ลำดับตอนที่ #5
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 4
บทที่ 4
“ของแฟนคุณน่ะเอง”
...
ฉันไม่ได้ตอบด้วยถ้อยคำ เพียงแต่พยักหน้าช้าๆ โดยไม่ได้หันไปสบตา
“แล้วเขาก็เป็นเพื่อนผมอีกด้วย?”
อันนี้ฉันไม่แน่ใจ เลยต้องนิ่งคิด เพื่อเรียบเรียงคำพูด
“ก็... ไม่ค่อยแน่ใจระบบของพวกคุณที่เดอะพราย ฉันเข้าใจว่าที่นั่นคุณเป็นผู้บัญชาการสมาคมอะไรนั่น ซึ่งอรัญก็ต้องสังกัดอยู่ด้วย ไม่ใช่หรือคะ”
ฉันหวีผมที่เริ่มแห้งต่อไปจนเข้ารูปดีแล้ว ก่อนจะหันไปยิ้มให้กับตัวเองในกระจก เห็นชัดว่ามันไตรกำลังมองตาม นี่เป็นการตอกย้ำความเข้าใจของตัวฉันเองไม่รู้ครั้งที่เท่าไหร่แล้วว่า พวกพรายมิใช่ภูตผี ถ้าจะใช้ทฤษฎีที่ว่าภูตผีไม่มีเงาในกระจกน่ะนะ
โดยเฉพาะกับชายหนุ่มหรือพรายหนุ่มตนที่กำลังจ้องมองเรือนร่างด้านหลังของฉันอยู่นี้ หากมีกระจกสักร้อยบานส่งสะท้อนร่างของเขาในทุกมุม ฉันก็คงหัวใจวายตายไปแล้วตั้งหลายครั้ง... เพราะความทรงเสน่ห์นั่นละ
ดูเถอะ เสื้อคลุมที่ไม่ยาวเลยสะโพกบนนั้น ทำให้ฉันต้องลอบกลืนน้ำลายอย่างยากเย็น กับความยั่วยวนที่พ้นโผล่อย่างหมิ่นเหม่
“คุณ... แววตาคุณบอกว่ากำลังสับสน เหมือนอยากได้อะไรสักอย่าง”
...สติไงยะ! เพื่อหักห้ามใจไม่ให้กระโจนใส่คุณไงล่ะ...
“เปล่า...”
ฉันตอบตรงข้ามกับความคิด
“...พวกที่เดอะพรายคงใกล้จะมาถึง กางเกงคุณคงแห้งดีแล้ว ส่วนเสื้อ รออีกสักประเดี๋ยวพี่สิทธาก็คงจะซื้อมาให้”
“พวกเดอะพราย?”
“ก็เพื่อนๆ ที่ทำงานคุณไงล่ะ พิชาคงเป็นเพื่อนสนิทคนหนึ่งของคุณ แต่กับจอหน์ ฉันไม่แน่ใจ”
“ปาลิน ผมน่ะหรือที่ทำงานที่เดอะพราย... เดี๋ยวนะ... แล้วพิชา? ใคร?...”
การได้พูดจากับพรายหนุ่มรูปหล่อกับเด็กชายความจำสั้นนี้ ไม่ต่างกันตรงที่ความน่ารำคาญนี่ละ เหมือนว่าเขาจะฟังไม่เข้าใจ และแม้ฉันจะเริ่มอธิบายเลยไปถึง ตัวเขานั่นละเป็นถึงเจ้าของเดอะพราย ซึ่งเป็นธุรกิจที่กำลังประสบความสำเร็จแบบรุ่งโรจน์โชติช่วง แต่ก็พูดได้แค่นั้น เพราะฉันก็ไม่ได้รู้รายละเอียดอะไรมากนัก
“ข้อมูลของคุณ เหมือนหาได้จากคนที่อ่านหน้าโฆษณาทั่วไป”
ความแหลมคมกระมัง ที่ยังไม่เสื่อมไปกับความทรงจำของมันไตร
“ก็แค่ครั้งเดียวนี่คะ ตอนที่อรัญพาไปที่นั่น แล้วพอแฟน... อ้อ... พออดีตแฟนฉันหันไปทางอื่น คุณก็... กำลังจะบังคับให้ฉัน...”
ปั๊ดโธ่! ฉันตบปากตัวเองด้วยความโมโห เพราะไม่รู้จะรื้อฟื้นเรื่องนั้นขึ้นมาทำไม
“ผมน่ะรึ มีสิทธิ์จะไปบังคับอะไรใครได้... ผมขอยืมหวีนั่นหน่อยได้ไหม”
เขาปรายตาไปทางหวีที่ฉันเพิ่งวางไว้เมื่อกี้
“ได้ ได้สิคะ”
ฉันรีบตอบคำถามหลัง โดยไม่สนใจคำถามแรก หลังจากส่งหวีแปรงให้ พรายหนุ่มก็เริ่มใช้มัน...
ท่าทางนั้น... การเคลื่อนไหวของมัดกล้าม ทั้งท่อนแขน หัวไหล่ และแผ่นอก... ทำไมมันถึงขยับได้อย่างน่าแนบแก้มลงไปสัมผัสขนาดนั้น
แย่แล้ว... ท่าทางฉันต้องหาอะไรเย็นๆ มาดับความร้อนที่ระอุขึ้นในอารมณ์ของตัวเองเสียแล้ว
ฉันรีบผละกลับเข้ามาในห้องนอน จัดการรวบผมเป็นหางม้า ด้วยหวีอีกอัน จัดทรงจนเรียบร้อย แบบ... แบบที่ไม่รู้จะจัดการกับอารมณ์ความรู้สึกของตัวเองอย่างไรดี เวลามีชายในฝันมาอยู่ร่วมบ้าน ด้วยเครื่องแต่งกายและท่าทางสุดแสนจะเซ็กซี่
ขนาดท่าหวีผมยังเท่ซะไม่มีอ่ะ...
“คุณดูเครียดๆ ไปนะ”
เสียงเขายังตามมารังควาน ฉันหันขวับ เห็นเขายืนพิงกรอบประตูอยู่ในท่าสบายๆ
ฉันกระชับเสื้อที่สวมอยู่ให้แนบตัวด้วยปฏิกิริยาอัตโนมัติ
“โทษที ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้คุณกลัว”
แม้จะพูดอย่างนั้น ฉันก็ยังจ้องมองเขาไม่วางตา ถึงสีหน้าท่าทางจะดูซื่อๆ และจริงใจ เช่นเดียวกับคำขอโทษที่พูดออกมา แต่เวลานี้ ฉันอดนึกถึงมันไตรคนเดิมไม่ได้ ถ้าเป็นเขา ที่ยังความทรงจำไม่หลุดหายไปอย่างนี้ เขาคงหัวเราะก๊ากแทนการขอโทษ
แล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นเหมือนระฆังช่วยนักมวยที่กำลังป้อแป้บนสังเวียน
“เข้ามาอยู่ในห้องฉันก่อนนะคะ”
ฉันรีบจูงเขาเข้ามา มันไตรดูไม่ค่อยอยากจะทำอย่างนี้ แต่ก็ยังทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ที่มุมห้อง ก่อนที่ฉันจะเดินมาที่ประตูหน้าบ้าน โดยภาวนาอยู่ทุกก้าวว่า ขออย่าให้มีอะไรแปลกประหลาดพิสดารเกิดขึ้นอีกเลย
“ใครคะ”
ส่งเสียงถามออกไป เพราะไม่แน่ใจว่าใครกันที่ซ่อนอยู่หลังประตู
“เราเอง” คงเป็นเสียงของพิชา
ฉันรีบเปิดประตู โดยยังไม่เสียงอะไรออกมาอีก ตามข้อตกลงของการร่วมสังคมอยู่ด้วยกัน หากอมนุษย์ไม่ได้รับการเชื่อเชิญด้วยวาจา แม้จะเห็นกันอยู่ต่อหน้า ก็จะไม่สามารถก้าวเข้ามาในบ้านที่ไม่รับเชิญ
ความโดดเด่นของพิชาอยู่ตรงเรือนผมหนาๆ สีดำเข้มจนแลคล้ายเหลือบประกายสีน้ำเงิน นอกนั้นก็เหมือนสาวออฟฟิศที่อยู่ในวัยทำงานมาแล้วสักสิบปี
และถึงเธอไม่คิดจะคบหาสนิทสนมกับพวกพรายตนใด แต่ขอให้เชื่อเถอะว่า กับพิชา หล่อนไม่เคยแสดงอาการก้าวร้าวหรือเหี้ยมโหดกับใครเลย ออกจะเป็นพวกตรงไปตรงมาอย่างมีเหตุผลดีทีเดียว
เสียแต่ว่า หล่อนเชื่อว่าพวกพรายเป็นเผ่าพันธุ์ที่มีค่ากว่ามนุษย์ทั่วไป และหากมีอะไรคับขันขึ้นมา ก็พร้อมจะเอาตัวเองให้รอดก่อนเสมอ โดยไม่เสียเวลาคิดว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไร
นั่นทำให้มันไตรยามปกติ เลือกให้หล่อนเป็นผู้ช่วยจัดการทุกอย่างในกิจการของตน ส่วนพรสวรรค์ด้านอื่นๆ ที่อาจมีนั้น หล่อนก็คงจะซุกซ่อนไว้ได้ในส่วนที่ลึกที่สุดของชีวิต
ส่วนที่ตามหล่อนมาด้วยนั้น ฉันไม่เคยไว้ใจ พรายหนุ่มลูกครึ่งอาหรับหน้าตาคมเข้ม ที่รูปร่างเล็กกว่าที่ควรจะเป็น ทำให้ฉันไม่อยากรู้รายละเอียดอะไรเพิ่มเติมจากเขา
อันที่จริงจอห์นเคยประกาศว่าเขาเป็นลูกครึ่งแคชเมียร์ แม้จะรูปร่างเท่านี้ แต่กิตติศัพท์ความดุดันนั้นเป็นที่เลื่องลือ ผมหยิกละเอียดปนๆ กันระหว่างสีทองแดงกับน้ำตาลอ่อนนั่นก็มีเสน่ห์ประหลาด บวกกับลายสักอักขระโบราณทั่วทั้งตัว เขาจึงยิ่งดูน่าคนหาในหมู่สาวๆ ที่คลั่งไคล้ อยากสัมผัสผิวแกร่งแน่นของพวกพรายหนุ่มๆ
ส่วนหน้าที่ของเขาที่เดอะพรายนอกจากเป็นคนชงเหล้าแล้ว ก็ยังมีหน้าที่เป็นตัวเรียกลูกค้า เพราะพวกคนหรือมนุษย์ทั่วไปที่เข้าไปเที่ยวเดอะพราย แทบร้อยทั้งร้อยก็ต่างอยากจะได้ใกล้ชิดอมนุษย์อย่างพรายพวกนี้ทั้งนั้น ฉันเคยได้ยินบางคนบอกว่า มันตื่นเต้นจนบอกไม่ถูก เวลาที่ได้ลุ้นว่าเขาจะหันมาขย้ำคุณเมื่อไหร่
คืนนี้พิชาสวมเสื้อผ้าฝ้ายสีชมพูกระจ่าง กับกางเกงผ้าไหมแบบที่ทอไว้ปุ่มปม สีน้ำตาลสลับเฉด ขณะที่จอห์นสวมเสื้อแขนกุดคอตั้ง ไม่ติดดุมสาบหน้า เช่นเคยๆ อย่างที่ฉันเคยเห็น เขาสวมเสื้อแบบนี้เป็นประจำ เพราะลูกค้าที่เดอะพรายอยากเห็นรอยสักบนกล้ามเนื้อของเขาแบบครบถ้วนทุกรายละเอียด
ฉันต้องหันไปเรียกมันไตร พรายหนุ่มเจ้าเสน่ห์จึงกล้าโผล่ออกมา แบบไม่ค่อยจะไว้วางใจอะไรเท่าไรนัก
“คุณไตร”
สีหน้าของพิชาดูโล่งใจอย่างเห็นได้ชัด
“ดีใจจริงๆ ที่คุณยังปลอดภัยดี”
แม้จะจับได้ว่า สายตานั้นยังสังเกตทุกกิริยาอาการของเจ้านายตนเขม็งอยู่
“สวัสดีครับ”
จอหน์เอ่ยขึ้นบ้าง พร้อมกันค้อมศีรษะให้
แต่มันไตรกับมีท่าทางไม่แน่ใจว่าจะทำตัวอย่างไร กับความนอบน้อมที่พรายหนุ่มอีกตนแสดงออกต่อเขา
“ผม... รู้จักพวกคุณ...”
เหมือนไม่ใช่คำถามด้วยซ้ำ ที่มันไตรกล่าวออกไปเช่นนั้น
พรายผู้มาเยือนหันไปมองตากัน
“พวกเราอยู่ในสังกัดคุณ ทำงานที่เดอะพราย...”
ราวกับพิชากำลังพยายามอธิบาย
“...นั่นหมายถึงความจงรักภักดีของเราจะไม่มีวันเสื่อมคลาย”
เมื่อทำท่าว่าจะพูดจากันรู้เรื่อง ฉันก็ค่อยๆ ปลีกตัวออกมา เพราะอยากให้เขาได้คุยกันเองให้ละเอียดตามประสาพวกพราย ซึ่งแน่นอนว่าหลายๆ เรื่องที่อาจจะเป็นความลับระหว่างพวกเขานั้น ไม่จำเป็นเลยที่ฉันจะต้องร่วมรับรู้
“อยู่เถอะนะปาลิน”
มันไตรหันมาห้าม เสียงนั้นระคนอยู่กับความหวาดกลัว ไม่มั่นใจ และอ้อนวอน
ไม่รู้ว่าฉันทำสีหน้าอย่างไรออกไป ตอนที่เห็นว่าอีกสองพรายก็กำลังจ้องมองมา พิชานั้นออกจะขันๆ กันเราสองคน แต่จอห์นนั้นเห็นได้ชัดว่า ไม่พอใจที่ฉันจะได้อยู่ด้วย
ฉันหลบสายตาของมันไตร ไม่ได้ถอยกลับไปใกล้ๆ เขา เพราะอยากจะทิ้งเวลาให้เขาได้ตัดสินใจอีกครั้ง เรื่องจะได้คุยกันตามลำพัง แต่พอเขายังนิ่ง และเมื่อฉันเผลอสบตาเขาอีกครั้ง ความตั้งใจที่จะปลีกตัวออกไปก็มีอันพังทลาย
“ให้โดนสูบเลือดจนตายสิเอ้า!”
ฉันพึมพำกับตัวเอง ขณะขยับกลับไปนั่งลงใกล้ๆ กับพรายหนุ่มผู้เป็นหัวหน้าของอีกสองพรายผู้มาเยือน
แล้วเสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้ง
จอห์นกับพิชาหันขวับกลับไปทางประตูทันที และทะลึ่งตัวขึ้นอยู่ในท่าพร้อมประจัญบานทันที ซึ่งในที่นี้หมายถึง เขี้ยวที่โง้งงอก สองมือที่มีกรงเล็บยื่นยาว ทั้งร่างกายเขม็งเกร็งแบบพร้อมจะจู่โจมอยู่ทุกวินาที สรุปว่าฉันต้องตกอยู่ในความตึงเครียดอันน่าสะพรึงกลัวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในชั่วเวลาเพียงเสี้ยวนาที
“ใครคะ”
ฉันตะโกนถามออกไป ในใจก็คิดว่าคงต้องหาช่องตาแมวมาติดไว้สักอันได้แล้ว
“ก็พี่เธอไงล่ะ”
น้ำเสียงของพี่สิทธาตอบกลับมาอย่างไม่สบอารมณ์ เขารู้สักนิดเลยว่า หากเปิดประตูเข้ามาเลยนั้น เขาจะต้องเจออันตรายขนาดไหน
และเสียงแบบไม่สบอารมณ์นั่นเอง ทำให้ฉันรู้ว่าต้องมีอะไรผิดปกติ หรือว่าอาจมีคนอื่นมากับเขาด้วย
เกือบจะเปิดประตูอยู่แล้วเชียว ตอนที่ตัดใจได้ว่าต้องตรวจดูให้แน่ใจ ฉันหันไปทางพิชา ส่งสัญญาณมือให้หล่อนเข้าใจต้องทำอย่างไร ในการรีบออกทางหลังบ้าน อ้อมไปดูซิว่ามีใครมากับพี่ชายฉันหรือไม่
ดูเหมือนพรายสาวจะเข้าใจได้ทันที หล่อนวูบตัวหายออกทางประตูหลังอย่างรวดเร็วและเงียบเชียบ
มันไตรเองก็ถอยไปยืนอยู่ด้านในสุด ที่ไกลจากประตูหน้าบ้านอย่างที่สุด โดยมีจอห์นขยับไปยืนขวางหน้า เป็นทีว่าจะเอาชีวิตเข้าแรก หากใครคิดจะเข้ามาทำอันตรายเจ้านายของตนเอง
อึดใจถัดมาเสียงพี่สิทธาก็ดังลั่นขึ้น เขาต้องอยู่ชิดกลับหลังประตูนี้แน่ๆ เสียงถึงลอดเข้ามาได้ชัดเจนขนาดนั้น ฉันถึงกับผงะถอย พร้อมกับพยายามรวบรวมสติ
“เปิดประตูสิคะ!”
เป็นเสียงพิชาที่เหมือนตวาดผ่านเข้ามาอีกคน
ฉันรีบทำตามนั้น แล้วภาพที่ขำไม่ออกก็ปรากฏตรงหน้า เพราะพี่สิทธา ชายหนุ่มสูงหล่อ หุ่นดีในสายตาสาวๆ บัดนี้ตกอยู่ในเงื้อมมือของพรายพิชาอย่างง่ายดาย ด้วยท่าทางที่กำลังพูดยกตัวให้ลอยอยู่ในอากาศ ทั้งที่พี่ชายของฉันยังดิ้นไม่หยุด แต่ก็ไม่มีทีท่าว่าท่อนแขนเล็กๆ ของพรายสาวจะขยับเขยื้อนแม้เพียงสักนิด
“พี่มาคนเดียวจริงๆ”
อีกใจหนึ่งฉันก็โล่งอกนักหนา
“เห็นมีใครอีกหรือไงล่ะ บอกยังนี่ให้ปล่อยพี่ลงเดี๋ยวนี้เลยนะ”
พี่สิทธาโวยวายด้วยความโมโห
“คุณพิชาคะ นี้พี่ชายของฉันเอง ปล่อยเขาลงมาเถอะค่ะ”
พรายสาวทำตามที่ฉันร้องขอ แต่พอพี่สิทธาเป็นอิสระ เขาก็หันไปต่อว่าหล่อนทันที
“ขอโทษนะ สะกดคำว่ามารยาทเป็นไหม นี่บุญของคุณหรอกนะ ที่ผมไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่อย่างนั้นต้องมีคนได้หน้าตาแหกกันมั่งละ”
ทว่าพิชากลับทำหน้าล้อเลียนใส่ ตอนนี้ดูรู้เลยว่าพี่ชายของฉันต้องอับอายขนาดไหน ซึ่งในที่สุดเขาก็หาวิธีแก้หน้าให้ตัวเองด้วยคำพูดที่ว่า
“ยังดีนะเนี่ย ที่โลหิตสังเคราะห์พวกนี้อยู่ในขวดพลาสติกอย่างดี ไม่งั้นพวกคุณจะต้องอดหมดทุกคน”
ฉันไม่แน่ใจว่าเขาพอจะตั้งสติได้แล้วหรือยัง ถึงทำท่าเป็นพวกเจ้าชู้เห็นผู้หญิงเป็นไม่ได้ขึ้นมาอีก ซึ่งฉันมองออกเลยว่า ถ้าเขาตั้งสติได้จริงๆ ตอนนี้เขาก็เป็นอาการถึงขั้นคลั่งไคล้พิชาเลยทีเดียว
“ขอบคุณค่ะพี่ ลินไม่รบกวนแล้วค่ะ ราตรีสวัสดิ์”
ฉันพยายามกันพี่ชายออกจากเรื่องราวที่กำลังเผชิญนี้ในทันที แต่จะมีปฏิกิริยาตอบรับจากเขาสักนิดก็หาไม่ พี่สิทธายังคงประสานสายตากับพิชาชนิดตาไม่กะพริบ...
กับสายตาของพรายสาว... พี่ชายฉันต้องเดือดร้อนแน่ๆ
“คุณพิชา”
ฉันต้องทำเสียงแข็งและเด็ดขาด
“นี่พี่สิทธา พี่ชายของลินเองนะคะ”
“ทราบแล้วละค่ะคุณลิน”
พิชาตอบกับมาด้วยเสียงเรียบๆ เข้มๆ ไม่แพ้กัน
“แต่... คุณสิทธา มีอะไรที่คุณไม่ได้บอกเรา”
นั่นสินะ ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า น้ำเสียงหลังประตูก่อนจะได้เห็นหน้ากันนี้ ก็ทำให้ฉันแปลกใจอยู่ว่า ทำไมพี่สิทธาถึงมีอาการอย่างนั้น
“ก็... จะว่าใช่ก็ได้”
ทั้งที่ น่าจะเป็นคำตอบที่ให้กับฉัน แต่เขาก็ยังจดจ่ออยู่กับดวงหน้าของพิชา จนฉันต้องกระแอมเบาๆ พี่สิทธาจึงหันมาทางฉันบ้าง แต่พอมองเลยด้านหลังไป คงได้สบสายตากับจอหน์อีกคนนั่นละ เขาถึงทำท่าแบบแทบจะกรี๊ดออกมา
เพราะเขี้ยวและกรงเล็บของจอห์นยังอยู่ในอาการพร้อมรบเต็มที่อยู่นั่นเอง
“ลิน พวกมันไม่ได้ทำอะไรน้องใช่ไหม”
สัญชาตญาณความเป็นพี่ชายคงกระตุ้นความกล้าหาญในตัวเขาขึ้นมาได้บ้าง ขณะที่เริ่มเดินเข้ามาใกล้ๆ ฉัน
“ปลอดภัยดีค่ะ นี่คนของคุณมันไตร พวกจากที่เดอะพรายน่ะค่ะ เขามารับคุณมันไตร”
“อย่างนั้นก็ดี แล้วอย่าลืมไปเก็บป้ายประกาศพวกนั้นไปซะด้วยล่ะ”
คำพูดนี้ทำให้ทุกคนหันมามองเขาอย่างสนใจจริงจังอีกครั้ง และพี่ชายฉันก็ชอบตกเป็นเป้าสายตาเสียด้วย
“ก็... ทั่วไปนั่นละ ทั้งหน้าห้างทั้งโชว์ห่วย ตามเสาไฟฟ้า ตามตลาดนัดก็ยังมี”
เขาเริ่มเล่าพร้อมมีท่าทางประกอบ
“มีรูปของตามันไตรนี่ กะที่ประกาศหาคนหาย ประมาณว่าถูกลักพาตัว ถ้าใครพบเบาะแสเขาจะจ่ายให้ตั้งสองล้านห้า แต่เป็นพวกเพื่อนๆ นะที่ประกาศตามหา ไม่ใช่ญาติโยมที่ไหน และยังบอกว่า ใครก็ได้ที่บอกได้ว่ามันไตรอยู่ไหน เขาจะจ่ายเงินสดให้ทันที”
ฉันเองยังจับต้นชนปลายไม่ค่อยจะถูก โดยเฉพาะค่าตัวแพงลิบลิ่วอย่างนั้น พอดีพิชาช่วยสรุปให้ชัดๆ ว่า
“พวกมันต้องใช้ทุกวิถีทางนั่นแหละ ที่จะได้รู้ว่าคุณไตรอยู่ที่ไหน... ใช่ไหมล่ะจอห์น”
คำท้าย หล่อนหันไปพยักให้เพื่อนร่วมทีม
“หมายความว่าเราต้องตัดไฟเสียแต่ต้นลมน่ะซีคุณพิชา”
พรายหนุ่มลูกครึ่งแคชเมียร์เลียริมฝีปาก ขณะเริ่มก้าวเข้าหาพี่สิทธา
ฉันรีบขยับเข้าขวาง นึกอยากจะได้มีดหมออาคมขลังสักเล่ม จะได้กระซวกยอดอกอีตาพรายอำมหิตตรงหน้านี่ให้สะใจ
“หยุดแม้แต่จะคิด ห้ามแตะต้องพี่ชายฉันเด็ดขาด!”
เป็นเสียงเข้มข้นที่สุด ที่ฉันเคยคิดจะพูดกับพวกพราย
ทั้งพิชาและจอห์นจึงเบนสายตามาทางฉัน ตรงนี้ละที่ฉันต่างกับพี่ชาย คือไม่ชอบตกเป็นเป้าสายตาของใคร โดยเฉพาะกับพวกอมนุษย์ ที่แทบจะอ่านใจกันไม่ได้เลย
และพอเห็นพี่สิทธาเริ่มพ่นลมออกจากปากเบาๆ พร้อมกับการกำมือแน่นเข้า ฉันก็รู้ทันทีว่าพี่ชายก็กำลังโกรธจัดเช่นกัน ฉันต้องรีบรั้งแขนเขาเอาไว้ แล้วกระซิบขู่เบาๆ
“ไม่ต้องพูดอะไรทั้งสิ้น ไม่งั้น...”
คุณพระ! นี้เป็นครั้งแรกที่ฉันหยุดพี่ชายได้สำเร็จ คล้ายกับว่าเขาจะเข้าใจแจ่มแจ้งแล้ว เกี่ยวกับภาวะคับขันระหว่างความเป็นความตายอย่างในขณะนี้
“หรือไม่... ก็ต้องฆ่าฉันด้วย จะได้หมดคนรู้เห็นเรื่องของพวกคุณ”
จอห์นทำท่าเอือมระอาแบบไม่เกรงใจ
“หยั่งกะละครน้ำเน่า”
เขาพึมพำ
ส่วนพรายสาวยังนิ่ง คงกำลังตัดสินใจอยู่ว่าระหว่างฆ่าฉันทั้งสองพี่น้อง กับการปล่อยให้เรามีชีวิตอยู่ต่อไป และได้เป็นเพื่อนกันต่อไป อย่างไหนจะมีน้ำหนักมากกว่ากัน
“มันเรื่องอะไรกันแน่”
ในที่สุดมันไตรก็ถามออกมา โดยฉันยังจับสังเกตได้ว่า เขาพยายามจะทำเป็นรู้ว่าเคยมีอำนาจเหนือกว่าพรายผู้มาเยือนทั้งสองอย่างไร
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ พิชา”
เขาเน้นเสียงตรงชื่อหล่อน ให้รู้ว่าอยู่ในสถานะที่ต้องเชื่อฟัง
แต่ก็อีกนานเป็นอึดใจใหญ่ๆ กว่าที่พิชามีท่าทางผ่อนคลายลง ละสายตาจากฉันสองคนพี่น้องไปทางเจ้านายของหล่อน
“คือ ปาลินกับพี่ชาย ได้พบตัวคุณไตร...” เหมือนว่าหล่อนกำลังพยายามเรียบเรียงให้เรื่องราวง่ายดายที่สุด “สองคนนี้กำลังต้องการเงิน และเป็นมนุษย์ หมายความว่าไม่ได้เป็นพวกเดียวกับเรา ทำให้เป็นไปได้ว่าจะร่วมมือกันบอกให้พวกร่างผีฟ้ารู้ว่าคุณไตรอยู่ที่ไหน”
“ร่างผีฟ้า!!!”
ฉันกับพี่สิทธาโพล่งออกไปแทบจะพร้อมกัน
“ขอบใจมากเลยนะนายไตร ที่ทำให้เราสองคนต้องตกมาอยู่ในดงปิศาจกระหายเลือดอย่างนี้” พี่ชายฉันคำรามในลำคอ “ปล่อยมือได้แล้วลิน เล็บจิกเข้าไปเกือบถึงกระดูกพี่แล้วมั้งนี่”
เรื่องเรี่ยวแรงที่ดูเหมือนจะมีเหลือเฟือกว่าคนทั่วไปนี้ ก็เพราะฉันเคยได้รับเลือดพรายเข้าไปนั่นเอง ซึ่งคนล่าสุดที่สละเลือดให้ฉันก็คือมันไตรนี้เอง หมอบอกว่ามันเป็นพลังงานตกค้างในกระแสโลหิต ถ้าร่างกายของฉันฟอกมันได้หมด ก็อาจจะกลับเป็นปกติ
ตลกไหมล่ะกับคนที่มอบโลหิตให้ฉันตอนที่บาดเจ็บสาหัส กลับกำลังพาให้ฉันต้องมีอันเป็นไปอย่างน่าสยดสยอง
ฉันกับพี่ชายพยายามทำใจเย็น ค่อยๆ ถอยกลับมานั่งที่โซฟาตัวยาวด้วยกัน แต่ก็ด้วยความระวังเต็มที่ ประมาณว่ากำลังเดินอยู่ในบ่อจระเข้ที่กำลังหิวโซ
ฉันพยายามคิดหาทางทำความเข้าใจเรื่องนี้ให้ชัดเจน เพื่อให้สถานการณ์มันดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ระหว่างนี้ มันไตรก็ทรุดตัวลงนั่งอยู่ข้างๆ ขาของฉัน
พิชามีท่าทางผ่อนคลายลง ด้วยการถอยกลับไปนั่งที่เก้าอี้เดี่ยวใกล้เคาน์เตอร์ครัว แต่จอห์นยังไม่ยอมห่างจากพี่สิทธา ดูท่าเขาอยากจะลิ้มรสเลือดเนื้อของพี่ชายฉันใจจะขาด
“ฉันเดาไม่ผิดหรอกว่าพี่ชายเธอกำลังคิดจะขายคุณไตรให้พวกร่างผีฟ้า”
พรายสาวเอ่ยขึ้นหลังจากเงียบไปเป็นนาที
“แต่... เขาต้องรู้เรื่องทั้งหมด แม้ว่าเธอไม่อยากให้เขาต้องมาเกี่ยวข้อง แต่ฉันก็ต้องเตือนด้วยความหวังดีว่า อย่าได้คิดที่จะเอาคุณไตรไปแลกกับเศษเงินแค่นั้น”
ฉันหันกลับไปมองหน้าพี่ชาย เขาคิดอย่างที่หล่อนพูดจริงๆ ด้วย แต่ตอนนี้ใครล่ะจะช่วยจัดการพวกพรายทั้งสามนี้ให้เรา นอกจากจะยอมให้พวกเขาทำอะไรตามใจไปก่อน
เดี๋ยวนะ! ยังมีอีกทาง ถ้าฉันยกเลิกการเชื้อเชิญ ไม่อนุญาตให้พรายพวกนี้อยู่ในบ้านอีกต่อไป ข่ายมนตราที่ร่วมกันลงสัตยาบรรณกันไว้ จะทำให้พวกเขากระเด็นออกไปจากอาณาเขตของฉันทันที
ใจชื้นขึ้นมาอีกหน่อย อาจจะเผลอยิ้มด้วยซ้ำ เพราะฉันเคยทำอย่างนั้นมาแล้ว มันสะใจน้อยเสียเมื่อไหร่ล่ะ กับการที่มีอำนาจเหนือกว่าพวกอมนุษย์ กับอรัญ กับมันไตร สองคนนี้เคยโดนไล่ตะเพิด จนกระเด็นหวือออกไปแล้ว...
แล้วจิตของฉันตกลงอีกหน เมื่อสติเริ่มกลับมา
ถ้าฉันทำอย่างนั้นลงไป... จากนี้จนวันตาย ทุกคนฉันก็ต้องอยู่แต่ในบ้านน่ะสิ เพราะบรรดาพรายพวกนี้คงตามราวีจองล้างจองผลาญฉันไปทั้งชาติแน่ๆ ไม่ต้องรอนานหรอก หากคืนนี้กระเด็นออกไป พออาทิตย์สิ้นแสงในวันพรุ่งนี้ พวกเขาก็จะมารออยู่หน้าบ้านเรียบร้อยแล้ว
ฉันอดหันไปค้อนให้จอห์นไม่ได้ ก็ความคิดที่จะกำจัดฉันกับพี่ชายมาจากเขาแท้ๆ
“อาทิตย์ที่แล้ว ลูกค้ารายหนึ่งที่เดอะพราย คนที่มาติดพันจอห์นน่ะนะ บอกว่ามีพวกร่างผีฟ้ามาจากทางอิสาน ส่วนหนึ่งมาได้ที่พักแถวเจริญกรุงแล้วด้วย หล่อนก็งง ตอนที่พวกเราตื่นเต้นกับเรื่องเล่าลอยลมของหล่อน”
ซึ่งฉันก็ไม่เห็นว่ามันจะสำคัญยังไง ในเมื่อทุกวันนี้พวกเราอยู่กันอย่างเปิดเผยซะไม่มีขนาดนี้แล้ว
พี่ชายฉันยิ่งหนักกว่า เขายกไหล่อย่างไม่แยแส
“แล้วไงล่ะ”
พร้อมกับส่งคำถามชวนหมั่นไส้ไปให้กับพรายที่ยังไม่ยอมให้เขี้ยวเล็บของตนเองหดเข้าที่
“หรือไม่จริง...” พี่สิทธาหันมาทางฉันเหมือนหาพวก “...พวกร่างผีฟ้า ก็คนธรรมดาๆ นี่เอง พวกคุณเป็นพราย เป็นอมนุษย์ มีฤทธิ์มีเดชกว่าพวกนั้นตั้งมากมาย”
“ถ้าเป็นร่างทรงผีฟ้าจริงๆ น่ะ ด้วยมนตราคาถาอาคม พวกนั้นทำอะไรๆ ได้หลายอย่างกว่าพวกเรา”
เห็นได้ชัดว่าพิชากำลังระงับอารมณ์ที่พลุ่งพล่านอยู่เต็มที่
“ถ้าเป็นแค่พวกที่ชอบอ้างว่าเป็นร่างทรงเทพเทวดานั่น ที่แต่งตัวแปลกๆ ต้องพึมพำภาษาป่วยๆ ทำตัวสั่นๆ เวลาเจ้าเข้านั่น มันของปลอมทั้งเพ ร่างผีฟ้าจริงๆ จะเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายก็ได้ ไม่จำกัดเพศหรือวัย เวทย์มนตร์คาถา อำนาจทางไสยศาสตร์ของพวกมันกล้าแข็งมากขนาดผีฟ้าพญาเมืองยอมลงมาประทับทรง และพวกเราก็อยู่ในอาณัติของท่านท้าวพญาเมืองบางองค์อีกด้วย เช่น ถ้าร่างผีฟ้าเชิญท่านมหาเวสสุวรรณมาได้ พวกเราก็จบ เพราะฉะนั้นพวกร่างผีฟ้าพวกนี้ละที่มี.... มากกว่าพวกเรา”
พิชาเว้นไว้คำหนึ่ง ราวหาคำที่ถูกใจหล่อนไม่ได้ จนพี่ชายฉันต้องเติมให้
“...น้ำยา...”
“เออ... ค่ะ... พวกจริงๆ จะมีน้ำยามากกว่าพวกเรา”
หล่อนยอมให้คำนี้ตามการประชดประชันของพี่สิทธา
“ซึ่งถึงตอนนี้เรายังไม่รู้แน่ว่า อะไรที่ทำให้พวกมันแข็งแกร่งขึ้นอย่างรวดเร็วขนาดนี้”
“งั้นถามใหม่นะ... แล้วพวกร่างผีฟ้าจะไปแถวเจริญกรุงทำไมกันล่ะ”
ฉันต้องตั้งต้นใหม่อีกรอบ
“ถามได้ดีคุณลิน” จอห์นดูพอใจกับคำถามนี้ของฉันอย่างจริงใจทีเดียว
แต่ฉันเบ้หน้าใส่ รู้ดีหรอกน่ะว่ามันไม่ใช่คำที่มาจากความชื่นชม
“ความตั้งใจอยู่ที่เดอะพรายนั่นละ พวกมันต้องการเข้าครอบครองกิจการของคุณไตร”
พิชาเล่ารายละเอียดต่อไป
“ร่างผีฟ้าก็คนใช่ไหมล่ะ พวกมันก็ชอบความรวย มีเงินให้นั่งนับเล่นเหมือนกัน มันให้ข้อเสนอมาสองทาง คือยกกิจการให้มัน หรือไม่ก็ทำกิจการต่อไปโดยยกผลประโยชน์ส่วนใหญ่ทั้งหมดให้พวกมัน ไม่อย่างนั้นมันจะรังควานเราไม่จบสิ้น”
“เก็บส่วย ว่างั้นเถอะ”
ฉันสรุป อย่างกับพวกข้าราชการบางกลุ่มไม่มีผิด
“ยังไงเสียพวกนั้นก็เป็นแค่มนุษย์ พวกคุณจะกลัวทำไม หรือเขาจะมาบีบบังคับพวกคุณง่ายๆ อย่างนั้นน่ะหรือคะ”
“เรื่องมันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกลิน พวกนั้นทำได้สารพัด แม้ไม่เผชิญหน้ากับเราตรงๆ แต่การก่อกวนไม่ให้ลูกค้าเข้าร้านมันทำได้สารพัดรูปแบบ แค่ไม่เข้าร้านน่ะไม่เท่าไหร่ แต่ถ้าพวกมันสร้างสถานการณ์ทำให้เกิดการฟ้องร้องเรียกค่าเสียหายเกิดขึ้น เธอก็รู้ว่ากฎหมายน่ะเอียงเข้าข้างฝ่ายมนุษย์ขนาดไหน”
ดูเหมือนว่าไหล่ทั้งสองข้างของพิชาจะตกลู่ลงเมื่อพูดมาถึงตรงนี้
“แค่โดนสักสี่ห้าคดี พวกเราก็มีสิทธิ์เจ๊งกันแล้วละ”
ฉันหันไปมองหน้าพี่ชายอีกครั้ง พอเข้าใจได้เลาๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกอมนุษย์ตรงหน้า
“คือพวกมันจะเข้ามีอิทธิพล เรียกเก็บค่าคุ้มครองอะไรทำนองนั้นใช่ไหม”
แต่ดูเหมือนพี่สิทธาจะต้องการคำยืนยันอีกครั้ง ทำให้ฉันต้องรีบแทรกถามให้ตรงเป้ายิ่งขึ้นไปอีก
“สรุปว่าทำไมคุณไตรต้องมาวิ่งอยู่กลางถนน ทางกลับบ้านฉัน ทั้งที่สวมแต่กางเกง ไม่มีเสื้อผ้า ไม่มีรองเท้า...”
********
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น