ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พรายเสน่หา*

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 3

    • อัปเดตล่าสุด 29 เม.ย. 56


    บทที่ 3



    ฉันแค่รู้สึกตัวว่าซุกอยู่บนที่นอน ใต้ผ้าห่มผืนหนาที่แสนจะอบอุ่น ค่อยเหยียดแขนขาเพื่อคลายความปวดเมื่อย ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่า เมื่อคืนนี้เกิดอะไรขึ้นบ้าง

    ควานมือไปบนอีกฟากเตียง ไม่มีร่างของใครอีกแล้ว

    มันไตรคงหลบไปหลับในที่ซ่อน ตั้งแต่ก่อนรุ่งสาง อย่างน้อยสัญชาตญาณความเป็นพรายเขาคงต้องมีติดตัวอยู่หรอกน่า

    ฉันยันตัวขึ้น บิดขี้เกียจอีกสองสามรอบ ก่อนจะเดินมารวบชุดในไม้แขวน กลับเข้าแขวนไว้ในตู้ เหนือที่นอนของพรายหนุ่มความจำเสื่อม

    กลับมาที่ห้องนั่งเล่นอีกครั้ง เห็นนาฬิกาบอกเวลาใกล้เที่ยง อากาศอุ่นจึงระอุอยู่ภายใน สามสิบเอ็ดองศาคือที่ฉันอ่านได้จากเทอร์โมมิเตอร์ชนิดพิเศษ ที่พี่ชายซื้อมาติดไว้ให้ทำไมก็ไม่รู้ ส่วนที่ว่าพิเศษก็เพราะ ตัววัดอุณหภูมิอยู่นอกบ้าน แล้วส่งสัญญาณเข้ามาบอกบนหน้าปัดเล็กๆ ที่ติดไว้กับต้นเสาหลังโทรทัศน์

    เดินเลยเข้ามาในครัว อ่างน้ำที่ใช้ล้างบาดแผลที่เท้าของมันไตร ยังวางอยู่ที่เดิม ฉันจัดการเทมันทิ้งในอ่างล้างหน้า ขณะที่มองเห็นว่า โลหิตสังเคราะห์นั้นหมดเกลี้ยงไปอีกขวด ซึ่งก็เท่ากับในตู้เย็นไม่มีเหลืออีกแล้ว

    ท่าทางฉันจะต้องหาซื้อมาเพิ่มเอาไว้แต่เนิ่นๆ กับอรัญเองฉันเตรียมไว้ให้อย่างเกินต้องการเสมอ ก็อย่างสองขวดที่มันไตรดื่มเข้าไปนั่นละ เพราะรู้ดีว่าค่อนข้างเสี่ยงอันตรายถ้าจะอยู่ใกล้ชิดกับพวกพรายตอนที่เขากำลังหิวโซ

    อีกทั้งคงต้องซื้อไว้เผื่อสำหรับแขกอีกสองคนคือพิชาและจอห์น พรายผู้เป็นผู้ช่วยและลูกน้องของมันไตร ซึ่งรับปากไว้แล้วว่าจะมารับเจ้านายของตนทันทีที่พลบค่ำ

    คือถึงพวกเขาจะไม่เล่าอะไรให้ฉันฟังก็ตาม แต่ถ้าฉันทำหน้าที่เจ้าบ้านได้ดี และเขาพากันกลับไปยังศูนย์กลางของพวกพรายที่เจริญกรุงนั่น เวลาพักผ่อนที่เหลือฉันก็จะได้อยู่อย่างสุขสงบเสียที

    หรือว่าจะไม่?

    วันนี้ที่ร้านเหล้ากรุงเกษมที่ทำงานของฉันจะเปิดตั้งแต่ห้าโมงเย็น แต่คนที่ต้องไปทำงานคือผาดกับสิรี เพราะฉันกับโปร่งและวรรณาทำงานในวันสิ้นปีไปแล้ว

    วันหยุดของฉันจึงยังเหลืออีกสองวัน และที่ผ่านไปครึ่งวันหรือทั้งวันวันนี้ ก็จะเป็นวันที่ฉันต้องใช้เวลาอยู่กับพรายที่ความจำเสื่อม... ชิ! มันน่าดีใจนักหรือไง

    ฉันเติมคาเฟอีนให้ตัวเอง ด้วยกาแฟแบบทรีอินวัน โยนกางเกงของมันไตรลงเครื่องซักผ้า แล้วกลับมานั่นอ่านนิตยสารรายปักษ์สำหรับผู้หญิง ตั้งใจจะอ่านนิยายของนักเขียนคนโปรดที่เขียนประจำเป็นตอนๆ และชวนติดตามไปซะทุกครั้ง แต่ต้องเปิดดูทำนายดวงชะตาประจำปักษ์เสียก่อน

    แล้วลางร้ายก็ยิ่งปรากฏให้เห็นชัดจากคำทำนาย ที่ลงท้ายเอาไว้สำหรับสัปดาห์รับปีใหม่ของฉัน

    “เคราะห์หามยามร้าย”

    ฉันแทบจะขว้างทิ้งถ้าไม่ติดว่านวนิยายหลายเรื่องในเล่ม มีค่ามากกว่าทำนายไร้สาระมากนัก

    แล้วสิทธาพี่ชายของฉันก็มาถึงบ้านตอนห้าโมงกว่า ด้วยรถญี่ปุ่นรุ่นเก่าที่แต่งเหมือนลูกกวาดสีส้มจางสลับขาว

    ฉันเพิ่งอาบน้ำเสร็จ ผมที่สระยังไม่แห้งสนิทดี จึงนั่งแปรงผมอยู่หน้าพัดลมไปพลางระหว่างดูรายการโทรทัศน์ภาคเย็น ขณะที่ใจนั้นกลับไปคิดอยู่กับเรื่องที่มันไตรต้องประสบชะตากรรมจนมีสภาพเหมือนเช่นเมื่อคืนนี้

    ฉันชอบทำอะไรหลายๆ อย่างพร้อมกัน มันทำให้รู้สึกว่าได้ใช้ความคิดอย่างสบายๆ มากว่าจะต้องมาหมกมุ่นคิดอะไรอยู่อย่างเดียว แล้วก็ฟุ้งซ่านขึ้นเพราะคลื่นความคิดสารพัดประดังกันเข้า

    พี่สิทธาเดินลงส้นขึ้นมาจนถึงประตูหน้าบ้าน ก่อนจะเคาะประตูอย่างขอไปที

    ฉันกับพี่ชายโตขึ้นมาในบ้านหลังนี้ เรามาอยู่กับคุณยายเมื่อทั้งพ่อและแม่เสียชีวิตไปพร้อมๆ กัน ส่วนบ้านเดิมนั้น คุณยายให้คนเช่าอยู่ จนพี่สิทธาอยากจะย้ายออกไปอยู่เอง คุณยายจึงตกลงยกบ้านเดิมให้เขา และยกบ้านหลังนี้ให้ฉัน

    ตั้งแต่อายุยี่สิบสองที่พี่สิทธาย้ายกลับไปอยู่บ้านเดิม จนตอนนี้เขาเกือบสามสิบ ได้เป็นหัวหน้าช่างก่อสร้างประเภทวิศวโยธา ซึ่งฉันก็อดภูมิใจกับเขาไม่ได้ เพราะออกจะเป็นความก้าวหน้าที่รวดเร็วไปหน่อย กับการที่หนุ่มเกเรคนหนึ่งจะก้าวขึ้นไปถึงได้

    แต่พี่ชายฉันก็ทำงานได้ดี... จนกระทั่งสองสามเดือนที่ผ่านมานี้ละ ที่เขามีอาการเบื่อหน่ายหรือไม่ก็กระสับกระส่ายนิดหน่อยเวลาพูดถึงมัน

    เขาเดินมาแทรกกลางระหว่างพัดลม ปลดดุมเสื้อ และดึงชายออกจากในกางเกง บังฉันเต็มๆ โดยไม่ใส่ใจอะไร

    “ถึงบ้านกี่โมงล่ะ”

    เขาหันมาถาม

    “กว่าจะได้นอนก็เกือบตีสี่”

    “คิดว่าเธอเป็นไงบ้าง”

    นี่ละคือคำถามจริงๆ ที่เขาอยากจะเอ่ยออกมา

    “อย่างไปไหนมาไหนด้วยกันอีกเป็นดีที่สุด”

    ฉันพูดตรงๆ เพราะรู้ดีว่าหล่อนเป็นสัตว์สมิง และนั่นคงไม่ใช่คำตอบที่เขาต้องการ พี่ชายฉันหันทั้งตัวมาหา แล้วถามแบบไม่เชิงจะคาดคั้น

    “เธอรู้อะไรบ้าง จากที่ได้เจอกันนั่น”

    พี่สิทธารู้ว่าฉันอ่านความคิดของคนอื่นได้ แต่เขาก็ไม่เคยเอ่ยเรื่องนี้ไม่ว่ากับใครก็ตาม รวมทั้งเคยปกป้องฉันจากพวกที่กล่าวหาว่าฉันเป็นคนสติเสีย เพราะพี่ชายฉันแน่ใจว่า ฉันแค่ “ไม่เหมือน” คนทั่วไปเท่านั้น และพักหลังฉันก็มักจะทำเฉยๆ กับความพิเศษของตัวเอง พยายามไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวหรือรับรู้กับกระแสความคิดของใครๆ แต่ก็ไม่วายที่พวกมันจะแทรกซึมเข้ามาในหัวจนได้

    “เธอไม่ใช่พวกเดียวกับเรา”

    ฉันหลบสายตาเขาด้วยการขยับตัวให้โดนพัดลมเต็มๆ อีกครั้ง

    “แต่ไม่ใช่พราย ไม่ใช่เหรอ”

    เขาเถียงข้างๆ คูๆ

    “ก็ไม่ใช่ไงล่ะ”

    “นั่นซิ แล้วมันจะยังไง”

    พี่ชายฉันคงไม่สบอารมณ์ขึ้นมาจริงๆ เสียแล้ว

    “พี่สิทธา ตั้งแต่พวกพรายประกาศตัวว่าอยู่ร่วมโลกกับเรามานานนักหนา หลังจากที่เราเลือกที่จะเชื่อว่าพวกเขาเป็นแค่ตำนานในนิทานปรำปรา แล้วไงล่ะ เมื่อพวกพรายมีตัวตนอยู่จริงๆ และเกลื่อนไปหมดทั่วโลกอย่างนี้ พี่ไม่คิดบ้างหรือว่าบรรดาอมนุษย์ประหลาดพิสดารในนิทานนิยายทั้งหลายทั้งปวงจะไม่มีตัวตนอยู่จริง”

    ฉันได้ยินความคิดของพี่สิทธาว่ากำลังทำความเข้าใจและชั่งใจว่าจะเชื่อฉันดีหรือไม่ เขาอยากจะปฏิเสธ หรือไม่ก็ตัดสินว่าฉันสติไม่ดี แต่เขารู้ตัวเองดีว่าทำอย่างนั้นไม่ได้

    “แสดงว่าเธอเป็นอมนุษย์พวกอื่น ใช่ไหมล่ะ”

    ฉันไม่ละสายตาจากเขา เพื่อพยักหน้ายืนยันหนักแน่นว่า หล่อนไม่ใช่มนุษย์แน่ๆ

    “ปั๊ดโธ่!”

    พี่สิทธาโวยวายอย่างอารมณ์เสีย

    “รู้ไหมว่าพี่น่ะตกหลุมรักเข้าอีกแล้ว ลินไม่รู้หรอกว่าการได้ขึ้นสังเวียนกับผู้หญิงที่ท่าทางไม่ต่างจากเสือสาวแม่ลูกอ่อนนั้น มันทั้งตื่นเต้นและท้าทายขนาดไหน”

    “จริงหรือคะ”

    ฉันแกล้งถามซื่อๆ ไม่คิดหรอกว่าหากถึงคืนพระจันทร์เพ็ญ แล้วหล่อนแปลงร่างกับเป็นอะไรสักอย่าง พี่ชายฉันจะกล้าพูดอย่างนี้อีก

    “แล้วพี่จะต่อกรกับเธอไปได้สักแค่ไหน กับพวกสัตว์สมิงอย่างนั้น”

    แล้วฉันก็แทบจะเอาหัวโขกโต๊ะตรงหน้า ก็ใครล่ะจะแปลงร่างให้เห็นกันง่ายๆ

    พี่สิทธานิ่งไปไม่ถึงอึดใจ ก่อนที่จะหัวเราะออกมาเสียงดัง

    “ลิน พี่ว่าเธอจะเพี้ยนไปกันใหญ่แล้วจริงๆ ซีนะเนี่ย...”

     แต่แล้วเขาก็หยุดกึกอีกครั้ง

    คราวนี้ฉันสัมผัสได้ถึงกระแสความคิดของเขา ที่ค่อยๆ ไหลกลับเข้าไปในสมอง ทะลุผ่านส่วนเกราะป้องกันที่ไม่ยอมรับความจริงเข้าไปอย่างไม่ยากเย็นนัก

    แล้วพี่ชายของฉันก็ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟาอย่างหมดอาลัยตายอยาก

    “ไม่อยากรู้ไม่อยากเห็นเลยจริงๆ กันเรื่องอะไรพรรค์อย่างนี้”

    เสียงเขาอ่อนลงอีกมาก

    “เอาเถอะน่ะ เธออาจไม่ใช่เสือแม่ลูกอ่อนก็ได้นะ เพียงแต่... พี่ต้องเชื่อฉัน ว่าเธอก็อาจเป็นพวกดุร้ายชนิดอื่นๆ ได้เหมือนกัน”

    ถึงตรงนี้ สีหน้าของพี่ชายทำให้ฉันเข้าใจดี ว่าเขากำลังใช้วิธีเก็บซ่อนความเข้าใจที่แจ่มแจ้งเอาไว้ในส่วนที่ลึกที่สุดในความทรงจำ เขามักทำอย่างนี้เสมอเวลาไม่อยากจะยอมรับความจริงอะไร

    พอทำใจกับเรื่องนี้ได้แล้วพี่สิทธาก็กลับมาเป็นคนเดิม เล่าเรื่องที่ได้ยินได้ฟังมาจากในเมืองอยากสนุก เราดื่มน้ำอัดลมกันคนละกระป๋อง ก่อนที่เขาจะถามว่าต้องการซื้ออะไรหรือไม่ เพราะเขาจะแวะไปที่ซูเปอร์สโตร์ตราดอกบัว

    “ค่ะ คือลินอยากได้โลหิตสังเคราะห์สักโหลนึง กับเสื้อผ้าผู้ชายสักสองสามชุด”

    ฉันเคยเห็นพี่ชายสะดุ้งแบบนี้มาครั้งหนึ่งแล้ว และครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาถึงกับพูดอะไรไม่ออกอีกเป็นครู่ น่าสงสารเหมือนกันกับแทนที่จะมีน้องสาวที่สามารถผลิตหลานชายหลานสาวให้เขาได้อุ้มเล่นหรือพาไปเที่ยวสวนสนุก แต่กลับได้น้องสาวอย่างฉันแทน

    “มันตัวโตสักแค่ไหนล่ะ ไอ้นั่นน่ะ แล้วตอนนี้อยู่ที่ไหน”

    “สูงสักร้อยแปดสิบห้ามังคะ ตอนนี้ยังหลับอยู่”

    ฉันพยายามตอบแบบไม่ให้คิดเลยเถิดไปกันใหญ่

    “รอบเอวสักสามสิบสาม ขายาวและไหล่กว้าง...”

    “อยากได้เสื้อผ้าแบบไหนล่ะ”

    เสียงของพี่สิทธาห้วนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

    “ชุด... ชุดอยู่บ้านก็ได้ เสื้อยืดกับกางเกงยีนสักตัวก็ได้ค่ะ”

    “ตกลงว่าหมอนี่เป็นใคร พี่เคยรู้จักหรือเปล่า”

    “ผมเองครับ”

    เสียงตอบดังขึ้นอย่างขรึมๆ

    พี่ชายฉันหันขวับกลับไปทันที พร้อมกับตั้งท่าเตรียมรับการถูกโจมตีโดยอัตโนมัติ ซึ่งฉันพอใจนะกับการได้เห็นท่าทางแบบนั้น เพียงแต่ตอนนี้มันไตรดูปราศจากอันตรายโดยสิ้นเชิง

    หนำซ้ำเขายังอยู่ในชุดเสื้อคลุมอาบน้ำที่ฉันทิ้งไว้ในห้องอาบน้ำในห้องนอนเล็ก มันเป็นเสื้อคลุมของอรัญ ซึ่งพอเห็นมันห่อหุ้มร่างของคนอื่นอยู่อย่างนี้ ฉันก็รู้สึกแปลบๆ ที่หัวใจอยู่เหมือนกัน

    แต่ฉันก็ต้องอดทน ต้องยอมรับความจริงว่าเลิกกับอรัญไปแล้ว และตอนนี้มีมันไตรยืนอยู่ต่อหน้า ดีเสียอีกที่พรายความจำเสื่อมสวมชุดของอรัญเอาไว้ ไม่ใช่เดินออกมาพร้อมกับบิกินีตัวจิ๋วแบบเมื่อคืน

    พี่สิทธาจ้องมองมันไตรอยู่นาน นานจนพอใจ จึงค่อยเบนสายตามาจ้องหน้าฉันเป็นรายต่อไป

    “นี่นะเรอะ แฟนใหม่ แค่อาทิตย์เดียว น้องสาวพี่นี่ก็เสน่ห์แรงไม่เบาเหมือนกัน”

    ในความคิดของเขา ยังบอกตัวเองไม่ถูกว่าจะพลอยยินดีหรือกล่าวโทษฉันกันแน่ ที่แปลกใจก็คือ ในคลื่นความคิดนั้น พี่ชายฉันยังดูไม่ออกว่ามันไตรเป็นพราย เป็นพวกอมนุษย์ ฉันก็ไม่เข้าใจเหมือนว่า ทำไมคนทั่วไปช่างดูพวกนี้ได้ยากเย็นว่าจะรู้ว่าพวกเขาไม่ใช่คน

    “พี่จะต้องหาเสื้อผ้ามาประเคนให้ไอ้หมอนี่น่ะเรอะ”

    เสียงเขายังฉุนๆ อยู่ไม่สร่างซา

    “ค่ะ เสื้อผ้าเขาคงขาดหายไปตั้งแต่เมื่อคืน ส่วนกางเกงก็เยินเกินจะสวมได้อีกครั้งละมั้ง”

    “แล้วจะไม่แนะนำตัวให้รู้จักกันบ้างเลยหรือไง”

    ฉันต้องระบายลมหายใจออกมาแรงๆ อยากจะบอกเหลือเกินว่า การไม่ต้องรู้จักกันนั่นละดีที่สุด

    “อย่าดีกว่าค่ะ”

    ฉันพูดได้แค่นั้น

    แต่ชายหนุ่มหนึ่งคนกับหนึ่งตนตรงหน้าดูจะไม่เข้าใจสถานการณ์ พี่สิทธาแทบจะเข้ามาขย้ำคอฉันด้วยความโมโห ขณะที่มันไตรก็เผลอกำหมัด ก่อนจะแยกเขี้ยวออกมาหากเขาระงับอารมณ์ไว้ไม่ได้

    “มันไตรครับ”

    พรายความจำเสื่อมยืนมือออกไปทักทายอย่างเป็นทางการ พร้อมกับแนะนำตัวเองในที่สุด

    “ผม สิทธา สิทธา เนตรวิสุทธิ์ พี่ชายของยัยปาลินนี่ละ”

    เขาจับมือกันเขย่าตามธรรมเนียมตะวันตก ซึ่งฉันรู้สึกหมั่นไส้จี๊ดขึ้นมาในสมอง

    “เดาว่าต้องมีเหตุผลสำคัญที่ทำให้คุณออกไปหาซื้ออะไรๆ ด้วยตัวเองไม่ได้”

    พี่ชายพูดกับพรายหนุ่มโดยไม่หันกลับมามองฉันอีกเลย

    “แน่นอนค่ะ เป็นเหตุผลที่สมเหตุสมผลมากเสียด้วย”

    ฉันเข้ามาปลดมือเขาออกจากกัน

    “แถมเหตุผลอีกร้อยข้อให้ด้วย สำหรับการที่พี่ควรจะลืมว่าเคยพบกับมันไตร”

    “ทำไมล่ะ นายคนนี้กำลังมีภัยคุกคามหรือไง”

    พี่สิทธาหันมาจ้องหน้าฉันเขม็งอีกครั้ง

    “ก็... ไม่ขนาดนั้นหรอกค่ะ... เพียงแค่...”

    พอเห็นหันอึดอัดใจ พี่ชายก็หันกลับไปหาพรายหนุ่มอีกครั้ง

    “จำไว้เลยนะ ถ้าคุณทำให้น้องสาวผมต้องเสียใจเมื่อไหร่ เมื่อนั้นคุณจะไม่มีวันได้อยู่เป็นสุข!”

    เขาบอกกับมันไตรด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียมและจริงจังที่สุด

    “ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งในเรื่องนี้”

    พรายหนุ่มรูปหล่อก็ไม่ลดละ

    “และไหนๆ เราก็เปิดอกพูดกันขนาดนี้แล้ว ผมก็อยากจะบอกคุณเหมือนกันว่า ถ้าเห็นว่าคุณปาลินเห็นน้องสาว คุณก็ควรจะอยู่กับเธอ คอยปกป้องคุ้มครองเธอ ไม่ใช่ต้องให้มาอยู่ตามลำพังอย่างนี้”

    จบคำ พี่ชายฉันถึงกับนิ่งตะลึงไป ฉันก็เช่นกัน ที่ต้องรีบปิดปากเหวอของตัวเอง และกลั้นเสียงหัวเราะเอาไว้ เขาช่างพูดได้ตรงกว่าที่ใจฉันจะกล้าคิดเสียอีก

    “สรุปว่าโลหิตสังเคราะห์สิบสองขวด กับเสื้อผ้าใช่ไหม”

    เสียงของพี่สิทธาอ่อนโยนลง จึงจับได้ว่าเขาเริ่มยอมรับในตัวและน้ำใจของมันไตรในเวลานี้ได้บ้างแล้ว

    “ถูกต้องค่ะ แต่โลหิตสังเคราะห์คงต้องซื้อที่ร้านขายยา ส่วนเสื้อผ้าพี่ซื้อจากห้างดอกบัวนั่นเลยก็ได้”

    ดีที่มันไตรในภาคที่ความทรงจำบริบูรณ์กับภาคความจำเสื่อมนี้ น่าจะชอบสวมเสื้อผ้าสบายๆ อย่างเสื้อยืดกางเกงยีนเหมือนกัน ฉันจึงพอจะตระเตรียมให้เขาได้

    “อ้อ... ขอรองเท้าสักคู่ด้วยนะคะ”

    จบคำนี้ พี่ชายฉันก็เดินไปยืนข้างๆ มันไตร ความสูงของทั้งสองคนไล่เลี่ยกัน แต่เท้าของมันไตรใหญ่กว่าของพี่สิทธามาก

    จนพี่ชายฉันต้องผิวปากแซวออกมา ทำให้มันไตรตกใจที่อยู่ๆ เขาก็ทำอะไรอย่างนั้น

    “เท้าใหญ่ขนาดนี้เชียว...”

    พี่ชายพูดย้ำ ขณะมองหน้าฉันพร้อมกับอมยิ้ม

    “อย่างที่คนโบราณเขาว่า แสดงว่ามันจริงใช่ไหมล่ะลิน”

    ฉันยิ้มให้พี่ชายบ้าง พยายามช่วยให้บรรยากาศไม่ตึงเครียดไปยิ่งกว่านี้

    “พี่จะเชื่อไหมล่ะ ถ้าจะบอกว่า ลินไม่เข้าใจสิ่งที่พี่พูดเลยสักนิด”

    คราวนี้พี่สิทธาทำสีหน้ามีเลศนัย

    “ก็แหม ที่เขาว่าเมื่อเท้าใหญ่ ส่วนสำคัญอื่นๆ ของเขามันก็จะใหญ่ตามขึ้นไปน่ะซี แต่... ช่างเถอะนะ พี่ไปดีกว่า”

    คำท้ายพี่ชายฉันหันไปพยักหน้าให้มันไตร

    ครู่ถึงมา เขาก็ออกไปติดเครื่องยนต์ แล้วขับรถคู่ใจคันนั้นออกไป พร้อมกับความมืดที่โรยตัวคลุมทั้งบริเวณให้ตกอยู่ในราตรีกาล

    “ผมขอโทษที่อยู่ๆ ก็โผล่ออกมา ตอนที่พี่ชายคุณยังอยู่”

    พรายรูปหล่อพูดเรียบๆ เหมือนหยั่งเชิง

    “คิดว่าคุณไม่น่าจะอยากให้ผมกับเขาได้พบกัน...”

    อากาศยังร้อนอบ จนฉันต้องไปเปิดเครื่องปรับอากาศ

    เขาทำท่าสบายตัวขึ้น เมื่อได้รับความเย็นชื่นฉ่ำ

    “ฉันไม่ได้รังเกียจที่จะให้คุณอาศัยอยู่ด้วยหรอกค่ะไตร เพียงแต่ตอนนี้เราไม่รู้ว่าคุณต้องเผชิญกับความหนักหนาสาหัสอะไรบ้าง เลยไม่อยากลากพี่ชายเข้ามาให้เรื่องมันยุ่งยากมากยิ่งขึ้น”

    “เขาเป็นญาติคนเดียวของคุณ...”

    “ใช่ค่ะ คุณพ่อคุณแม่และคุณยาย ญาติผู้ใหญ่ของเราตายไปหมดแล้ว พี่สิทธาเป็นญาติสนิทคนเดียวที่เหลืออยู่”

    “เสียงคุณดูเศร้าๆ”

    “ฉันทำใจได้นานแล้วค่ะ”

    ฉันพยายามปรับน้ำเสียงให้ฟังธรรมดาๆ ที่สุด

    “คุณเคยดื่มเลือดผม”

    ตายละ! ฉันถึงกับพูดอะไรไม่ออก

    “ก็ ถ้าคุณไม่เคยดื่มเลือดผม ผมจะรู้ถึงความรู้สึกของคุณได้ยังไง”

    แล้วเขาก็พูดต่อไปว่า

    “หรือว่าเราเป็น หรือว่าเราเป็นคู่รักกัน”

    เป็นการเลือกใช้คำที่น่ารัก แต่ฉันรู้ดีว่าบทรักของมันไตรต้องเผ็ดร้อนกว่าคำพูดนี้เป็นร้อยๆ เท่า ส่วนเรื่องที่เป็นแฟนกันถึงจะได้ดื่มเลือดกันนั้น ก็เพราะเวลามีอะไรกัน พวกพรายอดไม่ได้หรอกที่จะฝากรัก ด้วยการกรีดรอยเจ็บปวดให้กับตัวเอง แบ่งปันเลือดเนื้อให้คู่ของตนได้ลิ้มชิม

    “เปล่าค่ะ”

    ฉันตอบทันที เพราะในทางพฤตินัยอย่างถึงที่สุดแล้ว เรายังไม่ได้ลงเอยกัน ถึงมันจะเป็นแบบเฉียดฉิวก็เถอะ ตอนนั้นถ้าไม่มีคนเข้ามาขัดจังหวะเสียก่อน ฉันก็คงได้เป็นอย่างที่เขาพูด ก็แน่ละ สมัยนี้... ฉันกล้ายอมรับตรงๆ แหละว่า หัวใจก็อ่อนระทวยได้เหมือนกัน หากตกอยู่ในวงแขนของชายที่หล่อเหลือร้ายขนาดนี้

    แต่เขายังจ้องอยู่ไม่วางตา จนฉันเริ่มรู้สึกเขินขึ้นมาบ้างแล้ว

    “นี่คงไม่ใช่เสื้อของสิทธาพี่ชายคุณ”

    นั่นไงล่ะ คำถามที่ฉันไม่อยากได้ยินเลยสักนิด

    ฉันเงยหน้าขึ้นให้แอร์เป่าลงเต็มๆ ระหว่างนึกหาคำตอบที่เหมาะสมที่สุด

    แต่แล้วก็ต้องสารภาพออกไปเบาๆ

    “ของอรัญน่ะค่ะ”

    “ของแฟนคุณน่ะเอง”



    *****************
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×