คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ ๓
พิมพิกาค่อยเลื่อนใบหน้าเขาให้พ้นจากอก
เอื้อมมือข้ามตัวไปคว้าวิสกี้ค้างแก้วมาจิบอีกอึกใหญ่
ความร้อนผ่าวล่วงลำคอลงไปจนถึงช่องท้อง อึดใจต่อมาก็รู้สึกวูบวาบไปทั้งตัว
เพราะแรงสูบฉีดของเลือดลม
เป็นครั้งแรกที่หล่อนรู้สึกไม่ค่อยเป็นสุข
หลังจากเคยได้ลงเอยลงบนเตียงของเขามาหลายครั้ง
เพราะครั้งแรกที่เคย
ความรู้สึกหนึ่งที่เรืองรอง นั่นคือตนสามารถแย่งชิงสมบัติของอินทุอรมาได้สำเร็จ
และครั้งหลังๆ
ที่ตามมา เขาก็ยิ่งตอกย้ำให้แนบแน่นว่า ใช่แน่แล้ว...
เขาจะต้องเป็นสมบัติของหล่อนโดยถาวร
ทว่า
เมื่อเช้านี้เอง ที่แม่ของหล่อนเป็นคนทำลายความรู้สึกนั้นให้พังราบ
ด้วยการตั้งตนเป็นตัวตั้งตัวตี จัดหาฤกษ์ยามให้อินทุอรได้แต่งงาน
ร่วมหอลงโลงกับเขา
ในครั้งนี้
ความดื่มด่ำล้ำลึกจึงลดทอนคลอนคลาย ทั้งหมดไม่ใช่เพราะเขาพลาดพลั้งหรือบกพร่องใดๆ
เป็นหล่อนต่างหาก ที่ไม่รู้สึก สุข-สนุก กับการกระทำเหมือนสั่งลา
เหมือนกับทุกครั้งที่เคยๆ
และก็เพราะปริยัติปรนเปรอให้หล่อนเหมือนเป็นการสั่งลา
คล้ายกับว่าทุกครั้งทุกทีนั้นจะเป็นครั้งสุดท้าย ที่ได้ร่วมเสพวิเศษสุขนั่นละ
จึงทำให้พิมพิกาฝันเพ้อละเมอหา หวังจะทอดกายให้เขาปฏิบัติการครั้งสุดท้ายอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน
แต่...
ครั้งนี้มันไม่ใช่...
มันอาจต้องเป็นครั้งสุดท้ายจริงๆ...
ระหว่างที่พิมพิกาคิดเรื่อยไป
ชายหนุ่มข้างกายก็เริ่มควานคว้า ในที่สุดก็กลับมาซุกหน้าอยู่ตรงที่เดิม
หล่อนรู้ว่าเขาตื่นแล้ว จึงหยอกกลับเอาแรงๆ ด้วยการดึงเส้นผมที่ท้ายทอย
ให้หน้าหงายขึ้นมาสบตา
“จะบ่ายสามแล้วนะคะปอนด์
ไหนว่ามีประชุมเย็น”
ปริยัติปรือตามอง
ไม่อยากให้เวลาล่วงเลยไปรวดเร็วเช่นนี้เลย
“อีกรอบได้ไหมพิม”
เขาไม่ตอบคำถาม
มือไม้เริ่มป่ายปะ คลำคลึงไปตามส่วนที่ใจอยากสัมผัส
พิมพิกาต้องผลัก
แรงจนปริยัติหงายไปอีกทาง แต่เขาก็ยังยิ้ม
“รู้ไหมว่า
ผมรักคุณแค่ไหน”
เขาทำเป็นคราง
พยายามกลับมาซุกซบให้ได้อีกครั้ง
“ปอนด์คะ
คำว่ารักแค่ไหน กับรักตรงไหน นี่มันผิดกันนะคะ พิมมันง่ายเกินไปใช่ไหม
พอเจอคุณก็ตกหลุมรัก แล้วก็ต้องมาจมปลักอยู่อย่างนี้”
พิมพิกากระเง้ากระงอด
ทางหนึ่งผลักไสไม่ให้เขาเลื่อนกายมาทาบทบ ทางหนึ่งก็ต้องคอยดึงผ้าห่มผืนใหญ่
ที่บัดนี้คืออาภรณ์ผืนเดียว ให้ช่วยปกปิดเรือนกาย
“ก็เพราะผมรัก
ผมเลยอยากถนอมคุณไว้นานๆ”
เขาตอบอย่างคนเห็นแก่ตัวแท้ๆ
จนคนฟังอดนึกเคืองไม่ได้
“งั้นไปคุยกับคุณพ่อคุณแม่พิมสิคะ
ไปบอกว่าคุณรักพิม ไม่ใช่พี่อิน”
แรงขับดันสำหรับรอบต่อไปคงเบาบางลงไปบ้างแล้ว
พอถึงข้อเสนออันนี้ ปริยัติจึงทำเหมือนล้มเลิกความตั้งใจจะคลอเคล้า เลื่อนตัวพิงพนักหัวเตียง
แล้วยกแก้ววิสกี้ที่พิมพิกาเพิ่งจิบไปอึกใหญ่ กระดกรวดเดียวจนหมดแก้ว
“เห็นคุณแม่โทร.หาคุณเมื่อตอนสายๆ”
“ผมไม่ได้รับ”
“แน่ใจหรือคะ
เห็นคุยกันตั้งนานสองนาน”
“ก็...
หมายความว่า ผมยังไม่ได้รับ...ไม่ได้รับปากอะไรกับเรื่องนั้น”
“แต่ก็ไม่ปฏิเสธ
ทำไมคะปอนด์ ไม่รักไม่ชอบคนจืดๆ ชืดๆ อย่างพี่อิน ก็บอกไปตรงๆ ไม่ได้หรือคะ
หรือจะให้พิมเป็นคนพูด”
“จะบ้าหรือพิม
คุณก็รู้ ว่าเรื่องของเราสองคนมันยังไง ไหนว่าแค่สนุกๆ”
“ทีคุณยังถามว่า
รู้ไหมคุณรักพิมมากแค่ไหน...”
เพราะคำนี้ ทำให้ปริยัติต้องมองหน้าหล่อนตรงๆ
ปรับสีหน้าให้เป็นการเป็นงาน แต่มือยังไม่วายเริ่มซอนซุก
“แน่นอน คุณรู้ว่าผมรักคุณมากแค่ไหน แล้วคุณล่ะ
รักผมมากพอจะยอมอยู่ในสถานการณ์แบบนั้นหรือเปล่า”
“แบบไหนคะ”
พิมพิกาตีหน้าซื่อ ไม่มีวันเสียละที่จะยอมแบ่งเขากับใครๆ
โดยเฉพาะกับอินทุอร
รายนั้นน่ะหรือ
ก็แค่เอาความเรียบเชียบเรียบร้อยคลุมหัวไว้เท่านั้น
ไม่อย่างนั้นจะรีบรับหมั้นปริยัติทำไม
ไม่ใช่เพราะรูปสมบัติคุณสมบัติที่สมบูรณ์เพียบพร้อมนี่หรอกหรือ
ยิ่งหากรู้ว่าลีลาบนเตียงนี้
สามารถทำให้ผู้หญิงคนไหนๆ ได้ล่องลอยขึ้นไปสู่ห้วงสรวงสุขาวดี
ด้วยความแปลกใหม่ต่างๆ นานา มีหรือที่มันจะปล่อยให้หลุดมือ
พอคิดไปถึงเรื่องนั้น
หล่อนก็เลยพลอยเพลินไปกับอาการที่เขาซุกซนกับบางส่วนของเรือนกาย พิมพิกาขยับนิดๆ
เป็นการขยับที่เปิดเผยขึ้น มากกว่าจะปกปิดดิ้นหนี
“แบบนี้ไง...
พิมชอบนักไม่ใช่หรือ...”
ปริยัติงึมงำจากใต้ผ้าห่ม
ก่อนจะเงียบไป แล้วถูกแทนที่ด้วยเสียงลมหายในหนักหน่วงของคนทั้งคู่
ที่จริงหน้าที่การงานของลลิตาไม่กระไรนัก
เพราะเป็นบริษัทของครอบครัว มีบิดาที่หล่อนพอใจเรียกว่า ‘เจ้านาย’
เป็นประธานกรรมการและบริหารด้วยตนเอง
ในฐานะเลขานุการของบิดา
ที่มีผู้ช่วยอีกถึงสองคน การอยู่หรือไม่ในสำนักงาน
การเข้ามาทีหลังแล้วออกก่อนของหล่อน จึงแทบไม่มีผลกระทบอะไรกับใครทั้งสิ้น
แต่ลลิตาก็อ้างการต้องรับใช้
‘เจ้านาย’ ด้วยเรื่องสารพัดสารพันอยู่เสมอ
“ดูก่อนได้ไหมอิน
ไม่รู้ว่าจัดเลี้ยงค่ำนี้ คุณพ่อต้องหนีบเราไปด้วยหรือเปล่า”
หล่อนบ่ายเบี่ยง
หลังจากเพื่อนสนิทโทร.ชวนทานมื้อค่ำด้วยกัน
พออินทุอรเงียบไปโดยไม่ยอมวางสาย
ลลิตาเลยต้องพูดต่อ
“เออ... ค่ะ... ฉันอ้างพ่อไปยังงั้นเอง สารภาพก็ได้ว่ามีนัดแล้ว
ไว้คืนพรุ่งนี้ได้ไหมล่ะ”
นั่นละถึงมีเสียงวางสายมาจากฝ่ายโน้น
ลลิตาถอนใจเบาๆ
ใจหนึ่งนึกสงสารเพื่อนเป็นกำลัง แต่อีกใจหนึ่งก็อยากให้เพื่อนโตขึ้นเสียบ้าง
ด้วยการรู้จักแก้ไขอะไรๆ ได้ด้วยตัวเอง
ใจจริงของลลิตา
ก็อยากไปเป็นเพื่อนอยู่หรอก เพียงแต่สถานที่ที่อินทุอรเอ่ยชวนนั้น
สร้างความลำบากใจให้ไม่น้อย พอเพื่อนสนิทเอ่ยชื่อร้าน ทำไมหล่อนจะเดาไม่ออกว่า
คนชวนอยากไปที่นั่นเพราะอะไร
หรือไม่...
หากอินทุอรบอกว่า อยากลองนัดบอดอีกสักครั้งเป็นการสั่งลา ก็คงง่ายกว่านัก
กับการที่ลลิตาจะแกล้งโวยวาย ว่าอยู่ดีไม่ว่าดี คิดจะไปแกว่งเท้าหาเสี้ยน
สะกิดแผลใจให้พิษกำเริบโดยใช่เหตุ
แม้เสียงของอินทุอรจะแสนซื่อ
แต่ลลิตาจำเป็นต้องขัดใจ เดาได้ไม่ยาก
ว่าเพื่อนสนิทต้องกล้ำกลืนความรู้สึกแท้จริงไว้ถึงแค่ไหน
ที่สำคัญคือ
หล่อนให้สัญญากับเขาไว้แล้ว ว่าจะไม่ย่างกรายไปที่นั่นอีก
สัญญาข้อนี้เป็นข้อใหญ่
ที่ลลิตาอยากรักษาไว้ให้ได้ จากสัญญานับร้อยนับพันที่เคยเอ่ยปากออกไป
แล้วก็ปล่อยให้เลือนหายไปในอากาศ
ในความคิดของลลิตา
ต้องเป็นเรื่องบังเอิญ ที่รักชั่วคราวของอินทุอรกับรักถาวรของหล่อน
จะต้องมาเกิดขึ้นในร้านนั้น
เรื่องของเพื่อนสนิท
ที่หลังจากคืนนั้นยังพยายามหวนกลับไปหา ตามไปดูว่าผู้ชายคนนั้น
จะโผล่หน้ามาอีกหรือเปล่า หลังจากที่รุ่งเช้าของคืนนั้นเขาหายไปราวกับล่องหน
มันเป็นเรื่องจริงไม่ได้อิงนิยาย ที่แต่แล้วก็กลับกลายเป็นเพียงแค่ภาพฝัน
เพราะเขาคนนั้นเงียบหาย
ทุกสุดสัปดาห์ในหลายเดือน และในบางวันของระหว่างสัปดาห์ ที่ลลิตาต้องพาเธอไปนั่งรอ
รอ... รอ... บางทีก็ไม่รู้ว่าจะรอไปทำไม
จนวันที่อินทุอรคงอึดอัดจนทนไม่ไหวนั่นละ
จึงยอมล้มเลิก
ตอนอินทุอรทำท่าจะตัดใจได้
ก็พอดีกับที่คุณนายโสภาเจ้ากี้เจ้าการ จัดการรับหมั้นให้ลูกเลี้ยง
กับทายาทมหาเศรษฐีผู้อื้อฉาว ตอนนั้นลลิตาจำได้ว่า ตัวเองก็อึ้งไปนาน
ก่อนพึมพำได้แค่เพียงเบาๆ
“อิน...
เธอมันบ้า...”
“ยังไม่ถึงกับบ้าหรอกหลิว
เพียงแค่ไม่อยากจมอยู่กับมันอีกแล้ว”
“ด้วยการรับหมั้นกับใครก็ไม่รู้เนี่ยนะ”
“ปริยัติ
ใครๆ ก็รู้จัก หรือเธอไม่รู้จัก”
“บอกมาตรงๆ
ดีกว่าอิน ทำอย่างนี้ทำไม”
อีกหลายประโยคที่ตามมาในบทสนทนาครั้งนั้น
ลลิตาจำได้ดีว่า เหตุผลสำคัญของอินทุอรคืออะไร
แล้วยังไงล่ะ
แม้สื่อมวลชนช่วยกันประโคมข่าว ก็ยังปราศจากวี่แววของเขาคนนั้น
ที่อินทุอรหวังจะให้เผยตัวออกมาจากกลีบเมฆ มายับยั้งกลางพิธีหมั้น
มาประกาศว่าหญิงสาวนามอินทุอร ผู้กำลังถูกชายอีกคนสวมแหวนหมั้น
เธอผู้นั้นคือคนรักของเขา... เรารักกัน... ผมจะไม่ยอมให้ใครมายื้อแย่ง...
“เธอคิดว่าเป็นนิยายน้ำเน่าหรือยังไง
ถึงกล้าเอาชีวิตเข้าไปเสี่ยงได้ขนาดนั้น”
นั่นก็อีก
ลลิตายังจำได้แม่นยำ กับวันรุ่งขึ้นของพิธีหมั้น ที่อินทุอรต้องนอนซมเพราะพิษรักต่อมาอีกหลายวัน
“แค่...
แค่คืนนั้นจริงๆ หรือหลิว”
ลลิตาสงสารเพื่อน
ที่เห็นเธอยังพร่ำเพ้อ น้ำตาอาบแก้ม
“ฉันบอกเธอมานับครั้งไม่ถ้วน
ว่าให้เลิกคิดเลิกฝัน”
“แต่นั่น...
นั่นมัน... ครั้งแรก...”
“แล้วยังไงล่ะ
เธอไม่อยากให้มันเกิดขึ้น หรือว่าอยากให้มันเกิดขึ้นซ้ำอีก
ถึงได้นอนฟูมฟายอยู่อย่างนี้”
พอใช้ไม้อ่อนด้วยการปลอบประโลมไม่สำเร็จ
หล่อนยังเคยใช้ไม้แข็งด้วยเหมือนกัน
ตอนนั้น
เหมือนคำพูดเสียดแทงจะได้ผล ราวกับเพื่อนสนิทจะคิดได้
เรื่องราวการรับหมั้นแบบประชดชีวิตจึงเป็นอันเลิกพูดกันไป
ด้วยเหตุผลที่มาบอกกล่าวแก่กันในอีกเป็นเดือนหลังจากนั้นว่า
“คุณปริยัติเขาเป็นสุภาพบุรุษดีเหมือนกัน
ตอนก่อนหมั้นกันจะเป็นยังไงก็ช่างเถอะ แต่หลังจากนั้น เขาก็ดีนะหลิว
ไม่มีข่าวให้ต้องลำบากใจกันอีกเลย หน้าที่คู่หมั้นก็ทำได้ดี”
“สรุปว่าตกลงปลงใจได้แล้วสิ”
“โธ่! หลิว มันเหมือนกับไปหลอกลวงหรือเปล่าล่ะ
กับเรื่องที่ฉัน... แล้วถ้าเขาเกิดรู้...”
“รู้ก็ดีสิ
จะได้รู้กันไง ว่าไอ้ผู้ชายสมัยนี้ยังล้าหลัง งมโข่งอยู่ใต้ไข่ไดโนเสาร์
เราคนนึงละที่เถียงใจขาด ทีพวกตัวผู้ละก็ ร่อนๆ ไปฟาดฟันกับใครๆ ก็ได้
แต่กับคนที่จะเป็นเมีย จะต้องไม่เคยผ่านมือใคร”
“ที่จริงเขาเคยบอกว่า อยากให้เราทั้งคู่ลืมเรื่องในอดีต
แล้วค่อยเริ่มต้นกันใหม่...”
ตลอดเวลาที่ผ่านมา
หลังจากรักชั่วคืนในคราวนั้น อินทุอรพูดจาเรื่องนี้ได้กับหล่อนเท่านั้น
เมื่อไรที่ไม่สบายใจ เธอต้องหันมาพึ่งพาปรับทุกข์ การพูดจากันครั้งหลังๆ
ทำให้ลลิตารู้สึกดีขึ้นบ้าง ที่เพื่อนสนิทเข้าใจโลกได้มากขึ้น
“แสดงว่าเขาแย้มเป็นนัยน์ๆ
ว่าไม่ถือสาเรื่องนั้น”
นั่นเป็นตอนที่เรื่องราวน่าจะจบลงด้วยดีอีกเปลาะหนึ่ง
แต่แล้ววันดีคืนดี อินทุอรก็มีอันต้องกลับมาพูดคุย
เท้าความถึงเจ้าบ่าวคืนเดียวนั่นอีกจนได้
“คุณปริยัติเขาสมัยใหม่...”
ครั้งหลังนี่
อินทุอรเริ่มมีประโยคอย่างที่ลลิตาถึงกับต้องเอ่ยออกไปตรงๆ ว่า
“หมั่นไส้...
ร้อยทั้งร้อย ผู้ชายก็หาความดีใส่ตัวทั้งนั้น เขาจะเอาเธอน่ะสิ
ถึงได้อ้างว่าหัวสมัยใหม่ อยากได้กันก่อนแต่ง
จะได้ช่วยกระชับความสัมพันธ์ให้แนบแน่น เชอะ... แล้วเธอว่ายังไงล่ะ”
“ก็...
ใครจะไปยอม”
“ดีแล้วอิน
คนเราเจ็บแล้วต้องจำ ถ้าเคยผิดพลาด แค่ครั้งเดียวก็เกินพอ
หากเขากระเหี้ยนกระหือรือนัก ก็ให้ไปหาเอาข้างหน้า”
ตั้งแต่นั้นมา
ความสัมพันธ์ระหว่างอินทุอรกับปริยัติก็เหินห่างจากกัน ดีอยู่นิดหนึ่งตรงที่ว่า
ในระยะหลัง เพื่อนสนิทของหล่อน ไม่เคยเอ่ยถึงคืนแรกคืนนั้นอีกเลย
จนเมื่อกลางวันนี้ละ
ที่พายุร้ายตั้งเค้าทะมึนมาอีกคราว
ลลิตาเดาไม่ออกว่ามันจะจบสิ้นลงเมื่อไร
เสียงโทรศัพท์เรียกเข้ามาอีกครั้ง
พอเห็นชื่อที่โชว์บนหน้าจอ เรื่องอื่นก็หมดความสำคัญไปในทันที
“คะภาค...
เย็นนี้ทานข้าวกันไหมคะ”
ลลิตาเชิญชวนด้วยเสียงหวานหยด
“หลิวเครียดๆ
นิดหน่อย ทานข้าวแล้วค่อยไปนั่งฟังเพลงกันต่อ... นะคะ”
อินทุอรโทร.หาลลิตาจากที่บ้าน
เธอลาป่วย ขอตัวออกมาตั้งแต่ถึงเวลาเข้างานช่วงบ่าย
ยังครุ่นคิดอยู่ว่าจะทำอย่างไรดีกับชีวิต กระทั่งอาบน้ำ สระผม
ลงนอนแช่ในอ่างน้ำอุ่นอยู่ร่วมชั่วโมงแล้ว
ก็ยังหาทางออกให้กับอารมณ์หดหู่หม่นหมองไม่ได้
พอคิดว่าน่าจะลองเสี่ยงดวง
กลับไปที่ร้านนั้นดูอีกสักครั้ง ก็โทร.หาเพื่อนสนิท แล้วต้องรู้สึกเสียใจนิดๆ
ที่เพื่อนคู่คิดเพียงคนเดียวอย่างลลิตา รู้เท่าทันความคิด
และปฏิเสธการชักชวนกันง่ายๆ
อินทุอรลงจากห้องส่วนตัว
มาที่เคาน์เตอร์เครื่องดื่มในห้องโถงใหญ่ด้านล่าง
ผสมยินกับโทนิคพร้อมหย่อนมะนาวฝานชิ้นบาง คนให้เข้ากันอยู่เงียบๆ
ตอนคุณแม่บ้านเข้ามาเลียบเคียงถามไถ่
“ไม่สบายหรือคะคุณอิน หรือว่ามีอะไรไม่สบายใจ เอ๊ะ...
ทำไมทานเหล้าแต่หัววัน”
คุณสาวิกา
เป็นแม่บ้านคนเก่าแก่ ดูแลการงานทุกอย่างภายในบ้าน
และเป็นเสมือนมารดาของอินทุอรมากกว่าคุณโสภาพรรณ เพราะดูแลเธอมาตั้งแต่เกิด
จนมารดาแท้ๆ มาจากไป กระทั่งได้แม่เลี้ยงคนใหม่ คุณสาวิกาก็ยังคงรัก เอ็นดู
และคอยเอื้อเฟื้ออาทรอินทุอรอยู่ไม่เสื่อมคลาย
“เครียดๆ กับงานนิดหน่อยค่ะคุณสา บ้านเงียบเชียว
พิมกับคุณน้าไม่อยู่หรือคะ”
อินทุอรปรุงน้ำเสียงไม่ให้แห้งแล้งจนเกินไปนัก
“คุณโสภาออกไปธุระตั้งแต่สายๆ
ส่วนคุณคนเล็กเพิ่งออกไปเมื่อใกล้เที่ยงค่ะ”
พอบุตรสาวของเจ้านายทำท่าจะผละไป
คุณสาก็ต้องเอ่ยทักท้วง
“ถ้าเครียด
น้ำส้มเย็นๆ สักแก้ว แล้วนอนพัก จะดีกว่าไหมคะ”
“น้ำส้มกับการนอนพักต้องดีกว่าแน่นอนค่ะคุณสา”
เธอให้คำตอบเพียงแค่นั้น
แล้วเดินจากมาพร้อมความเย็นจัดของแก้วยินโทนิคในมือ
ปกติอินทุอรไม่ดื่มเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์
ที่จริง... ตั้งแต่พลาดพลั้งในคราวนั้น เธอก็ไม่แตะต้องอีกเลย เข้าใจจริงแท้
ที่เขาว่าริดื่มสุราก็มีแต่จะพาให้ชีวิตตกต่ำ
เธอจึงไม่ได้นึกอยากดื่มอีกเลยจนวันนี้
ยินโทนิคแก้วแรกในรอบเกือบปี
ล่วงคอลงไปร่วมครึ่งแก้ว มีรสชาติแบบที่เรียกว่าทำให้ระคายคอมากกว่าจะรื่นรมย์
กลิ่นอันควรหอมชื่นของเปลือกมะนาวสด กลับทำให้รู้สึกขมขื่นจนแทบอาเจียน แต่อินทุอรยังฝืนกลืนอึกต่อมา
ที่ทำท่าจะดื่มง่ายกว่าทีแรก
เมื่อหยุดดื่มแล้วชีวิตไม่ได้ดีขึ้น
แค่ปีละแก้วสองแก้วนี้จะเป็นไร
ถึงนึกไปอย่างนั้น
อินทุอรก็หมดกำลังใจละเลียดชิม อีกสองสามอึดใจต่อมาก็ดื่มจนหมด
ก่อนจะขึ้นมาถึงห้องนอนของตนเองด้วยซ้ำ
จากห้องนอน
ระหว่างจะเปิดประตูผ่านออกไปยังระเบียงด้านหลัง
อินทุอรรู้สึกว่าปั่นป่วนในช่องท้อง วิงเวียนจนต้องโผไปเกาะราวระเบียง
รู้สึกหน้ามืดคล้ายจะเป็นลม พยายามลืมตามองไปยังลานกว้าง แล้วแค่นั้น...
ทั้งหลายทั้งมวลในช่องท้องก็พุ่งย้อนขึ้นมา
ปากเปรี้ยวจนขม
เหงื่อซึมพร้อมรู้สึกร้อนอบ นึกไม่ถึงว่าตนเองจะคออ่อนถึงเพียงนี้
ค่อยทรุดกายลงนั่งพิง ความวิงเวียนยังไม่จางหาย จนกว่าที่ความมึนๆ ในหัวจะคลี่คลาย
ก็ต้องเป็นอีกพักใหญ่ๆ
อินทุอรน้ำตาซึม
นี่ไง ริอาจจะลิ้มรส แค่แอลกอฮอล์เจืออ่อนๆ ยังออกอาการถึงขนาดนี้
แล้วมีหรือที่คืนนั้น จะควบคุมสติสัมปชัญญะของตนให้คงมั่น
ถึงว่าเถิด
ทำไมคืนนั้นช่างหฤหรรษ์ พริบพราวพร่างพร้อยไปได้แม้แต่สัญญาณไฟจราจร
หรือกระทั่งแสงนีออนในห้องปรับอากาศเย็นฉ่ำของโรงแรมสุดหรู
ก็แลคล้ายแสงสุวรรณอันอุ่นนวล เชิญชวนให้เปลื้องปลดอาภรณ์ไปห่มทิพย์
เริงร่ายว่ายเวิ้งอยู่ในแดนสรวงสุธารส
เธอต้องประคองตัวเองกลับเข้าไปในห้อง ก้าวเข้าห้องน้ำ
แล้วเปิดก๊อกฝักบัวให้แรงสุด ก่อนจะหย่อนตัวลงข้างใต้
ปล่อยให้สายน้ำชะล้างความมึนเมาและคราบน้ำตา
น้ำเย็นกระทบผิวผ่าวอยู่อีกนาน
จนอินทุอรเริ่มหนาวยะเยือกเข้าไปในหัวใจ อยากนั่งอยู่ใต้สายน้ำต่อไปเพราะน้ำตายังริน
แต่เสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์ส่วนตัวก็ดังขึ้นขัดอารมณ์
ไม่มีใครนอกจากลลิตา
ที่กล้าเรียกสายซ้ำอยู่อย่างนั้น ตอนที่อินทุอรรีบบีบรวบผมไล่น้ำ
เช็ดเนื้อตัวจนเกือบแห้งสนิท สวมเสื้อคลุมผ้าขนหนูตัวโคร่ง ก่อนออกมารับสาย
“จ้ะ...”
การพูดจาอีกสองสามคำนั้นน่าแปลก เพราะเธอปลอดโปร่งขึ้นอย่างบอกไม่ถูก
ตั้งแต่กลับจากวัด
ไปส่งมารดาและคุณโสภาพรรณที่บ้าน แล้วกลับมาดูงานที่บิดาไหว้วานให้ตรวจสอบในบริษัท
ภาควัตก็ยังไม่มีกะจิตกะใจจะทำงานอยู่นั่นเอง
ยิ่งนึกถึงอาการเซ้าซี้จากเพื่อนใหม่ของมารดา
แล้วก็ยิ่งรำคาญใจ คนอะไรช่างเห็นแก่ตัวเห็นแก่ได้ถึงปานนั้น
ก่อนจะลาจาก
หากตนไม่เป็นคนกล้าขัดคำ พูดตัดบทไปว่า จะโทร.ไปถามลูกศิษย์หลวงพ่อท่านก่อนว่า
วันไหนไม่มีกิจนิมนต์ แล้วค่อยไป คุณโสภาพรรณคงไม่ยอมกลับง่ายๆ
เพราะจะให้มารดายืนยันให้ได้ว่า จะไปวันไหนแน่
กับเรื่องลูกสาวสุดรักสุดหวงนั่นอีก
ถึงภาควัตไม่อยากจำ ก็ต้องจำจนได้ ว่าหล่อนชื่อพิมพิกา อายุ การศึกษา
รสนิยมเป็นอย่างไร
ปฏิบัติตนหรือปรนนิบัติพ่อแม่ได้สมอย่างเยี่ยงกุลสตรีได้ดีถึงเพียงไหนนั้น
ผู้เป็นแม่ยกมาจาระไนซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดทางขากลับ
ดูเหมือนจะเหลืออย่างเดียวที่ไม่ได้ทำ
คือนำเธอคนนั้นขึ้นชั่งกิโล แล้วบอกขายให้กับเขาด้วยการคิดราคาตามน้ำหนัก
อะไรอย่างหนึ่งเข้ามาสะกิดใจภาควัต
ตั้งแต่ตอนอยู่ใต้ร่มศาลานั่นแล้ว
จนยิ่งต้องมาฟังถ้อยคำเลื้อยเฟื้อยของคุณนายคนนั้น
เขาก็รู้สึกว่าตนเองยิ่งฟุ้งซ่านหนัก
ผู้หญิง
ผู้หญิง ผู้หญิง มันเป็นสิ่งที่เขาถวิลหามาตลอดไม่ใช่หรือ
เหตุใดจึงรู้สึกเบื่อหน่ายได้ถึงเช่นนี้ ทั้งที่ครั้งหนึ่งถึงกับเคยบอกตัวเองว่า
ขาดสาวๆ เหล่านั้นไม่ได้ แต่วันนี้ทำไมถึงรู้สึกอ่อนเนือย
ไม่ว่าจะนึกถึงผู้หญิงคนไหนก็ตาม
ภาควัตต้องทบทวน ตั้งแต่วันไหนกันเล่า
ที่ความรู้สึกเช่นนั้นเข้ามาเกาะกุมในหัวใจ ตั้งแต่วันนั้นใช่ไหม...
เขาจำได้ไม่ลืม
โต๊ะนั้น
คือโต๊ะของพวกที่ชอบแสวงหาความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืน
คืนนั้นพวกเขามาไม่ครบคู่
และสุดท้ายก็เหลือหญิงสาวนั่งรออยู่เดียวดาย
เขาสังเกตการณ์อยู่ไม่ไกล
ตรงมุมที่สามารถมองเห็นใครๆ ผ่านเข้ามา แน่นอนว่าอย่างน้อยในคืนนั้น
เขาต้องได้อะไรติดไม้ติดมือกลับไปบ้าง
แต่ก็ไม่น่าจะกลายเป็นผู้หญิงคนนั้น...
เท่าที่ภาควัตมองเห็น
ท่าทางเธอช่างเก้กังเคอะเขิน คงเป็นครั้งแรกสำหรับการนัดบอดเช่นนั้น จะยิ้มจะพูดจาแต่ละครั้ง จึงจืดๆ เจื่อนๆ
จนกระทั่งเพื่อนร่วมโต๊ะล่ำลา ลับหายกันไปเป็นคู่ๆ
ก็ยังเหลือเธอนั่งอยู่ตรงที่เดิม
คงรอเจ้าของเก้าอี้ที่ว่างอีกตัวนั่นกระมัง
เธอคงกระสันฝันหวาน
อยากลองลิ้มชิมรสจนไม่อาจตัดใจ เขาก็อยากรู้นัก
ใครกันจะได้พาเธอไปชื่นรสอย่างที่ว่า
แล้วครู่เดียวนายคนนั้นก็เข้ามา
มาพร้อมแก้วไวน์ในสองมือ สาวเอยช่างอ่อนหัด ตอนนั้นละที่ภาควัตเห็นชัดๆ
ว่าเธอคงไม่คุ้นเคยกับจิ้งจอกราตรี
มีอย่างหรือ
ใครยื่นแก้วให้ก็รับมาดื่ม เขาจะผสมปรุงปนอะไรมาให้บ้างก็ไม่รู้
โชคดีของเธอ
ที่นายนั่นถูกผู้หญิงอีกคนลากคอไป และก็... ใช่... ในวินาทีนั้น ภาควัตก็คิด
โชคดีกำลังจะเป็นของตนเช่นกัน
ด้วยความคุ้นเคยกับบาร์เทนเดอร์
เพราะมานั่งรอสาวๆ ในร้านนี้อยู่บ่อยๆ ภาควัตจึงสืบหารหัสโต๊ะได้ไม่ยาก
แน่นอนว่ารหัสนั้นเป็นความลับ ที่จะรู้กันเฉพาะพวกที่ร่วมนัด
แต่ก็เพราะพวกร่วมนัดนั่นเอง ที่มักมาถามหาตำแหน่งของโต๊ะรหัสนั้นๆ
จากพนักงานหลังบาร์น้ำ
อะไรในไวน์ขาวนั่นคงแรงพอดู
เธอจึงยังนั่งมึนเหม่อ ยิ้มหัวให้ได้กระทั่งกับควันบุหรี่สีจาง
ทำท่าทางละเลียดอารมณ์ คล้ายกำลังเคลิ้มฟังซิมโฟนีวงใหญ่ในทำนองอ่อนละมุน
รออีกเป็นครู่ ที่เห็นว่าอาการนั้นของเธอยังไม่เสื่อมคลาย
เขาจึงเข้าไปทักทาย โปรยยิ้มหว่านเสน่ห์ และเริ่มบทสนทนาสนุกๆ ชวนขันแบบสุภาพชนพึงใช้ในการจีบสาว
ระหว่างพูดจาก็พิจารณา
ภาควัตจำหน้าตาและการแต่งเนื้อแต่งตัวของเธอได้ดี
คนที่แต่งตัวมิดชิดขนาดนั้นมาในการนัดบอด มีอยู่แค่สองประเภท
คือหากไม่ได้เป็นครั้งแรก
ก็เชี่ยวกรากเสียจนต้องปกปิดให้มิดเม้นเอาไว้ก่อน
ระหว่างบทสนทนา
เขาบอกไม่ถูกว่าเธอเป็นพวกไหน เพราะแววตาสู้ไฟ
พริบพราวอยู่ด้วยประกายแห่งความต้องการนั่น ยากจะคาดเดาว่า
เธอถูกมอมเมาหรือกำลังโปรยเสน่ห์
ภาควัตยังจำได้อีกว่า
เธอจะสั่งชาร้อนแต่เขาห้ามเอาไว้ แล้วเสนอค็อกเทลหอมหวานให้แก้วหนึ่ง
ตอนนั้นมีการท้าทายกันเล็กน้อย แล้วเธอก็รับคำท้า นั่นละที่เขาชอบนัก
ผู้หญิงที่ชอบรับคำท้า มักจะไปลงเอยบนเตียงกับเขาได้เสมอ
คืนนั้นชายหนุ่มผู้จัดเจนราตรีเช่นเขา
หยอดหย่อนคารมไหวหวามเข้าไปในความรู้สึกของเธอเรื่อยๆ เหมือนการค่อยเป่าลมแผ่วเข้าไปในกองไฟ ฝุ่นเถ้าไม่ได้คลุ้งขึ้นเลยสักนิด
ตอนที่เพลิงปรารถนาของเธอเริ่มลุกโหม
จะชื่ออะไรก็จำไม่ได้เสียแล้ว
คงไม่ได้ใช้ชื่อจริงในการแนะนำตัว เขายังบอกไปเลยว่า ผมชื่อบริสุทธิ์ นึกแล้วยังขำ
ที่เธอก็เชื่อดังนั้นโดยไม่ถามว่าจริงหรือไม่
ตอนชวนไปต่อกันนั่น
ยิ่งง่ายดาย แค่ชวนไปตากแอร์เย็นๆ หลบให้พ้นจากควันบุหรี่และแสงไฟวูบวาบ
ด้วยการให้สัญญาว่าจะพาไปส่งบ้าน ไม่ให้ดึกดื่นจนเกินไป
เธอแทบไม่มีสติตอนที่เขาประคองขึ้นไป
ถึงในห้องปรับอากาศฉ่ำเย็น มีแสงไฟเพียงริบหรี่ กับเตียงนอนอันกว้างขวาง
ตอนนั้นเขาไม่ได้ตะกรามไขว่คว้า
เพราะหญิงสาวที่ดูเหมือนจะดัดจริตได้จนไร้เดียงสาจริงๆ นอนระทดระทวยอยู่ตรงหน้า
เธอคงเมามายจริงจัง หรือไม่ก็เป็นนักเล่นละครชั้นเลิศ
ด้วยท่าทางขวยเขินสะเทิ้นอายที่ทำได้แนบเนียนขนาดนี้ เขาไม่เชื่อหรอกว่า
จะยอมขึ้นห้องกับใครได้ง่ายดายถึงเช่นนั้น
รสสัมผัสในค่ำคืนที่ผ่านเลย
ยังฝังลึกอยู่ในหัวใจ
ความตึงแน่น
เรียบเนียน และละมุนหอม ทุกซอกส่วนล้วนน่าทะนุถนอมคล้ายดอกไม้กลีบบาง
ภาควัตไม่ลืมจนวันนี้ว่า ใช้สายตาเกลี่ยไล้วนเวียนอยู่กับร่างเปล่านั่น
เนิ่นนานถึงเพียงไหน
แล้วอะไรบางอย่างก็บันดาลให้เขาผลุนผลันจากมา
จะว่าเป็นความละอายก็ไม่น่าใช่
หรือจะเป็นความไม่สบใจ ก็ยิ่งไม่ควรเป็น จนบัดนี้ภาควัตยังไม่เข้าใจ
ลูกไก่อยู่ในกำมือแล้วแท้ๆ ทำไมถึงปล่อยให้หลุดรอด
รู้แต่เพียงว่าสาวน้อยที่ยังบริสุทธิ์ผุดผ่องเช่นเธอ
ไม่ควรต้องมาได้รับการกระทำเช่นนั้น และเขาก็ไม่ใช่สุภาพบุรุษพอ
ที่จะนั่งอยู่ข้างๆ ร่างเปล่าเปลือย รอให้เธอฟื้นตื่นแล้วพากลับไปส่งบ้าน
ภาพนั้นยังติดตาตรึงใจมาจนบัดนี้
มันแลคล้ายศิลปกรรมอันแสนวิจิตร ที่เทพแห่งศิลปิน
บรรจงทิ้งฝีมือไว้ให้มวลมนุษย์ได้ประจักษ์
ความบอบบางนั่นชวนให้ถนอมไว้มากกว่าจะจับต้องให้ชอกช้ำ
แต่ใครเล่าจะอดทนจดจ้องความบอบบางนั้นได้นิ่งนาน โดยไม่คิดสัมผัสจับต้อง หรือรวบรัดเอาเป็นเจ้าของ
จนวันนี้ภาควัตยังบอกตัวเองได้ว่า
ถึงเขาจะร้ายแต่คงไม่ถึงกับเลว อาจเคยได้ชื่อว่าเป็นเสือผู้หญิง
แต่อย่างน้อยก็ไม่เคยฉวยโอกาสกับเนื้อสาวที่ไร้หนทางต่อสู้
แน่นอนว่าเขาติดใจเธอ
อยากได้พบเจออีกสักครั้ง หากคืนนั้นไม่ใช่เป็นคืนสั่งลา ก่อนต้องบินไปอีกซีกโลกในตอนเย็นวันถัดมา
เขาคงหวนกลับไปหา ซึ่งเชื่อแน่ว่าเธอก็คงเช่นกัน
อีกร่วมปีที่บิดาไม่ยอมให้กลับมา
ให้อยู่ไปจนกว่าจะจัดการตัวเองได้
ให้อยู่ไปจนรู้สึกว่าเป็นผู้ใหญ่พอจะรับสืบทอดกิจการงานใดๆ ได้บ้างแล้วนั่นละ
เขาถึงเพิ่งได้กลับมาเมื่อสามสัปดาห์ที่แล้ว
ภาควัตกลับไปที่ร้านนั่นทันที ตั้งแต่คืนแรกที่มาถึง
ซุ่มสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ กับการนัดบอดของโต๊ะนั้น เขายังจำผู้หญิงคนนั้นได้
คนที่เข้ามาพร้อมกับเธอในคืนนั้น หล่อนยังสวยบรรเจิด
และไม่รีรอจะผละจากกลุ่มคนในโต๊ะ เพื่อมาคลอเคลียอยู่กับเขา
แต่ภาควัตต้องหาจังหวะอีกหลายครั้ง
ในการจะถามถึงผู้หญิงอีกคน กับหล่อนที่ทำท่าจะหลงรักตนแบบหัวปักหัวปำ
กระทั่งวันนี้
วันที่พยายามรักษาระยะของความสัมพันธ์ ไม่ให้เลยเถิดมากเกินไป
เขาก็ยังไม่มีโอกาสจะถามไถ่กับหล่อน ถึงเรื่องผู้หญิงคนนั้น
“พอดีจะโทร.มาบอกเหมือนกันครับว่าผมติดธุระ
เอาไว้เป็นคืนพรุ่งนี้ดีไหม”
นั่นคือประโยคที่เขาตอบออกไป
ตอนที่หล่อนเอ่ยชวนไปทานมื้อเย็น
แล้วลลิตาก็ทำน้ำเสียงไม่พออกพอใจ
ตามจริตที่แพรวพราวของหล่อนนั่นละ
“งั้นก็ตามสบายนะคะ หลิวก็มีเพื่อนฝูงคนอื่นเหมือนกัน
ถ้าไปกับเขาบ้าง ภาคจะว่ากันไม่ได้นะคะ”
ภาควัตเกือบจะเอ่ยคำว่า
“ก็ตามใจ...” ออกไปแล้ว แต่ยั้งเอาไว้
ไม่อยากให้ความสัมพันธ์ก้าวหน้าล้ำลึกไปกว่านี้ก็จริง
แต่ก็ไม่อยากตัดรอนให้เด็ดขาด เพราะลลิตาคือสะพาน
ที่จะสามารถเชื่อมโยงไปถึงเธอคนนั้น
ที่ผ่านมาหล่อนไม่เคยเอ่ยถึงเพื่อนคนอื่นๆ
ไม่ว่าหญิงหรือชาย ภาควัตรู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล เขารอมาจนวันนี้
วันที่หล่อนเริ่มเอ่ยถึงเพื่อนคนอื่นๆ ไว้พรุ่งนี้จะแกล้งถามว่า
คืนนี้หล่อนได้ไปรับมื้อค่ำกับผู้ใด
“อย่านอนดึกนะครับ
ถ้าเครียดๆ ผมว่ากลับบ้านพักผ่อนจะดีกว่า”
ไม่ทันจบประโยคหรอก
ตอนที่ลลิตาตัดสายไป ด้วยอาการงอนเต็มที่
****************
ความคิดเห็น