ลำดับตอนที่ #3
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ 2
บทที่ 2
ฉันอยากจะใช้ความสามารถพิเศษที่มี ลองสืบเข้าไปในความคิดของมันไตร ดูซิว่าเกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่ แต่การอ่านคลื่นความคิดหรือความทรงจำของพวกอมนุษย์นั้นยากเย็น และตอนนี้ฉันก็เหน็ดเหนื่อยจนแทบจะไม่เหลือเรี่ยวแรงทำอะไร
ถึงจะตื่นเต้นตอนที่ได้เจอเขาวิ่งโทงๆ อยู่ริมทาง แต่ความตื่นตกใจเหล่านั้นก็อันตรธานไปหมดแล้ว ตอนนี้ฉันเหลือเพียงความสงสัยที่ไม่อาจหาคำตอบได้ เพียงแค่นั้น
จำเป็นต้องพาพรายหนุ่มรูปหล่อ ที่ฉันเคยตกตะลึงเมื่อแรกเห็น กลับมาที่บ้าน ระหว่างทางก็ยิ่งทำให้ฉันรู้สึกว่าต้องช่วยเขาคลี่คลายสถานการณ์ให้ได้ เพราะจากประตูรั้วใหญ่หน้าบ้าน ทางที่จะให้รถเข้ามาจอดได้นั้น ก็เป็นมันไตรนี่ละที่ช่วยจัดการให้มันใช้การได้
ถึงฉันจะรู้ว่าเขาทำอย่างนั้นเพราะมีเจตนาอยากจะสร้างสัมพันธ์อันลึกซึ้งกับฉัน แต่ในเมื่อมันได้เกิดขึ้นอย่างบุ่มบ่ามหรือปุบปับ หรือไม่ได้เกิดขึ้นเพราะการบังคับขืนใจ แล้วทำไมฉันจะไม่ยอมช่วยเหลือเขา โดยให้ขึ้นรถมาด้วยล่ะ
“ถึงแล้วค่ะ”
ฉันขับรถอ้อมมาด้านหลัง ซึ่งมีไฟดวงเล็กตามไว้พอให้รู้ว่ามีไฟ ซึ่งความวอมแวมนั้นหรี่จางกว่าโคมไฟหน้าบ้านมากมาย
“นี่บ้านคุณหรือ”
มันไตรลงมายืนอย่างไม่ค่อยมั่นใจนัก เขาเรียนรู้ได้เร็วทีเดียวกับการเปิดปิดประตูรถ ท่าทางเขายังหวาดหวั่นเมื่อเหลียวมองไปรอบตัว แล้วเห็นแต่ต้นไม้ร่มครึ้ม และปราศจากแสงไฟจากบ้านหลังอื่นๆ
“ใช่ค่ะ”
ฉันรู้สึกหงุดหงิดอย่างบอกไม่ถูก เวลานี้เขาดูเหมือนเด็ก เด็กไร้เดียงสาที่น่ารำคาญเสียด้วย
ยิ่งเขาหันมามองหน้าฉันด้วยแววตื่นตระหนกกว่าเดิม ฉันก็ยิ่งอารมณ์เสีย
“เถอะค่ะ จะอะไรนักหนา รีบๆ เข้ามาเถอะน่ะ”
ฉันเดินนำขึ้นเฉลียงหลังบ้านขึ้นมาก่อน ควานหากุญแจที่ซ่อนไว้บนซอกกรอบหน้าต่างด้านบน เข้ามาเปิดไฟในห้องครัว แล้วค่อยหันมาเรียกพรายหนุ่มรูปหล่อความจำเสื่อมอีกครั้ง
“มันไตรฉันอนุญาตให้คุณเข้ามาได้”
ฉันกล่าวคำอนุญาตอย่างเป็นทางการเช่นนี้ หากจะให้พวกอมนุษย์เข้ามาในบ้าน ซึ่งนี้เป็นบทบัญญัติหนึ่งในการที่พวกเราจะใช้ชีวิตร่วมกัน
เขารีบก้าวตามเข้ามาทันที และเมื่อเข้ามาให้เห็นชัดๆ ภายใต้แสงนีออน สภาพเขาก็ยิ่งน่าสงสาร เท้าที่วิ่งมาตามถนนโดยปราศจากรองเท้า ตอนนี้มีเลือดไหลซึมออกมา
“คุณพระช่วย มันไตร เท้าคุณ!”
ฉันรีบบอกให้เขานั่งลงเคาน์เตอร์ครัว รีบหาอ่างน้ำรองน้ำอุ่น แล้วเลื่อนมาให้เขาค่อยๆ จุ่มเท้าลงไป
ถึงจะรู้ดีว่าบาดแผลแค่นี้ทำอะไรพวกพรายไม่ได้ ประเดี๋ยวเดียวมันก็จะสมานกันสนิท แต่ฉันก็อดไม่ได้อยู่ดีที่จะต้องช่วยทำความสะอาดบาดแผลให้
ส่วนกางเกงขายาวที่เลอะดินโคลนคลั่กไปหมด ก็ทำให้ฉันต้องออกปาก
“ถอดมันก่อนเถอะคุณไตร”
ฉันต้องบอก เพราะถ้าทำความสะอาดเท้าทั้งอย่างนั้น คราบดินโคลนก็ต้องเลอะเทอะอยู่ดี
พรายหนุ่มรูปหล่อโดดลงมาที่พื้นอีกครั้ง แล้วจัดแจงถอดกางเกงยืนตัวฟิตทันที โดยไม่มีการเก้อเขินหรือแสดงพิรุธเลศนัยใดๆ ทั้งสิ้น
เมื่อเขาเฉยๆ ฉันก็จำเป็นต้องไม่คิดอะไรให้เป็นที่หวาดเสียวแก่ตัวเอง โยนกางเกงที่ถูกถอดจากช่วงขาแข็งแกร่ง ไปไว้นอกประตู เพื่อเข้าเครื่องซักในวันพรุ่งนี้
อีกทั้งยังต้องทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้กับชิ้นส่วนห่อหุ้มที่เหลือติดกายเขา ที่มีเพียงกางเกงชั้นในทรงบิกินีขอบเล็กสีฟ้าสด ที่แทบจะเก็บอะไรๆ ไว้ไม่หมด และรู้สึกเหมือนว่ามันจะถูกดันจนแทบจะฉีกขาดอยู่ตลอดเวลา เจ้าบิกินีตัวจ้อยนั่นคล้ายกำลังพิสูจน์ตัวเอง ว่าจะมีความสามารถทนทานและยืดหยุ่นได้ขนาดไหน กับการกางกั้นสิ่งที่มันมีหน้าที่ต้องปกปิดเอาไว้
จ๊ะ เรื่องที่น่าคิดไม่ใช่เรื่องกางเกงในตัวจิ๋วนี้หรอก แต่ก็ใกล้เคียงกันไม่น้อย
นั่นคือ ที่จริงฉันเคยเห็นมันไตรในชุดชั้นในมาก่อน ถึงมันจะเป็นเรื่องบังเอิญ แต่ก็ทำให้ฉันจำได้ติดตาว่า เขาใช้ชั้นในแบบกางเกงขาสั้นที่เรียกว่าบ็อกเซอร์ ไม่ใช่แบบรัดติ้วจนเจ้าตัวใหญ่ภายในแทบขาดใจแบบนี้ เอ... หรือว่าพวกผู้ชายใช้สลับไปมาหลายๆ แบบก็ไม่รู้
ดีที่มันไตรหันไปดึงเสื้อคลุมที่ค่อนข้างยาวที่ติดตัวมาจากในรถ มาสวมคลุมปกปิดส่วนที่น่าหวาดเสียวให้หายไปในร่มผ้าได้กว่าครึ่ง
จนฉันเริ่มเชื่อแล้วว่าตอนนี้เขาไม่ได้เป็นตัวของตัวเองเลยจริงๆ เพราะถ้าเป็นมันไตรผู้ร่ำรวยและสง่าผ่าเผย เขาจะไม่กังวลเลยว่าตัวเองอยู่ในสายตาคนอื่นขณะสวมเพียงชั้นในตัวเล็กๆ เพราะเขารู้ตัวดีว่าความหล่อเหลาเจ้าเสน่ห์นั้น เป็นที่ถวิลหาและจับตามองของผู้คนทั่วไป ซึ่งคงหาไม่ได้ง่ายๆ หรอกที่คนที่รูปร่างหน้าตาระดับเขา จะเปลือยกายให้ใครได้ชมง่ายๆ
เพียงแต่ไม่มีสาเหตุอื่นที่จะช่วยให้ฉันอนุมานได้ว่า ทำไมเขาถึงเกิดความจำเสื่อมขึ้นมาได้
เขาจุ่มเท้าลงในอ่างน้ำอุ่นจัดอีกครั้ง ให้เขาแช่อยู่สองสามนาทีก่อนที่ฉันจะเริ่มใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กกับสบู่เหลวทำความสะอาดให้เขา
“คุณอยู่ข้างนอกตอนกลางดึก”
พรายหนุ่มเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“เพิ่งเลิกงานน่ะค่ะ และก็กำลังกลับบ้าน ดูซิคะ ฉันยังอยู่ในชุดพนักงานเสิร์ฟอยู่เลย”
ฉันยังอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนกุด กับกระโปรงสั้นเต่อที่มีแล็คกิ้งอีกชั้นสวมไว้ป้องกันสายตาชอนไชของพวกลูกค้าหื่นๆ บางคน
“แต่เป็นกลางดึก ยังไงๆ ผู้หญิงก็ไม่ควรอยู่ข้างนอกคนเดียว”
อยากจะหัวเราะ นี่มันสมัยไหนกันแล้ว แต่ฉันก็ต้องข่มใจเอาไว้ ถามเขาเรียบๆ ว่า
“เพราะอะไรหรือคะ”
“ก็ข้างนอกตอนกลางคืนอันตรายมาก ผู้หญิงอ่อนแอกว่าผู้ชาย จึงควรมีใครคอยปกป้องคุ้มครอง หากจำเป็นต้องออกนอกบ้านเวลากลางคืนจริงๆ”
ปลื้มซะไม่มีละ กับมันไตรภาคความจำเสื่อมคนนี้
“ตามธรรมเนียมก็ควรเป็นอย่างนั้นละค่ะ และจริงๆ แล้วฉันก็ไม่ได้อยากออกไปไหนต่อไหนในตอนกลางคืนนักหรอก”
“แล้วคุณออกไปทำไม”
“งานซิคะ ต้องทำงาน เพื่อจะได้งานมาเลี้ยงดูชีวิตตัวเอง”
ฉันเอื้อมมือไปเขี่ยปึกใบเรียกเก็บเงินสารพัดที่วางซ้อนอยู่ใกล้ๆ ให้เขาได้เห็นชัดๆ
“ค่านั่นค่านี้สารพัดละค่ะ รถก็เก่าจนไม่รู้ว่ามันจะเกเรเมื่อไหร่ ไหนจะประกันชีวิตประกันสังคม กับจิปาถะอีกสารพัน”
ฉันพูดไปเรื่อย ไม่หวังจะให้เขามาเห็นอกเห็นใจอะไรหรอก แต่เขาก็ดันถามคำถามที่ทำให้เจ็บใจจนได้
“ทำไมล่ะ ครอบครัวคุณไม่มีผู้ชายคอยช่วยเหลือเรื่องพวกนี้เลยหรือ”
“มีพี่ชายไงคะ สิทธา ไม่แน่ใจว่าคุณเคยเจอกันหรือยัง”
มีแผลหนึ่งตรงซอกนิ้วที่ดูเหมือนจะเหวอะหวะเกินกว่าจะแค่เช็ดทำความสะอาด แต่ฉันก็ทำได้เพียงชำระล้างให้ดีที่สุด เขานิ่วหน้าเมื่อถูกย้ำตรงแผลนั้น ส่วนรอยถลอกอื่นๆ ค่อยสมานกันเป็นปกติอยู่ต่อตาฉันนี่ละ
“แล้วทำไมพี่ชายถึงยอมให้คุณออกไปทำงานนอกบ้านในเวลากลางคืน”
ถึงประโยคนี้ ฉันนึกไปถึงพี่ชาย นึกไม่ออกหรอกว่า เขาเคยคิดจะพูดอะไรเป็นทำนอง น้องสาวที่รัก เธอไม่ต้องออกไปทำงานนอกบ้านหรอก เป็นหน้าที่ของพี่ชายคนนี้เองนะจ๊ะ มันเป็นเรื่องที่ฟังดูตลกและเป็นไปไม่ได้อย่างเด็ดขาด ที่สมัยนี้ลูกผู้หญิงต้องอยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน
“แหม! คุณไตร พูดเป็นเล่นไปได้”
ฉันแกล้งทำหน้างอใส่พรายหนุ่มรูปหล่อที่ทำท่าว่าสนใจเรื่องที่กำลังสนทนากันอย่างจริงจังที่สุด
“พี่สิทธาเขาก็มีภาระสุมหัวมากมายอยู่แล้ว”
เช่นก็พยายามใช้ตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล และเป็นเพลย์บอยฟันสาวไม่เลือกหน้าเป็นต้น
การทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อยจนได้ ตอนนี้แทบจะเรียกได้ว่ามันไตรกลับมาเป็นเทพบุตรสำหรับสาวๆ อีกครั้งหนึ่งแล้ว และบาดแผลต่างๆ ก็หายเกือบสนิท กลับเป็นฉันเสียอีกที่รู้สึกชาๆ ที่เท้า เพราะนั่งอยู่ในท่าราบนานเกินไป
“คุณไตรคะ ฉันว่าคุณควรโทรหาพิชา เธอน่าจะรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ”
“พิชา?”
ฉันคงหงุดหงิดกว่านี้ถ้าไม่รู้ว่าเขาเป็นพรายความจำเสื่อม เพราะการถามตอบอะไรๆ คล้ายการพูดจากับเด็กสองขวบมากกว่าการพูดกับเจ้าของธุรกิจร้อยล้าน
“ก็ผู้ช่วยของคุณไงคะ”
และรู้ว่าเขาจะต้องถามกลับมาอีกแน่ๆ จึงรีบพูดต่อ
“เอาเถอะ ไม่ต้องถามอะไรแล้ว ฉันโทร.ให้ก็ได้ จะได้รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับคุณ”
“แล้วถ้าหล่อน... เกิด... เอ่อ... เป็นฝ่ายตรงข้ามกับผม แล้วจะทำยังไง”
“ก็ดีค่ะ จะได้รู้กันชัดๆ ไปเลยว่าใครมิตรใครศัตรู”
ในห้องครัวนี้มีโทรศัพท์รุ่นโบราณตั้งเป็นเครื่องประดับอยู่บนเคาน์เตอร์ เป็นเครื่องที่คุณยายฉันใช้นั่งติดต่อธุระตามหน้าที่การงานของท่าน มันเป็นสิ่งที่ทำให้ฉันได้ระลึกนึกถึงท่าน นึกถึงเวลาแห่งความสุขที่ได้อยู่กับท่าน... แต่คงไม่ใช่เวลานี้
มีสมุดจอหมายเลขโทรศัพท์อยู่ใกล้กัน ฉันไล่หาจากนามบัตรที่สอดไว้ด้านหลัง หาหมายเลขของ “เดอะพราย” สถานบันเทิงชื่อดังย่านเจริญกรุง แห่งรวมตัวของพวกพราย เป็นทั้งสถานเริงรมย์และเป็นฐานบัญชาการของสมาคมพรายพิทักษ์ไทย ที่ไม่แน่ใจว่ากินพื้นที่กว้างขวางลงไปใต้ดินมากสักแค่ไหน และฉันก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องรู้ซะด้วย
จำได้ว่าที่ “เดอะพราย” ก็จัดงานส่งท้ายปีเก่าเหมือนกัน และต้องมีคนธรรมดาเข้าไปร่วมงานด้วยแน่ๆ กับธีมงานแบบเซ็กซี่แดนซ์ ก็พวกพรายไม่ว่าผู้ชายหรือผู้หญิง ฉันไม่เห็นมีใครเคยอายเรื่องการเปิดเผยรูปร่างและทรวดทรงองค์เอว
ระหว่างรอสาย ฉันเอื้อมไปหยิบโลหิตสังเคราะห์ขวดหนึ่งจากตู้เย็น อุ่นมันในเครื่องไมโครเวฟ โดยมีมันไตรจ้องมองอยู่ตลอดเวลา แบบคล้ายๆ จะหวาดระแวงและระวังตัวอยู่กลายๆ
“เดอะพราย ยินดีต้อนรับครับ”
“จอห์นหรือคะ”
“ครับผม มีอะไรให้รับใช้ครับคุณสุภาพสตรี”
จอห์นเปลี่ยนน้ำเสียงให้ฟังดูเซ็กซี่ทันทีที่รู้ว่าเป็นผู้หญิงโทร.เข้าไป
“นี่ปาลินนะคะ”
“อ้อ...”
แล้วเสียงเขาก็เปลี่ยนไปอีก คราวนี้กลายเป็นแค่แบบพูดกับคนรู้จักกันธรรมดาๆ
“สวัสดีปีใหม่นะลิน แต่โทษที ที่นี่กำลังยุ่งๆ นิดหน่อย”
“ทำไมล่ะ มีใครหายไปหรือยังไง”
คราวนี้ปลายสายเงียบไปอึดใจใหญ่
“เดี๋ยวนะ”
พูดจบ ความเงียบก็กลับเข้ามาอีกเนิ่นนาน
“พิชาพูดค่ะ”
ฉันแทบสะดุ้ง เพราะอยู่เสียงเรียบๆ ขลังๆ ก็เอ่ยขึ้น
“เจ้านายคุณล่ะคะพิชา”
ฉันต้องถามกลางๆ อยากรู้เหมือนกันว่าหล่อนหรือเปล่าเป็นต้นเหตุทำให้มันไตรมันระเห็จมาถึงที่นี่
“ก็... เรากำลังยุ่งอยู่นะคะ คุณลินมีธุระอะไรกับไตร หรือว่าคุณพบ...”
เสียงของพิชามีแววกังวลจนเห็นได้ชัด และเมื่อหล่อนนึกอะไรขึ้นได้ จึงถามออกมาเช่นนั้น พวกทาง “เดอะพราย” คงไม่ได้ทรยศ กระแสความคิดของคนจากปลายสายบอกฉันว่าอย่างนั้น
ฉันจึงค่อยๆ บอกว่า
“คุณไตร... อยู่กับฉัน”
เพราะฉันรู้ว่าพิชาชอบคนที่ตรงไปตรงมา
“แบบยังมีชีวิตอยู่ใช่ไหม”
“ค่ะ”
“แล้ว... เขาบาดเจ็บอะไรหรือเปล่า”
“ถ้าทางความทรงจำละก็ ใช่ค่ะ เรียกว่าบาดเจ็บสาหัสเชียวละ”
ปลายสายเงียบไปอีกครั้ง เป็นความเงียบที่ยาวนานจนฉันเริ่มกังวล
“แล้ว... คุณว่าเขาจะทำร้ายคุณหรือเปล่า”
ฉันเดาออก คำถามนี้พวกเดอะพรายไม่ได้ห่วงฉันหรอกว่าจะถูกทำร้าย เขาเป็นห่วงว่าฉันจะไม่ให้มันไตรอยู่ด้วยต่างหาก
“ตอนนี้ก็โอเคนะคะ มันคงขึ้นอยู่กับความจำเสื่อมของเขานั่นละ”
“เกลียดนักละพวกนังผีฟ้าพวกนั้น ดีแล้วที่พวกคุณตามล่าตามล้างจนพวกมันแทบจะสูญพันธุ์”
ฉันนึกขำ ที่พิชาพูดถึงร่างทรงผีฟ้าทั้งหลาย ที่พากันใช้ไสยศาสตร์หากินกับการร่ายเวทมนต์ทำร้ายผู้คน หล่อนคงลืมไปว่าแต่ก่อน พวกพรายก็ถูกตามล่าเพื่อทำลายล้างเหมือนกัน
“คงต้องเป็นคืนพรุ่งนี้ นี่ฟ้าจะสางแล้ว”
พิชาสรุป
“รบกวนให้เขาพักกับคุณสักวัน พอจะมีที่พักที่ปลอดภัยให้ไตรไหมคะ”
“มีค่ะ!” ฉันตวัดเสียงให้รู้ว่าไม่พอใจเท่าไรนักกับข้อเสนอนี้ “พวกคุณต้องมาทันทีที่พระอาทิตย์ตกดินในวันพรุ่งนี้ บอกให้รู้เลยนะคะ ว่าฉันไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับเรื่องบ้าๆ ของพวกพรายอย่างคุณๆ อีกแล้ว”
จำเป็นต้องพูดออกไปตรงๆ เพราะดูท่าว่าค่ำคืนนี้มันจะยาวนานเกินไปเสียแล้วสำหรับฉัน
“เราจะรีบไป”
เราทั้งคู่วางสายเกือบจะพร้อมกัน ตาคมมีเสน่ห์ของมันไตรยังจับจ้องฉันอยู่อย่างไม่กะพริบ เขามีผมตรงๆ ที่แม้จะกระเซอะกระเซิงก็ยังดูดี กับนัยน์ตาที่ออกสีน้ำตาล มันเป็นแค่สองอย่างที่เรามีเหมือนกัน แค่สองอย่างนี้เท่านั้นเอง
อยากจะหาหวีมาหวีผมให้เขาเหมือนกัน แต่ฉันเหนื่อยจนหยิบจับอะไรไม่ไหวแล้ว
“ตกลงว่า นี้คือเงื่อนไขของเรา”
ฉันเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“เราจะพักอยู่ด้วยกันจนถึงค่ำวันพรุ่งนี้ แล้วพิชาจะมารับ เธอคงเล่าให้ฟังว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”
“คุณจะไม่ยอมให้ใครอื่นเข้ามาในบ้านนี้อีกใช่ไหม”
เขาดื่มโลหิตสังเคราะห์หมดขวดพอดี ดูเขาสดชื่นขึ้นมาก ซึ่งทำให้ฉันสบายใจขึ้นที่เขาไม่ได้ตกอยู่ในภาวะหิวกระหายอีกต่อไป
“ไตรคะ ฉันจะพยายามทำให้ดีที่สุด คุณจะปลอดภัยค่ะ”
ฉันพูดให้กำลังใจทั้งเขาและตัวเอง ยกมือขึ้นลูบหน้าไล่ความง่วงสุดจะทนที่เกิดขึ้น
“ตามมาค่ะ”
ฉันจูงมือให้เขาเดินตาม พอยืนตรงๆ อย่างนี้ เสื้อคลุมก็ไม่สามารถปกปิดบิกินีตัวจิ๋วไว้ได้อีกต่อไป ทำให้ฉันต้องข่มใจอย่างหนักกับการไม่ให้ตัวเองเหลือบไปมองเป็นระยะ
บ้านของฉันเป็นเรือนสองชั้น เป็นมรดกตกทอดจากคุณยาย ก่อสร้างด้วยการก่ออิฐถือปูนแบบที่นิยมกันในสมัยรัชกาลที่ห้าหรือหกก็ไม่แน่ใจ ขนาดบ้านไม่ใหญ่โต แต่กระนั้นฉันก็ยังปิดตายชั้นบนเอาไว้เพื่อประหยัดค่าไฟ
ชั้นล่างมีห้องนอนสองห้อง เป็นห้องนอนเล็กหนึ่งกับใหญ่หนึ่ง หลังจากคุณยายเสียฉันก็ย้ายเข้าไปนอนในห้องนอนใหญ่ซึ่งเป็นของท่าน และใช้ห้องนอนเล็กนั้นเป็นที่ซ่อนให้อรัญได้เก็บตัวเวลากลางวันที่แสดงแดดแผดจ้า
ฉันพามันไตรเข้ามาในห้องนี้ ตรวจดูส่วนต่างๆ ที่แสดงอาทิตย์จะสาดเข้ามาได้ แล้วปิดบังมันจนเรียบร้อย เปิดตู้เสื้อผ้าหลังใหญ่ เขาเสื้อผ้าสองออกมา แล้วเลื่อนแผ่นไม้หนักๆ บนพื้นตู้ เผยให้เห็นเป็นช่องขนาดพอดีที่คนตัวใหญ่ๆ จะลงไปนอน
สภาพมันออกจะสยองขวัญไม่น้อย เพราะแลคล้ายโลงศพดีๆ นี่เอง และฉันก็ภาวนาให้เลือดที่ฉันได้รับจากพรายหนุ่มที่ยืนอยู่ข้างๆ นี้ จะไม่เปลี่ยนให้ฉันต้องใช้ชีวิตแบบเดียวกับพวกเขา
“คุณตัวโตพอๆ กับอรัญ น่าจะนอนได้สบายๆ”
ฉันขยับแผ่นไม้ให้เขาเห็นวิธีล็อคจากด้านในช่องนั้นอีกครั้ง
“จะไม่มีใครทำอันตรายคุณได้... พรุ่งนี้เช้า หลังจากที่คุณลงไปนอน ฉันจะเอาเสื้อผ้ามาแขวนไว้ตามเดิม”
มันเป็นเสื้อผ้าของอรัญ ซึ่งฉันต้องรีบระงับความทรงจำเกี่ยวกับเขาไว้ชั่วคราว
“ผมจะต้องลงไปนอนเดี๋ยวนี้เลยหรือ”
มันไตรถามด้วยท่าทางหวาดๆ กับอาการที่เหมือนเห็นฉันเป็นเจ้าชีวิตเขาซะงั้น คุณพระคุณเจ้า นี่โลกมันกลับตาลปัตรไปตั้งแต่เมื่อไหร่
“ยังค่ะ ยังไม่ต้องก็ได้”
ฉันพยายามพูดกับเขาด้วยเสียงนุ่มๆ ทั้งที่ตาแทบปิดด้วยความง่วง
“แค่คุณลงไปนอนก่อนที่ตะวันจะขึ้นก็พอ ยังไงๆ คุณก็ไม่ลืมหรือเผลอหลับอยู่ข้างนอนให้แสงแดดเผาร่างของคุณหรอก จริงไหมคะ”
คราวนี้เขานิ่งไป คงคิดทบทวนอยู่เหมือนกันว่า สภาพความเป็นพรายนั้นต้องทำตัวอย่างไรบ้าง
“ครับ... พวกผมต้องหลบให้พ้นแสงแดด แต่ว่า ตอนนี้ขอให้ผมได้อยู่ใกล้ๆ กับคุณก่อนได้ไหม”
ตายละ! เขาใช้แววตาใสๆ อ้อนวอนฉันราวกลับลูกหมาตัวน้อยๆ อยากจะขอเล่นด้วย ทั้งที่เขาอยู่ในสภาพแทบจะเปลือย ด้วยรูปร่าง ด้วยมัดกล้าม ด้วยลอนหน้าท้องและไรขนอ่อนนุ่มบนแผงอก ฉันแทบไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าฉันยอมตามนั้น
“ก็ได้ ตามมาค่ะ”
ฉันตอบรับเนือย เพราะเหนื่อยมามากแล้ว หมดแรงกระทั่งการจะต้องมานั่งอธิบายถึงความรู้สึกของตัวเอง หรือความไม่เหมาะไม่ควรที่อาจจะเกิดขึ้นกับเราทั้งคู่
ห้องนอนที่รักของฉันรออยู่ด้วยสภาพอันอบอุ่น เมื่อเปิดไฟแสงนวลอ่อนภายในห้อง
ฉันเลิกผ้าคลุมเตียงออก โดยที่มันไตรขยับไปนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวยาวตรงชิดผนังด้านปลายเตียง
ฉันเลิกสนใจเขา หันไปหยิบผ้าเช็ดตัวผืนใหญ่ กับชุดนอนที่รัดกุมที่สุด ก่อนจะหายเข้ามาในห้องน้ำ จัดการตัวเองเสร็จสรรพ ทั้งอาบน้ำล้างหน้าแปรงฟัง สวมชุดนอนที่หอมละมุนไปด้วยกลิ่นน้ำยาปรับผ้านุ่มที่ชอบ แล้วก้าวออกมาจากห้องน้ำอีกครั้ง
มันไตรยังอยู่ในท่าเดิม คือนั่งนิ่งตัวตรงอยู่บนเก้าอี้ยาวปลายเตียง
ผมที่รวบเป็นหางม้าถูกฉันปลดยางรัด แล้วแปรงมันจนเรียบลื่น แอบมองพรายหนุ่มรูปหล่ออีกครั้ง เห็นเขายังนั่งนิ่งฉันก็ปิดไฟกลางเพดาน เหลือเพียงไฟหัวเตียงดวงเล็กๆ
ฉันคลานขึ้นมาซุกตัวอยู่ในที่นอนอันแสนสบาย ระบายลมหายใจอย่างบรมสุขและโล่งอกที่ค่ำคืนยาวนานจะผ่านไปจริงๆ เสียที
แต่แล้วอุปสรรคยิ่งใหญ่ที่จะทำให้ฉันหลับตานอนไม่ได้เลยก็คลานขึ้นมาทำแบบเดียวกัน คือค่อยๆ ซุกตัวเข้าไปในผ้าห่มผืนเดียวกันกับฉัน ข้างๆ ตัวฉันนี่เอง
นี่ฉันไปบอกเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ว่าให้ขึ้นมานอนด้วยกัน?
แต่ช่างเถอะ มันไม่ได้ร้ายแรงอะไรนักหนา และฉันก็อ่อนเพลียเกินกว่าจะมามัวกังวลกับเรื่องแบบนี้ แค่ขยับนอนตะแคง หันหนีจากรูปร่างอันชวนอบอุ่นมากกว่าผ้าห่มที่ฉันกอดแนบแน่นอยู่กับอกในเวลานี้
“คุณครับ”
“คะ”
ฉันตอบโดยไม่หันกลับไป
“คุณชื่ออะไร”
เขาถามเหมือนไม่เคยได้ยินฉันแนะนำตัวมาก่อน
“ลิน ปาลิน เนตรวิสุทธิ์”
“ขอบคุณมากนะลิน สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง”
เสียงเขาแผ่วนุ่ม และสัมผัสบนเตียงนอน ก็บอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้คิดขยับมาฉวยโอกาสอะไรเลย
“ไม่เป็นไรค่ะไตร”
ฉันตอบกลับไปเบาๆ รู้สึกสงสารเขาขึ้นมาจับใจ กับน้ำคำขอบคุณที่ฟังดูว้าเหว่และน่าสงสาร ซึ่งไม่ใช่มันไตรคนเก่าที่ฉันเคยรู้จัก
ฉันเลื่อนมือใต้ผ้าห่มไปแตะกับมือของเขา พรายหนุ่มรีบกุมมือฉันไว้ทันที
ถึงมันไม่น่าจะเป็นไปได้ แต่มันก็เป็นไปแล้ว กับการที่ได้นอนร่วมเตียงกับพรายหนุ่มที่มีทุกอย่างเหมือนกับเจ้าชายในฝันของผู้หญิงทั้งโลก...
*********
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น