ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ร่างนางรำ

    ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ 5 ศัตรูหัวใจใกล้ตัว

    • อัปเดตล่าสุด 9 ม.ค. 58


    บทที่ ๕
    ศัตรูหัวใจ ใกล้ตัว
     
     
     
     
     
                   ที่ว่า สัตยาต้องการกำลังใจจากภรรยาในการทำงานนั้นเป็นความจริง เพราะยุคสมัยที่เขาได้เจริญเติบโตในหน้าที่การงานอย่างรวดเร็วเช่นนี้ แม้ข้าราชการดีๆ จะมีไม่น้อย แต่ก็มีมากที่อยู่ไปอย่างซังกะตาย เพราะระบบพวกพ้อง
     
    และแม้ว่า เมื่อได้รับตำแหน่งใหญ่โตภายในชั่วข้ามคืนแล้ว สัตยาจะทำหน้าที่ราชการอย่างสุดความสามารถเพียงใด ขยันขันแข็งเพียงไหน ก็กลับไม่ได้รับความร่วมมือจากบรรดาพวกใต้บังคับบัญชาเท่าที่ควร
     
    บางครั้งสัตยาจำเป็นต้องตำหนิกันตรงๆ แต่ส่วนใหญ่ก็จะอะลุ่มอล่วยกันตามภาษิตที่ว่า ไก่เห็นตีนงู งูเห็นนมไก่ เสียมากกว่า
     
    “คนเขียนหนังสือทางประวัติศาสตร์ตั้งแต่สมัยสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวงนี้มีมาก ทั้งฉบับราษฎร์ฉบับหลวง ที่ค้นคว้าสืบทอดกันจริงจังก็เยอะ ที่อาศัยคิดฝันเอาเองก็มีอยู่ไม่ใช่น้อย ฉะนั้น งานนี้เป็นงานใหญ่ พวกคุณต้องใช้ความละเอียดรอบคอบ ในการตรวจสอบ บันทึก เปรียบเทียบ แล้วเลือกนำสิ่งที่ถูกที่ควรที่สุดมาใช้ ที่สำคัญคือต้องให้ทันเวลา”
     
    สัตยาต้องร่ายยาวเสมอ เมื่อจะสั่งการสิ่งไร และไม่วายได้รับคำตอบเดิมๆ
     
    “ทันเวลาของคุณสัตยา ก็คือทันใจท่านผู้นำ พวกกระผมไม่สามารถพอหรอกครับ”
     
    “พวกเราเป็นข้าราชการ อย่าลืมสิ”
     
    “ใช่ครับ พวกเราเป็นแค่ข้าราชการ ไม่ใช่ข้ารัฐบาล”
     
    ใครคนหนึ่งเน้นทุกคำ กับคำพูดนี้ จนสัตยาต้องตัดบท มิฉะนั้น อาจถูกเสียดสีจนเข้าเนื้อมากขึ้นไปอีก
     
    “สรุปว่าเราก็แบ่งงานกันทำ ช่วยกันอ่าน แล้วนำมาแสดงความคิดเห็น ตกลงตามนี้ก็แล้วกัน”
     
    ที่จริงถ้าไม่ติดตรงที่ ขณะนี้เขาไม่มีสมาธิจดจ่อกับการทำงานมากนัก สัตยาก็คงรับภาระการตรวจสอบ ตรวจทานหนังสือบันทึกทั้งหมดไว้เสียเอง แต่หลังจากวาดภาพหญิงงามนั่นเสร็จ ก็ดูเหมือนความคิดอ่านจะเพียรวนเวียนอยู่กับแต่ตรงนั้น
     
    “พวกเราเกรงว่าจะอ่านไม่ทัน...”
     
    อีกคนพยายามต่อรอง
     
    “ผมรู้ว่าพวกคุณทำได้ และรับรองว่า ถ้างานนี้สำเร็จ พวกคุณจะได้ดีกันถ้วนหน้า”
     
    สัตยาต้องใช้ตัวช่วย ด้วยประโยคสุดท้ายเช่นนั้น ก่อนที่เลขานุการจะเข้ามากระซิบบอกว่ามีแขกสำคัญมาหา
     
    เขาต้องรีบจบการประชุม เพราะผู้มาเยือนเป็นถึงระดับเจ้ากรมของกระทรวงใหญ่โต
     
    “พี่โมทย์มีธุระด่วนอะไรหรือครับ แวะมาถึงที่นี่”
     
    “เรื่องสำคัญของผมตอนนี้ มีเรื่องเดียว คุณก็รู้”
     
    ปราโมทย์ทำเป็นมีลับลมคมใน ซึ่งสัตยาแม้จะนึกรู้ทัน แต่ก็เฉยเสีย กลับเชิญผู้มาเยือน มายังห้องทำงานส่วนตัว
     
    “ว่าไงล่ะ เรื่องที่ผมฝากไว้ ไปถึงไหนแล้ว”
     
    แน่นอนว่าคนพูดต้องหมายถึง การวาดนู้ดสวยๆ บนแผ่นกระดาษหนังคนเพียงสถานเดียว
     
    “ผมยังไม่ได้เริ่มวาด...”
     
    คำแรกที่ปดออกไป ไม่แน่ใจด้วยซ้ำว่า ทำไมถึงพูดเช่นนั้น
     
    “...เคยบอกพี่โมทย์แล้วว่า ท่านให้ทำงานชิ้นสำคัญ เลยยังไม่มีเวลาน่ะครับ”
     
    “แต่นี่ก็หลายวันมาแล้ว”
     
    “ถ้าจะให้บอกตรงๆ คือ ในสายตาผมยังไม่เห็นใครจะสวยงามพอให้เป็นแนวทาง เพราะภาพในใจมันเด่นชัดนัก พอมีแต่ภาพในใจไม่มีแบบทางตา ก็ลำบากอยู่พอสมควร กระดาษวิเศษขนาดนั้น ไม่อยากทำให้เสียหาย...”
     
    สัตยาพยายามไล่เรียงเหตุผล
     
    “อย่างนั้นเราก็ไปเยี่ยมคุณน้าพรสุรางค์ที่จวนท่านจอมพล ที่นั่นสาวๆ เยอะแยะ”
     
    ปราโมทย์หมายถึงคุณน้า ที่เป็นอนุภรรยาคนโปรดของท่านผู้นำ ที่อาศัยอยู่ร่วมอาณาบริเวณกว้างขวางราวพระราชวัง กับบรรดาสตรีอื่นๆ ผู้อยู่ในฐานะใกล้เคียงกัน
     
    “ที่ฮาเรมนั่นก็มีแต่พวกพื้นๆ ถึงพวกนางงามร้อยเวที ก็แค่ดาดๆ ตามรสนิยมกรรมการ...”
     
    “อย่างนั้นคุณก็ว่ามา อยากไปนั่งจิบสุราชมสาวที่ไหน ผมจะรับรองให้ถึงใจ”
     
    ปราโมทย์แสดงน้ำใจเต็มที่ เพื่อให้ได้สิ่งที่ต้องการ
     
    “มันไม่ใช่อย่างนั้นหรอกครับ อย่างที่บอกนั่นละ กวาดตาทั่วพระนคร ผมยังไม่เห็นใครสวยงามเท่ากับที่มีอยู่ในมโน”
     
    “แล้วอย่างนี้เมื่อไรจะสำเร็จ”
     
    เสียงปราโมทย์ชักห้วน
     
    “อันนี้ก็บอกไม่ได้ แต่รับรองว่าจะไม่ช้าเกินไป”
     
    “คุณบอกมาเลยดีกว่า ว่าจะวาดเสร็จเมื่อไหร่”
     
    “พี่โมทย์ไม่เข้าใจ เรื่องวาดภาพจะให้ได้อย่างดีวิเศษนี้ มันต้องมีองค์ประกอบหลายอย่าง จะมากะเกณฑ์เหมือนภาพวิวทิวทัศน์ตามร้านค้าริมทางนั้นไม่ได้”
     
    “แต่ผมใจร้อน...”
     
     
     
     
    ระหว่างที่เซ้าซี้กันอย่างนั้น ภาพหญิงงามบนกระดาษหนังมนุษย์ที่สัตยาวาดเสร็จ แล้วม้วนเก็บไว้มิดชิด ก็ยังเก็บงำตัวตนของมันได้อย่างแนบเนียน
     
    เมื่อก่อนออกมาทำงาน สัตยาหับประตูไว้ เป็นสัญญาณให้รู้ว่ายังไม่ต้องการให้ใครไปยุ่มย่าม แม้ไม่ได้ลงกลอนหรือคล้องสายยู แต่ก็สร้างความประหลาดใจให้คนทางบ้านได้ไม่น้อย
     
    เพราะศศิประภาเอง พอขวัญที่หายจากเรื่องผีสางซ้ำซาก ทำท่าจะกลับมาสู่ตัว ก็อยากจะปฏิบัติภาระการงาน ในฐานะแม่เรือนให้เต็มที่ โดยเฉพาะในห้องทำงานของสามี ที่เคยตั้งใจไว้ว่า จะดูแลด้วยตนเอง
     
    แต่วันนี้กลับเปิดประตูเข้าไปไม่ได้ จะเรียกนางหมายหรือใครมาช่วยผลัก ก็กลัวจะแตกตื่นรื้อฟื้นเรื่องผีนังเดือนขึ้นมาอีก พยายามผลักเข้าไปข้างในอยู่นาน
     
    และถึงกับลองแลหาช่องที่จะส่องดู ว่ามีใครหรืออะไรหลงเข้าไปติดอยู่ข้างใน อย่างคราวแมวในห้องนังเดือนหรือไม่ ก็เห็นว่าในห้องนั้นว่างโล่ง ปราศจากการเคลื่อนไหวอื่นใด
     
    หากไม่ติดว่าผู้เป็นน้าสาวและเป็นอนุภรรยาของท่านผู้นำ โทร.เรียกให้ไปหา ศศิประภาก็คงจะหาทางอื่นเข้าไปให้จนได้
     
    แต่ธุระของคุณพรสุรางค์นั้นน่าจะเป็นเรื่องร้อน จึงจำเป็นต้องพักเรื่องประตูห้องทำงานสัตยาเอาไว้ก่อน อาจแค่บานพับตกผุ ติดร่องจนล็อคตัวเองไว้ไม่ยอมขยับ หรืออาจมีเหตุผลอีกร้อยแปด
     
    ยิ่งเมื่อมาถึงจวนท่านผู้นำ แล้วเห็นว่าสีหน้าของอนุภรรยาคนโปรดและเป็นน้าสาวแท้ๆ ของตน มีสีหน้าเคร่งเครียด ก็ยิ่งเป็นห่วง เพราะความรุ่งเรืองหรือตกอับของทั้งวงศ์ตระกูล ก็อาจขึ้นกับความโปรดปรานที่มีต่อคุณพรสุรางค์เพียงผู้เดียว
     
    ผู้เป็นน้าสาว ไม่อยากให้เรื่องราวบานปลาย หรือตกไปเป็นขี้ปากของบรรดาอนุนางอื่นๆ พอศศิประภามาถึง ยังไม่ทันได้พูดจาเรื่องสำคัญ ก็รีบพามายังห้องของบุตรสาว
     
    เพล้ง!...
     
    เสียงกระเบื้องแตกนั่นเกิดขึ้นพร้อมกับ แรงกระแทกจนประตูตีกลับมา
     
    “ไป! ออกไปให้พ้น อย่ามาบังคับกันให้ยาก...”
     
    ทั้งพรสุรางค์ผู้เป็นมารดา และศศิประภาผู้มีศักดิ์เป็นลูกผู้พี่ ได้แต่ยืนมองหน้ากันไปมาอีกอึดใจใหญ่ จนแน่ใจว่าจะไม่มีอะไรขว้างปาออกมาอีก พรสุรางค์จึงค่อยเอ่ยขึ้นเบาๆ
     
    “แม่ศร นี่แม่เองนะลูก...”
     
    “ไม่ต้องเข้ามา คุณแม่ไม่รักลูกแล้ว”
     
    เสียงในห้องยังเกรี้ยวกราด
     
    “คุณศร นี่พี่เองนะคะ พี่ศิ...”
     
    ศศิประภาส่งเสียงเข้าไปบ้าง
     
    ในห้องเงียบไปอีกพัก สองคนข้างนอกจึงค่อยเผยประตูเข้าไป
     
    ทั้งห้องเกลื่อนไปด้วยซากแรงพยศของบุตรีท่านจอมพล เครื่องทองโบราณชุดหนึ่งกระจายอยู่ใกล้โต๊ะเครื่องแป้ง คุณพรสุรางค์รีบผวาเข้าไปเก็บรวบรวม
     
    “โธ่! ลูก... นี้ของเก่าแก่หาที่ไหนอีกไม่ได้แล้ว”
     
    “คุณแม่อยากได้ก็เอาไปสิ เอาไปให้พ้นๆ ศรไม่อยากได้ ไม่อยากเห็น”
     
    ศศิประภาพยายามพิจารณา คิดว่าน่าจะเป็นเครื่องทองของหมั้นจากเจ้าใหญ่นายโตสักคนแน่ๆ
     
    “เขาให้เราเปล่าๆ คุณศรก็รับไว้เถอะค่ะ”
     
    เมื่อคิดว่าน่าจะเป็นของขวัญทาบทาม หล่อนจึงพูดไปดังนั้น
     
    “ใครอยากจะรับก็รับ ศรไม่เอา”
     
    “แม่ศร เราจะไปตัดสินใจอะไรได้ ทางโน้นเขาก็หวังจะให้เกี่ยวดองกันไว้เป็นญาติสนิทชิดเชื้อ ถ้าคุณพ่อไม่รักหนู จะยอมให้หนูต้องรับภาระหนักนี้ได้อย่างไร”
     
    ...ต้องเกี่ยวกับการเมืองอีกแน่ๆ... ศศิประภาคิด
     
    “จะให้ศรไปอยู่ถึงเขมรขแมร์โน่นนะคะ”
     
    “ทางโน้นเขาก็ไม่ใช่คนเล็กคนน้อย มีศักดิ์มีศรี บงการประเทศชาติไม่ต่างจากท่านจอมพล”
     
    “แต่ลูกสาวคนอื่นๆ ก็มี ทำไมต้องเป็นศร คุณพ่อต้องเกลียดศร ไม่อยากให้ศรอยู่ใกล้ๆ”
     
    “คุณศรคะ...”
     
    ศศิประภาจำเป็นต้องเอ่ยแทรก ที่คุณพรสุรางค์เรียกหล่อนให้หา ก็คงเป็นเพราะสาเหตุนี้”
     
    “...เรื่องมีเหย้ามีเรือนมันเป็นธรรมดาของเรา”
     
    “แต่นี่มันเกินไป สู้เนรเทศศรออกนอกประเทศไปเลยไม่ดีกว่าหรือ”
     
    “เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงงานราชการบ้านเมือง ผู้ใหญ่เขาต้องคิดหน้าคิดหลังรอบคอบแล้วว่า คุณศรนั้นเหมาะสมที่สุด จริงไหมคะคุณน้า”
     
    คนพูดหันไปทางน้าสาว พยักเพยิดให้ช่วยสนับสนุน
     
    “แน่นอนจ๊ะศิ เรื่องนี้สำคัญมาก อย่างไรเราก็ปฏิเสธไม่ได้ หรือถ้าจะปฏิเสธ มันเกี่ยวพันถึงพวกเราทุกคน”
     
    พอได้ฟัง ศศิประภาก็อดไม่ได้ที่จะถามย้ำ
     
    “สำคัญอย่างนั้นเชียวหรือคะคุณน้า”
     
    “ท่านโน้นเขาก็เป็นลูกชายท่านผู้บังคับประเทศเหมือนกัน... ถ้า... ปัญหาที่ตามมาจะมีอีกมาก โดยเฉพาะเรื่องเขตแดนที่มันกำลังจะปะทุขึ้นมาอีก...”
     
    “คนอื่นก็มี นางงงนางงาม พวกนังเล็กๆ ของคุณพ่อก็มีอีกเยอะ ส่งพวกมันไปสิคะ”
     
    “ใจเย็นก่อนค่ะคุณศร พี่อยากให้คิดกลับกัน ก็พวกนั้นมีเยอะแยะ ทำไมคุณพ่อถึงเลือกเรา นั่นเพราะเห็นความสำคัญ อยากให้เราได้ดีไม่มีใครเทียบเทียม”
     
    “ใช่จ้ะ ที่คุณท่านเลือกแม่ศร ก็เพราะเห็นว่าเป็นลูกสาวที่รักที่สุด”
     
    “อย่างนั้นไม่ต้องมารักศรก็ได้ หัวเด็ดตีนขาดอย่างไร ศรก็ไม่มีวันไปอยู่กะไอ้พวกบ้านป่าเมืองเถื่อนอย่างนั้น นะคะคุณแม่... ขอร้องคุณพ่อให้ศรด้วย”
     
    “ขอร้องมาไม่รู้เท่าไหร่แล้วแม่ศร จนตอนนี้ท่านหลบหน้าแม่ไปแล้ว ถ้าเรายังปฏิเสธ ต้องลำบากกันหมดแน่ๆ”
     
    “ก็ดีสิคะ ได้ออกไปอยู่กันตามประสาเรา ไม่ต้องมาอยู่เป็นขี้ปากให้นังนั้นมันนินทา”
     
    “ไม่ง่ายอย่างนั้นหรอกลูก คิดหรือว่าคนที่กล้าขัดใจท่าน จะได้อยู่สุขสบาย แม่ว่าความตายยังง่ายกว่า แม่ศรคิดจริงๆ หรือว่าแม่ไม่เสียใจหนักกับเรื่องนี้”
     
    น้ำตาขึ้นมาคลอตาคุณพรสุรางค์ เสียงนั้นระโหยแห้ง ทั้งรักทั้งห่วงบุตรสาว แต่ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร
     
    “คุณน้า... คุณศรคะ อย่าเพิ่งวิตกกังวลอะไรให้เกินกว่าเหตุ เขมรไม่ใช่แดนไกล เลยจันทบุรีไปนิดเดียวก็ถึงแล้ว เราไม่ได้ตายจากกัน ซ้ำคุณศรยังจะไปมีหน้ามีตา...”
     
    “พี่ศิคะ ต้องไปอยู่ต่างบ้านต่างเมือง ไม่รู้จะต้องไปลำบากขนาดไหน”
     
    “แม่ศร แม่ไม่มีทางยอมให้ลำบากหรอกลูก แม่ศรก็เหมือนแก้วตาดวงใจของแม่ ห่างไกลกันไปขนาดนี้ แม่ก็ใจหายนัก ทุกข์ใจอะไรขึ้นมา ถ้าไม่มีลูกสาวให้คอยเห็นหน้า แม่ก็ไม่รู้จะทนได้ไปอีกกี่มากน้อย”
     
    ไม่ทันจบคำ น้ำตาของคุณพรสุรางค์ก็ไหลลงมาเป็นสาย ใจที่อ่อนลงมากแล้วของศรสวรรค์ พอเห็นมารดาต้องหลั่งน้ำตา ตัวเองก็สะอึกสะอื้นขึ้นมาเช่นกัน
     
    ศศิประภาเห็นว่า ที่จริงเหตุที่ยังรำพึงรำพันกันอยู่นี้ เพราะสองแม่ลูกไม่อยากจากกันมากกว่า จึงเสนอทางออก
     
    “เอาอย่างนี้ไหมคะ เราก็หาช่างภาพเก่งๆ มาถ่ายรูปครอบครัวเราเอาไว้ ล้างภาพอัดภาพแบ่งกันไป เอาไว้ให้ระลึกถึงกัน”
     
    “ก็ดีเหมือนกันนะแม่ศร หรือคิดว่าอย่างไร”
     
    “อย่างนั้นก็ให้พี่สัตยาจัดการ”
     
    สองคนที่ได้ฟัง ไม่ทันคิด ว่าเหตุไรศรสวรรค์จึงเอ่ยถึงเขาเป็นคนแรก
     
    “คุณสัตยาเขาถนัดแต่ทางวาดนะคะ”
     
    “นั่นสิแม่ศร สัตยาเขาเก่งทางนั้น ทางถ่ายภาพนี้แม่ยังเคยเห็นฝีมือ”
     
    “เก่งทางไหนก็ให้เขาทำทางนั้นเถอะค่ะ”
     
    “คุณศรหมายความว่าอย่างไร พี่ไม่เข้าใจ”
     
    “ถนัดวาดก็วาดสิคะ”
     
    “แล้วเมื่อไรจะสำเร็จ”
     
    คุณพรสุรางค์เป็นห่วง
     
    “เมื่อไหร่ก็เมื่อนั้นละค่ะ”
     
    “คุณศรจะซื้อเวลา...”
     
    “ก็เป็นสิทธิ์ของศรนะคะพี่ศิ ตกลงตามนี้”
     
    “แต่งานคุณสัตยาที่กรมยังมีมาก”
     
    “ไม่ใช่ปัญหาของศรหรอกค่ะ ศรไม่ยอมลำบาก เป็นทุกข์กับเรื่องนี้คนเดียวแน่ๆ”
     
     
    พอกลับถึงบ้าน สัตยาก็ตรงไปที่ห้องทำงาน หยิบรูปวาดบนกระดาษหนังมนุษย์นั้นขึ้นมาพินิจพิจารณา ด้วยความคิดถึงเป็นนักหนา
     
    เป็นเพราะรูปสาวสวยที่วาดออกมานั่น แม้ไม่ตั้งใจจะให้ออกมาเป็นภาพนี้ แต่เมื่อสำเร็จลงแล้ว ก็ปลงใจได้ว่า ตนเองยังตัดใจลืมไม่ได้จริงๆ
     
    ยิ่งเนื้อกระดาษให้สัมผัสได้วิเศษสุด ทุกครั้งที่ได้แตะได้สัมผัส รู้สึกเหมือนได้คลอเคลียไปตามเนียนเนื้อสาว
     
    สัตยารู้สึกราวกับต้องมนต์ หลงเสน่ห์นางในภาพวาดนี้จริงๆ เข้าใจได้เลยว่า เมื่อครั้งวิหยาสะกำกับจรกาได้เห็นภาพนางบุษบา แล้วนำมาให้เกิดปัญหาเรื่องราวใหญ่โตนั้น สองหนุ่มนั่นคงรู้สึกแบบเดียวกับที่ตนกำลังเป็นอยู่นี้
     
    ก็ดูเถิด...บทพรรณนาความงามของนางบุษบา กับสาวงามในภาพนี้ไม่ผิดกันเลยสักนิด
     
     
          "...พักตร์น้องละอองนวลเปล่งปลั่ง       ดังดวงจันทร์วันเพ็งประไพศรี 
    อรชรอ้อนแอ้นทั้งอินทรีย์                              ดังกินรีลงสรงคงคาลัย 
    งามจริงพริ้งพร้องทั้งสารพางค์                   ไม่ขัดขวางเสียทรงที่ตรงไหน 
    พิศพลางปฎิพัทธ์กำหนัดใน                         จะใคร่ไปโอบอุ้มองค์มา 
    ดูเดินดังดำเนินเหมราช                               งามประหลาดเลิศล้ำเลขา 
    พิศไหนให้เพลินจำเริญตา                         พระราชาชมพลางทางถอนใจ..."*
     
     
    รำพึงรำพันไปก็เท่านั้น สัตยาได้แต่ถอนใจหนักๆ เพราะเรื่องราวที่ผ่านเลย ล้วนไม่เคยเรียกกลับมาได้ ไม่ว่าการดื่มด่ำกับความสุขหรือแก้ไขข้อผิดพลาดประการใดๆ
     
    เสียงของศศิประภานำขึ้นมาก่อน ทำให้เขารีบม้วนภาพเก็บได้ทันเวลา คว้าสมุดตำราเล่มหนึ่งมาเปิดๆ ทำท่าเสมือนว่าตั้งใจอ่านหนังสืออยู่ตั้งแต่แรก
     
    “คุณพี่กลับแต่วัน ห้องหับน้องเลยยังไม่จัดการ”
     
    “ก็เรียบร้อยดีอยู่นี่จ๊ะ...”
     
    “พอดีคุณน้าให้ไปหาที่จวน มีเรื่องร้อนนิดหน่อยน่ะค่ะ”
     
    “คงเรื่องคุณศรสวรรค์ จะให้แต่งออกไปกับลูกชายท่านผู้บังคับการทางโน้น”
     
    “คุณพี่ก็ทราบ”
     
    “มันเรื่องใหญ่ เราก็หารือปรึกษากัน”
     
    “น่าสงสารนะคะ อายุยังน้อย ก็ต้องไปไกลจากเรือนที่เคยอยู่ จากอู่ที่เคยนอน”
     
    “น่าสงสารที่ไหนกันเล่า ฝั่งผู้ชายเขาก็อนาคตไกล เผลอๆ จะตั้งตัวเป็นใหญ่ ตั้งราชวัง ตั้งเป็นราชวงศ์ได้ด้วยซ้ำ”
     
    สัตยายังพูดอย่างอารมณ์ดี ไม่เงยขึ้นจากหนังสือประวัติศาสตร์เล่มหนา
     
    “แต่... คุณพี่เปิดห้องนี้เข้ามาเองหรือคะ”
     
    “ใช่ มาถึงพี่ก็เข้ามาเลย การงานมันมากนัก คุณศิ ค่ำนี้ให้คนยกสำรับมาให้ในนี้นะ พี่ว่าจะทำงานไม่อยากออกไปให้เสียสมาธิ”
     
    “เปิดเข้ามาตามปกติน่ะหรือคะ”
     
    เหมือนศศิประภาไม่ได้สนใจคำพูดประโยคท้ายๆ ของเขาเลยสักนิด
     
    “ใช่น่ะซี มีอะไรหรือเปล่า”
     
    เห็นสีหน้าภรรยาเปลี่ยนไป สัตยาจึงได้เอะใจ
     
    “อย่าบอกนะว่ามีเรื่องผีๆ สางๆ อะไรอีก”
     
    “ก็... เมื่อเช้าตอนศิจะเข้ามาทำความสะอาด มัน... เปิดไม่ออก”
     
    “บานพับมันก็ฝืดๆ อยู่”
     
    “แต่เหมือนมีคนผลัก ดันไว้จากข้างในมากกว่า”
     
    “มันจะเป็นไปได้อย่างไรล่ะคุณศิ ในเมื่อไม่มีใครอยู่ข้างใน เอาเถอะ... ไว้จะให้คนมาเปลี่ยนบานพับ บ้านเก่ามันก็อย่างนี้เอง”
     
    “ค่ะ... เดี๋ยวนี้ศิก็ไม่อยากจะคิดมากแล้ว”
     
    “ดีแล้วละ พักนี้การงานพี่ก็ยุ่งยากมากขึ้น ไม่อยากต้องเป็นกังวลอะไรอื่นอีก ว่าแต่เรื่องคุณศรสวรรค์ เมื่อกี้เรายังคุยกันไม่จบ”
     
    สัตยายังติดใจเรื่องของบุตรสาวท่านผู้นำอยู่เหมือนกัน
     
    “อ๋อ... ค่ะ ที่จริง แม่ลูกเขาติดตรงไม่อยากจากกันไปไกล ครั้นคุณน้าท่านจะตามไปดูแล ก็เป็นคนโปรดของทางนี้”
     
    “ไม่ใช่ข้ามน้ำข้ามทะเลไปที่ไหน แค่นี้ ขับรถกันวันครึ่งวันถึงแล้ว”
     
    “นั่นล่ะค่ะ เราก็คุยๆ กันอย่างนั้น แต่ทีนี้ ศิคงพลาดไป ไปบอกว่าน่าจะถ่ายภาพครอบครัวอัดแบ่งกันไปดูต่างหน้า”
     
    “ก็เป็นความคิดที่ดี”
     
    “พอพูดถึงเรื่องนี้คุณศรก็นึกถึงคุณพี่ ศิก็ออกตัวไปว่า คุณพี่ถนัดทางวาดรูปเขียนรูป จะให้ไปถ่ายรูปคงไม่ถนัด”
     
    “แล้วอย่างไร”
     
    “มันเลยยุ่งยากนิดหน่อย”
     
    เสียงของศศิประภาอ่อนลง ขยับเข้ามา ทำเป็นช่วยนวดไหล่ผู้เป็นสามี
     
    “คุณศรที่อิดออดอยู่แล้ว เลยยื่นคำขาดมาว่า อย่างนั้นก็ให้คุณพี่วาดภาพเหมือน เป็นภาพเดียว สวยๆ”
     
    “อยู่ๆ จะให้พี่ไปวาดรูปลูกสาวคนโปรดท่านผู้นำ จะทำอย่างนั้นได้ยังไง”
     
    สัตยาเห็นความยุ่งยากปรากฏอยู่รำไร
     
    “เรื่องนี้เป็นเงื่อนไขสำคัญ คุณน้าคงเรียนท่านเอง รับรองว่าไม่ยุ่งยากแน่ๆ ค่ะ”
     
    “แสดงว่าคิดวางแผนการกันไว้เรียบร้อยหมดแล้ว ค่อยมาบอกพี่ซีนะ”
     
     
     
     
     
    ความคิดของศศิประภา คงเป็นเรื่องสำคัญเร่งด่วน เพราะมีโทรศัพท์มาที่ทำงานของสัตยาตั้งแต่เช้ารุ่งขึ้นว่า ให้เลื่อนภารกิจทั้งหลายออกไป แล้วเข้าไปพบคุณพรสุรางค์ที่จวนท่านผู้นำเป็นการด่วน
     
    เห็นภรรยานั่งรออยู่ที่ห้องรับรองแขก สัตยาก็รีบเข้าไปถาม
     
    “พี่ไม่คิดจะเป็นเรื่องจริงจังขนาดนี้”
     
    “เถอะค่ะคุณพี่ คงสำคัญจริงๆ ถึงได้เร่งด่วนกันนัก”
     
    “พี่หนักใจตรงที่ว่า เวลานี้คุณศรอารมณ์ไม่ค่อยดี แล้วภาพจะออกมาไม่ดีไปด้วย”
     
    “ก็ดีกว่าเราไม่ได้ทำอะไรเลย หรือนิ่งเฉยไม่กระตือรือร้น หรือไม่... ถ้าคุณพี่วาดรูปได้ถูกใจ หน้าที่การงานจะไม่ก้าวหน้ายิ่งขึ้นไปอีกหรือคะ”
     
    คำหว่านล้อมของศศิประภา แม้ส่วนหนึ่งจะทำให้เห็นอนาคตที่สดใสขึ้น แต่สัตยาก็ยังมีเรื่องลำบากใจ
     
    “แล้วทำกันเป็นเรื่องเอิกเกริกขนาดนี้ ถ้าต่อไปใครต่อใครพากันมาให้พี่วาดภาพ ชีวิตนี้ก็ไม่มีวันต้องทำอย่างอื่นกันแล้วละ”
     
    “แต่นี้เป็นคราวพิเศษ”
     
    “ก็ถ้าพวกเล็กๆ ของท่านบอกว่าเป็นเรื่องพิเศษ ขอเป็นของขวัญ พี่จะฝืนได้หรือ
     
    “พวกเล็กๆ ก็ระดับนางงามนางสาวไทย นักร้อง นางเอกหนังกันทั้งนั้น อยู่ท่ามกลางพวกนั้น นึกว่าคุณพี่จะยิ่งมีความสุข”
     
    ศศิประภาแกล้งประชดให้บ้าง สัตยาเลยระบายลมหายใจหนัก ให้เห็นว่ายังคับข้องใจอยู่ไม่น้อย
     
    “พี่ไม่ได้อยากเป็นจิตรกร ที่ผ่านๆ มา ได้มีฝีมือทางนี้ก็เพราะเหตุจำเป็น ที่จริง พี่อยากเขียนรูปที่พี่ชอบเท่านั้น”
     
    “ตั้งแต่รู้จักกันมา คุณพี่ไม่เคยวาดภาพน้องเลย หมายความว่าไม่ได้ชอบ...”
     
    “คุณศิอย่าพูดอย่างนั้น ก็เราเห็นหน้ากันทุกวัน ทำไมพี่จะต้องลำบากวาด ยังไงก็ไม่มีทางสวยสมเท่ากับคุณศิตัวจริงๆ”
     
    เพราะวิธีพูดจาอย่างนี้ละ ที่ทำให้ศศิประภาปลื้มใจนัก
     
    ส่วนตัวของสัตยาเอง พอพูดออกไปแล้วก็เห็นจริง ภาพล่าสุดที่คล้ายถอดหัวใจออกมาเขียนนั้น ก็เป็นพยานอยู่ให้เห็น
     
    ระหว่างนี้ ทั้งสองคนก็สังเกตเห็น บรรดาสาวเล็กสาวใหญ่ ผลัดกันมาเลียบเคียงเมียงมอง สัตยานั้นรู้สึกอดภูมิใจอยู่ไม่ได้ ที่รูปร่างหน้าตาตนเองยังเป็นที่สนอกสนใจของบรรดาสตรี
     
    แต่ศศิประภาที่เห็นสายตาผู้หญิงพวกนั้น ก็รู้สึกเดือดปุดขึ้นมาเพราะความหึงหวง
     
    ครู่ต่อมา สัตยาถูกเชิญไปที่ศาลากลางสวน สถานที่สำหรับวาดภาพสำคัญเฉพาะกิจ ต้องเดินผ่านสวนสวยกว้างขวาง มีสาวงามมากมายจับกลุ่มพูดจากันตามซุ้มไม้ และศาลาเล็กที่มีอยู่ตลอดระยะ
     
    ตอนจัดเตรียมข้าวของ ศศิประภาก็ยังไม่วายต้องร้อนใจ อย่าว่าแต่บรรดาอนุนางอื่นๆ ของท่านผู้นำ ที่ดูก็รู้ว่าจ้องสัตยาตาเป็นมัน สาวใช้ที่รอท่าอยู่สำหรับคอยอำนวยความสะดวก ก็หลงรูปตะลึงมองสัตยาอยู่เช่นกัน
     
    “จะไปไหนก็ไปกันเถอะ ตรงนี้จะจัดการเอง”
     
    ศศิประภาต้องออกปากไล่ อย่างเดือดๆ
     
    อีกสักพัก คุณพรสุรางค์กับศรสวรรค์ก็มาสมทบ
     
    สองแม่ลูกแต่งกายด้วยสีสันสดสวย ราศีจับอย่างคนที่กำลังเป็นดาวรุ่งในดวงใจท่านผู้นำ พอสองคนปรากฏกาย ก็มีเสียงจิ๊จ๊ะซุบซิบไม่พอใจ ดังแว่วๆ มาบ้าง
     
    “ทำไมวันนี้คนเยอะจังล่ะคะคุณแม่ ไหนว่าคุณพ่อให้จัดการเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ”
     
    “แม่จะไปห้ามเขาได้ยังไงล่ะ”
     
    ศรสวรรค์ไม่พอใจ ที่มีพวกใจกล้าบางคน ถึงกับจูงกันมา ทำท่าเป็นสนอกสนใจเสียเต็มที่
     
    “อรุณสวัสดิ์ครับคุณน้า คุณศร”
     
    แต่แค่ได้ยินเสียงของชายหนุ่ม ศรสวรรค์ก็กลับมายิ้มแย้มได้ในทันที
     
    “รบกวนหน่อยนะสัตยา ถือว่าช่วยเหลือกันตามประสาญาติ”
     
    “กระผมเต็มใจครับ”
     
    “ถ้าไม่ใช่ฝีมือพี่สัตยา ศรก็ไม่ยอมให้ใครมานั่งจ้องนานๆ เหมือนกัน”
     
    เหมือนพรสุรางค์กับสัตยา จะไม่ได้รู้ถึงความผิดปกติในน้ำเสียงนั้น แต่ศศิประภาเห็นชัด ว่าคำพูดจาของศรสวรรค์ อ่อนหวานเกินจำเป็น
     
    “อย่างนั้น เรียกช่างถ่ายรูปมาดีไหมคะ คุณศรเป็นคนขี้รำคาญ ให้พี่สัตยาเขาเป็นคนกำกับก็ได้ จะได้ไม่เสียเวลา”
     
    หล่อนจึงอดไม่ได้ที่จะเหน็บเอาบ้าง
     
    “พี่ศิเห็นศรเป็นคนอย่างไรคะ เพราะเห็นเป็นญาติสนิทกันหรอก ถ้าไม่รู้จักมักจี่ ใครจะยอมให้มาจ้องมามองกันได้ง่ายๆ”
     
    ผู้มีศักดิ์เป็นน้องสาว ส่งเสียงสะบัดๆ ไม่ยอมให้ถูกหมิ่น
     
    “แต่คุณแม่ต้องไล่นังพวกนี้ไปให้หมด”
     
    และพออารมณ์เริ่มร้อนขึ้นมาอีก ก็หันไปพาลเอากับคนรอบข้าง
     
    “ทำไมหรือคะคุณศร พวกเรามันเกะกะสายตามากหรือยังไง”
     
    อนุนางอื่น ที่ท่าทางกล้าหาญที่สุด สอดเข้ามาทันที
     
    “ใช่” บุตรสาวคนโปรดท่านจอมพลตอบชัด
     
    “ที่ในสวนนี้ พวกเราจะไปจะมาตรงไหนที่ไหนก็ได้ ท่านบอกไว้แล้ว อยู่ในที่นี้ ทุกคนเท่ากัน”
     
    ว่าแล้วก็ทำท่าเป็นเกรงอกเกรงใจคุณพรสุรางค์ขึ้นมา เหมือนเพิ่งเห็น ถึงกับหันไปยกมือพนมไหว้ อนุคนเดิมรีบกล่าวกับคนโปรดของท่านผู้นำ
     
    “ได้ยินว่า ที่เจ้ากรมศิลป์จะมาแสดงฝีมือ พวกดิฉันเลยอยากจะมาเปิดหูเปิดตา หวังว่าคุณพรจะอนุญาต”
     
    “ก็แล้วแต่ใจเถิดค่ะ แต่งานอย่างนี้ต้องอาศัยสมาธิ เพียงแค่ไม่รบกวนการทำงาน ก็ไม่น่าจะเป็นอะไร”
     
    “ไม่ได้นะคะคุณแม่ เห็นนังพวกนี้แล้วศรรำคาญ ยิ่งจะมาหัวร่อต่อกระซิกอะไรกันให้รกหูรกตา...”
     
    ไม่ทันจบคำ บรรดาสาวๆ ก็พากันส่งเสียงหัวเราะลั่น เห็นชัดว่าตั้งใจจะก่อกวน
     
    “หน้าหนากันนักนะ คนเขาไล่แล้วยังไม่ยอมไป”
     
    ยิ่งว่ากลับเหมือนยิ่งยุ เพราะพวกถูกไล่ชวนกันนั่งลงซะตรงแต่งตำแหน่งที่ศรสวรรค์ต้องนั่งเป็นแบบ เรียกหาน้ำร้อนน้ำชา ของเปรี้ยวของหวาน จากคนรับใช้ส่วนตัว ราวกับจะเริ่มปิกนิกกันได้ทันที
     
    “ได้... อยากจะสาระแนกันอยู่ตรงนี้ก็เชิญ ไม่ต้องวาดมันแล้ว รูปบ้าบอพวกนี้!”
     
    พร้อมกับที่พูด ศรสวรรค์กวาดอุปกรณ์ทุกอย่างบนโต๊ะให้ตกแตกกระจายเกลื่อน แล้วตนเองก็วิ่งหายไปในตัวตึกใหญ่
     
    สามคนที่เหลือ คือคุณพรสุรางค์ ศศิประภาและสัตยา ได้แต่มองหน้ากันไปมา อย่างไม่รู้จะทำอะไรได้
     
    พอผู้เป็นมารดาขอตัวไปตามบุตรสาว เดินพ้นไปจากตรงนั้นแล้ว สัตยาก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างสุดจะกลั้น
     
    “ขันอะไรกันนักหนาคะคุณพี่”
     
    “ก็ขันน่ะซี... ผู้หญิงอยู่รวมๆ กันมากเข้าก็มีแต่เรื่องพรรค์อย่างนี้ แล้วคุณศิยังระแวงว่าพี่จะกล้าหาห่วงมาผูกคอเพิ่มอีกละหรือ”
     
     
     
    **************************
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×