายผู้มาเยือนหันไปมองหน้ากันคล้ายกำลังหารือว่า จะให้ข้อมูลต่อไปแก่เราดีหรือไม่ พอฉันก้มมองมันไตร ก็เห็นว่าเขาตื่นเต้นไม่แพ้กัน ในการจะได้รู้ต้นสายปลายเหตุของความไม่รู้อะไรเลยของตนเอง

    นั่นทำให้ฉันอุ่นใจขึ้นอีกมาก เพราะรู้ว่าแม้จอห์นหรือพิชาไม่อยากจะเล่าเรื่องนี้ให้มนุษย์อย่างฉันกับพี่ชายฟัง เขาหรือหล่อนก็ต้องเล่าให้เจ้านายของตน ที่กำลังตกอยู่ในอาการความจำเสื่อมฟังอยู่ดี

    “เราขอเวลาพวกมัน บอกว่าเรื่องใหญ่อย่างนี้ต้องปรึกษากันให้รอบคอบ”

    คราวนี้พรายหนุ่มลูกครึ่งแคชเมียร์ที่มีลายสักเป็นอักขระโบราณเต็มตัว เป็นฝ่ายเล่า

    “แล้วเมื่อคืนนังหัวหน้าก็ส่งให้ลูกน้องคนหนึ่งมายื่นเงื่อนไขเพิ่มเติมอีกหลายอย่าง”

    จอห์นหยุดเว้นระยะ ดูท่าว่าเขาคงอึดอัดใจกับเรื่องที่กำลังพูดอยู่ไม่ใช่น้อย

    “คือว่า... ตั้งแต่พวกมันมากันรอบแรก นังร่างผีฟ้าตัวหัวหน้า เกิดนึกอยากจะได้คุณไตรเป็น... นั่นละ”

    ฉันจับได้ว่าเขาแกล้งกลืนน้ำลายเพื่อจะไม่ต้องพูดคำนั้นออกมา

    “ปกติแล้วพวกร่างทรง จะไม่ยอมมีอะไรกับอมนุษย์เด็ดขาด พวกหล่อนคิดว่าเป็นคนละชั้น ระหว่างคนที่ยังหายใจเพื่อให้มีชีวิต กับคนที่ไม่ต้องมีลมหายใจก็มีชีวิตอยู่อย่างพวกเรา เห็นได้ชัดๆ ว่า พวกร่างผีฟ้าไม่ได้ยึดถือความแตกต่างข้อนี้ นังหัวหน้านั่น แค่อยากได้มันไตรไว้บำเรอ มันก็จะเอาให้ได้...”

    ประโยคท้ายๆ พรายหนุ่มแสดงสีหน้ารังเกียจที่จะพูดถึงเรื่องเหล่านี้อย่างชัดเจน

    แต่มันน่าสนใจไม่ใช่หรือ แสดงว่าอาจมีอะไรมิดีมิร้ายเกิดขึ้นกับมันไตรก่อนที่จะโผล่มาอยู่ริมถนนก็เป็นได้

    พี่สิทธาก็อยากรู้ว่าเป็นอย่างไรต่อไปเหมือนกัน เขาเขย่าขาและลูบหัวเข่าไปมา เพื่อสะกดความอยากรู้อยากเห็นของตัวเอง

    หลังจากพรายหนุ่มลูกครึ่งนิ่งไปอึดใจใหญ่ เขาก็มีท่าเหมือนเพิ่งฟื้นจากความฝัน ก่อนจะเริ่มบอกเล่าเรื่องราวต่อไป

    “ที่นางตัวหัวหน้าส่งลูกน้องมา ก็เพื่อจะบอกว่า หากคุณไตรยอมเป็นสามีของมันให้สาใจสักเจ็ดวันเจ็ดคืน พวกนั้นจะลดราคาที่เรียกร้องจากมากกว่าครึ่งเป็นเหลือไม่ถึงหนึ่งในห้า”

    “พับผ่า!”

    พี่สิทธาตบเข่าฉาด ก้มลงพูดกับมันไตรซึ่งยังนั่งอยู่กับพื้นและไม่ยอมกระดิกไปไหน

    “นายจะต้องขึ้นชื่อลือชาว่าบรรเลงเรื่องอย่างว่าได้เด็ดสะเด่าไปเลยละซี”

    น้ำเสียงนั้นไม่ใช่การประชดประชัน มันเป็นการชื่นชมกันตามประสาชายชาญ ซึ่งความคิดของพี่ชายฉันก็ยืนยันอย่างนั้นจริงๆ ในขณะที่คนถูกพาดพิง ก็มีอาการว่าภาคภูมิใจในข้อกล่าวหานี้อยู่ไม่ใช่น้อย

    แต่พอมันไตรได้สบตากับฉัน ท่าทางอย่างนั้นก็เปลี่ยนไป คราวนี้กลิ่นอายของความยุ่งเหยิงกำลังฟุ้งตรลบอบอวล และชวนกระอักกระอ่วนเหลือเกิน มันคล้ายกับว่าเวลาเรากลืนอะไรลงคอแล้วมันทำท่าจะขย้อนออกมานั่นละ

    “พวกที่เดอะพรายบางคนยุส่ง ให้คุณไตรยอมๆ มันไป แต่เจ้านายของเรากลับไม่ยอม”

    คราวนี้น้ำเสียงของจอห์นเปลี่ยนเป็นเชิงเทิดทูนบูชา

    “แถมยังโกรธพวกนั้นเป็นฟืนเป็นไฟ หาว่าคิดจะทำลายศักดิ์ของพวกอมนุษย์ ในที่สุดลูกน้องของมันก็เสกไสย์ดำสาปใส่คุณไตร”

    ถึงตรงนี้ กระแสความคิดของมันไตรยิ่งยุ่งเหยิงจนแลเหมือนเส้นขีดดำมืดที่ขีดทับกันไปมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า

    “เป็นผมหน่อยไม่ได้นะคุณไตร จะแถมให้อีกสักเจ็ดวันเจ็ดคืน ไม่เข้าใจจริงๆ ว่าคุณจะไปปฏิเสธข้อเสนอที่เรามีแต่ได้กับได้อย่างนี้ทำไม”

    “ผมไม่ทราบ”

    มันไตรตอบเสียงเบา ขยับให้ลำตัวแนบชิดกับช่วงขาของฉันเหมือนจะหาหลักพักพิง อาการเคร่งเครียดของกล้ามเนื้อที่ฉันได้สัมผัส บอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้โป้ปด

    “กระทั่งชื่อตัวเองผมยังจำไม่ได้ ถ้า...คุณปาลิน ไม่บอก”

    “แล้วคุณมาโผล่แถวนี้ได้ยังไง”

    “ผมก็ไม่รู้เหมือนกัน”

    “อยู่ๆ เขาก็หายตัวไปจากตรงนั้น ตรงที่เรากำลังปรึกษากันจะยอมรับเงื่อนไขบ้าบอนั่นหรือไม่ ตอนนั้นมีร่างผีฟ้าอยู่ด้วยคนหนึ่ง หล่อนอายุไม่น่าจะเกินยี่สิบห้า”

    พิชาช่วยอธิบาย หลังจากนิ่งอยู่นาน

    “เหมือนระฆังช่วยซีนะคะ”

    ฉันก้มลงพูดกับพรายเจ้าเสน่ห์ความจำเสื่อม โดยต้องพยายามหักห้ามใจ ไม่ยอมให้มือตัวเองเผลอไปลูบไล้ไรหนวดเขียวครึ้มตลอดแนวกรามและใต้คาง

    แต่เขาดูเหมือนไม่เข้าใจสำนวนที่ฉันพูดออกมา จึงต้องรีบเปลี่ยนเป็นว่า

    “ได้ยินอย่างนี้แล้ว พอจะนึกอะไรออกบ้างหรือยังคะ”

    “ผมจำได้ตั้งแต่ตอนที่กำลังวิ่งแล้วคุณมาพบเข้านั่นละ ก่อนหน้านั้นมันมีแต่ความว่างเปล่าอยู่ในหัว”

    ฟังแล้วไม่อยากจะคิดเลยว่า ถ้าฉันต้องตกอยู่ในสภาพอย่างนั้นแล้วจะเป็นอย่างไร

    “เราก็เลยยังคงมืดแปดด้าน”

    ฉันพยายามสรุป แต่ว่า...

    “มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน มันต้องมีต้นสายปลายเหตุมากกว่านี้สิน่า ถ้าอยู่คุณไตรมาโผล่ตรงไหนก็ไม่รู้ ปัญหาคงไม่ใช่ที่ปลายทาง มันต้องเปิดจากต้นทางนั่นละ”

    พิชาทำให้เรียบๆ แบบการพยายามลอยตัวไม่รู้เป็นอะไรด้วย ขณะที่จอห์นแสดงออกทางสีหน้าเต็มที่ว่าไม่สบอารมณ์

    จากอาการอย่างนั้น ทำให้ฉันจำเป็นต้องถาม

    “บอกมาตามตรงเถอะค่ะ พวกคุณทำอะไรลงไปกันแน่ ตอนก่อนที่เจ้านายคุณจะหายตัวมาจากตรงนั้น”

    ฉันชักฉุด เพราะจับเค้าความคิดได้รางๆ ว่าสองพรายยังมีอะไรปกปิดอยู่อีก

    มันไตรรวบสองขาฉันไว้ในอ้อมกอด มันอบอุ่นอย่างบอกไม่ถูก แต่อีกทางก็อดคิดไม่ได้ว่าเขากำลังยึดตัวฉันไว้ไม่ให้ลุกขึ้นยืน

    “เรื่องของการจะทำลายศักดิ์ศรีกันอย่างนี้ จอห์นเขาทนไม่ค่อยจะได้”

    เสียงอธิบายของพิชาเบาลงอีก

    ฉันต้องหลับตาเพื่อรวบรวมความคิด ขณะที่พี่ชายยังคงงุนงงกับความหมาย ส่วนมันไตรที่กอดท่อนขาของฉันไว้ก็เหมือนได้ใจ เพราะเขาซบเอียงหน้าอิงศีรษะอยู่กับต้นขาข้างหนึ่งของฉัน

    “แสดงว่า... ต้องมีการใช้กำลังกันเกิดขึ้น...”

    ฉันสรุปเองอีกครั้ง

    “ยัง... แค่พอร่างผีฟ้านั่นทำท่าจะร่ายเวทย์มนตร์ คุณไตรก็หายวับไปแล้ว”

    “เป็นการใช้เวทย์มนตร์โดยบังเอิญหรือคะ”

    พิชาพยักหน้าแทนคำตอบ

    “ก็อาจอย่างนั้นมั้งครับ ถึงพวกเราจะไม่เคยได้ยินว่าเวทย์มนตร์ของพวกร่างผีฟ้าจะกล้าแข็งถึงขนาดย้ายมวลสารได้ แต่เชื่อเถอะว่า ผมก็พยายามปกป้องศักดิ์ศรีของพวกพรายเต็มที่แล้ว”

    จอห์นร่ายยาว ประมาณว่าเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่ความผิดของตนเอง

    ฉันไม่รู้จะแสดงสีหน้าระอาใจกับใครดี จึงต้องหันหาพี่ชาย ก็เรื่องรับมันไตรขึ้นรถแล้วพาเข้ามาในบ้านก็ไม่ใช่ความผิดของฉันเหมือนกัน ทำไมถึงจะมาคิดฆ่าแกงกันง่ายๆ กับเหตุการณ์เท่าที่ประมวลได้ หากเรื่องที่พวกพรายถูกคุกคามจากผู้มีลมหายใจถึงขนาดนี้ แล้วจอห์นกลับเป็นฝ่ายทำให้สถานการณ์ยิ่งคับขันและเลวร้าย มหารานีรู้เข้าจอห์นก็คงไม่รอด

    ทุกคนที่ล้อมวงกันอยู่นี้ พูดไม่ออกกันอีกพักหนึ่ง ขณะที่พี่สิทธาหันไปเปิดฝาขวดโลหิตสังเคราะห์แจกให้พรายทั้งสามตน

    “มีใครเคยทำงานที่บาร์ร้านสุรากรุงเกษมบ้างหรือเปล่า”

    พี่ชายของฉันถามขึ้นเมื่อถอยกลับมานั่งที่

    “ที่ที่ทำงานของน้องสาวผมน่ะ”

    มันไตรยักไหล่เป็นคำตอบ เพราะเขาย่อมจำอะไรไม่ได้

    “คุณไตรไม่เคย แต่ฉันเคย... ใช่ไหมล่ะลิน”

    พรายสาวมองมาที่ฉันราวกับจะให้ช่วยยืนยัน

    พอฉันพยักหน้า พี่สิทธาจึงได้ข้อสรุปของตัวเอง

    “เป็นอันว่า มันไตรกับปาลินไม่มีความเกี่ยวข้องกัน ไม่ว่าทางใดทั้งสิ้น จะไม่มีใครมาถามหาเขาจากปากของน้องสาวผม”

    “ก็คงจะอย่างนั้นละ”

    พิชาตอบเนื่อยๆ ขณะที่คนอื่นยังนิ่ง โดยที่อยู่ๆ ฉันก็รู้สึกไม่สบายใจขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก

    “ที่ห่วงก็คือ นอกจากน้องสาวผมแล้ว ระหว่างทางที่มันไตรวิ่งอยู่นั่น มีคนอื่นเห็นเขาอีกหรือเปล่า”

    พี่ชายฉันพยายามนำเสนอความคิดเห็นของตัวเองต่อไป

    “ที่อยากรู้ที่สุดคือ ทำไมจะต้องเจาะจงหายตัวมาวิ่งอยู่บนถนนทางเข้าบ้านนี้”

    ฉันอยากจะหอมแก้มพี่ชายสักฟอด เป็นรางวัลที่เขาตั้งคำถามได้ตรงใจฉันที่สุด

    “ซึ่งเราไม่รู้แน่นอนว่ามันไตรวิ่งมานานแค่ไหน หรือวิ่งมาจากไหน พวกคุณก็คงจะรู้ดีว่าคนแถวๆ นี้ก็ชอบข้ามถิ่นไปเที่ยวถึงแถวเจริญกรุง ซึ่งแน่นอนดึกขนาดนั้น พวกเขาก็ต้องใช้ถนนใหญ่สายก่อนที่จะเลี้ยวเข้ามาในบ้านของน้องสาวผมนี้ละ ผมเองเวลาจะไปเที่ยวเดอะพราย ก็ต้องใช้เส้นทางนี้เหมือนกัน”

    เรื่องที่พี่ชายเคยไปเดอะพรายนี้ เขาไม่เคยแพร่งพรายให้รู้มาก่อน ฉันค้อนให้เขา ส่งสัญญาณว่ารู้หรอกน่ะว่าตะกายไปถึงเดอะพรายด้วยจุดประสงค์อย่างไร

    “ถ้าใครสักคนคนนั้น เกิดอยากจะได้รางวัล แล้วโทร.ไปตามหมายเลขนั้น ผมอยากรู้เหมือนกันว่าอะไรจะเกิดขึ้น”

    “ถ้าพวกที่อ้างว่าเป็นเพื่อนสนิทคุณไตรเชื่อคนที่โทร.ไป พวกนั้นก็ต้องรีบออกตามหากันละ เพราะพวกมันต้องรู้แน่ๆ ว่าคุณไตรถูกไสย์ดำของพวกมัน และพวกมันก็คงมั่นใจว่าจะค้นหาคุณไตรได้ไม่ยาก หรือไม่อาจรีบส่งข่าวมาที่พวกร่างทรงแถวนี้ ให้ช่วยตามหาโดยการเสนอข้อแลกเปลี่ยนแบบที่ร่างทรงแถวนี้ไม่อาจปฏิเสธ”

    จอห์นเป็นคนอธิบาย

    “แถวสายสองนี้ไม่มีร่างทรงหรอกครับ”

    พี่สิทธาสวนทันควัน พร้อมกับสีหน้าแบบตั้งคำถาม “ใช้สมองส่วนไหนคิดได้วะเนี่ย” ที่ส่งไปให้พรายลูกครึ่งแคชเมียร์ พี่ชายฉันชอบสรุปอะไร โดยการใช้ความคิดความเข้าใจของตัวเองเป็นที่ตั้งอย่างนี้เสมอๆ

    “แต่ลินว่ามี พนันกันก็ยังได้” 

     ฉันแทรกขึ้นบ้าง

    “พี่สิทธาจำที่ลินเคยเล่าให้ฟังไม่ได้หรือไง”

    ฉันเคยเตือนพี่ชายเกี่ยวกับเรื่องของพวกสัตว์สมิงกับพวกรักษส์ ที่แปลงกายเป็นมนุษย์ได้อย่างเนียนๆ แต่ที่จริงฉันเชื่อว่านอกจากพราย สัตว์สมิง พวกรักษส์หรือรากษสแล้ว คงยังมีอมนุษย์อื่นอีกมากมายที่แฝงตัวอยู่ในเงามืด ในมิติชีวิตเดียวกันกับเรา

    ก็ดูเถอะ แค่ไม่ถึงครึ่งคืน พี่สิทธาก็ต้องมามีส่วนรู้เห็นกับเรื่องเหลือเชื่อบ้าๆ นี้เต็มไปหมด จนฉันอดคิดไม่ได้ว่า น่าจะเกินความสามารถในการรับรู้ของเขาไปเสียแล้ว

    “จ้ะ... อย่างนั้นลินก็บอกพี่มา ว่าถ้ามีพวกร่างผีฟ้าบ้าบออะไรนั่น พวกนั้นเป็นใครกันบ้าง”

    พี่สิทธายอมจำนนด้วยท่าทีที่อ่อนเนือยลง

    “ก็ทั้งนั้นแหละค่ะ ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย”

    พิชาเป็นฝ่ายอธิบายเสียเอง ด้วยท่าทางจำใจเป็นอย่างยิ่ง

    “เขาก็อยู่ในสังคมทั่วไป ไปไหนมาไหนอย่างมนุษย์ปกติทั้งกลางวันกลางคืน พวกนิยามเล่นไสย์สมัยนี้ปกปิดกันมิดชิดก็มีมาก คุณดูไม่ออกหรอกว่า เพื่อนบ้านที่น่าคบหานั้นจริงๆ แล้วเขาเป็นมนุษย์หรืออมนุษย์ หรือหากเป็นมนุษย์ ก็ไม่รู้อยู่ดีว่าเป็นมนุษย์ที่นิยมอยู่กับศาสตร์เร้นลับชนิดไหน”

    ท้ายๆ พิชาดูเหมือนจะไม่เห็นด้วยกับคำพูดของตัวเองเท่าไรนัก

    “ซึ่งพวกไสยขาวก็คงมี แต่ก็ย่อมถูกพวกที่มีความคิดเลวร้าย หรือพวกที่นิยมความหายนะ พลอยทำให้มัวหมองไปด้วย”

    “เราจึงสันนิษฐานว่า แถวสายสองของคุณนี้ก็น่าจะมีร่างทรงอยู่สักคนสองคน”

    จอห์นหยุดพูด แล้วมองหน้าพิชาก่อนจะกล่าวต่อ

    “แต่ก็ไม่น่าจะใช่พวกกลุ่มร่างผีฟ้าทั้งสิบสามคนนั่น และเราก็คิดว่าการให้พวกนอกกลุ่มช่วยเหลือ คงไม่ใช่เรื่องง่าย”

    “แล้วทำไมพวกร่างผีฟ้าที่เคยไปเดอะพราย ไม่ใช้ไสยเวทย์เพื่อตามหามันไตรล่ะ”

    ฉันถามด้วยความสงสัยจริงๆ

    “มันต้องมีสื่อ คือของใช้ส่วนตัวอะไรสักอย่างของคุณไตร ซึ่งแน่นอนว่าพวกนั้นไม่มีวันจะได้อะไรไปจากพวกเรา พวกมันเลยตามล่าคุณไตรไม่ได้จากช่องทางนั้น”

    พิชาคงภูมิใจไม่น้อยที่สามารถพิทักษ์ความปลอดภัยให้เจ้านายตนได้ระดับหนึ่ง

    “มันไม่รู้ว่าที่ซ่อนตัวหลบแสงอาทิตย์ของคุณไตรอยู่ที่ไหน เลยหมดโอกาสที่จะได้สื่อที่จะเอาไปใช้ร่ายมนตรา และแถวนี้ก็ย่อมไม่มีคนที่เคยได้รับโลหิตจากคุณไตร”

    เอาละซี!... ประโยคสุดท้ายทำให้ฉันต้องรู้สึกขนพองสยองเกล้าขึ้นมาอีกครั้ง มันไตรแอบสบตากันฉันพริบตาหนึ่ง ก็ฉันนี่ละที่เคยได้รับโลหิตจากเขา ใน “คราวซวย” เมื่อไม่นานมานี้ ฉันได้แต่ภาวนาว่าจะไม่มีใครรู้เรื่องนี้อีก นอกจากฉันกับเขาเท่านั้น

    “หรือไม่ก็...” จอห์นค่อนข้างลังเลที่จะพูดต่อไป “พวกร่างผีฟ้าอาจใช้วิธีสืบหาแบบนั้นได้แต่กับมนุษย์ด้วยกันเท่านั้น หรือไม่ก็พวกภูตผี แต่เราเป็นพราย เป็นอมนุษย์ พวกนั้นอาจใช้วิธีนั้นไม่ได้ผล”

    สองพรายลูกน้องผู้ภักดีของมันไตรสบตากันนิ่งนาน ราวกับกำลังระดมความคิดเห็นกันอย่างหนักหน่วง ซึ่งฉันไม่ชอบสถานการณ์อย่างนี้เลย

    ส่วนตัวหัวหน้า คือ มันไตร เขาก็มองหน้าสองพรายสลับกันไปมา ทำให้ฉันยิ่งเชื่อได้ว่า เขาไม่รู้เรื่องอะไรด้วยเลยทั้งสิ่งที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้ หรือที่จะเกิดขึ้นต่อไป

    อีกครู่หนึ่ง กว่าที่พิชาจะหันกลับมาหาฉัน

    “เราคิดว่าคุณไตรต้องพำนักอยู่ที่นี่ การย้ายที่หลบภัยเป็นการเสี่ยงเกินไป ถ้าที่นี้... ซึ่งเราก็รู้แล้วว่าคุณไตรจะอยู่ได้อย่างปลอดภัย เราจะได้เบาใจ แล้วทุ่มเทต่อสู้กับพวกร่างผีฟ้าได้อย่างไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง”

    “ฆ่ากันให้ตายยังจะง่ายกว่า”

    พี่สิทธาพึมพำออกมา จากเจตนาประมาณว่า ฉันไม่น่าแส่หาเรื่องใส่ตัวเลยจริงๆ

    หลังจากทบทวนความเข้าใจความหมายในคำพูดของพิชาได้ถี่ถ้วนดีแล้ว ฉันจึงเข้าใจว่า ความกังวลใจที่เกิดขึ้น ตอนที่พี่สิทธาพยายามเจาะจงว่าจะไม่มีใครสืบถามหามันไตรจากฉันได้ แท้ที่จริงในความหมายก็คือ คนที่รวยล้นฟ้า รูปหล่อราวเทพบุตรจุติลงมา ย่อมเป็นไปไม่ได้แน่ที่จะมาหลบอยู่กับสามเสิร์ฟเฉิ่มๆ เพี้ยนๆ จนๆ อย่างฉัน

    ส่วนพรายความจำเสื่อมก็ยังทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน ราวกับเป็นเด็กใสๆ ไร้เดียงสา จนฉันอดไม่ได้ที่จะต้องใช้สองมือปิดหูทั้งสองข้างของเขา มันไตรคงนึกสนุกเลยประกบฝ่ามือลงบนหลังมือฉัน ให้แนบแน่นยิ่งขึ้น

    เราทุกคนต่างกำลังแสร้งทำเป็นว่าที่ฉันจะพูดออกมาทั้งหมด มันไตรจะไม่ได้ยิน

    “พวกคุณต้องฟังฉันให้ชัดๆ ทั้งคุณ พิชา และจอห์น การจะให้ไตรอยู่ที่นี้ต่อไปเป็นความคิดที่ไม่ได้เรื่องที่สุด เพราะอะไรรู้ไหม...”

    ให้ตายเถอะ! ปากที่พูดออกมามันไม่ทันกับใจเอาเสียเลย

    “ทำไมฉันจะต้องกลายเป็นผู้อารักขาเขาล่ะ พวกคุณก็รู้ดี ถ้าเกิดอะไรขึ้น ก็ฉันนี่ละที่จะเดือดร้อน อาจถูกฆ่าอย่างน่าเวทนาที่สุด หรือหากรอดไปได้ ก็คงอยู่ในอาการเจ็บปางตาย”

    ทว่าแววตาที่มองกับมาของสองพราย ว่างเปล่ามากับคำพูดนี้

    ซ้ำสายตาของพิชายังคล้ายจะถามกลับมาว่า

    “กับมันไตร ผู้หญิงทั้งโลกก็พร้อมจะพลีชีวิตให้ได้... หรือไม่จริง”

    “ถ้า...ปาลินจำเป็นต้องทำหน้าที่องครักษ์พิทักษ์นายมันไตรคนนี้”

    พี่สิทธาไม่ได้คิดจะปรึกษาฉันเลยกับสิ่งที่เขาพูดต่อไปว่า

    “น้องสาวผมก็ควรจะได้รับค่าตอบแทนอย่างสมน้ำสมเนื้อ เหมาะสมกับความเสี่ยงภัยที่จะต้องแบกรับ”

    ฉันอายแทบแทรกแผ่นดิน แต่พิชากับจอห์นกลับพยักหน้าอย่างเห็นด้วยตามนั้น

    “อย่างน้อยก็ ควรจะได้เท่ากับพวกที่จะแจ้งเบาะแสไปยังเพื่อนสนิทร่างผีฟ้าอะไรนั่น”

    พี่ชายฉันไล่มองหน้าพวกพรายทีละคน

    “สองล้านห้าแลกกับความปลอดภัยของเจ้านายคุณ คงไม่มากมายอะไร”

    “พี่คะ!”

    ฉันแหวเข้าใส่ ขณะที่สองมือยิ่งกดฝ่ามือลงกับสองหูของมันไตรให้แน่นยิ่งขึ้น ทั้งอายทั้งโกรธ ดูเถอะพี่ชายของตัวเองกำลังเอาเรื่องคอขาดบาดตายมาต่อรองเป็นผลประโยชน์ โดยไม่หันมาเอ่ยถามฉันสักคำ ทำราวกับว่าเรื่องเงินทองทั้งหมดนี้เป็นของตัวเองอย่างนั้นละ

    “แปดแสน”

    จอห์นเสนอราคาต่อรอง

    “สองล้าน”

    พี่สิทธาทำเสียงเข้ม

    “ล้านเจ็ด คำสุดท้าย”

    “ตกลงตามนั้น”

    พี่ชายฉันเน้นทุกคำอย่างผู้มีชัย ก่อนจะหันมาพูดกับฉันอย่างจริงจัง

    “ลิน พี่ขอตัวเดี๋ยว จะไปหาอาวุธมาไว้ให้”




    ****************

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×