คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #6 : บทที่ 6 ยอดปรารถนา
บทที่ ๖
ยอดปรารถนา
“คุณพี่ก็ทราบ ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่คุณศร...”
ศศิประภายังถามย้ำ อย่างไม่มั่นใจ เมื่อเห็นว่าสัตยาไม่มีท่าทางเดือดร้อนอันใด
“ก็นั่นน่ะซี เมื่อปัญหาไม่ได้อยู่ที่คุณศร แล้วคุณศิจะกังวลไปไย”
“คุณศรไม่ยอมเป็นแบบ เพราะอาย... หรือเพราะซื้อเวลา จะไม่ยอมออกเรือนก็ไม่ทราบ แต่ทางเราจะมีแต่เสียกับเสีย”
คนถามไม่สบายใจ ยังไม่เห็นว่าเรื่องนี้จะมีทางออกได้อย่างไร
“คือ ถ้าวาดได้ เรื่องก็จบ คุณศิจะหมายความอย่างนั้นใช่ไหม”
“ซีคะ แล้วรูปภาพคุณศร หาง่ายเสียที่ไหน ท่านผู้นำท่านหวงลูกสาวคนนี้มาก”
“รักมาก หลงมาก เลยเสียเด็ก”
“คุณศรก็เป็นอย่างนั้น ใครๆ ก็ต้องตามใจ อยากทำอะไรก็ทำ ไม่อยากทำอะไรก็ไม่ต้องทำ อย่างเรื่องถ่ายภาพก็ไว้ตัวจะตายไป เคยยอมให้ใครที่ไหนกัน”
“คุณศิเลยตั้งใจจะให้พี่ใช้แบบแบนๆ ในกระดาษหนังสือพิมพ์หรืออย่างไรจ๊ะ”
“ก็ศิไม่เห็นหนทางนี่คะ พรุ่งนี้ไม่รู้จะกลับไปสู้หน้าท่านๆ กันยังไง”
“พี่รับปากได้ว่า พรุ่งนี้พวกท่านๆ ทั้งท่านผู้นำ คุณน้าและคุณศรเอง จะต้องพอใจ”
“ทำไมหรือคะ หรือว่าคุณพี่ไปเรียนวิชาโหราพยากรณ์ที่ไหนมา ถึงจะรู้ได้ว่าวันนี้พรุ่งนี้ ใครจะอารมณ์ดีหรือร้าย หรือว่าได้ทางใน แค่เพ่งจิตก็รู้เห็นได้อย่างใจคิด...”
“พี่รับปากแล้วก็แล้วกันเถิดน่า หรือว่าไม่เชื่อถือฝีมือพี่เสียแล้ว”
“แต่...”
พอเห็นภรรยายังเซ้าซี้อยู่ไม่วาย สัตยาก็นิ่งเสีย เลิกพูดถึงเรื่องนี้อีกจนจบมื้อเย็นพอล้างมือบ้วนปากแล้ว จึงบอกกับหล่อนอีกครั้งว่า คืนนี้จะอยู่ในห้องทำงานทั้งคืน
ใจของเองสัตยานั้น ยังนึกสงสัยอยู่ไม่วาย ว่าที่จริงแล้ว เหตุไรตนจึงไม่อาจตัดใจจากเรื่องราวในอดีตได้สักที และคิดจะใช้โอกาสนี้ ลองลบภาพในใจ ว่าจะเป็นไปได้หรือไม่ ถ้าหากตั้งใจ ตั้งสมาธิดีๆ สร้างผลงานชิ้นอื่นขึ้นมา แล้วตราประทับสำคัญที่ฝังใจอยู่นั้น จะจางหายไปได้หรือไม่
เข้าใจหัวใจตนเองดีว่า รักแรกนั้นยังตราตรึง ฝังลึกอยู่กับการเคยร่วมกันลำบากลำบน แต่เมื่อห้วงเวลาเช่นนั้นผ่านไปแล้ว เขาก็จำต้องเดินไปข้างหน้า
คืนนี้เดือนหงาย น้ำเปี่ยมฝั่ง ลมแม่น้ำพาละอองเย็นชื่น มาสัมผัสให้สบายตัว ดอกราตรีริมรั้วส่งกลิ่นหอมเย็นๆ
กับที่ฝากภรรยาไปกำชับ อย่าให้ใครพูดจาเอะอะขัดสมาธิ บรรยากาศทั้งหมดรอบตัวจึงสมบูรณ์พร้อม ให้สัตยาได้สร้างผลงานอวดฝีมืออีกครั้ง
เพียงกระดาษเท่านั้นที่ต่างออกไป จากกระดาษชั้นเลิศที่ญาติผู้พี่ของศศิประภาอ้างว่าทำขึ้นจากหนังมนุษย์ สิ่งอื่นล้วนไม่ได้ด้อยกว่า ทั้งแสง สี บรรยากาศรอบตัว หรือกระทั่งอารมณ์ความรู้สึกของผู้วาด ที่เพียบพร้อมเพียงพอ
จนใกล้รุ่งภาพจึงใกล้สำเร็จ แค่เก็บรายละเอียดอีกนิดหน่อย หลังจากพินิจพิจารณาทุกเส้นสาย ปลายพู่กันพอแต้มสีสุดท้าย ให้ริมฝีปากระเรื่องาม ก็เป็นอันสำเร็จ
ความตั้งใจใช้สมาธิอย่างมหาศาล ต่างจากการทำงานคล้ายต้องมนตร์ในการวาดภาพคราวก่อน ครั้งนี้เขาทั้งรู้สึกอ่อนเพลียและเหน็ดเหนื่อย บอกตัวเองว่า คงเพราะหักโหมสร้างผลงานอย่างนี้ถึงสองชิ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน จึงอ่อนล้าไปหมด
ถึงกับฟุบหลับอยู่บนโต๊ะ ตอนที่ศศิประภาเผยประตูเข้ามาในช่วงสาย
หล่อนเห็นผู้เป็นสามีนิ่งอยู่ในท่านั้น ก็รีบเข้ามาดูแล
พอเห็นว่าแผ่นกระดาษตรงหน้าเป็นรูปอะไร ก็ยิ่งตื่นตาตื่นใจ
อดไม่ได้ที่จะต้องเขย่าเรียก
“สวย... สวยงามมากค่ะคุณพี่”
สัตยายังงัวเงีย ตอนได้ยินภรรยาถามต่อไป
“ภาพวาดสีน้ำ น้องไม่เคยเห็นคุณพี่วาดสักเท่าไร ว่ากันว่าแถบยุโรปโน่นเขาเล่นทางสีน้ำมันมากกว่า”
“สีน้ำพี่เพิ่งมาหัดที่หลัง ที่...”
เกือบจะพลั้งปากออกไปว่า มาได้อาจารย์ที่เป็นจีนเวียดนาม เคยช่วยสอนให้ตอนอยู่ในเขมร
“...ใจจริงพี่ชอบทางสีน้ำ มีพื้นจากตะวันตก พอได้ฝึกแนวสีน้ำตะวันออก ก็อาจจะดูมีมิติขึ้นมาอีกหน่อย”
“ขนาดนี้ไม่หน่อยแล้วละค่ะ สวยงามขนาดนี้ ศิว่าทุกคนจะต้องพอใจแน่นอน”
“สิ่งไรที่พี่รับปากไว้แล้ว ก็ต้องทำให้สำเร็จซีจ๊ะ”
“ว่าแต่ เห็นหน้ากันไม่กี่ครั้ง คุณพี่จดจำคุณศรได้ถึงขนาดนี้เชียวหรือคะ”
เหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ ศศิประภาจึงต้องถาม
“พี่ว่าสวยกว่า... หรือคุณศิว่าอย่างไร สวยกว่าคุณศรตัวจริงๆ หรือไม่”
“ก็นั่นละคะ เห็นแค่ครั้งสองครั้ง ถ้าไม่คิดอะไร มีหรือที่จะจดจะจำได้ขนาดนี้...”
สัตยานิ่งไปนิดหนึ่ง อาจเพราะยังไม่ตื่นดี ความคิดจึงไม่ลื่นไหลเท่าที่ควร
“คนที่สวยกว่าคุณศร พี่ก็เห็นอยู่ทุกวี่ทุกวัน มีหรือจะจดจำความสวยงามเพียงแค่นั้นไม่ได้”
“พูดอย่างนี้หมายความว่าอย่างไรคะ”
แม้จะเข้าใจความหมายในคำพูดของสามีได้ทันที แต่ศศิประภายังถามไปอย่างนั้น
“ก็หมายความว่า ที่วาดมานี้ แท้จริงในจินตนาการของพี่ คือคุณศิเพียงคนเดียว”
“แล้ว...”
“คุณศิกับคุณศร เป็นญาติสนิทกัน ก็ต้องคล้ายกันเป็นธรรมดา”
“อย่าทำมาเป็นพูดดีไปหน่อยเลย”
“พี่พูดจริงๆ ก็ถามอยู่ว่า สวยกว่าตัวจริงหรือเปล่า เพราะเมียพี่สวยจับตาจับใจมากกว่านัก”
สัตยาดึงตัวภรรยาเข้ามากอด แสดงให้หล่อนรู้ว่า เขายังทั้งรักทั้งหลงหล่อนอย่างไม่มีวันเสื่อมคลาย
“คุณพี่พักเถอะค่ะ หน้าตาท่าทางเหมือนเหนื่อยมาทั้งคืน”
“จริงสิ พอคุณศิทัก พี่ก็ว่า รูปนี้เหมือนมีอะไรมาเหนี่ยวรั้ง กว่าจะลงแต่ละเส้น แต่ละสี มันจดๆ จ้องๆ เหมือนคนไม่เคยพู่กัน”
“อย่างนั้นก็ไปนอนเสียก่อนนะคะ ศิจะรีบนำรูปนี้ไปที่จวนท่านผู้นำ”
“ก็ต้องลำบากคุณศิอีกแล้ว”
“ลำบากที่ไหนล่ะค่ะ ไปเอาหน้า สิไม่ว่า”
ศศิประภาวางภาพลง เพื่อจะจูงสามีสุดที่รักกลับไปนอนพักในห้องนอน กังวลว่าประตูห้องทำงานจะเปิดไม่ออกอีก จึงคล้องขอ ขัดบานประตูไว้ไม่ให้เขยื้อน
‘ความหวังก็คือไปเจริญสูงสุดในอาชีพราชการ คงอีกยาวไกลนักหากไม่ได้น้องศิคอยดูแล...’
ศศิประภาเก็บคำชื่นชมนี้ไว้ยิ้มกับตัวเอง ในตลอดทางที่นั่งรถมาถึงที่พำนักของคุณพรสุรางค์และศรสวรรค์
“โทร.มาให้น้าตื่นเต้นแต่เช้า พอดีปราโมทย์เขาแวะมา เลยพลอยตื่นเต้นไปด้วย”
อนุภรรยาคนโปรดของท่านผู้นำ นั่งรอในห้องรับแขกอยู่ก่อนแล้ว
ส่วนศรสวรรค์ ผู้ที่จริงๆ ควรจะได้นั่งเป็นแบบให้สัตยาวาด ก็ยังทำหน้าบอกบุญไม่รับเฉยอยู่
หลังจากม้วนภาพถูกคลี่ออกมาให้เห็นกันถ้วนทั่วนั่นละ ที่บุตรสาวคนโปรดของท่านผู้นำ จึงยิ้มออกมาได้
“สวย... สวยจนบอกไม่ถูก...”
คุณพรสุรางค์เผลอเอ่ยออกมา
ขณะที่ปราโมทย์ถึงกับฉวยภาพนั้นไปพิจารณาใกล้ๆ
“หมดจดงดงามเสียนี่กระไร”
ศรสวรรค์ได้แต่มองคนนั้นทีคนนี้ที ไม่รู้จะแสดงออกอย่างไร จะเขินอาย หรือดีใจให้เต็มที่ก็ไม่แน่ใจ
“ทั้งปากคอคิ้วคาง เก็บรายละเอียดได้ดีมาก”
ระหว่างยังชื่นชม ญาติผู้พี่ของศศิประภาก็ยกภาพขึ้นเทียบเคียงกับตัวจริง
“ดูตรงดวงตานี้สิ หวานปานจะหยด สมใจไหมครับคุณน้า คุณศร”
“ต้องถามเจ้าตัวเขาเองกระมัง”
ผู้เป็นมารดาหันไปทางบุตรี แต่ปราโมทย์ยังแทรกขึ้นอีก
“อย่างที่เขาว่าจริงๆ จะวาดดาดๆ สักแต่ว่าให้มันสวยๆ ใครๆ ก็ทำได้ แต่การถ่ายทอดออกมาให้รูปวาด ราวกับมีชีวิตจิตใจ เขียนแววตา ประกายตา ได้ขนาดนี้ แสดงว่าต้องตั้งใจจริง และมีสมาธิอย่างมาก”
เพราะญาติผู้พี่รำพึงรำพันอยู่อย่างนั้น ศรสวรรค์จึงยังมีเวลาคิดไปถึงคนวาดภาพ ยิ่งพอได้ยินว่าต้องตั้งใจจริง ต้องมีสมาธิอย่างมาก หล่อนก็ยิ่งรู้สึกว่าตัวเองคงสำคัญไม่น้อยในหัวใจของสัตยา
“แม่ศร... แม่ศร...”
คุณพรศุรางค์ต้องเรียกซ้ำอีกสองครั้ง กว่าลูกสาวจะหันมาสบตา สะดุ้งนิดเหมือนเพิ่งตื่นจากภวังค์ห้วงฝัน
“คะ...คุณแม่”
“แม่ถามว่าชอบหรือเปล่า...”
“ชอบ ชอบอะไรหรือคะ”
ศรสวรรค์พยายามกลบเกลื่อน พิรุธที่เผลอเหม่อลอยอย่างเต็มที่
สุภาพสตรีอีกสองคนจึงได้แต่หันหน้าไปอมยิ้มใส่กัน
“ก็ที่เรากำลังยืนดูอยู่นี้ไง ภาพเหมือนตัวหนูนี่น่ะ ชอบไหมจ๊ะ”
“ชอบสิคะ ชอบมาก”
“แต่ว่า สัตยาเขาวาดรูปนี้เสร็จในคืนเดียวได้จริงๆ น่ะหรือ”
ปราโมทย์แทรกขึ้นอีก จนคนที่เหลือก็นึกเคืองๆ อยู่เหมือนกัน
“แล้วทำไมจะไม่จริงล่ะพี่โมทย์ คุณพี่เค้าวาดอยู่ทั้งคืน เพิ่งจะได้เอนหลังตอนที่ศิออกมานี่เอง”
“แต่ เมื่อวานเขาเพิ่งบอกว่า มันต้องใช้เวลา ต้องมีแบบต้องมีอารมณ์ ต้องมีนั่นมีนี่ ภาพถึงจะออกมาได้สวยสมบูรณ์”
จบคำนี้ ศศิประภาถึงกับหัวเราะขัน ก่อนจะพูดว่า
“ก็นึกว่าพี่โมทย์จะเชี่ยวชาญ จนรู้ขั้นตอนรายละเอียด ไม่จริงหรอกค่ะ สำหรับคุณพี่เค้า แค่มุ่งมั่นตั้งใจเต็มที่ ในคืนเดียวก็วาดออกมาได้อย่างที่เห็น”
“เขาตั้งใจมากเลยหรือคะพี่ศิ”
เป็นศรสวรรค์ที่ส่งเสียงเหมือนกำลังละเมอ
“ซีจะ กับเรื่องนี้ เขาทุ่มเทมาก ยังบอกว่าเพื่อคุณศร เพื่อคุณน้า ไม่มีอะไรที่จะเกินความพยายาม”
ประโยคท้าย เป็นคนพูดนี้ละ ที่แต่งเติมเข้าไป
“แล้วทำไมทีของพี่จึงช้านักเล่า”
ปราโมทย์ยังไม่หยุด
“เรื่องนี้ ถ้าพี่โมทย์อยากให้สำเร็จ ก็ต้องผ่านน้องก่อน เพราะคุณพี่เค้าน่ะ เชื่อฟังน้องเพียงคนเดียว”
ศศิประภาเอ่ยออกมาอย่างภาคภูมิใจ ไม่เห็นหรอกว่า ข้างหลังนั้น ศรสวรรค์ที่กำลังดื่มด่ำกับความตั้งอกตั้งใจของสัตยา หันมาค้อนควักให้กับหล่อน
ธิดาของท่านจอมพลผู้นำนั้น ถูกตามใจมาแต่เล็กแต่น้อย เมื่อแรกได้พบปะกับสัตยา ก็คิดไว้แล้วว่านี้แหละคือชายในฝัน คือยอดดวงใจที่ตนจะต้องได้มาครอบครอง ยังนึกแช่งชักหักกระดูกให้ผู้ที่เป็นเสมือนพี่สาวคือศศิประภา รีบๆ ตายไปเสียให้พ้นทาง
พอมาได้ฟังหล่อนโอ่อ่าออกตัวว่า สามีแสนรักแสนหวงจนเชื่อฟังทุกอย่าง จากความอิจฉาเล็กๆ ที่ยังพอระงับไว้ได้ จึงลุกโชนขึ้นเป็นไฟริษยากองมหึมา
ปราโมทย์ตามศศิประภามาถึงบ้าน อ้างว่าญาติผู้น้องเป็นถึงลูกสาวรัฐมนตรีกระทรวงใหญ่ เป็นภริยาของที่เจ้ากรมในอนาคตอันใกล้ หากมีคนคิดริษยา ก็อาจถูกปองร้าย
แต่ตลอดทางระหว่างกลับมา แม้ไม่พูดตรงๆ ว่า อยากมาถามสัตยาให้รู้เรื่อง เกี่ยวกับการวาดภาพที่ฝากไว้ ญาติผู้น้องก็รู้ไส้ เพียงแต่ก็ยังหวังว่าปราโมทย์อาจสร้างประโยชน์โภชน์ผลมหาศาลในอาชีพการงานของผู้เป็นสามีได้ ศศิประภาจึงจำเป็นต้องอือออตามไป
จนพากันมาถึงเฉลียงหน้าเรือนแล้วนั่นละ ปราโมทย์จึงพูดจาแบบขี่ม้าเลียบค่ายไม่ได้อีกต่อไป
“ประเดี๋ยวเจอหน้า คงต้องถามให้รู้เรื่อง ว่าธุระของพี่ไปถึงไหนแล้ว”
“นี้ก็เพิ่งบ่ายอ่อนๆ คุณพี่เค้าคงยังไม่ตื่นหรอกค่ะ ศิว่าอย่าเพิ่งรบกวนเลยนะคะ”
ผู้เป็นแม่เรือน ก็กล้าพูดตรงๆ เหมือนกัน
“ถ้าวาดภาพคุณศรได้ในคืนเดียว ทำไมถึงวาดให้พี่เร็วๆ ไม่ได้”
“พี่โมทย์ให้คุณพี่วาดภาพอะไรให้หรือคะ”
คำถามนี้ ทำให้คนถูกถาม รู้สึกกระดากใจไม่น้อย
“ก็... เป็นภาพผู้หญิงน่ะ สาวงาม... คือ สัตยาเขาว่า มีผู้หญิงสุดสวยเหมือนอย่างในอุดมคติอยู่แล้ว แต่ยังหาตัวแบบเทียบเคียงไม่ได้เลย”
ประโยคสุดท้ายนั้น กระทบหัวใจของศศิประภาเช่นกัน เพราะหากผู้เป็นสามีบอกว่าหล่อนเป็นแบบที่สวยมาก และวาดออกมาจนได้ในคืนเดียว ใครหรือผู้หญิงรูปร่างหน้าตาแบบไหน ที่เขาคิดว่าสวยจนไม่กล้าลงมือวาด
แต่สัตยากำลังหลับสนิท ลองเรียกดูแล้วก็ไม่หือไม่อือ หล่อนจึงตัดสินใจ หันมาทางห้องทำงาน
ครั้งนี้ประตูห้องทำงานเปิดได้ง่ายๆ ราวกับมีคนช่วยเผย แต่คนเปิดก็ไม่ได้ใส่ใจ ตรงเข้าไปรื้อหาดูตามม้วนกระดาษ และชั้นราบ ค้นดูจนทั่วแล้วยังไม่เห็น จึงลองเปิดลิ้นชักโต๊ะทำงาน
จานสี พู่กัน และเครื่องมือเฉพาะต่างๆ เรียงระเบียบอยู่เป็นอย่างดี ศศิประภาไล่เปิดลิ้นชักไปทีละชั้น ดึงออกมาจนสุด เพราะแต่ละชั้นถูกออกแบบมาให้ปลายชนพอดีกับโต๊ะตัวกว้างใหญ่ จนถึงอันล่างสุดด้านซ้าย จึงพบกระดาษขาวม้วนหนึ่งซุกซ่อนอยู่
ม้วนกระดาษที่หยิบออกมานั้น ก็เป็นอย่างธรรมดา พอคลี่ออกดู ค่อยเห็นว่า มีกระดาษอีกแผ่นซ้อนอยู่ด้านใน
และพอทั้งภาพเผยให้เห็นได้อย่างถนัด ศศิประภาถึงกับตกตะลึง ไม่นึกไม่ฝันว่ามีรูปวาดใด ที่จะวิเศษสุดถึงเพียงนี้ ขนาดตนเองเป็นผู้หญิง ยังนึกยกย่องในความงาม
สีสันที่คนวาดคงบรรจงระบายเต็มที่ ทำให้ผิวพรรณที่ผุดผาดยิ่งชวนพิศ สวยจนแทบเผลอใช้มือลองสัมผัส ว่าเนียนเนื้อของหญิงสาวในภาพนั้น นุ่นนวลอย่างที่ตาเห็นหรือไม่
หากไม่ชำเลืองไปสบตากับสายตาในภาพเสียก่อน
ตรงนี้ยิ่งน่าอัศจรรย์ ศศิประภาคิดว่า ภาพประกายดวงตาของคุณศรสวรรค์ที่เพิ่งส่งมอบให้กันไป จะสุดยอดไม่มีใครเทียมแล้ว แววตาของหญิงสาวในภาพตรงหน้านี้ยิ่งงามกว่า สองหน่วยตาหวานฉ่ำสดใส ราวกับหญิงสาวที่ตกอยู่ในห้วงรัก ที่ทั้งยั่วยวนและชวนเชิญ ให้ผู้ชายทั้งโลกกระโจนเข้าใส่ หากหล่อนเกิดมีตัวตนขึ้นมาจริงๆ
เพราะดวงตาที่ราวจะกระซิบบอกถ้อยคำได้เป็นหมื่นแสนนั้น ทำให้ศศิประภาต้องเลื่อนสายตาลงมาที่ริมฝีปาก เผลอเอียงหูจะฟังอีกด้วยว่า ได้ยินคำรักหรือคำเชื้อเชิญออกมาริมฝีปากที่ชวนให้ฝากรอยจุมพิตไว้นี้หรือไม่
แล้วก็รู้สึกเหมือนว่าปากขยับ!
ศศิประภาผงะ
ถึงกับต้องหลับตาไปอึดใจ กะพริบตาถี่ๆ ไล่อาการใดๆ ก็ตามที่จะบิดเบือนสายตาจนทำให้เห็นเป็นเช่นนั้น
พอลืมตาขึ้นอีกครั้งก็สบตา
คราวนี้แทบกรี๊ด
เพราะสองตาหวานฉ่ำนั้นกะพริบให้เห็นชัดๆ
ศศิประภายกมือขึ้นปิดหน้า ในใจคิดเพียงแต่ว่า
“กลางวันแสกๆ มีผีสางที่ไหนกันเล่า พุทโธ ธัมโม สังโฆ...”
นึกท่องบทแผ่เมตตาอีกบทใหญ่ๆ กว่าจะกล้าลืมตาขึ้นมาอีกครั้ง
“กลางวัน นี้มันตอนกลางวันชัดๆ”
ยังรำพันขณะสายตาเริ่มไล่ไปสู่บริเวณใบหน้าของหญิงสาวในภาพ
กะพริบตาถี่อีกครั้ง เพื่อให้แน่ใจ
ครั้งนี้ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง รูปโฉมโนมพรรณที่แลเห็นเป็นความอัศจรรย์นั้น บัดนี้สนิทนิ่ง ปราศจากวี่แววแห่งความเคลื่อนไหว แม้ประกายจากดวงตายังฉายชัด แต่ก็แลดูเป็นสุขอยู่ในความสงบ และนิ่งงันอยู่อย่างสมกับที่เป็นแค่ภาพวาด
ศศิประภาโล่งอก นึกเสียว่าตนคงหูตาฝ้าฟางไปเองแน่ๆ
แล้วก็รีบนำภาพนั้นออกมาให้ญาติผู้พี่
“พี่โมทย์ดูซิ ใช่ภาพนี้หรือเปล่า”
ปราโมทย์ซึ่งผุดลุกขึ้นตั้งแต่เห็นหล่อนถือภาพเดินเข้ามา รีบรับมาพิจารณาอย่างถ้วนถี่
แน่นอนว่ากระดาษเนื้อเนียนนั้น เป็นแผ่นเดียวกับที่ตนนำมาฝากไว้ตั้งแต่แรก ยิ่งเมื่อเห็นเป็นภาพหญิงสาวปรากฏอยู่ ก็อดไม่ได้ที่จะต้องลองสัมผัส
“พี่โมทย์นี่อย่างไรกัน สั่งให้คุณพี่วาดอะไรก็ไม่รู้ แล้วดูซีเล่า มาทำบัดสีอะไรพรรค์นี้”
ศศิประภาต้องเอ่ยปาก เมื่อเห็นสีหน้าแววตา รวมถึงท่าทางแปลกๆ เหมือนหนุ่มไม่เคยเนื้อสตรี แล้วเพิ่งได้ลองแตะต้องเนื้อผิวนวลอุ่นเป็นครั้งแรก
ส่วนภาพวาดนั้น เป็นรูปกึ่งเปลือยของหญิงสาว ที่ดูเหมือนจะสวยราวกับหยาดมาจากฟ้า เพราะสุดที่หล่อนจะนึกเห็นไปได้ว่า สตรีใดในโลก จะงดงามได้เทียมเท่า
ปราโมทย์ที่ตะลึงงันไปตั้งแต่แรก ถึงกับเผลอรำพันออกมา
“นี่ละ สุดยอดไม่มีใครเทียบ...”
“ใช่ซีคะ นอกจากฝีมือคุณพี่ของศิจะเนรมิตให้ พี่โมทย์จะไปหาคนจริงๆ ที่สวยงามขนาดนี้ได้ที่ไหน”
“สมใจพี่ สมใจพี่นักละคุณศิ”
คนพูดแทบจะก้มลงไปดอมดม ที่พวงแก้มสีชมพูระเรื่อในภาพวาด
“จริงสิ พี่ต้องขอบใจสัตยาเขาเป็นพิเศษ”
คำนี้ เหมือนปราโมทย์จะพยายาม หาเรื่องอื่นมาเตือนสติตนเองเสียมากกว่า”
“คุณพี่ยังหลับอยู่เลย ถ้าจะขอบอกขอบใจอะไรกัน พรุ่งนี้ค่อยแวะมาใหม่เถอะค่ะ”
“ไม่ได้ซีเล่า ประเดี๋ยวเขาจะว่าเอาได้ ตอนยังไม่ได้ตามทวงเช้าทวงเย็น พอได้สมใจแล้วก็หายลับ”
“คุณพี่ของศิไม่ใช่คนอย่างนั้นหรอกน่ะ”
“ยังไงๆ พี่ก็ต้องหาทางบอกให้เขารู้ว่าขอบใจจริงๆ เอานี่ไปก่อน... วันพรุ่งพี่จะหามากำนัลเพิ่ม”
ว่าแล้วปราโมทย์ก็ปลดสร้อยทองคำเส้นใหญ่ออกจากคอ มีพระสมเด็จวัดระฆังองค์สวยเลี่ยมทองคล้องอยู่ด้วย เขายื่นให้ศศิประภาอย่างไม่ไยดี
“นี่ละๆ สมเด็จเนื้อมันปู พิมพ์ใหญ่ของแท้ คุณปู่ได้จากมือสมเด็จโตท่านเลยเชียว”
“ของสำคัญ จะมาให้กันง่ายๆ อย่างนี้หรือคะ คุณพี่คงไม่กล้ารับ”
“จะมีอะไรสำคัญเท่ากับภาพวาดนี้อีกเล่า รับไปเถอะคุณศิ แล้ววันหน้าพี่จะหามาให้ครบทั้งซุ้มกอ นางพญา จะจัดเป็นของกำนัลน้ำใจให้ครบทั้งเบญจภาคีเลยสิเอ้า!”
คนพูดยืนยันหนักแน่น ด้วยน้ำเสียงจริงจัง จนคนฟังก็พลอยเชื่อว่า สมบัติอื่นที่สำคัญกว่าภาพวาดสาวงามนี้ คงไม่มีอีกแล้วจริงๆ
“ออกปากให้กันอย่างนี้แล้ว พี่โมทย์จะมากลับคำ ทวงคืนทีหลังไม่ได้นะคะ”
“คนอย่างไอ้โมทย์ ขอกันกินยังมากกว่านี้ นับประสาอะไรกับแค่เศษอิฐเศษปูน กะอิแค่แร่โลหะสีเหลืองๆ ของพวกนี้ไม่ตายก็หาใหม่ได้ แต่ภาพนี้ คุณศิคิดรึว่าจะมีที่สองที่สามให้พบเห็น”
แล้วจากนั้นปราโมทย์ก็กล่าวลาเอาดื้อๆ จนญาติผู้น้องต้องตามลงมายืนส่งอยู่ที่รถ
ตอนที่เห็นพากันเลี้ยวลับออกไปนั้น ศศิประภายังเหมือนเห็นว่า มีใครอีกคน นั่งเคียงปราโมทย์ไปด้วย เรือนผมดำยาวนั้น แลให้รู้ได้ว่าเป็นสตรี!
หล่อนได้แต่กุมพระเลี่ยมทองไว้แน่น ภาวนาอยู่ในใจว่า ไปแล้วก็ไปลับเถอะ อย่าได้กลับมาอีกเลย
และเสียงของเครื่องยนต์ที่รีบเร่งออกไปนั่น คงปลุกสัตยาให้ตื่น เพราะหล่อนได้ยินเสียงเรียกหาอยู่แววๆ
ศศิประภาหันกลับขึ้นเรือน นี้ก็บ่ายจัด ผู้เป็นสามีคงหิว จึงรีบเรียกหา
หล่อนขึ้นทางบันไดเล็กด้านหลัง ตรงไปที่ห้องนอน แล้วก็ต้องแปลกใจ
สัตยาไม่อยู่ในนั้น เสียงเรียกหากลับดังมาจากห้องทำงาน
พอหล่อนโผล่หน้าเข้าไป เขาก็หันมาถาม
“รูปวาดที่พี่ไว้ในลิ้นชักนี่ไปไหนเสียล่ะคุณศิ”
สีหน้าห่วงกังวลที่เห็น ทำให้ผู้เป็นภรรยาอดค้อนให้ไม่ได้
“หวงห่วงเหลือเกินนะคะ รูปวาดบัดสีพรรค์อย่างนั้น”
“เพราะเขาบังคับหรอกน่ะ ถึงต้องทำ”
“งั้นก็นี่ค่ะ รางวัล”
ศศิประภาแบมือ ยื่นสร้อยทองคำเส้นใหญ่พร้อมพระเลี่ยมทองให้สามี
“มันยังไงกัน”
“พี่โมทย์รับภาพนั่นกลับไปแล้วละค่ะ”
“รับไปได้ยังไง ทำไมพี่ไม่รู้”
“คุณพี่หลับ น้องก็ปลุกแล้ว”
พอสัตยาขึ้นเสียง ศศิประภาก็แหวเอาบ้าง
“มันกระไรกันนักหนาเล่าคะ รูปภาพพรรค์อย่างนั้น เก็บไว้ก็เสนียดเรือน”
“อย่าพูดจาอย่างนั้น!”
คนพูดจ้องหน้าภรรยาอย่างเดือดๆ
“ทำไมคะ มีอย่างรึ ฝีไม้ลายมือก็ดีเด่นกว่าใคร มารับวาดอะไรก็ไม่รู้”
“พี่ไม่เคยเต็มใจเลยนะ”
“ก็เจ้าของเขารับไปแล้ว แล้วคุณพี่จะมาอารมณ์ไม่ดีทำไม”
“พี่ขอโทษ”
เมื่อศศิประภาเริ่มเสียงดังเข้าใส่ คำขอโทษจากปากของสัตยาก็จำเป็นต้องมีออกมาเพื่อบรรเทาสถานการณ์
และพอสามีเสียงอ่อนลง ผู้เป็นภรรยาก็อ่อนลงทันทีได้เช่นกัน
“ท่าทางคุณพี่ ดูเหมือนกับว่าไม่อยากคืนให้พี่โมทย์”
“มันไม่ใช่อย่างนั้น”
“งั้นก็แล้วไปซีคะ นี่ไง นี่สมบัติเจ้าคุณปู่เชียวนะคะ คล้องคู่คอพี่โมทย์มาตั้งแต่รุ่นกระทง ปลดจากคอมาให้คุณพี่ได้ง่ายๆ”
“หมายความว่ายังไง นี่คุณศิรับของเขามาด้วยละหรือ”
“ศิบอกไปแล้วนะคะว่า ไม่รับๆ แต่พี่โมทย์ก็ยืนยัน”
“ทำไมคุณศิไม่ปลุกพี่ บอกพี่ก่อน”
สัตยาเผลอใช้น้ำเสียงแข็งๆ กับหล่อนอีกแล้ว
“ปลุกแล้ว เรียกแล้วค่ะ...”
หล่อนกระแทกเสียงใส่เข้าบ้าง
“...ถ้าไม่อยากได้ไว้ พรุ่งนี้เอาไปคืนให้ก็ได้!”
“ทำไมถึงเอาแต่อารมณ์อย่างนี้ ไม่เอาละ... เราหยุดพูดเรื่องนี้กันแค่นี้”
สัตยาทิ้งคำไว้แค่นั้น แล้วก็เดินหนีด้วยขัดข้องใจ รู้สึกเหมือนว่าของรักมาถูกพรากไปต่อหน้า ครั้งจะโวยวายอะไรออกมาก็เหมือนน้ำท่วมปาก เผลออ้าปากพูดออกมาสักนิด ก็มีแต่จะสำลักน้ำ เป็นโทษกับตัวเองไปเปล่าๆ
ศศิประภาที่ยังตามอารมณ์อีกฝ่ายไม่ทัน จึงไม่ได้ตามไปราวี ต่อความให้ยืดยาวอะไรออกไปอีก ปล่อยให้เขากลับเข้าห้องนอน ส่วนตนก็ลงไปเตรียมจัดการเรื่องมื้ออาหารไว้คอยเอาใจ
ปราโมทย์เริ่มร่ำสุราตั้งแต่กลับมาถึง เคล้าอยู่กับอาการเคลิบเคลิ้มที่ได้พินิจพิจารณาทุกสัดส่วนแง่มุมของหญิงสาวในภาพ กระทั่งเย็นย่ำก็ไม่ยอมให้ใครเข้ามารบกวน พอบ่าวคนสนิท เข้ามาตั้งกับแกล้มรอบหัวค่ำเสร็จแล้ว ก็สั่งเป็นเด็ดขาด ไม่ให้ใครเข้ามารบกวนอีกต่อไป
“...นึกๆ ดังความฝัน... รักร้างแรมกันดังฝันไป ฝักใฝ่หัวใจเหลียวแลฝัน...แต่ชู้ชม
ซากรักของเราเหมือนว่าว... ขาดลม... รักแนบแอบกันไม่สม รักข่มอุราเรื่อยไป...”
เขาถึงกับรำพึงเพ้อ สองตานั้นจดจ้องอยู่ที่ประกายนัยน์ตาอันหวานหยด ที่สบสายตามองเหมือนยั่วยวน ริมฝีปากนั้นก็เชื้อเชิญราวกับชวนให้จุมพิต
ในความเคลิบเคลิ้มสุขสมอยู่กับจินตนาการ กับภาพวาด... ปราโมทย์ยังพร่ำร้องเพลงยอดปรารถนา เวียนซ้ำไปซ้ำมาคล้ายกับเป็นมนตรา...
“...จะก่นแต่ครวญจนเธอนั้น... หวนมา จะครองน้ำตาวิญญา... ถึงร้องไห้ โอ้ป่านฉะนี้เธอลี้แดนใด อ้อนวอนแต่ปวงเทพไท้ รักแรมอยู่ไหน ถึงไกลหรือใกล้ส่งใจไว้เคียง...”
เหมือนกับว่าหากเขารำพันเพลงนี้ออกมา สักร้อยเที่ยวพันเที่ยว แล้วรูปวาดในภาพนั้นจะปรากฏกายเป็นตัวเป็นตน
“... แอบอกอุ่นใจ... โลมไล้ใต้แสงจันทร์ รำพึงทุกวัน รำพันทุกคืนค่ำ ต่างคนชื่นชู้ ต่างรู้ใจจำ ต่างคนร่วมชู้... คู่ล้ำ รักไม่เคยช้ำ ทุกคืน... ชื่นฉ่ำคำรักเร้าใจ...”*
ไม่รู้หรอกว่าตนเองร่ำสุรารำพันเพลงจนดึกดื่นแค่ไหน หรือเมาแประเพียบแปล้ถึงเท่าใด รู้แต่ว่าเนื้อหาเพลงนี้มันเร้าหัวใจ เหมาะนักกับการร่ำวอนขอความรัก จากชายผู้ต่ำต้อย ที่มีต่อความงามหยาดฟ้าราวกับนางฟ้าจำแลงองค์
“ต่างคนร่วมชู้... คู่ล้ำ รักไม่เคยช้ำ ทุกคืน... ชื่นฉ่ำคำรัก... เร้า... ใจ...”
พอวนเวียนมาถึงตรงนี้อีกครั้ง คราวนี้ปราโมทย์รู้สึกเหมือนมีเสียงหัวเราะเบาๆ แว่วมา
เขาหยุด ตะแคงหูฟังให้แน่ เสียงหัวเราะนั้นเบาใส เสนาะกังวานน่าฟัง
ไม่มีใครอื่นอยู่ในห้องนี้ จะมีก็แต่ตัวเขากับภาพวาดของสาวงามผู้พันธนาการหัวใจตนไว้ได้ตั้งแต่แรกพบ
“คุณ... คุณหรือครับ...”
เสียงถามทั้งสำรวมทั้งสุภาพ ไม่กล้าแม้แต่จะสบตากับประกายสายตาในรูปวาด ที่จ้องมองมา
เสียงใสกังวาน หัวเราะคิกคักให้ได้ยินแทนคำตอบ
“ทำไมหรือครับ หัวเราะเยาะหัวใจของกระผมหรืออย่างไร...”
คำถามอ้อแอ้ฟังแทบไม่ได้ศัพท์ คนพูดรู้สึกเหมือนว่ารูปวาดตรงหน้า ยิ้มตอบกลับมาด้วยซ้ำ
ครั้งพอจะตั้งสติได้ ก็เห็นว่าภาพตรงหน้า อย่างไรก็เป็นเพียงแค่รูปวาดธรรมดาๆ ก็ได้แต่หัวเราะเยาะเย้ยกับตัวเอง
“ใช่... ไอ้โมทย์มันคนโง่ หลงรูปจูบกระดาษ เป็นบ้าเป็นบออยู่นี่ไงเล่า...”
ความมึนเมาที่ปริ่มอยู่เต็มทุกเส้นเลือดนั้น พาให้ทั้งกายหนักอึ้งจนประคองตัวอยู่ไม่ได้ แค่โงหัวขึ้นมายิ้มให้กับรอยยิ้มน้อยๆ ในภาพนั่น ก็ยังแทบทำไม่สำเร็จ
หนังตาก็หนักนัก ฝืนจะลืมตาเพื่อพิศมอง ไม่อยากจะให้คลาดสายตา ก็ยากที่จะทนทำ พอรู้สึกเหมือนจะลืมตาไม่ขึ้นอีกแล้ว... คราวนี้กับรู้สึกชัด...
กลิ่นหอมระเรื่อรื่นนำมาก่อน ก่อนจะรู้สึกเหมือนถูกสัมผัส...
แผ่วเบาและนุ่มนวล...
ปราโมทย์รู้สึกราวกับว่า...
ศรีภรรยากำลังสะกิดเรียก ชักชวนให้เข้าที่นอน... พร้อมกัน...
..........................
*เพลง ยอดปรารถนา : คำร้อง สุรัฐ พุกกะเวส/ ทำนอง เอื้อ สุนทรสนาน/ ขับร้องโดย วินัย จุลละบุษปะ
ความคิดเห็น