ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ร่างนางรำ

    ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ 4 กระดาษหนังมนุษย์

    • อัปเดตล่าสุด 10 ม.ค. 58


    บทที่ ๔
    กระดาษหนังมนุษย์
     
     
    หลังจากญาติผู้พี่ของศศิประภารับรองเป็นมั่นเหมาะ รวมทั้งเอาตำแหน่งในกระทรวงเป็นประกันกับสัตยาว่า เรื่องการจัดตกแต่งบ้านนั้น อย่าว่าแต่แค่ทุบบ่อแล้วก่อใหม่ ต่อให้รื้อบ้านทั้งหลัง แล้วเลือกปลูกให้ทันสมัยกว่านี้ จะสามชั้นสี่ชั้น ก็ยื่นเรื่องใช้งบประมาณแผ่นดินได้เต็มที่
     
    แล้วผู้มาเยือนจึงค่อยเลียบเคียง พูดจาถึงจุดประสงค์แท้จริงของตนเอง
     
    “เมื่อวันเกิดคุณน้า ผมยังจำได้ติดตา ว่าคุณมีฝีมือขนาดไหน คือไม่ใช่แค่เก่ง ยังมีปฏิภาณเป็นเลิศ”
     
    “พี่ปราโมทย์ก็ชมเกินไป กระผมก็แค่หวังจะให้ออกมาดีที่สุด”
     
    “ภาพพลุไฟนั่น อย่าว่าแต่กลางคืนที่เปิดไฟฟ้า แล้วแสงดาวจะกะพริบพร่างพราว ขนาดตอนกลางวันแท้ๆ ยังระยิบระยับจับตา”
     
    “ก็วิธีการพื้นๆ หรอกขอรับ”
     
    “คุณอย่าถ่อมตัวไปหน่อยเลย ใครๆ ก็รู้ว่าคุณจบทางนี้มาจากยุโรป ฝรั่งเศสใช่ไหม หรืออิตาลีนะ”
     
    “ผมไปตกยากที่นั่นต่างหากขอรับ ตามเสด็จท่านไป ตั้งแต่จำความไม่ค่อยได้ จนมาเปลี่ยนแปลงการปกครอง.. ก็ตระเวนไปหลายเมือง”
     
    “เอาละ เรื่องเก่าๆ เราอย่าพูดให้มากความไปเลย สรุปว่าฝีมือตอนนี้ของคุณ เป็นหนึ่งไม่มีสอง”
     
    ใจจริงสัตยาไม่ได้ชื่นชอบคำยกยอปอปั้นเท่าไรนัก แต่เมื่อได้รับซ้ำๆ และสุดจะห้ามปราม จึงได้แต่อมยิ้มเฉยเสีย ไม่คิดโต้แย้งอีกต่อไป
     
    “ทราบมาว่าคุณมีฝีมือทางวาดภาพเหมือน มากกว่าทางอื่นๆ”
     
    “อาศัยอยู่ในโบสถ์ทางโน้นหลายปี เลยได้ฝึกบ่อยๆ ขอรับ”
     
    “ฝีมือที่ฝากไว้ในอุโบสถที่พระตะบอง นั้นถึงกับลือกันทีเดียว ตอนนี้ที่นั่นเป็นที่ท่องเที่ยวไปแล้ว”
     
    “ผมก็เลือนๆ ไปแล้ว ไปช่วยวาดไว้สองสามแห่ง”
     
    สัตยาต้องแบ่งรับแบ่งสู้ นี้แสดงว่าคนที่อยู่ตรงหน้า ต้องไประแคะระคายเกี่ยวกับชีวิตบางอย่างของเขามาด้วยแน่ๆ
     
    “ก็ทั้งนั้นละ ที่ผมไปติดต่อเรื่องสัมปทานเกาะให้ทางโน้น เขายังพาไปชมฝีมือคุณ”
     
    “ถือเป็นการทำบุญ กับได้ทดลองฝีมือตัวเองขอรับ เพราะอาศัยท่านอยู่มาก ตอนกลับมาแรกๆ”
     
    “อย่างเขาว่านั่นละ คนรู้จักมุมานะบากบั่นพากเพียร ไม่มีวันอับจน ตอนนี้คุณก็สบายแล้ว ได้เทียบที่เจ้ากรม...”
     
    “ก็ไม่เชิงขอรับ คือ ตอนนี้ท่านผู้นำดำริให้ผมลองรวบรวมประวัติกรุงเทพ ท่านอยากให้ตรวจทานให้แน่เกี่ยวกับพระราชวงศ์ ท่านเทิดทูนมาก อยากสนองคุณ”
     
    “ก็สั่งพวกข้างล่างๆ มันจัดการกันไปซี เพราะเทียบตำแหน่งนี้ อยู่แต่เรือนยังได้”
     
    ด้วยเพราะความไม่ค่อยสบายใจ ผุดขึ้นมาตั้งแต่การเท้าความถึงบ้านเก่า สัตยาจึงไม่อยากจะสานต่อบทสนทนาอะไรให้ยืดเยื้อ เมื่อผู้มาเยือนยังมัวแต่ขี่ม้าเลียบค่าย ในที่สุดจึงจำเป็นต้องถาม
     
    “หรือว่าพี่ปราโมทย์มีอะไรให้กระผมรับใช้”
     
    นั่นทำให้ชายหนุ่มตรงหน้า ดวงตาเป็นประกาย อมยิ้มและมีท่าทางเขินๆ อยู่ไม่น้อย
     
    “ก็ไม่เชิงหรอก ถ้าคุณยุ่งๆ ผมก็ไม่อยากรบกวน”
     
    “ในเวลาราชการ ผมก็ทำไปตามปกติ ไม่ได้ทุ่มเทมากมายกระไรหรอก”
     
    ประโยคท้าย เพราะเกรงที่พูดไปก่อนหน้าจะกระทบใจคนฟัง
     
    “คืออย่างนี้ ที่บอกว่าไปติดต่อธุระที่พนมเปญ...”
     
    สัตยาใจหายวาบ เมืองหลวงนั้น คือที่เขากลับมาอาศัยอยู่ ก่อนจะได้มาถึงมาตุภูมิ ได้กลับมาเพราะอาศัยบารมีของประเทศผู้ชนะในสงครามโลก บวกกับได้สัญชาติฝรั่งเศสและมีเชื้อชาติไทย รวมทั้งฝีมือและนัยน์ตาเรื่องศิลปะ จึงได้จับพลัดจับผลูเข้ามาถึงกัมพูชาในฐานะผู้ชำนาญการทางศิลปะอุษาคเนย์ ตั้งแต่ก่อนยุทธภูมิฟากมหาเอเชียบูรพานี้จะปะทุ
     
    เขาพยายามเก็บอาการ รอฟังว่าผู้มาเยือนจะพูดกระไร
     
    “ได้ของวิเศษมาอย่างหนึ่ง”
     
    ตอนนี้เห็นชัดว่า ปราโมทย์ตื่นเต้นถึงขนาดไหน
     
    “ของวิเศษ...”
     
    คนฟังต้องทวนคำ เพราะนึกไปในทางอิทธิปาฏิหาริย์
     
    “ไม่ใช่จำพวกไว้เหาะเหินเดินอากาศหรอกน่า... กระดาษน่ะ”
     
    “กระดาษ...”
     
    “ใช่...กระดาษดีชนิดวิเศษเลยทีเดียว”
     
    “ถ้าเรื่องกระดาษ กระผมก็พอจะมีความชำนาญอยู่บ้าง”
     
    “นี้อาจเรียกว่าเป็นกระดาษสำหรับวาดภาพที่ดีที่สุด”
     
    “จากทางกัมพูชา...”
     
    สัตยาทิ้งคำไว้แค่นั้น เพราะค่อนข้างมั่นใจ กระดาษคุณภาพเยี่ยม ที่ว่าถึงขั้นวิเศษ ไม่น่าจะได้มาจากทางเขมร
     
    “พูดไปคุณก็จะไม่เชื่อ มาลองดูกันก่อนเป็นไร”
     
    ปราโมทย์ลุกไปเปิดกล่องยาวๆ แล้วคลี่ม้วนกระดาษแผ่ไว้บนโต๊ะ
     
    ไม่ใช่กระดาษแผ่นใหญ่ แต่แค่พิศด้วยตา ก็เห็นแล้วว่าเนื้อนั้นนุ่มนวลเนียนเพียงใด
     
    “เนื้อดีมาก ไม่มีราคี เหมาะสำหรับวาดภาพ”
     
    สัตยาถึงขนาดเผลอวิจารณ์ออกมา
     
    “ผมเสียอัฐไปไม่ใช่น้อย จึงไม่อยากให้เสียเปล่า”
     
    “วาดภาพเหมือนบุคคลสิขอรับ เนื้อกระดาษอย่างนี้ แค่เห็นเนื้อเปล่าๆ ยังดูได้ไม่รู้เบื่อ ถ้ามีรูปใครสวยๆ จะยิ่งชวนมอง”
     
    “แค่นั้นก็ไม่ใช่ของวิเศษน่ะซีเล่า คุณลองสัมผัสเนื้อดูก่อน”
     
    ความมีลับลมคมใน เร้าความสนใจของสัตยาได้มาก
     
    และพอแตะ ก็ถึงกับนิ่งงันไป
     
    “เห็นไหมเล่า...”
     
    ฟังไม่รู้หรอกว่าปราโมทย์พูดอะไรหลังจากนั้น
     
    “...อยากให้คุณวาดผู้หญิงให้สักคน”
     
    “พี่ปราโมทย์ว่ากระไรนะขอรับ”
     
    ถึงตอนนี้ สัตยาต้องเงยหน้าขึ้นถามด้วยความไม่แน่ใจ
     
    อีกฝ่ายจึงค่อยอ้อมแอ้มตอบ
     
    “คุณก็ได้เห็น ได้สัมผัสดูแล้ว ลองคิดดูซี ผิวนั่นนุ่มเนียนยิ่งกว่าผู้หญิงคนไหนด้วยซ้ำ ถ้ามีนู้ดงามๆ คงทั้งน่าชมน่าสัมผัส จริงไหมเล่า”
     
    “คนระดับคุณพี่ หาผู้หญิงจริงๆ สักเท่าไรก็ได้”
     
    “เรื่องนั้นก็จริง แต่มันไม่เหมือนกัน...”
     
    “อย่างไรขอรับ”
     
    “ที่อยากให้วาดรูปนู้ดผู้หญิงสวยๆ น่ะ ก็เพราะมันจะได้เข้ากับเนื้อกระดาษ”
     
    “ใช่ขอรับ เนื้อดีขนาดนี้ หากลงเส้นลงสีผิดพลาดไป จะเสียของเปล่า”
     
    “ผมจึงต้องอาศัยคุณไงเล่า นะคุณสัตยา ช่วยผมหน่อย ช่วยวาดนู้ดงามๆ ให้ผมสักรูป ผมเชื่อมือ จึงกล้ามอบของวิเศษนี้ไว้กับคุณ”
     
    คำก็วิเศษ สองคำก็วิเศษ ทั้งที่หลังจากพิจารณาด้วยตาและสัมผัสด้วยมือแล้ว ก็แค่รู้สึกว่าเป็นกระดาษชั้นเลิศเท่านั้น
     
    ทว่าสัตยาจะไม่รับปากช่วยเหลือก็ไม่ได้ เพราะคนตรงหน้าเป็นทั้งญาติผู้พี่ของภรรยา สนิทสนมและกำลังขึ้นหม้อในหน้าที่การงาน ท่านผู้นำเรียกใช้ไม่ได้ขาด หากไปทำให้ผิดใจ หนทางที่กำลังโชติช่วงสดใสของตน ก็อาจจะต้องเสี่ยงภัยกับความหม่นหมอง
     
    “กระผม... ยังไม่รับปากว่าจะเสร็จเมื่อไร”
     
    “เรื่องเวลา แค่ไม่ช้าเกินไปก็พอ ผมไม่เร่งคุณหรอก แค่อยากได้สิ่งที่ดีที่สุด สมกับความวิเศษของกระดาษแผ่นนี้”
     
    “ได้ยินพี่ปราโมทย์พูดเรื่องเป็นของวิเศษหลายครั้ง กระผมยังไม่กระจ่างใจ ที่ว่าวิเศษนัก เป็นอย่างไรกันแน่...”
     
    และแม้หลังจากได้ยินคำตอบ สัตยาจะอยากคืนมันกลับให้เจ้าของ ก็สุดวิสัยเพราะเหมือนรับปากไปเสียแล้วว่าจะช่วย
     
    “คือกระดาษแผ่นนี้น่ะนะ...
     
    ...มันเป็น... กระดาษหนังคน...”
     
    สิ่งที่ปราโมทย์ทิ้งเอาไว้ นอกจากกระดาษวาดภาพที่เขาบอกว่าเป็น ‘กระดาษหนังมนุษย์’ ก็คือความหนักใจเต็มที่ของสัตยา
     
    จากประสบการณ์ที่สั่งสม เขายังไม่เคยรู้มาก่อนว่า การจะฟอกหนังให้ได้เนียนนุ่มราวผืนผ้าไหมนั้น จะต้องใช้กรรมวิธีเช่นไร หรือมีชาติใดในโลก สามารถคิดค้นวิธีการเช่นนั้นได้
     
    อย่าว่าแต่หนังคนเลย ต่อให้หนังกระต่าย แพะ แกะ ก็ยังยากนักที่จะฟอกย้อมให้พร้อมพอสำหรับนำมาใช้วาดรูประบายสี
     
    แต่ก็ไม่รู้จะปฏิเสธได้อย่างไร สัตยารู้อยู่ว่าตัวคนเดียว ส่วนทางภรรยาเป็นครอบครัวใหญ่มีอิทธิพล ตนเป็นเพียงแค่เขย
     
    ที่ก้าวหน้าและเป็นที่นับถืออยู่อย่างตอนนี้ นอกจากฝีมือทางช่างเขียน ช่างค้นคว้า ก็เพราะการโอนอ่อนผ่อนตาม จำเป็นที่จะต้องรู้จักยักคิ้วหลิ่วตาไปตามสถานการณ์
     
    ครั้นจะบอกว่า ปราโมทย์คงถูกใครเขาหลอกเอาเสียแล้ว ก็จะเป็นการทำร้ายน้ำใจกันเปล่าๆ ทางที่ดีคืออย่างที่ทำ
     
    คือรับไว้ก่อน โดยไม่รับปากว่า จะวาดรูปสาวงามให้สำเร็จได้เมื่อไหร่
     
    ที่น่าแปลกก็คือ ตัวสัตยาเองก็กลับหลงเสน่ห์ความนวลเนียนของกระดาษแผ่นนี้ ยิ่งพิศยิ่งสัมผัส ก็ยิ่งรู้สึกอยากให้ปรากฏ เป็นภาพสตรีสักคนขึ้นโดยเร็วที่สุด
     
    ความรู้สึกนั้นราวกับต้องมนต์ ทำให้นึกย้อนไปถึงบรรดาสาวสวยหรือหญิงงามที่ตนเคยพานพบมาทั้งชีวิตว่า ใครกัน... คือเจ้าของผิวพรรณผุดผ่องตึงเนียน ไร้ไฝฝ้าราคี ดังเช่นเนียนเนื้อของกระดาษซึ่งคลี่ผืนอยู่ตรงหน้านี้
     
    จนกระทั่งพลบค่ำ หลังรับประทานอาหารเรียบร้อย เมื่อกลับมายังห้องทำงาน ก็ตัดสินใจว่า
     
    “ก็วาดให้เสร็จๆ ไป จะได้หมดภาระ”
     
    บอกตนเองเช่นนั้น ตอนคิดจะเรียกให้เตรียมเรือ นำกระดาษแผ่นสำคัญไปซุ่มเขียนรูปที่เรือนจันทร์ วาดด้วยสีน้ำ ให้สีเบาๆ กระจ่างๆ คืนเดียวก็น่าจะเสร็จ จะได้เอาเวลาไปคิดทำอย่างอื่น
     
    ทว่าไม่ทันจะเอ่ยเรียกบ่าว ก็มีเสียงร้องของศศิประภาดังขึ้นก่อน
     
    สัตยารีบมาตามเสียง เห็นภรรยายืนกุมใบหน้าอยู่ก็ตกใจ
     
    “เป็นอะไรไปคุณศิ”
     
    “คุณตั้วค่ะ มันตื่น หลุดกรงไปแล้ว”
     
    กรงของนกที่ศศิประภาแสนรัก บัดนี้ว่างเปล่า ประตูกรงเปิดอ้า ผ้าห่มกรงตกกองอยู่กับพื้น หล่อนคงจะเล่นทักทายกับมันเหมือนเคยนั่นละ
     
    สายตาของสัตยากวาดทั่ว คุณตั้วไม่ใช่นกขี้ตื่น ถ้ามันจะตกใจนัก ถึงขนาดเตลิดหนี ก็น่าจะเป็นงู...
     
    แต่ทั้งบริเวณก็ไม่มีวี่แววให้เห็น นอกจากเจ้านกแสนรัก ที่ไปเกาะราวระเบียงอยู่ที่ด้านไกล
     
    สัตยาหันมาทางภรรยา เห็นยังกุมใบหน้าอยู่ก็ต้องถามซ้ำ
     
    “คุณศิเป็นอย่างไร”
     
    “มันตะกายเอาน่ะค่ะ”
     
    หล่อนค่อยเผยแก้มข้างหนึ่งให้สามีดู
     
    “เป็นรอยข่วนนิดหน่อย พี่ว่าไปล้างน้ำสบู่เสียก่อน”
     
    “คุณตั้วเป็นอะไรไปคะ มันไม่เคยเป็นอย่างนี้”
     
    “จะไปอะไรกับสัตว์หน้าขน มันจะไปรู้ประสีประสาอะไรเล่า”
     
    “ย้ายกลับไปบ้านคุณแม่ดีไหมคะ”
     
    อยู่ๆ ศศิประภาก็โยงไปเรื่องนั้น
     
    “พูดเป็นเล่นไปได้ แค่นกข่วนเอาแค่นี้”
     
    “คุณพี่คะ ตั้งแต่ย้ายมาที่นี่ ศิยังไม่เคยอยู่อย่างปกติสุขเลยสักวัน”
     
    สัตยาขี้เกียจจะเถียงด้วย จูงมือหล่อนกลับเข้ามารอในห้องนอน ตนเองไปเตรียมผ้านุ่มชุบน้ำสบู่ มาเช็ดทำความสะอาดรอยแผล
     
    ศศิประภาเอียงแก้มให้สามีเอาใจ แต่พอเสร็จสรรพก็เริ่มอีก
     
    “นะคะ ย้ายกลับเถอะค่ะ คุณแม่ก็เห็นด้วย ท่านยังบอก อยู่กันไกลนัก ท่านคิดถึง เป็นห่วง”
     
    “จะไกลสักแค่ไหนกันเชียว ล่องเรือลงมาไม่ถึงชั่วนาฬิกา”
     
    “แต่อยู่ด้วยกันก็จะได้อาศัยไหว้วานกันได้”
     
    “พอเถอะคุณศิ”
     
    สัตยาต้องทำเสียงเข้มๆ ไม่พอใจ
     
    “นี้เป็นบ้านหลวง ใครจะได้รับง่ายๆ มันเป็นเครื่องหมายเชิดหน้าชูตา ถ้าเราคืน ท่านผู้นำจะว่ายังไร ดีไม่ดีจะพาลปลดตำแหน่งเอาได้ง่ายๆ”
     
    “ก็...”
     
    “เราจะไม่พูดเรื่องนี้กันอีก ตกลงไหม”
     
    “แต่... เรื่องเดือน”
     
    “นครบาลท่านก็สรุปสำนวนไปแล้ว แค่อุบัติเหตุ”
     
    สัตยาพยายามทำความเข้าใจ เพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ แล้วก็มีคนตาย ผู้เป็นภรรยาย่อมใจคอไม่ดี
     
    “ถ้า น้องบอกว่าเป็นเพราะน้อง”
     
    “จะเป็นไปได้อย่างไร คุณศิก็นอนอยู่ข้างๆ พี่”
     
    “ศิหมายถึงสาเหตุ เหตุที่ทำให้ต้องเกิดเรื่อง เดือนมันหน้าตาดี แถมยังเฉลียวฉลาด มีหรือที่น้องดูไม่ออก ว่ามันคิดอย่างไรกับคุณพี่ น้องก็อยากตัดไฟแต่ต้นลม...”
     
    ระหว่างพูดไป ก็พยายามสังเกตปฏิกิริยาของผู้เป็นสามี เห็นเขายังนิ่งฟัง ก็ค่อยๆ ระบายออกมา
     
    “ติดที่ว่า เดือนก็ไม่เคยทำอะไรขาดตกบกพร่อง เรื่องต่างหูนั่น ที่จริงเป็นแผนการของน้องเองทั้งหมด เดือนไม่ได้ทำอะไรผิดเลยสักนิด...”
     
    ที่พูดออกไป ศศิประภาก็หวังเพียงให้ตนเอง ได้ระบายความอัดอั้นตันใจออกไปเสียบ้าง สัตยาจะโกรธจะเกลียดอย่างไร อย่างน้อยเขาก็ได้รู้ความจริง
     
    “คุณพี่ไม่โกรธศิหรือคะ จะดุจะว่าอย่างไร ศิก็จะยอมรับ”
     
    เห็นสามียังเฉยอยู่ หล่อนก็ต้องพูดไปดังนั้น
     
    “สรุปว่ามันไม่เกี่ยวกับเรื่องบ้านใหม่ของเราใช่ไหม”
     
    สัตยาเบนเรื่องไปอีกทาง
     
    “เดือนตายในบ้าน... เพราะศินะคะ”
     
    “ก็เพราะคุณศิรักพี่”
     
    คำนี้ทำให้คนฟัง เดาคำพูดต่อไปไม่ถูก
     
    “เพราะคุณศิรักพี่ถึงได้ทำลงไป แล้วพี่จะไปโกรธเคืองกระไรได้”
     
    เขาขยับเข้ามากอดหล่อน กระชับวงแขนให้รู้ว่า ยังรักไม่เสื่อมคลาย
     
    “น้องทำผิด”
     
    “เพราะความรัก ใครๆ ก็ย่อมพลาดพลั้งกันได้ แค่น้องรู้สึกสำนึกในความพลาดพลั้งนั้น พี่ก็ยิ่งดีใจ ที่เลือกคนไม่ผิด คู่ชีวิตของพี่ต้องกล้าหาญที่จะรับผิดชอบ”
     
    “แต่มันก็สายเกินไป เราต้องมาเสียคนดีๆ ไปคนหนึ่ง”
     
    “เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว เราย้อนเวลากลับไปไม่ได้หรอก”
     
    “น้องไม่สบายใจเลย”
     
    “ทำใจให้สบายเถอะคุณศิ เรามีกันอยู่สองคนแค่นี้ พี่อยากให้มั่นใจ พี่น่ะ ไม่มองใครอีกแล้ว นอกจากคุณศิ”
     
    ศศิประภาปลื้มใจนัก ที่สามีแสดงท่าทีเข้าอกเข้าใจ ความจงรักและภักดีของหล่อน ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกว่าคุ้มค่า กับการยอมขัดใจพ่อแม่ ยืนยันเป็นคำขาด ว่าเป็นตายก็จะต้องร่วมหอกับนายสัตยาผู้นี้ให้จงได้
     
    “ทั้งชีวิตของพี่ สาบานให้ตายดับ ถ้าพี่ผิดใจหรือคิดรวนเรนอกใจ ขอให้ไม่ตายดี”
     
    ตลอดคืน สัตยาไม่อาจหลับสนิทได้เลย ทั้งถ้อยคำทั้งวิธีคิดของภรรยา และทั้งจากคำสาบานของตนเอง รวมทั้งรสสัมผัสจากเนียนเนื้อกระดาษนั่น
     
    อย่างหลังนั้น เร้าความรู้สึกของเขาได้จนน่ากลัว ที่จริง เนื้อขาวนวลผุดผ่องเช่นนี้ใช่ว่าไม่เคยพบ แต่นั่น... มันคือความรู้สึกที่ไม่อาจมีใครมาทดแทน ทั้งยังจบลงด้วยโศกนาฏกรรม
     
    รุ่งเช้าเป็นวันหยุด ศศิประภาออกอาการระโหยโรยแรงจนลุกไม่ขึ้น ขณะตัวเขาเองขอตัวมาครุ่นคิด จะวาดภาพอย่างไร ให้สมใจคนปรารถนา
     
    สัตยาลงจากเรือน ตั้งใจจะเดินเล่นอาบแสงเช้า ชมแสงแม่น้ำให้สบายตา ก็เห็นว่าที่ตีนท่าด้านชิดกำแพง พวกสาวๆ กำลังกระโจมอกอาบน้ำ
     
    ภาพนั้นงดงามสดใส แสงสวยแต้มผิวสาว ให้เนียนสว่างกระจ่างตา เรือนผมที่รุ่ยราย เปียกชุ่มเคลียหลังไหล่ ทำให้ภาพและแสงสีทั้งนั้นที่เห็น กระตุ้นบาดาลหัวใจให้พลุ่งพล่าน เพราะภาพนั้นคุ้นเคยนัก กับเรื่องราวความรักของตนเมื่อครั้งกระโน้น
     
    สัตยารีบกลับขึ้นเรือน บอกภรรยาที่เพิ่งลุกขึ้นมารับมื้อเช้าว่า อย่าให้ใครเข้ามารบกวน ตนเองจะปิดห้องเพื่อทำงาน หิวเมื่อไรจะเรียกหา หรือเมื่องานเสร็จแล้วจะออกมาเอง
     
    ศศิประภาที่จิตใจยังไม่เสถียรคงที่ดีนัก พยักรับอย่างว่าง่าย คิดว่าดีเหมือนกัน วันนี้จะได้ไปเยี่ยมหามารดาที่บ้านโน้น เลยบอกขออนุญาตสามีไปตามที่คิด
     
    หลังจากผู้เป็นภรรยาลงเรือนไปแล้ว สัตยาสั่งบ่าวทั้งเรือนไม่ให้ขึ้นมารบกวน ตั้งใจตั้งสมาธิเต็มที่ ค่อยนึกคิดจินตนาการ วาดเติมแต่ง แต้มภาพนางในฝันให้ค่อยปรากฏ
     
    ในมโนภาพนั้นคลับคล้าย ว่าเคยพบเห็นใครคนหนึ่ง ที่สวยงามจับตาจับใจ จนตนถึงกับหลงรักทันทีที่ได้ยล เผลอเพ้อเป็นคำกลอนอ่อนหวาน...
     
     
    ...ดูผิวสินวลละอองอ่อน
    มะลิซ้อนดูดำไปหมดสิ้น 
    สองเนตรงามกว่ามฤคิน
    นางนี้เป็นปิ่นโลกา 
    งามโอษฐ์ดังใบไม้อ่อน
    งามกรดังลายเลขา 
    งามรูปเลอสรรขวัญฟ้า
    งามยิ่งบุปผาเบ่งบาน...*
     
     
    สัตยาค่อยบรรจงแต้มสีไปตามส่วน จากดวงหน้าหวานละมุน วงคิ้วโค้ง ดวงตาฉ่ำชื่นเป็นประกาย เรียวจมูกและรูปปากแย้มยิ้มเอียงอาย แล้วค่อยเกลี่ยเส้นสายเรือนผมให้ทั้งภาพยิ่งงามละลานตา
     
    ผ่านรัตติกาลจนรุ่งแสง ภาพหญิงงามจากมโนในบวกกันจินตนาการ ก็สำเร็จสมเจตนา การเพ่งเล็งให้สวยสมในแต่ละจุดที่ให้สี บัดนี้เพิ่งได้มีโอกาสถอยห่างมาพิจารณา 
     
    จากแต่ละส่วนที่คิดว่าสวยนักหนาจับตาจับใจ เวลานี้เผยออกมาเป็นตัวเป็นตนกระจ่างชัด
     
    กระทั่งคนวาดเอง ก็ไม่คิดไม่ฝัน ว่ารูปที่วาดออกมานั้นจะเป็นนาง...
     
    แต่ไหนๆ ก็วาดออกมาแล้ว จะมีใครรู้จักหล่อนเล่า นอกจากตน
     
    ยิ่งเป็นเรื่องราวที่ผ่านเลย เป็นหญิงสาวจากแดนไกล ที่ลักลอบเข้ามาตามหาคนรัก ใครเล่าจะได้เคยรู้จัก จนกระทั่งแม้เกิดเรื่องนั้นแล้ว เรื่องทั้งหมดก็แค่จางหายไปกับกาลเวลา แม้หัวใจเขาจะยังผูกพันมิรู้คลาย แต่จะให้ทำอย่างไรได้ ในเมื่อชีวิตต้องเดินหน้าต่อไป
     
    หากจะว่ากระดาษนี้มีความพิเศษ สัตยาก็รู้ชัดในตอนนี้
     
    นั่นคือ มันสามารถซับสีได้กลมกลืน ไม่เหลือร่องรอยความเปียกชื้นจากสีน้ำที่ถูกบรรจงระบาย
     
    ยามเมื่อมีรูปของหญิงสาวปรากฏอยู่ ผิวเนียนของกระดาษ ที่ญาติผู้พี่ของภรรยา ยืนยันว่าทำมาจากหนังมนุษย์ สัตยาก็ยิ่งเห็นว่าสมจริง
     
    ลองเกลี่ยแก้ม ก็ราวได้เกลี่ยเล่นกับพวงแก้มของนวลสาว
     
    ลองไล้เล่นตามลำคอ ก็ราวจะรู้สึกได้ถึงไออุ่นของเนื้อสาว ที่กำลังสะเทิ้นอาย
     
    ก่อนจะหลงรูปมากไปกว่านั้น... สัตยารีบม้วนเก็บ ใส่ลิ้นชักซ่อนไว้ ยังไม่อยากให้ใครก็ตามได้รู้เห็น
     
    เหลือบมองนาฬิกาแขวน ก็ประหลาดใจ ไม่คิดว่าตนจะเพลินกับการเขียนภาพได้นานข้ามวันข้ามคืน พอเห็นเวลาก็รู้สึกเมื่อยล้าเป็นกำลัง อยากจะเอนหลังพัก หลับให้สบาย
     
    แต่มีเสียงฝีเท้ากรูขึ้นเรือนมาหลายคน ผ่านหน้าห้องทำงานตนที่ปิดเงียบอยู่ตั้งแต่เมื่อเช้าวาน เลยไปทางห้องนอน ก่อนจะมีเสียงเคาะเรียก
     
    “คุณหนูศิเจ้าขา ช่วยพวกเราด้วยเถิดค่ะ ผีนังเดือนมันเฮี้ยนเหลือเกินแล้ว”
     
    นางหมายรีบรายงานเมื่อศศิประภาเปิดประตูออกมา
     
    “ทำไม เกิดอะไรขึ้นอีก”
     
    “ลงไปดูเองเถอะค่ะ ห้องนังเดือนปิดตายมาหลายวัน ตอนนี้ ข้างในนั่น...”
     
    หญิงชราทำเสียงสยองขวัญ พาให้พวกที่ตามติดหลังมาพลอยยิ่งมีท่าขนพองสยองเกล้าหนักขึ้นไปอีก
     
    สัตยาตามออกมายืนดูอาการ เห็นลนลานเพ้อเจ้อกันไปทั้งบ้าน เลยตวาดเข้าให้
     
    “อะไรกันนักหนา ผีสางที่ไหนกัน นี่ก็ฟ้าแจ้งแยงตาอยู่ทนโท่ มา! ไปดูกันให้เห็นกับตา!”
     
    ว่าแล้วก็คว้ามือหญิงชรา กึ่งลากกึ่งจูงลงมา ตรงหน้าห้องที่ถูกกล่าวหาว่าเฮี้ยนนักหนา
     
    มาถึงสัตยาก็ฉีกยันต์ภาษาจีนที่ปิดไขว้ไว้หน้าประตูจนปลิวเกลื่อน
     
    “จะบ้ากันหรือไง เอายันต์จีนมาแปะ ถ้าเดือนยังอยู่มันจะรู้ภาษางั้นเรอะ!”
     
    “แต่... ของหลวงพ่อซำปอกงวัดกัลยานะเจ้าคะ”
     
    คำบอกของนางหมาย ทำให้สัตยาต้องหันมาทำตาขวาง
     
    แต่เสียงกุกกักจากภายใน กระตุ้นให้ต้องหันกลับ คล้ายมีอะไรตะกายอยู่ในนั้น
     
    คนทั้งหมดก็ได้ยิน ถอยกรูดไปกระจุกกันอยู่ตรงมุมกำแพง
     
    นางหมายก็อยากจะถอย แต่นายผู้ชายรั้งข้อมือเอาไว้แน่น
     
    “เห็นไหมเจ้าคะ เป็นอย่างคำหมายไม่มีผิด”
     
    หญิงชราปากคอสั่น เมื่อสัตยาลากให้ยิ่งใกล้ประตู ก็ถึงกับเข่าทรุด
     
    “เปิดเข้าไปซี ผีบ้าบออะไรจะมาตะกายประตูอยู่แกร็กๆ”
     
    ตอนไขกุญแจสายยูนั้น นางหมายมือไม้สั่นจับผิดจับถูก พอข้างนอกกุกๆ กักๆ ข้างในเหมือนยิ่งตะกายอยากออก
     
    พอเปิดประตูผัวะเข้าไป อะไรอย่างหนึ่งก็พุ่งสวนออกมา
     
    ที่แท้เป็นแมวจร ที่คงหลงเข้าไปทางช่องลม แล้วหาทางออกไม่ได้
     
    ทุกคนที่เห็นดังนั้น ต่างถอนหายใจโล่งอกไปตามๆ กัน
     
    มีแต่สัตยาที่ยิ่งเคร่งเครียด หันมามองหน้าเอาทีละคน
     
    “ตั้งแต่นาทีนี้เป็นต้นไป ถ้าใครยังพูดเรื่องนี้อยู่อีก จะเห็นดีกัน... จะให้นครบาลมาลากไปใส่ตะรางเสียให้เข็ด โทษฐานปล่อยข่าวลือไร้สาระ!”
     
    แล้วก็เข้าจูงมือภรรยา พาหล่อนกลับขึ้นห้อง ด้วยความรู้สึกยังขุ่นเคือง
     
    “คุณพี่คะ... น้องไม่สบายใจเลยจริงๆ จะผีจริงหรือไม่จริง ตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ ไม่เคยมีเวลาไหนเลยที่ได้สบายใจ...”
     
    ศศิประภาคร่ำครวญ หน้าซีดปากคอสั่น
     
    แต่เช้านี้สัตยาไม่ปลอบอย่างเคย
     
    “เรื่องผีสางก็เป็นอันจบไปแล้ว เรื่องเดือน... พี่ก็ว่าเราพูดจาเข้าใจกันหมดแล้ว”
     
    “คุณพี่ไม่เข้าใจน้องเลย แต่ละวัน ต้องตื่นมาเจอกับเรื่องพวกนี้ จนน้องเองเจียนจะบ้า หวาดระแวงไปหมด... นะคะ เราย้ายกลับไปอยู่บ้านคุณแม่เถอะนะคะ”
     
    หล่อนเกาะแขนอ้อนวอน เพราะเห็นสามียังจ้องเขม็งอยู่
     
    “เรื่องผีสาง เรื่องย้ายกลับไป เราไม่ต้องพูดกันอีก ได้ไหมคุณศิ”
     
    “แต่... แต่บ้านนี้มีคนตาย”
     
    “ก็จะกระไรเล่า บ้านโบราณเก่าแก่ อย่าว่าแต่บ้านนี้เลย วันๆ ทั้งพระนครมีคนตายเป็นร้อยเป็นพัน หรือว่าปูย่าตายายคุณศิ ไม่เคยมีใครตายในบ้านโน้น”
     
    “แต่ที่เดือนตาย เป็นความผิดน้อง”
     
    “ผิดยังไง เราคุยกันแล้ว ไม่ใช่ว่าคุณศิจับมันไปถ่วงน้ำสักหน่อย”
     
    “ไม่รู้ละค่ะ ยังไงๆ น้องก็ไม่มีวันสบายใจแน่ๆ”
     
    ศศิประภายังฟูมฟาย จนความละเหี่ยใจของสามีค่อยกลายเป็นความใจอ่อนได้ในที่สุด ต้องเปลี่ยนจากเสียงแข็งๆ เรียบๆ เป็นปลอบโยนเหมือนอย่างเคย
     
    “ฟังพี่นะคุณศิ พูดกันตามตรง เราเองก็ยังไม่เคยเห็นสักทีว่า เดือนมาหลอกหลอน มีแต่พวกข้างล่าง ที่ลือไปต่างๆ นานา...
     
    “หรือจะพูดอีกอย่าง ก็เราเป็นนาย ผีสางชั้นบ่าวไพร่ก็ต้องยำเยงเกรงกลัวเป็นธรรมดา หากถ้าจะมาให้เห็น ก็เป็นการขอส่วนบุญส่วนกุศล พอว่ากันอย่างนี้ คุณศิก็ทำบุญไปให้เค้าตั้งมากมายก่ายกอง เขาจึงไม่มาให้เราพบเห็นอย่างไรเล่า”
     
    สัตยาพยายามหาเหตุผลหว่านล้อม
     
    “เชื่อพี่เถอะนะ อำนาจจิต บุญบารมีที่คุณศิได้เกิดมาบนกองเงินกองทองนี้ ย่อมต้องมีไม่ใช่น้อย ผีสางนางไม้มีแต่จะหลบจะเลี่ยงด้วยแพ้อำนาจบารมี อย่าไปฟังขี้ปากพวกขี้ข้ามันเลย พวกนั้นวันๆ จะคิดอะไรได้ พูดไปพูดมา ไม่ว่าผีสางสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหน ก็ไม่พ้นตีเข้าโพยเข้าหวยอยู่วันยังค่ำ”
     
    ฟังผู้เป็นสามีพูดมากเข้า ศศิประภาก็ชักเริ่มเห็นจริง เมื่อสามวันก่อนนี้เอง ที่ยังได้ยินนางหมาย บ่นว่าผีนางเดือนไม่เฮี้ยนจริง ให้หวยให้ถูกกิน เสียเงินไปหลายบาท
     
    พอคิดถึงตรงนี้ หล่อนก็พยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของสัตยา
     
    “อีกอย่าง คุณศิเป็นถึงบุตรีท่านรัฐมนตรีกระทรวงใหญ่ เป็นภรรยาของที่อธิบดีกรม มีอย่างหรือจะกลายเป็นคนขวัญอ่อนไปได้ หากหลังบ้านไม่เข้มแข็ง พี่จะมีกะจิตกะใจออกไปรับราชการได้อย่างไร”
     
    “คือ...ศิ...”
     
    “รับปากกับพี่ได้หรือไม่ ว่าต่อไปนี้คุณศิจะเข้มแข็ง เป็นกำลังใจให้พี่”
     
    คนพูดเกลี่ยปลายจมูกลงบนแก้มของภรรยา ทั้งเป็นการให้กำลังใจ และบังคับขอคำยืนยันกลายๆ
     
    แต่แล้วพอศศิประภาจะพยักรับ ก็ต้องผวา
     
    เสียงกึงกังดังมาจากห้องข้าง...
     
    ห้องทำงานของสัตยา
     
    “ไอ้แมวจรตัวนั้นละกระมัง คุณศิอย่าไปใส่ใจให้มากนักเลย”
     
     
     
    ******************
     
     
    *ศกุนตลา พระราชนิพนธ์ในล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๖
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×