คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ ๔
“เปลี่ยนใจยังทันนะอิน”
ขณะสองมือกำลังเลือกหาชุดสวย
จากตู้เสื้อผ้าที่สูงใหญ่เต็มผนัง ลลิตาก็ทำเหมือนพึมพำกับตัวเอง
มากกว่าจะอยากให้เป็นไปอย่างที่พูด
“ทำไมล่ะ
หรือว่าจองโต๊ะไม่ได้”
“นั่นก็อีกเรื่องนึง แต่ไม่คิดบ้างหรือว่า นายคนนั้น
มันจะไม่เปลี่ยนไปนั่งร้านอื่นบ้าง”
คนพูดควานได้สามชุด
นำมาวางแผ่บนเตียงให้เพื่อนเลือก
ส่วนคนฟังคงข้องใจทั้งสามชุดนี้
มากกว่าคำถามนั่น ได้แต่ยืนจ้องชุดนิ่งอยู่
ชุดกระโปรงสั้นใหม่เอี่ยมสามชุดแผ่อยู่บนเตียง
ชุดหนึ่งเป็นสีองุ่นแดงแขนกุดคอจีน ปักเลื่อมละเอียดยิบตรงรอบคอซึ่งเป็นผ้าโปร่งสีเดียวกัน
ไล่ความถี่ห่างคลี่กระจายลงมาจนถึงเนินอก
อีกชุดเป็นผ้าลูกไม้ลายละมุนชวนมอง
ตัดต่ออยู่กับผ้ากำมะหยี่สีดำ สำหรับตรงบางตำแหน่งที่ไม่ควรจะเปิดเผยเกินไป
และชุดสุดท้าย
ส่วนตั้งแต่เอวขึ้นมาจนถึงเกาะอกเป็นลวดลายขนสัตว์ต่างชนิด พิมไว้สารพัดบนผ้าเนื้อมันวาว
ส่วนใต้เข็มขัดลงไปเป็นหนังเทียมสีดำสนิท ที่คงยืดหยุ่นรัดรึงช่วงสะโพกได้เต็มที่
“ที่จะเปลี่ยนใจ
ก็... เพราะชุดพวกนี้ละ”
ไม่มีชุดใดจะเข้ากับตนเองได้เลย
อินทุอรจึงพูดออกไปดังนั้น
“งั้นก็ต้องเลือก จะใส่ชุดพวกนี้ไปร้านนั้น หรือใส่ชุดที่ใส่มาหาฉันนี่
แล้วไปที่ร้านอื่น”
ลลิตาทำเสียงจริงจัง
ไม่ใจอ่อนไปกับสีหน้าเคร่งเครียดของเพื่อนสนิท หวังลึกๆ
ว่าอินทุอรจะล้มเลิกความตั้งใจ ด้วยเงื่อนไขไร้สาระอันนี้
พอเพื่อนยังเงียบ
หล่อนจึงใช้เสียงเข้มๆ คล้ายๆ จะข่มขู่ต่อไป
“เลือกชุดให้ได้เสียก่อน
แล้วค่อยเลือกรองเท้ากับเข็มขัด”
“มันต้องอลังการเต็มที่ขนาดนี้เลยเหรอหลิว”
เพื่อนทำเป็นเอาจริง
อินทุอรก็ใจฝ่อลงไปได้เหมือนกัน
การตกลงกันเมื่อตอนเย็น
เป็นไปอย่างง่ายๆ ก็จริง และแม้ลลิตาจะเป็นฝ่ายโทร.ไปบอกว่า
แฟนคนที่หล่อนกำลังคั่วอยู่ติดธุระ คืนนี้เลยทางสะดวก
แต่ก็ยังหาเรื่องอ้างว่าต้องมาเริ่มต้นที่บ้านนี้
บ้านหลังเล็กที่หล่อนแยกออกมาอยู่อย่างอิสระ
ลลิตารู้ว่าเพื่อนต้องลำบากจนอาจเลิกนัดไปเอง
เพราะต้องขึ้นรถรับจ้างมาถึงนี่ ด้วยว่าแม่เลี้ยงที่ชื่อโสภาพรรณ
กีดกันทางอำนวยความสะดวกทุกอย่างที่จะเป็นไปได้ กับลูกเลี้ยงของหล่อน
ที่ไหนได้
อินทุอรมาถึงก่อนเวลาเสียอีก...
“เธอรู้ไหมว่า
ร้านนั้นน่ะ พวกโต๊ะนัดบอดมันไม่ได้มีโต๊ะเดียวแล้วนะ ตอนนี้มีไม่รู้กี่โต๊ะ
ไอ้พวกสวมรอยหวังจะมาหลอกล่อ ปอกลอกเพิ่มขึ้นมาอีกไม่รู้ตั้งเท่าไหร่ ลองทำเหนียมๆ
อายๆ ไปสิ จะได้ถูกพวกมันรุมทึ้ง”
ลลิตาต้องสาธยาย
ก่อนรำพันถึงความยุ่งยากลำบากต่างๆ นานา ในการนัดบอดที่ร้านเก่าร้านเดิมนั่นต่อไป
“เลือกชุดเร็วๆ
เข้าเถอะ ไหนจะต้องแต่งหน้าให้เต็มยศอีก ทั้งขนตาปลอมทั้งกรีดตา
นี่ดีหรอกนะว่าฉันมีแบ็คดี พี่เว็บเลยลัดคิวสับคิวให้ได้โต๊ะคืนนี้”
ประโยคหลัง
ลลิตาหมายถึงเว็บไซต์ที่รับจัดการเรื่องนัดบอด
อาศัยว่าหล่อนใช้บริการเป็นขาประจำจนได้สนิทสนมกับเจ้าของ
จึงสามารถใช้ความสัมพันธ์อันนั้น อำนวยให้ตนได้รับความสะดวกง่ายดายยิ่งขึ้น
“สรุปว่าจองโต๊ะได้แล้ว”
“สิยะ
ไม่งั้นจะต้องมานั่งเลือกชุดให้ลำบากลำบนทำไม พวกนี้ชุดใหม่ทั้งนั้น
ตัดไว้ตั้งร่วมเดือนแล้ว ยังไม่เคยใส่ไปงานไหนทั้งสิ้น... แต่...
ที่ฉันไม่เข้าใจก็คือ ทำไมเธอต้องลงมานั่งเล่นนัดบอดอะไรนี่อีก
ไหนว่าถอนตัวจากวงการตั้งแต่รับหมั้นนั่น”
“ฉันเลือกชุดนี้ก็แล้วกัน”
อินทุอรทำเหมือนไม่ได้ยินคำถาม
ตัดบทสนทนาด้วยการยกชุดสีองุ่นแดงที่เลือกมาทาบตัว พร้อมเดินไปทางกระจกบานใหญ่
ลลิตาเดินตาม
หงุดหงิดที่สองสามคำถามสำคัญไม่ได้รับคำตอบ
“ถ้าหวังจะเจอนายคนนั้นอีก
ฉันว่าเลิกหวังเถอะอิน ร่วมปีมาแล้ว
หลังจากคืนนั้นเราก็เฝ้าเวียนเพียรตามอยู่เป็นเดือนๆ แล้วยังไงล่ะ
ไม่เห็นแม้กระทั่งเงา...”
“แค่อยากเปิดสมองน่ะหลิว”
คนฟังต้องขัด
คราวนี้หลังจากลองสวมชุดที่เลือกเรียบร้อยแล้ว
“หลวมไปนิด
ไม่เป็นไร มีเข็มขัดใช่ไหม งั้นก็แต่งหน้าได้ละนะ ผมปล่อย ไดร์ตรงๆ แต่งเน้นๆ
ที่ปากกับตาดีไหม”
อินทุอรพูดต่อไป
โดยเลื่อนไปนั่งหน้าโต๊ะเครื่องแป้งอีกฝั่งหนึ่งของห้อง
“หรือ...
ถ้าเธอเจอกับเขาขึ้นมาจริงๆ แล้วจะทำยังไง...”
นั่นละ
คนถูกถามถึงมีปฏิกิริยาขึ้นมาบ้าง
ผมยาวที่กำลังจะรวบ
ถูกละให้แผ่สยายเต็มแผ่นหลัง ไม่ได้หันมอง แต่ประสานสายตาตรงๆ
กับเพื่อนสนิทผ่านบานกระจกตรงหน้า
“ทำไมล่ะ
เธอไม่ได้ตอบสักคำถามเดียว แล้วจะสนใจทำไมกับคำถามพรรค์นี้”
ลลิตาประชดซ้ำ
อำพรางความกังวลใจข้ออื่นเอาไว้ ด้วยการจี้ตรงประเด็นสำคัญของเพื่อนรัก
ที่จริงหล่อนยังรู้สึกผิดอยู่เสมอ
ที่ทำเรื่องเห็นแก่ตัวจนต้องพาเพื่อนมาตกที่นั่งลำบาก
หากคืนนั้นไม่เห็นแก่ความสนุกโลดโผนเพียงชั่วครั้งคราวนั่น ป่านนี้เรื่องคงไม่ยุ่งยากมากมาย
เข้าใจดีว่า
หากไม่นับเรื่องความใคร่ ก็ความรักนี่ละที่มีอานุภาพยิ่งกว่าสิ่งใด
ความรัก
จะบันดาลให้คนตายทั้งเป็นก็ได้
จะบันดาลให้คนคู่หนึ่งสามารถทนกัดก้อนเกลือกินร่วมกันไปทั้งชีวิตก็ยังได้
หรือจะให้ใครสักคน
เฝ้าตามหาใครอีกคนไปทั้งชีวิตก็เคยมี
ทั้งหมดเป็นเพราะอานุภาพของความรักทั้งนั้น
“อิน
ฉันก็เคยจะเป็นจะตายเพราะความรักเหมือนกันนะ...”
ลลิตาเปลี่ยนมาใช้เสียงอ่อนลง
“...ที่ร่อนๆ ไปทุกวันทุกคืน เธอก็รู้ว่าเพราะอะไร”
“คนใหม่ๆ”
“ใช่... แล้วก็ได้เจอเรื่อยๆ ไป แต่... อิน
เธอเห็นว่าชีวิตฉันมันมีอะไรดีขึ้นบ้างหรือ”
“เธอ
ก็ดูมีความสุขดี อย่างน้อยก็... สุขกว่าฉัน”
“แต่ก่อนน่ะไม่
เธอไม่รู้หรอกว่า ความรู้สึกที่แบบว่า... เช้าขึ้นตื่นมาแล้ว
ต้องมานั่งนึกทบทวนว่า ไอ้คนที่นอนข้างๆ นี่มันเป็นใครมาจากไหน
แล้วจะได้รู้จักกันไปยืดยาวขนาดไหน หรือการที่ต้องมานั่งเริ่มต้นคบหาคนใหม่ๆ
อยู่เกือบทุกอาทิตย์นี่มันทรมาน มันน่าเหนื่อยหน่ายสักแค่ไหน”
เสียงของลลิตาไม่ได้ชวนหมองเศร้าเหมือนถ้อยคำ
ฟังดูเป็นทีเล่นมากกว่าทีจริง แต่ก็ทำให้อินทุอรนิ่งไปได้เหมือนกัน
“แต่... ก็นะ อย่างน้อยฉันก็มีเรื่องใหม่ๆ ให้ไขว่คว้า
ไม่ได้จมปลักอยู่กับอะไรก็ไม่รู้ที่มันเป็นไปไม่ได้อีกแล้ว”
“ฉันไม่ใช่แบบเธอนะหลิว”
“รู้
และก็ไม่อยากให้มาเป็นอย่างฉันด้วย เพียงแต่...
เมื่อเธอมีหนทางลงเอยกับชีวิตได้สวยๆ ทำไมไม่ยอมรับ”
อินทุอรหันกลับไปเริ่มรวบผม
เพื่อพร้อมสำหรับการแต่งหน้า เลือกใช้ความเงียบตอบคำถามของเพื่อนสนิทอีกครั้ง
แต่ใจนั้นยังวนเวียน
เธออาจบ้าไปแล้วจริงๆ
อย่างที่ลลิตาชอบกล่าวหาบ่อยๆ เพราะคำถามเดียวในตอนนี้
ที่อยากถามเขาเหลือเกินหากได้เจอ และต้องถามเขาคนเดียวเท่านั้น ก็คือ...
คืนนั้น
เขาล่วงเกินเธอไปถึงแค่ไหน
เสียงโทรศัพท์บ้านดังขึ้นตอนสองสาวกำลังออกจากประตู
อินทุอรอยู่ใกล้กว่า แต่ลลิตารีบบอกว่าจะรับสายเอง
“คะ
อยู่กับเพื่อนค่ะ กำลังจะออกไปทานข้าว เอาไว้หลิวโทร.กลับนะคะ”
ถ้อยคำสนทนาแสนสั้น
แล้วเจ้าของบ้านก็วางสายลงทันที
“เพื่อนน่ะ”
คนเพิ่งวางสายรีบแก้ตัว
เมื่อเห็นสายตาแปลกใจของเพื่อนสนิท
“หวังว่าคงไม่ใช่ผู้ชาย”
“ก็...”
“เบอร์บ้านเนี่ยนะหลิว”
ที่อินทุอรต้องซักไซ้
เพราะไม่ปลอดภัยเลย ที่จะให้หมายเลขโทรศัพท์ประจำบ้านแก่ใครๆ ด้วยว่าเขาอาจสืบสาว
หรือติดตามมาถึงได้ง่ายๆ
“ฉันรู้จักไหม”
เมื่อเพื่อนยิ่งนิ่ง
เธอก็ยิ่งถาม ด้วยความห่วงใย
“ก็...
ไม่เชิง”
“หมายความว่ายังไง
ก็ไม่เชิง หรือว่านอกจากหวานใจ ที่กรุณาติดธุระจนเธอได้ไปกับฉันแล้ว
ยังมีคนอื่นอีกน่ะเหรอ”
“อิน...
อย่าโกรธนะ ถ้าจะบอกว่า เราอ้างเขาไปอย่างนั้นเอง
เพราะไม่อยากให้เธอกลับไปที่ร้านนั่นอีก”
ลลิตาสารภาพเสียงอ่อย
“แล้วเขาก็พอดีโทร.มา
บอกว่าติดธุระ...”
คราวนี้อินทุอรต้องสูดหายใจลึกๆ
ก่อนผ่อนระบายออกมายาวๆ เพื่อปรับความกดดันในตัว
และปรุงน้ำเสียงให้ปราศจากความขุ่นมัว
“แสดงว่า
คนที่โทร.มาอีกนี้ เป็นเขางั้นหรือ”
“เปล่า
ก็... อีกคนน่ะ”
คำตอบวกเวียน
จนคนฟังต้องหรี่ตามองหาความผิดปกติ
“เอาละๆ
ถ้าห่วงนัก เอาไว้เราไปเปลี่ยนเบอร์ก็ได้ พอเถอะ เดี๋ยวรถติด จะซักจะไซ้
จะสอบจะสวนอะไร ก็ค่อยไปว่ากันบนรถ”
ก่อนจบประโยคสุดท้าย
ลลิตารีบรุนหลังเพื่อน ให้เร่งเดินพ้นประตู พอล็อกบ้านเสร็จสรรพ ก็รีบมาเปิดรถให้
ขณะใช้สายตาสำรวจเพื่อนสนิทอีกครั้ง พร้อมทั้งการแกล้งโค้งอย่างงาม
โดยยังยับยั้งบางคำเอาไว้ในใจ
“เธอแต่งหน้าแต่งตัวแล้วสวยออกปานนี้
ทำไมไม่แต่งอย่างนี้ซะทุกคืนทุกวัน...
วันศุกร์ปลายเดือน
ยวดยานคลาคล่ำอยู่ทั่วทุกถนน ตั้งแต่เย็นย่ำจนค่ำมืด
และคงไม่คลี่คลายไปจนกว่าจะล่วงดึก โดยเฉพาะถนนสายสำคัญ
ที่รวบรวมสถานบันเทิงเอาไว้รองรับ สำหรับทุกเพศทุกวัย
แต่ละคันบนท้องถนน
คนขับคงร้อนใจ อยากไปให้พ้นเสียจากการติดค้างกันไปมาแบบแยกชนแยก
จึงไม่มีใครยอมให้จังหวะใคร ให้ผ่านพ้นโค้งเลี้ยวหรือเบียดแซงไปได้ง่ายๆ
ลลิตาคงได้ทีที่จะกรี๊ดให้ลั่น
หลังจากนั่งเงียบมานาน เพราะแท็กซี่คันนั้นเบียดปาดในระยะกระชั้นชิด จนหล่อนต้องเหยียบห้ามล้อ
ทำให้ทั้งคนขับและคนนั่งมาด้วยหัวแทบคะมำ
แล้วก็ตามมาด้วยเสียงบีบแตรไล่หลัง
ที่ไม่อาจเดาได้ว่า เสียงดังกระชั้นอย่างน่ารำคาญนั้น
หมายจะช่วยด่าไอ้คันที่ปาดแซงไป หรือว่าด่าซ้ำคันที่ยอมให้ถูกแซง
“ไอ้พวกบ้า!
ดูนะอิน ถ้าไม่เบรก ก็มีหวังไปจูบตูดมัน ไอ้เราสิจะเป็นฝ่ายผิด”
“เธอก็เลยเป็นฝ่ายเบรก
ให้คันหลังมาจิ้มเธอแทนงั้นสิ”
อินทุอรไม่อยากคาดคั้นในเรื่องที่เพื่อนสนิทยังไม่พร้อมจะบอกมากนัก
คำที่พูดไป จึงเป็นการผสมโรง
ยั่วเย้าอารมณ์ที่ลลิตาปรุงขึ้นมาให้เข้มข้นเกินจำเป็น
“ก็ดีกว่าไปจูบบั้นท้ายแท็กซี่ละน่า
กว่าจะเคลียร์กะมันได้น่ะ นานแค่ไหน”
ขณะที่ยังไม่คลายท่าทางโมโห
หล่อนก็ชะเง้อมองตาม รถคันที่เพิ่งขับเบียดเฉียดแย่งช่องทางกันตนเมื่ออึดใจที่แล้ว
“นั่นไง
คันนั้น ดูสิ นั่นๆ ไปเบียดจะเข้าเลนขวาอีกละ เฮอะ!”
“ช่างเขาเถอะน่ะ
เห็นๆ กันอยู่นี่ละ ถึงแซงเราไป ก็ไปได้ไม่กี่น้ำ”
“ให้มันไปจิ้มตูดบีเอ็มเข้าสักคันเถอะว้า
รถนายพลนายพันละยิ่งดี หรือไม่...”
ไม่ทันจบคำด้วยซ้ำ
ตอนเสียงเหยียบเบรกและเสียงโครมเบาๆ ดังเข้ามาในรถ
สองสาวสบตากัน
แล้วต่างคนก็ต่างนิ่งไปอีกนาน โดยเฉพาะลลิตา ที่ทำท่าตั้งอกตั้งใจ
ตั้งสมาธิขับรถคันเล็กๆ ของหล่อนให้หนักแน่นยิ่งขึ้น
จำนวนรถในถนนเบาบางลง เมื่อพ้นช่วงแยกแสนสาหัสมาได้
คนขับเผลอระบายลมหายใจยาว
ขณะที่คนนั่งมาด้วยก็คลายใจเรื่องความปลอดภัยบนท้องถนนได้อีกโข
“ข้ออ้างที่ว่า พอดีหวานใจเธอติดธุระนั่น ตั้งแต่เมื่อไหร่...
หวานใจอะไรนั่นน่ะหลิว”
บรรยากาศอึดอัดในฉับพลัน
เมื่ออินทุอรเอ่ยเรื่องนี้อีกครั้ง
ลลิตาหันมาค้อนเพื่อน
ใจนึกไปว่าคนนั่งข้างๆ นี่คงสับสนวนเวียนหนัก
จนไม่รู้จะระบายความรู้สึกออกมาอย่างไรกระมัง จึงต้องวกมาถามเรื่องส่วนตัวของตนเอง
“ก็...
คนนี้ จะสามอาทิตย์แล้วละ แล้ว... เขาก็ยังไม่ได้หายไปไหน”
“แสดงว่าไม่เหมือนคนอื่น”
“หมายความถึงตรงไหนล่ะ”
“ไม่รู้
ก็เธอยังไม่เคยเอ่ยถึงนายคนล่าสุดนี่เลยสักครั้ง”
“จริงเหรอ
เอ... ฉันไม่เคยพูดถึงเขาเลยเหรอ”
สายตาของคนพูด
ที่ตวัดมาสบกับเพื่อนสนิทอีกครั้ง เป็นทีท่าว่าหล่อนก็เพิ่งนึกได้ว่า
ไม่เคยพูดเรื่องนี้กับอินทุอรมาก่อนจริงๆ
“แสดงว่าเขาต้องพิเศษจริงๆ
สินะ หรือว่า...”
“ไม่หรอกอิน
ที่จริง ถือว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษคนหนึ่งเลยเชียวละ”
“สุภาพบุรุษ”
“ใช่ เรา... เราก็เจอกันที่ร้านนั้นนั่นละ
แต่ไม่เคยไปจบลงบนเตียงนอนสักครั้งเดียว”
พูดจบ
ลลิตาก็นึกได้ว่า ประโยคหลังนี้คงกระทบกระเทือนใจคนฟังอยู่ไม่น้อย
แต่อินทุอรยังพูดคุยต่อไป
เหมือนไม่ได้รู้สึกอะไรจริงๆ
“แล้วเขาก็ยังไม่ได้ห่างหายไป
ใช่ไหมล่ะ”
“นั่นละอิน
ฉันเลยคิดว่า ถ้าจะจริงกับใครสักคน ก็น่าจะใช่เขา”
เมื่อเลยผ่านย่านถนนสายเริงราตรีนั่นมาแล้ว
แม้ยวดยานยังตามกันเป็นสาย แต่ก็พอจะเรียกได้ว่า ปลอดโปร่งขึ้น จนได้เลี้ยวมาในซอย
อันสุดซอยตื้น ๆ นี้คือร้านที่หมายนั่นละ ลลิตาจึงเริ่มเอ่ยอีกครั้ง
“ที่จริงคือ...
ฉันสัญญากับเขาไว้ว่า จะไม่กลับมาที่ร้านนี้อีก”
คนพูดชะลอรถ
จอดชิดริมบาทวิถี ไกลจากแสงไฟระยิบของป้ายชื่อร้านพอสมควร
เมื่อเห็นว่าอินทุอรยังไม่พูดอะไร
หล่อนก็ต่อคำพูดของตนเองต่อไป
“แต่เอาเถอะ
เพื่อความสบายใจของเธอ ในเมื่อเราสัญญากันแล้วว่า ถ้าครั้งนี้ไม่เจอ
เธอก็จะตัดใจจากเจ้าชาย ที่ควบม้าหนีหายเข้ากลีบเมฆนั่นซะที”
รถจอดสนิทแล้ว
แต่สองสาวไม่มีทีท่าว่าใครจะลงจากรถ อินทุอรนั่งนิ่ง ขณะที่ลลิตาก็ซึมๆ ไป
“ให้ฉันเข้าไปคนเดียวดีไหมหลิว”
ในที่สุดอินทุอรก็เอ่ยขึ้น
“บอกแล้วไง
ว่าฉันไม่ยอมให้เธอ เข้าไปในร้านนั้นคนเดียวอีกเป็นอันขาด”
แม้คำยืนยันจะค่อนข้างเบา แต่ในเรื่องนี้
ลลิตาก็ปฏิบัติตามคำพูดมาได้ตลอด
“เอาน่ะ ฉันสัญญา จะเป็นครั้งสุดท้าย กับการรอคอยที่น่าจะไร้สาระที่สุดในโลก”
ร้านเดิมแสนคุ้นตา
การตกแต่งหลักๆ ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป นอกจากขยายหมู่โต๊ะออกมาจนเต็มระเบียงด้านหน้า
เพื่อรองรับลูกค้าที่ล้นทะลักจากด้านใน
“นึกไปก็ขำๆ
นะอิน ไอ้ร้านสุดทางรัก ในซอยปรารถนาหกสิบเก้านี่ พวกเราก็อุตส่าห์ดั้นด้นกันมา
จนไม่รู้ได้เจออะไรต่อมิอะไรนักหนา”
ลลิตา
ที่จัดได้ว่าเป็นคนคุ้นเคยกับร้านนี้ ยังอดรู้สึกตื่นตาตื่นใจไม่ได้
เมื่อได้กลับมายังแหล่งบันเทิงสำหรับตน ที่ห่างหายมานับเป็นเวลาร่วมเดือน
อินทุอรก็ใจเต้นตึกตัก
คนเยอะจนน่าอึดอัด แต่ความหวังก็พลุ่งขึ้นอย่างห้ามไว้ไม่อยู่
ว่าเขาน่าจะเป็นหนึ่งในกลุ่มคนอันพลุกพล่านนี้
“คนเยอะขึ้น
เยอะเลยนะหลิว”
“อย่าว่าแต่ที่เธอไม่ได้มาหลายๆ เดือนเลย
นี่ขนาดครั้งล่าสุดไม่ถึงเดือนมานี่ ฉันว่าคนมันยังเพิ่มขึ้นตั้งแยะ”
สองสาวต้องพูดคุยกันด้วยอาการแบบที่เรียกกว่า
‘กรอกใส่หู’ ของอีกฝ่าย
เสียงเพลงจังหวะสนุก
ลอดออกมาพร้อมไฟกะพริบสีสวย
ภายในตัวร้าน
ซึ่งที่จริงคือโกดังหลังใหญ่ คงกำลังวิบวับทั้งแสงสีและท่วงทำนอง ผู้คนคงมากมาย
เพราะเห็นได้ว่าส่วนหนึ่ง ยังออกันอยู่ที่ประตูใหญ่
ส่วนบริเวณที่จัดไว้สำหรับพวกนัดบอดจะมาสังสรรค์กันนั้น
เป็นระเบียงด้านข้าง ถัดจากระเบียงหน้านี้ไปทางด้านใน
ตรงนั้นจะมีโต๊ะใหญ่สำหรับแปดที่และสิบที่
หลายโต๊ะ ตลอดผนังที่กั้นระหว่างส่วนนั้นกับภายใน
เป็นบานเลือนกระจกใสที่สูงใหญ่จากพื้นจดเพดาน สำหรับเลื่อนเปิดหรือปิด ตามแต่การจัดสรรพื้นที่ว่า
ต้องการความสงบหรือครื้นเครงขนาดไหน
มีคอกเคาน์เตอร์บาร์น้ำ
ตั้งขวางส่วนนั้นกับส่วนในไว้อีกชั้น อย่างตั้งใจจะให้พนักงานได้รู้เห็นโดยตลอดว่า
ใครเป็นใครที่ผ่านเข้าไปในเขตนั้น
ก่อนจะถึงระเบียง
หรือคอกบาร์น้ำนั่น ต้องผ่านประตูหน้านี้เข้าไป แต่คนกลุ่มใหญ่ยังยืนขวาง
สองสาวจึงถือโอกาสสำรวจบรรยากาศโดยรอบไปพลางๆ
“เธอบอกว่าเขาหันกลับมานิยมการนัดบอดกันอีกแล้วหรือ”
“ก็ไม่เชิง
คือเขาก็เคยแช็ตคุยกันผ่านแช็ตรูมในเว็บนั่นละ”
“แต่ยังไม่เคยเห็นหน้าค่าตากัน...”
อินทุอรรู้สึกเหมือนเป็นคนตกยุค
เพียงแค่เวลาไม่กี่เดือน ที่ห่างหายจากการหย่อนใจยามราตรี
“ไม่รู้นะ พักหลังที่มาเจอกันก็หน้าตาดีๆ ทั้งนั้น ไม่เหมือนปีที่แล้ว
จะหน้าจริงหน้าปลอม มันก็คนเป็นตัวๆ ทั้งนั้น ดีมั่งเลวมั่งก็ดูๆ กันไป
ตามสไตล์ของการนัดแนะแบบนี้นั่นละ”
“เหมือนอย่างหวานใจคนใหม่ของเธอน่ะหรือ”
“วุ้ย!...
คุณภาคเขาจริงทั้งแท่งค่ะ สูงยาวเข่าดี ขาวคม คิ้วเข้ม ตาโต ขนตาหนาเป็นแพ
จมูกโด่ง ปากสวยน่าจูบเป็นที่สุด”
ระหว่างบรรยายสรรพคุณ
แววตาของลลิตาพราวขึ้น คล้ายสาวน้อยผู้ตกอยู่ในห้วงรักเป็นครั้งแรก
จนอินทุอรอดไม่ที่จะหยอกด้วยการแหนบเข้าที่ต้นแขนเพื่อนเบาๆ
“แสดงว่าเธอเอาจริง”
“ฉันน่ะเอาจริงมาตั้งแต่แรกแล้วละอิน
แต่เขาน่ะสิ ไม่คิดจะเอาฉันจริงๆ ซะที”
“ก็ไหนว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษ”
“สุภาพบุรุษก็สุภาพบุรุษนั่นละ
แต่ก็อยากเห็นอยู่ดี ว่าสุภาพบุรุษ ในสภาพผ้าหลุด มันจะน่าจุดจุดจุด สักแค่ไหน”
แล้วสองสาวก็หัวเราะกันคิกคัก
คนฟังจับได้ไล่ทันว่า ความคิดของคนพูดสัปดนนั่น อลหม่านขนาดไหน
เป็นอันว่า
ทั้งคู่สามารถละวางความทุกข์ร้อนต่างๆ ไว้ได้ชั่วคราว
เพื่อการเข้าไปผจญภัยในการรับนัด ที่ต่างคนต่างก็ลาร้าง ห่างสนามกันมาเนิ่นนาน
พนักงานคนคุ้นเคย ที่ลลิตากระซิบว่า เหลืออยู่คนเดียว
นอกนั้นได้ลาออกยกชุดกันไปแล้ว เข้ามาพาสองสาวแหวกหลีก ลัดแซงพวกที่ยังเบียดเสียดอยู่ที่หน้าประตูเข้าไป
อินทุอรหันมายกคิ้วให้เพื่อน
ล้อๆ ว่าเส้นใหญ่เหมือนกันนะเรา ขณะที่ลลิตาก็ยกไหล่ตอบ ว่าแค่นี้น่ะ เรื่องขี้ผง
ระหว่างที่คนเดินนำหน้า
พยายามเดินอย่างระมัดระวัง ไม่ให้มือไม้ที่ป่ายปะของพวกที่ยืนอยู่เต็มทางเดิน
มาแกล้งกระทบถูกเนื้อตัว คนเดินตามซึ่งสัญญากับใครบางคนไว้ว่าจะไม่มาที่ร้านนี้อีก
ก็รู้สึกระแวงระวังขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ว่า ถ้ามาเจอะกับเขาที่นี่ แล้วจะทำยังไง
แล้วอยู่ๆ
ลลิตาก็หยุดกึก นิ่งอั้น กว่าอินทุอรจะรู้ตัวว่าเพื่อนไม่ได้เดินตามมา เธอก็เดินเลยไปสองสามโต๊ะนั่นแล้ว
พอหันไปเห็นเพื่อนชะเง้อชะแง้
แล้วทำท่าเหมือนจะต้องกลับออกไปรับโทรศัพท์
เธอจึงจำต้องเดินตามพนักงานเสิร์ฟเข้ามาก่อน
หันกลับไปอีกที
เพื่อนสนิทก็กำลังจะพ้นประตูใหญ่โน่นออกไปแล้ว
ภาควัตหัวเสียที่การันย์ไม่มาตามนัด
เขาเพิ่งตัดสายของเพื่อนไป หลังจากที่มันโทร. มาบอกว่าติดพันยืดยาว กับการกินข้าว
แล้วจะต้องพาแฟนสาวไปดูหนังกันต่อในรอบดึก
ตอนที่เขารับสายลลิตาครั้งแรก
จึงบอกเพียงสั้นๆ แล้วกดตัดสาย
“ผมนัดเพื่อนไว้
มันยังไม่มา”
จนหล่อนโทร.
เข้ามาอีกครั้งนั่นละ เลยต้องปรับน้ำเสียงให้นุ่มนวลขึ้น
“ครับ
ไม่แน่ใจครับ ผมเพิ่งเคยมา แถวๆ ถนนหลังสวน”
คำตอบของปลายสาย
คงทำให้ขัดใจ เพราะคนรับสายถึงกับหน้านิ่วหนักขึ้น
“ไม่หรอกครับ
ไม่ใช่สุดทางรัก ไม่ใช่แน่ๆ”
ภาควัตรู้สึกอึดอัดขึ้นมาอย่างบอกไม่ถูก
แต่เหตุที่ต้องกดตัดสายในครั้งนี้ เพราะเหลือบไปเห็น คนที่ไม่อยากเชื่อสายตา
ว่าจะได้พบ
เธอกำลังเดินตามพนักงานเสิร์ฟคนนั้นเข้าไปด้านหลังบาร์น้ำ
ตรงไปทางระเบียงรักแรกพบ ภาควัตต้องเพ่งพิจารณา ทั้งเสื้อผ้าทั้งทรงผม
ไม่น่าจะใช่เธอคนนั้น
แล้วก็ต้องกลับมากวาดสายตาไปทั่วบริเวณอีกครั้ง
เพราะถ้าเป็นเธอ นั่นหมายความว่าเพื่อนสนิทของเธอ ลลิตาหรือก็คือคนที่เขาเพิ่งตัดสายไปเมื่อครู่
ก็น่าจะต้องมาด้วยกัน
อีกเป็นครู่ ยังไม่เห็นลลิตา
ภาควัตจึงหันความสนใจไปที่หญิงสาวคนคุ้นตาอีกครั้ง
...เธอบินเดี่ยว...
เขานึกคำนวณในใจ
...ไม่น่าจะใช่... แต่ก็คล้ายกันเหลือเกิน...
ภาควัตไม่ต้องทบทวนความทรงจำเลยสักนิดว่า
วันนั้นหญิงสาวผู้บริสุทธิ์ผุดผ่อง ผู้มีผิวขาวลออ สะอาดสะอ้านไปทั้งตัวนั้น
แต่งตัว แต่งหน้าทำผมอย่างไร
เรือนผมที่รวบเป็นเกลียวไว้ด้วยวงลูกปัดหินสีทึมๆ
กับดวงหน้ากระจ่างแทบปราศจากเครื่องสำอาง กับเสื้อปกทหารเรือคอลึกตัวหลวมสีกรมท่า
ที่ตัดเย็บจากผ้าพลิ้วๆ บางๆ ที่ซ้อนกันเป็นชั้นๆ
กับกระโปรงผ้ากำมะหยี่คลุมเข่าสีเดียวกัน ที่ช่วยเผยผิวผ่อง
ให้ยิ่งชวนพิศในความบริสุทธิ์สดใสครั้งนั้น...
“ไม่น่าใช่”
เขาพึมพำกับตัวเอง
เมื่อยิ่งเพ่งเล็งให้แน่ใจ
จากมุมนี้
แทบเป็นไปไม่ได้ที่คนจากระเบียงรักแรกพบ จะมองเข้ามาเห็นว่า คนที่นั่งอยู่ตรงนี้เป็นใคร
ตรงกันข้าม
จากมุมมองตรงนี้ ที่แสงสลัวรางตรงนั้น กระจ่างตาจนเห็นได้แทบทุกรายละเอียด
ผู้ชายสองคน คงจะเป็นเพื่อนกัน เริ่มคุยกับเธอ เธอยิ้มๆ แล้วก็รับโทรศัพท์
หน้าเสียไปเล็กน้อย เก็บโทรศัพท์เข้ากระเป๋า
แล้วก็เหลียวซ้ายแลขวาด้วยสีหน้าวิตกกังวล
ผู้หญิงคนที่ภาควัตกำลังเขม้นมองอยู่นี้
สวยจับตา แต่เขาก็ประเมินได้ว่าเป็นเพราะการแต่งหน้าแบบครบเครื่องนั่นเอง
แม้จะปล่อยผมให้เคลียแก้ม
และระปิดลงมาบนลายเลื่อมระยับ อันปักกระจายไว้บนผ้าโปร่งเหนือเรือนอก เมื่อมองไกลๆ
จึงคล้ายมีแสงดาวกระจายพรายอยู่เหนือเนินเนื้อ
ริมฝีปากสีสด
รอบขอบตาสีเข้ม ขนตาหนาและยาว ตามสมัยนิยมอย่างชนิดชิดติดกระแส
ทำให้ภาควัตนึกเสียดายผิวเนื้อ ภายใต้รองพื้นเครื่องสำอางนั่นอย่างช่วยไม่ได้
แล้วเธอก็ยืนขึ้น
คราวนี้เขาได้พิจารณาทั้งเรือนกายได้แจ่มชัด ชุดนั้นเป็นชิ้นเดียว จากคอจีนลงมา
สุดชายกระโปรงที่รัดรึงซึ่งเหนือเข่าขึ้นไปเป็นคืบ
“ไม่ใช่แน่ๆ”
ภาควัตบอกตัวเอง
ทั้งที่อีกใจหนึ่งค่อนข้างแน่ใจ
ร่วมปีที่เขาห่างหาย
นานพอไหมที่ผู้หญิงสักคนจะเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้
จากที่คงเป็นนัดบอดครั้งแรก จนถึงครั้งนี้
เป็นไปได้ไหมที่เธอจะกลายเป็นคนละคน
กลายเป็นคนที่กร้านแสงดาวแสงเดือน
กลายเป็นคนที่เคี่ยวกรำอยู่กับแสงนีออนในยามราตรี
โชกโชนเสียจนต้องพอกพูนสิ่งต่างๆ
ไว้ให้เห็นอยู่ดังนี้
ภาควัตต้องประมวลประสบการณ์ทั้งหมด
เพื่อพิจารณาให้แน่ชัด เป็นไปได้หรือไม่ในสิ่งที่ใจคิด ขณะจับจ้องเธอไม่วางตา
ตอนนี้
สองหนุ่มนั่นลุกขึ้นตาม เมื่อเธอเดินกลับเข้ามา หนึ่งในชายสองคนนั้นพยายามรั้งไว้
แต่เธอสะบัด ดูเหมือนจะไม่พอใจเอามากๆ
ก็ไอ้สองคนนั่น
มันหน้าตาหื่นกระหายซะขนาดนั้น...
พนักงานเสิร์ฟคนเดิม คงคอยสังเกตการณ์อยู่แล้ว
เมื่อเกิดความไม่ชอบมาพากล จึงตรงรี่เข้าไป ทำให้เธอถูกบังจากสายตา จนเขาต้องเลื่อนไปข้างๆ
เพื่อให้เห็นได้ถนัด
ชายสองคนนั้นไม่พอใจอะไรสักอย่าง
คงเรื่องที่เธอทำท่าจะกลับกระมัง แต่พนักงานเสิร์ฟก็คงต่อรอง
อย่างน้อยก็น่าจะไม่อยากเสียประวัติ
เรื่องการนัดกันที่ร้านนี้แล้วลูกค้าคว้าได้แต่อากาศเปล่าๆ กลับไปกอดนอน
หญิงสาวคงไม่ตกลงด้วย
เธอเบี่ยงตัวหลบพนักงานเสิร์ฟแล้วเดินตรงออกมา
ภาควัตขยับเข้าใกล้ทางเดินอย่างลืมตัว
ทั้งที่ผู้คนเบียดเสียด แต่เธอกลับกระจ่างอยู่กลางหมู่พวกนั้น
สีหน้าไม่ได้ยิ้มแย้ม
แต่ยังจับตาและจับใจได้เหมือน... เหมือนที่เคย
ภาควัตใจเต้นระรัว ไม่อยากเชื่อสายตาตนเอง ผู้หญิงคนหนึ่งจะเป็นไปได้ถึงเพียงนี้
นึกโกรธตัวเองว่าช่างโง่งม
หลงปักใจเชื่อว่า
เธอนั้นไร้เดียงสา อ่อนต่อโลก อ่อนต่อความเย้ายวนของรัตติกาล
สำหรับคืนนั้นน่ะใช่
แต่ในคืนนี้...
ไม่!
เธอไม่ใช่คนเดิมอีกแล้ว
ไม่ใช่หญิงสาวไร้จริต
ที่ผ่องผิวผุดผาด
ไม่ใช่หญิงสาวที่ถูกล่อหลอกให้เมามาย
แล้วพากันไปได้ง่ายๆ เหมือนคืนนั้น
เธอคนนี้ดูกล้าในกิริยาท่าทาง
และดูกร้านในการแต่งเนื้อแต่งตัว
เวลาร่วมหนึ่งปีคงหล่อหลอมให้เธอเป็นดั่งนั้น
เป็นผู้หญิงที่ริเที่ยวแล้วก็ติดใจ ไม่รู้ป่านนี้ จะได้ลงเอยกับใครๆ
ไปบ้างแล้วกี่สิบกี่ร้อยคน
แต่...
ในจังหวะที่เฉียดผ่านกันนั่นเอง...
ที่ภาควัตรู้แน่แก่ใจ...
แววตาหม่นหมองของเธอ
ที่กำลังสบสายตากับเขาอยู่นี้
กำลังตัดพ้อแทนคำพูดเป็นร้อยเป็นพันคำ
และ...
กำลังตั้งคำถามอีกเป็นหมื่นเป็นแสนครั้งในชั่ววินาที...
มันเป็นคำถามเดียวที่ดังอึงอลอยู่ในทุกซอกส่วนของความรู้สึก
มันคือคำถามเดียว…
คำถามที่ว่า...
“เกิดอะไรขึ้นบ้าง...
ระหว่างเรา...”
******************
ความคิดเห็น