ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พรายเสน่หา*

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1

    • อัปเดตล่าสุด 28 เม.ย. 56


    บทที่ 1




    ในที่สุดจริงๆ งานเลี้ยงคืนส่งท้ายปีเก่าที่ร้านสุรากรุงเกษมก็จบลงจนได้

    แม้ว่าคุณเขมจะขอร้องให้พนักงานทุกคนมาทำงานในคืนนี้ แต่ก็มีเพียงฉัน โปร่งและวรรณา แค่สามคนเท่านั้น ซึ่งก็ไม่แปลก เพราะเราสามคนล้วนต้องการทำมาหากินมากกว่าจะไปมัวสนุกสนานไร้สาระ

    อันที่จริง การทำงานที่ร้านนี้ก็ไม่ได้ทุกข์ทรมานอะไรนัก คนสวยๆ กว่าฉันก็มีมากมาย ฉันก็เป็นแค่หางแถวในจำนวนนั้น ซึ่งอย่างน้อยฉันก็ภูมิใจอยู่ว่า ยังมีคนที่ยอมรับความสามารถของฉันอยู่บ้าง

    ขณะทำความสะอาดพื้น ฉันต้องตั้งสติให้มั่นๆ ว่าต้องไม่เอ่ยปากบ่นเรื่องที่มีเศษริบบิ้นยุ่งเหยิง เสี้ยวของกระดาษฟอยด์สารพัดสี ที่เก็บกวาดยากเย็นสิ้นดี เพราะเราคุยกันเป็นพันครั้งได้แล้วมั้ง และมันก็ไม่เคยมีอะไรเปลี่ยนแปลง

    คุณเขม มีท่าทางอ่อนล้าอย่างเห็นได้ชัด แต่แววตาและใบหน้าฉาบยิ้มตอนที่กำลังนับเงินอยู่นั่น ก็ทำให้ฉันรู้ว่าเช้านี้เขาคงนอนหลับฝันดี

    แล้วเขาก็คว้ามือถือขึ้นมากด

    “เฉลิมใช่ไหม ผมพร้อมจะไปธนาคารแล้วนะ เจอกันที่ประตูหลัง”

    เฉลิมคือร้อยตำรวจโทหญิงร่างใหญ่ ที่คอยอำนวยความสะดวกในการพาคุณเขมไปฝากเงินแถวถนนข้าวสาร โดยเฉพาะเวลาที่มีเงินสดก้อนโตอยู่กับตัวเช่นนี้

    คืนนี้ฉันก็รวยเหมือนกัน ได้ทิปเพียบ คำนวณคร่าวๆ ก็น่าจะมากกว่าหมื่นห้า ลูกค้ากระเป๋าหนักพวกนี้ใช้เงินเป็นกระดาษ ซึ่งโปร่งและวรรณาต้องได้มากกว่าฉันแหงๆ

    และฉันก็รู้ตัวดีว่าต้องใช้เงินทั้งหมดที่ได้มาในคืนนี้ แต่ถ้าสมองยังมีแรงพอ ก็คงมีโอกาสคิดหาทางเก็บพวกมันเอาไว้บ้าง ทว่ากว่าจะกลับถึงบ้าน ฉันก็คงไม่เหลือสติเอาไว้ป้องกันความคิดของตัวเอง ไม่ให้มันหลั่งไหลไปกับการหาหนทางใช้จ่ายสารพัดสารพัน เผลอๆอาจถูกความคิดของคนอื่นสอดแทรกเข้ามาเสียอีกด้วย

    เธออาจจะงง ถ้าฉันกำลังบอกว่า คนมีโทรจิตนี่น่ะ ไม่ได้มีชีวิตอย่างปกติสุขได้ง่ายๆ เลย หนำซ้ำบางครั้งยังต้องเป็นทุกข์อีกต่างหาก

    และคืนที่ผ่านมานี่ ก็แย่ที่สุด เป็นคืนที่แสนจะเลวร้าย นอกจากความแน่นขนัดของบรรดาลูกค้าที่รู้จักหน้าค่าตากันดีอยู่แล้ว พวกเขายังพยายามจะพูดกับฉัน หาทางพูดกับฉันแบบพวกที่ปากกำลังคันคะเยอ กับข่าวลือล่าสุด

    “ได้ยินว่าแฟนเธอจะไปอินเดีย” นายกอบเงิน เจ้าของธุรกิจขายตรงระดับเพชร เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงมีเลศนัย “เธอก็ต้องนอนเหงาอยู่คนเดียวละซี”

    “ไอ้กอบ เอ็งก็เสนอตัวเป็นหมอนข้างซะเลย”

    ชายอีกคนที่อยู่ข้างกันเลยแหย่เข้ามา เรียกเสียงฮาครืนให้กับทั้งกลุ่ม

    “โนเวย์ แปลว่าไม่มีทาง ไอ้เผือกเอ๋ย คนอย่างข้าไม่มีทางกินเดนพวกเปรตพวกนั้น”

    “สุภาพหน่อยค่ะ ไม่อย่างนั้นจะให้การ์ดมาเชิญคุณออกไปเดี๋ยวนี้”

    ฉันบอกสั้นๆ แต่เฉียบขาด ก่อนที่จะรู้สึกว่ามีลมหายใจของใครมาเป่าอยู่ตรงต้นคอ เป็นคุณเขมนั่นเอง เขาสูงมากจนมองข้ามไหล่ฉันได้สบายๆ

    “มีอะไรกันหรือครับ”

    เขาเอ่ยถามอย่างสุภาพ

    “เขาแค่... กำลังจะขอโทษฉันค่ะ”

    ฉันไม่ได้หันไปตอบ เพราะยังจ้องตาตรงๆ อยู่กับทั้งสองคนตรงหน้า ซึ่งทั้งคู่ก็หันกลับไปทางเคาน์เตอร์ทันที

    “ขอโทษนะลิน”

    เสียงของนายกอบเหมือนคนพึมพำกับตัวเองมากกว่า ขณะที่ถวัลเจ้าของโรงงานเผือกกระป๋องอันดับต้นๆ ของเมืองไทยก็รีบพยักพเยิด ฉันเลยผงกหัวให้นิดๆ เป็นอันว่าแล้วกันไป ก่อนจะหันไปรับออร์เดอร์ของลูกค้าคนอื่นๆ

    แต่คำถามของนายเจ้าของธุรกิจขายตรงระดับเพชรนั่น ก็ทำให้ฉันยังเจ็บปวด

    ทำไมเขาจะไม่คิดอย่างนั้นจริงๆ แต่ที่สำคัญคือ เขาคงคิดว่าฉันยังไม่รู้ เพราะใครๆ ก็ต่างไม่รู้ ด้วยว่าคู่ของเรา ฉันกับอรัญ ต่างคนก็ไม่ค่อยคุยเรื่องของเราให้คนอื่นฟัง

    กับตัวฉันเอง กระทั่งกับโปร่งและยวนเพื่อนสนิทสุดๆ ฉันยังไม่ค่อยจะบอกอะไร

    นั่นล่ะ การที่นายกอบทองกล้ามาพูดกับฉันอย่างนี้ ก็ย่อมตั้งใจจะทำร้ายกันชัดๆ นอกจากเจตนาแอบแฝงชั่วๆ นั่น

    ที่ฉันพบอรัญครั้งสุดท้าย (ก่อนที่จะเขียนจดหมายไปอ้อนขอพบอีกรอบนั่น) คือตอนที่ฉันเอาโน้ตบุ๊คกับดิสต่างๆ ที่เขาเคยเอามาฝากซ่อนไว้ที่ฉัน ใส่ลังพลาสติกแล้วเอาออกมาวางไว้หน้าบ้าน กะเวลาว่ามืดพอดีจึงค่อยออกจากบ้าน เพราะไม่อยากทิ้งพวกมันไว้อย่างนั้นนานเกินไป ตอนที่ฉันถอยรถออก เขาก็โผล่มาพอดี แน่นอน ฉันไม่ได้หยุดรถ

    ถ้าเป็นผู้หญิงร้ายๆ คนอื่นมีหรือที่จะทำอย่างฉัน ถ้าไม่เอาไปให้มันไตรเจ้านายของเขา หรือไม่ ถ้างกเสียหน่อย ก็อาจเอาไปขายทิ้ง หลังจากประกาศห้ามไม่ให้ทั้งอรัญและมันไตรเข้ามายุ่มย่ามในบ้านฉันโดยไม่ได้รับอนุญาต

    นึกถึงตรงนี้ ฉันก็ภูมิใจนิดๆ อยู่นะ ที่ตัวเองไม่ใช่คนนิสัยเสียหรือโหดร้ายอะไรนัก

    ที่จริงโปร่งบอกฉันตลอดละว่า ฉันใจดีเกินไป ใจดีจนทำให้ตัวเองต้องเดือดร้อนอยู่บ่อยๆ ซึ่งฉันก็เถียงตลอดว่า ไม่จริง

    เรื่องของคืนนี้ยังไม่จบ

    หลังจากนายถวัลกับนายกอบทองพูดกับฉันเรื่องนั้นแล้ว อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง โปร่งก็หาโอกาสเดินเข้ามาคุยด้วย หล่อนลูบไหล่ฉันเหมือนจะเป็นการช่วยปลอบใจอยู่กลายๆ

    “ไอ้พวกที่ญาติผู้ใหญ่ไม่ค่อยสั่งสอนอย่างนั้น เธอไม่ต้องไปสนใจมันหรอกนะ”

    โปร่งกระซิบเหี้ยมๆ

    “เราไม่ได้ขอมันกินซะหน่อย”

     ฉันทำได้แค่พยักหน้าของใจเพื่อนอย่างเนือยๆ ไม่รู้หรอกว่าโปร่งพูดถึงนายลูกค้าสองคนนั่น หรือพูดถึงอรัญของฉัน ดีที่ลูกค้าอีกโต๊ะหันมาเรียก ฉันจึงได้โอกาสรีบผละไปทำงาน

    หลังจากเสิร์ฟเสร็จ ก็อดไม่ได้ที่จะต้องมาตั้งคำถามกับตัวเอง

    ‘อรัญเคยทำอะไรให้ฉันบ้าง’

    และก็ต้องไปเสิร์ฟอีกถึงสามโต๊ะกว่าที่จะนึกออก

    พูดกันอย่างตรงไปตรงมา เขาเป็นคนแรกที่สอนให้ฉันรู้จักกับเรื่องบนเตียงอย่างลึกซึ้ง... ซึ่ง... ฉันว่ามันวิเศษที่สุด นอกนั้นเขาก็แนะนำให้ฉันรู้จักกับพวกพรายอีกหลายตน อันนี้ฉันไม่ได้พอใจอะไรเลย

    และแน่นอน เขาเคยช่วยชีวิตฉัน ในข้อนี้ หลังจากที่ทบทวนดีๆ แล้ว อันตรายพวกนั้นจะไม่เกิดขึ้นเลย ถ้าฉันไม่ได้คบหากับเขาตั้งแต่แรก

    หนำซ้ำ ฉันยังเคยช่วยชีวิตเขาด้วยเหมือนกัน นั่นทำให้เราไม่ต้องเป็นหนี้ชีวิตแก่กัน

    อ้อ! เขาเคยเรียกฉันว่า “สุดที่รัก” ด้วยนะ ตอนที่เขาคงยังรู้สึกรักฉันจริงๆ นั่นน่ะ

    ยังไงก็เถอะ ฉันก็คงดีใจอยู่ดี ถ้าเขากลับมา เพราะอรัญเป็นเพื่อนบ้านหลังเดียวในละแวก ที่ดินโบราณที่ได้รับเป็นมรดกตกทอด ซึ่งระหว่างบ้านฉันกับเขา ก็มีเพียงแค่สวนเก่าโบราณคั่นอยู่ตรงกลาง โดยมีถนนตัดใหม่ ตัดขนานไปกับเขตที่ดินทุกแปลงที่พูดถึงนี้ ตรงด้านทิศตะวันตก

    “ได้ยินว่าพารัญไปพม่า” สิทธาพี่ชายของฉัน เดินมาพูดด้วย ทั้งที่แขนข้างหนึ่งยังโอบเอวคู่ใหม่ที่เพิ่งได้พบเจอกันเมื่อกี้นี้เอง หล่อนเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ รูปร่างบอบบาง แต่มีผิวพรรณขาวผ่อง คำนวณอายุไม่ได้ถ้าดูจากเครื่องสำอางที่ฉาบอยู่บนใบหน้า ทว่าหลังจากที่ฉัน “เพ่ง” พิจารณาอย่างละเอียดแล้ว สิ่งที่ฉันได้รู้โดยที่พี่ชายยังไม่ระแคะระคายก็คือ

    หล่อนเป็นพวกมนุษย์แปลง หรือถ้าจะพูดให้ถูกคือ เป็นพวกสัตว์สมิง ที่สามารถแปลงรูปร่างหน้าตาให้เหมือนกับคนทั่วไปได้

    เวลาเดียวที่แปลงร่างเป็นมนุษย์ไม่ได้คือคืนพระจันทร์เพ็ญ

    ถึงเวลานี้ หล่อนจะสวยจับตาจับใจ แต่ถ้าถึงวันพระจันทร์เต็มดวงเมื่อไหร่ หล่อนก็จะกลับกลายเป็นสัตว์ต้นกำเนิด จะเป็นสัตว์ปีก สัตว์บก สัตว์น้ำ หรือสัตว์เลื้อยคลาน อันนี้ก็สุดจะหยั่งรู้

    และฉันก็สังเกตเห็นว่า คุณเขมก็จ้องหล่อนเขม็งเช่นเดียวกัน เอิ่ม... เฉพาะเวลาที่พี่ชายของฉันหันมองไปทางอื่นน่ะนะ

    ซึ่งฉันเข้าใจเจตนาของคุณเขมดี ที่จ้องหล่อนอย่างนั้น ก็เพราะต้องเตือนสติหล่อนว่า อย่าคิดจะทำอะไรเกินขอบเขตของความสัมพันธ์ชั่วข้ามคืนเป็นเด็ดขาด

    ที่น่ากลัวก็คือ หล่อนก็จ้องกลับอย่างไม่สะทกสะท้าน นั่นทำให้ฉันค่อนข้างแน่ใจว่า หล่อนต้องไม่ใช่สัตว์สมิงประเภทกระต่ายน้อยหรือลูกแมวยั่วสวาทแน่ๆ

    อยากจะลองอ่านใจหล่อนดูเหมือนกัน แต่การอ่านใจสัตว์สมิงไม่ใช่เรื่องง่ายๆ เพราะภาพในหัวของภูตประเภทนี้มักจะเต็มไปด้วยสีแดงฉาน และมีเสียงข่มขู่คุกคามอยู่ตลอดเวลา เหมือนเข้าไปติดอยู่ในพายุโลหิต ที่ยากจะหาทางออก ซึ่งพวก ‘ธร’ ก็เป็นแบบเดียวกัน

    คุณเขมก็เป็นพวกสัตว์สมิง ไม่ได้เป็นเสือแต่ก็มีอันตรายไม่ต่างกัน เวลาพระจันทร์เพ็ญ หลายครั้งที่เขาเป็นร่างเป็นหมาดำตัวใหญ่ และวิ่งไปถึงบ้าน ซึ่งฉันก็ต้องหาอะไรมาให้กิน แล้วก็ปล่อยให้นอนอยู่ที่ระเบียงหลังบ้าน หรือถ้าฝนตก ฉันก็จะอนุญาตให้มานอนในห้องนั่งเล่น

    นั่นเพราะฉันจะไม่ยอมให้เขาในร่างหมาดำตัวใหญ่มานอนในห้องนอนอีกแล้ว เนื่องจากพอเขากลายร่างกลับเป็นมนุษย์ ร่างกายของเขาจะเปลือยเปล่า และมันก็เป็นภาพที่... ยั่วยวนใจเป็นอย่างมาก ชนิดที่ว่า ถ้าเขาไม่ลืมตาขึ้นมามอง ฉันก็คงยังไม่ยอมละสายตาเป็นเด็ดขาด แล้วจะให้ฉันทนยอมให้เขาเข้ามาในห้องนอนเป็นครั้งที่สองที่สามได้อย่างไร

    แต่นี้ยังไม่ใช่คืนพระจันทร์เต็มดวง แสดงว่าสิทธาพี่ชายฉันจะปลอดภัย ฉันเลยตัดสินใจอุบสิ่งที่ได้รู้เอาไว้ก่อน ก็คงเหมือนกันความลับอื่นๆ ที่หลายคนมีอยู่แล้วไม่อยากบอกใครๆ เพียงแค่ของคู่เดตในคืนนี้ของพี่ชายฉัน ออกจะเป็นความลับที่น่ากลัวและเสี่ยงไปหน่อยเท่านั้นเอง

    นอกจากหล่อนกับคุณเขม ซึ่งเป็นสัตว์สมิงในคืนนี้แล้ว ยังมีพวกอมนุษย์อีกสองตน ที่เข้ามาใช้บริการในร้านเหล้ากรุงเกษม

    ตนแรกเป็นสาวสวยหุ่นนางแบบ แต่งตัวด้วยเสื้อผ้าสีจัดจ้าน คือสวมเสื้อรัดรูปแขนยาวลายเสือดาว กับกางเกงหนังแนบเนื้อสีน้ำตาลอ่อน หล่อนไว้ผมตรงยาวสลวย แต่งหน้าสีเข้ม และนั่งอยู่คนเดียวตรงเคาน์เตอร์บาร์น้ำ ด้วยท่าทางเหมือนจะอ่อยเหยื่อให้ผู้ชายทั้งโลกเข้าไปติดกับ ฉันไม่รู้หลอกว่าหล่อนเป็นอมนุษย์ประเภทไหน เพียงแต่ระบบแสงสีในคลื่นความคิดนั่น ไม่ใช่ของพวกมนุษย์แน่ๆ

    ส่วนอีกตนหนึ่งเป็นพราย ไม่แน่ใจว่าเป็นประเภทเดียวกับอรัญหรือไม่ ตนนี้เข้ามาพร้อมกับสาวสวยและหนุ่มหล่ออีกกลุ่มหนึ่ง ดูเหมือนทั้งหมดจะเป็นพวกเริ่มวัยทำงาน ซึ่งฉันไม่เคยเห็นหน้ามาก่อนสักคนเดียว แต่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ที่เดี๋ยวนี้คนกับพรายจะคบหาเป็นเพื่อนกินเพื่อนเที่ยวกันได้ทั่วไป

    นับจากคืนนั้น เมื่อสองปีก่อนที่บรรดาภูตพรายทั่วโลกได้พร้อมใจกันออกสื่อ เสนอหน้าผ่านจอโทรทัศน์พร้อมกันทั่วโลก เพื่อประกาศความจริงว่าพวกเขาก็มีตัวตน เป็นพลโลกอีกประเภทหนึ่งเช่นกัน นั่นเป็นการปิดฉากตำนานภูตพรายต่างๆ ที่เชื่อกันว่าเป็นเพียงเรื่องเล่าขานสืบต่อกันมา

    การประกาศตัวเพื่อออกมาอยู่ร่วมสังคมมนุษย์คราวนั้น เป็นผลมาจากที่อินเดียได้สังเคราะห์อาหารพิเศษสำหรับพวกเขาขึ้นมาได้สำเร็จ ที่คือโลหิตเทียม ที่ให้รสชาติสีสัน กลิ่นและรสสัมผัสยามเมื่อกระทบถูกลิ้นของบรรดาภูตพรายที่จำเป็นต้องดื่มโลหิตเพื่อต่อชีวิต

    ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ประเทศมหาอำนาจอย่างจีน อเมริกา หรือญี่ปุ่นก็เปิดนโยบายเกี่ยวกับการอยู่ร่วมสังคมกันของมนุษย์และอมนุษย์ ซึ่งก็ต้องให้เวลาไม่น้อยและต้องปรับเปลี่ยนทัศนคติการอยู่ร่วมกันของทั้งสองฝ่ายกันอยู่พักใหญ่

    พวกภูตพรายแต่ละประเภทจึงรวมตัวกันก่อตั้งสมาคมของตนเองขึ้นเพื่อดูแลและประสานงานกับฝ่ายรัฐ พยายามอธิบายเงื่อนไขในการใช้ชีวิตและยืนยันในความปลอดภัยของผู้คนทั่วไป ตราบใดที่ไม่มีใครคิดทำร้ายหรือทำลายพวกเขาก่อน

    รายละเอียดเหล่านี้มันไตรและอรัญเล่าให้ฉันฟังหลังจากที่เราได้รู้จักกัน ซึ่งอย่าถามฉันนะว่ามีความสุขหรือสนุกมากไหมกับการได้ล่วงรู้ข้อมูลพวกนี้

    เพราะฉันจะตอบว่าไม่ ไม่อย่างแน่นอน มันไม่ใช่ความสุขหรือความสนุก ฉันรับรองได้

    แต่ก็ต้องยอมรับว่าพวกอมนุษย์ประเภทอื่นก็ยังมีอยู่อีกมากมายในโลก หลายพวกน่าสนใจไม่น้อย การที่ฉันทำงานกลางคืนในสถานเริงรมย์แห่งนี้ ทำให้ได้รู้จักพวกพรายมากหน้าหลายตา รวมทั้งได้เรียนรู้ชีวิตของพวกสัตว์สมิง และพวก ธร หรือพิทยาธร อีกด้วย

    ฉันได้รู้ว่าแสงอาทิตย์นั้นแผดจ้าเกินไปสำหรับพวกเขา ทำให้ชอบอยู่ในกลางคืน อยู่ในที่มืด และพวกสัตว์สมิงกับพวกพิทยาธร ต่างพากันจับตามองดูปฏิกิริยาของผู้คนที่มีต่อภูตพรายที่ออกจะสนุกสนานกับการได้ออกมาอยู่ร่วมสังคมกับมนุษย์ทั่วไป

    ทั้งหมดที่ผ่านมาทั้งคืนที่เล่าให้ฟังนี้ คงทำให้เธอเข้าใจว่า ฉันมีเรื่องต้องคิดเยอะขนาดไหน ระหว่างต้องเก็บกวาด ก่อนจะกลับเข้าไปช่วย แผ่ พ่อครัวคนใหม่ เก็บล้างและทำความสะอาดในครัว


    หลังจากทุกคนรุมช่วยเก็บกวาดในครัวจนเรียบร้อย จึงถึงเวลาล่ำลากันเสียที ฉันกอดโปร่งแล้วอวยพรให้เพื่อนสนิทโชคดีตลอดปีใหม่นี้ ส่วนวรรณามีแฟนมารอรับอยู่ที่หลังร้าน หล่อนจึงรีบกล่าวคำอำลาแล้วลับตัวไปอย่างรวดเร็ว

    “ปีใหม่นี้พวกคุณอยากได้อะไรกันบ้าง”

    คุณเขมเอ่ยขึ้นตอนที่พวกเราทยอยเดินออกมาพร้อมสัมภาระประจำตัว

    ร้อยตำรวจโทหญิงเฉลิมนั่งอิงๆ บนเก้าอี้ตัวสูงหน้าเคาน์เตอร์ ภายใต้สีหน้าที่เรียบๆ เรื่อยๆ นั่น ฉันรู้ดีว่าหล่อนตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา ในช่วงบ่ายๆ หล่อนมักจะแวะเข้ามากินอะไรสักจานสองจานพร้อมกับสายตรวจคู่หู ซึ่งเป็นชายหนุ่มหนาตาซูบๆ เหมือนคนไข้ในโรงพยาบาลมากกว่าจะเป็นร้อยตำรวจเอกจอมทระนง

    สองแขนฉันปวดเมื่อยเกินกว่าจะช่วยคุณเขมยกเก้าอี้ขึ้นบนโต๊ะ เพื่อให้พนักงานอีกคนมาทำความสะอาดในช่วงสาย

    “ก็อยากมีความสุข สุขภาพแข็งแรง ได้เจอผู้ชายดีๆ สักคน”

    โปร่งตอบด้วยท่าทางกุมมือกันไว้ระหว่างอก ในท่าเด็กหญิงน้อยๆ กำลังอธิษฐานของพรกับพระผู้เป็นเจ้า นั่นทำให้พวกเราต่างพากันหัวเราะออกมา

    ก็โปร่งมีแฟนออกเพียบไป หนำซ้ำยังผ่านการแต่งงานมาแล้วตั้งสามครั่ง แต่เธอก็ยังไม่วายมองหา “เนื้อคู่” อยู่ต่อไป และฉันก็แอบได้ยินความคิดของเพื่อนสนิทที่ว่า พี่แผ่ พ่อครัวคนใหม่นี่ละที่ใช่เลย ฉันเลยเผลอทำหน้าตกใจ ตอนที่โปร่งพูดอย่างนั้น และเธอก็จ้องหน้าฉันเขม็ง เพราะรู้ถึงความสามารถพิเศษของฉันเป็นอย่างดี

    “ทำไมล่ะ มันไม่เหมาะสมกันหรือไงจ๊ะ”

    แล้วโปร่งก็เอ่ยปากออกมา

    “ไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้นสักหน่อย ฉันเพียงแค่แปลกใจ”

    ขัดใจตัวเองเหมือนกันที่ไม่รู้จักตีสีหน้าเรียบๆ เวลาไปรู้ความคิดของคนอื่น

    “ปีนี้แหละที่เธอคงจะได้เจอเนื้อคู่เสียที”

    เพราะความเหน็ดเหนื่อยนั่นละ ที่ทำให้ฉันควบคุมสมาธิและสีหน้าได้อย่างยากเย็น

    ด้วยความที่ไม่ยากให้โปร่งระแคะระคายว่าอ่านความคิดอะไรจากเธอได้อีกบ้าง ฉันหันไปคุยกับคุณตำรวจหญิง

    “พี่เหลิมล่ะคะ อยากทำอะไรในปีใหม่นี้บ้างหรืออยากให้เกิดอะไรขึ้นในปีนี้”

    “ก็ อยากให้พวกผู้หญิงผู้ชาย พ่อบ้านแม่บ้านทั้งหลายเลิกทะเลาะตบตีกันน่ะซีคะ สังคมมันจะได้สงบสุขกันเสียที”

    คุณตำรวจหญิงพูดด้วยสีหน้าเรียบๆ ตามแบบฉบับของหล่อน

    “พวกตำรวจจะได้ทำงานสบายขึ้นบ้าง ส่วนความตั้งใจก็คือจะเพิ่มการซิตอัพให้ได้วันละสองร้อยครั้ง”

    “โอ้โห!” โปร่งเผลอร้องออกมา “ส่วนโปร่งเอง ตั้งใจจะลดน้ำหนักลงให้ได้อีกสี่กิโล”

    คราวนี้ทุกคนฮาตรึม เพราะที่พูดมานี้ คือความตั้งใจตั้งแต่ห้าปีก่อนโน้นของเธอ

    “แล้วคุณเขมล่ะคะ ตั้งใจจะทำอะไรบ้าง”

    “ไม่ต้องการอะไรแล้วละ ผมว่าผมมีครบหมดแล้ว”

    ระหว่างคำพูดนี้ คลื่นความคิดที่แผ่ออกมาบอกได้ว่า มันเป็นความสัตย์จริงที่สุด

    “ผมเลยตั้งใจจะอยู่อย่างนี้ต่อไป อยู่อย่างที่เป็นอยู่ เพราะที่นี่ผู้คนก็น่ารัก อัธยาศัยไมตรีดีๆ กันทั้งนั้น”

    ฉันต้องอมยิ้ม เมื่อรู้ว่าความหมายที่แฝงอยู่ในคำพูดของคุณเขมคืออะไร

    “แล้วลินล่ะ...”

    เจ้าของร้านย้อนถามฉันบ้าง ทำให้คนที่เหลือหันมามองฉันเป็นตาเดียว จนฉันต้องแก้เขินด้วยกันขยับเข้าไปกอดโปร่งอีกครั้ง เราเป็นเพื่อนสนิทกันตั้งแต่ฉันเริ่มเข้ามาทำงานที่นี้ แม้ว่าโปร่งจะอายุมากกว่าฉันถึงสิบเอ็ดปีก็ตาม

    “บอกมาเถอะน่า”

    โปร่งแกล้งผลักฉันออก แล้วช่วยย้ำถาม

    คุณเขมเข้ามาแตะไหล่ ส่วนคุณตำรวจหญิงแค่ยิ้มให้ ก่อนจะผละไปคุยกับพี่แผ่ในครัว

    ไม่รู้เกิดอะไรขึ้น จึงทำให้ฉันโพล่งออกไปว่า

    “ก็อยากให้ไม่ถูกรุมซ้อมจนปางตายอีก” น้ำเสียงฉันคงท้อแท้จนทุกคนรู้สึกได้ไม่ยาก “ไม่อยากนอนโรงพยาบาลน่ะ ขี้เกียจตอบคำถามพวกคุณหมอๆ ทั้งหลาย”

    และฉันก็ไม่อยากได้รับบริจาคโลหิตจากพวกพรายอีกแล้ว ถึงมันจะช่วยให้ฉันหายเร็วขึ้น และแข็งแรงขึ้นกว่าเดิมก็ตาม แต่ผลข้างเคียงมันก็มากมายเกินไป

    “ส่วนที่ตั้งใจไว้ในปีนี้ก็คือ ต้องอยู่ห่างจากเรื่องเดือดร้อนต่างๆ ให้มากที่สุด”

    ประโยคนี้ฉันบอกอย่างหนักแน่นและจริงจังสุดๆ

    โปร่งออกอาการงงๆ ส่วนคุณเขมก็... เอิ่มมม์ ฉันอ่านความคิดคุณเขมไม่ค่อยได้เท่าไหร่หรอก

    ฉันกับโปร่งยังยืนอยู่ชิดกัน คราวนี้คุณเขมเลยโอบเราทั้งคู่เอาไว้ ซึ่งฉันรับรู้ได้ถึงความเข้มแข็งและอบอุ่นจากร่างกายของเขา

    เธออาจคิดว่าคุณเขมเป็นผู้ชายกลางคืนที่แม้จะแข็งแรง แต่รูปร่างก็คงจะบางๆ ไม่ได้ชวนหลงใหลสักเท่าไหร่ แต่ถ้าเธอเห็นเขาตอนเปลือยกายหรือเวลาถอดเสื้อเพื่อยกลังอะไรหนักๆ ละก้อ เธอจะต้องล้มเลิกความคิด คุณเขมเป็นคนที่แข็งแรงไปด้วยมัดกล้ามเนื้อที่สวยงามพอเหมาะ ผิวสีแทนเนียนเรียบ และมีเลือดอุ่นๆ ไหลซ่านอยู่ในตัวตลอดเวลา

    รู้สึกว่าเขาจะจูบผมฉันเบาๆ ก่อนจะเริ่มกล่าวราตรีสวัสดิ์กันอีกครั้ง แล้วพากันเดินออกมาทางประตูด้านหลังร้าน

    คุณเขมเดินขึ้นไปนั่งคู่กับคุณตำรวจหญิงในรถสายตรวจ หล่อนจะพาเขานำเงินไปฝากธนาคารที่มีสาขาเปิดอยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงแถวถนนข้าวสารหรือไม่ก็สีลมหรือสุขุมวิท ที่ต้องทำอย่างนั้นก็เพราะง่ายกว่ามากในการต้องนับเรียงธนบัตรเพื่อเข้าเครื่องฝากเงินสดอัตโนมัติ จากนั้นพี่เฉลิมจะเลยไปส่งคุณเขมที่บ้าน เพื่อให้เขาหลับเป็นตายไปจนช่วงบ่าย เพราะฉันรู้ดีว่า เจ้าของร้านก็เหน็ดเหนื่อยไม่ได้น้อยไปกว่าเราเลยสักคน

    ขณะที่ฉันกับโปร่งกำลังเปิดประตูรถ ฉันเหลือบไปเห็นว่าพี่แผ่ พ่อครัวคนใหม่ ยืนพิงรถกระบะคันเก่าของเขาอยู่พร้อมกับที่ส่งยิ้มมาให้พวกเรา พนันได้เลยว่าเขาต้องขับรถตามโปร่งกลับไปถึงบ้านแน่ๆ

    ฉันแกล้งตะโกนโชคดีแฮปปี้ปีใหม่ให้เขาดังๆ ซึ่งเขาก็ยิ้มรับด้วยความเต็มใจ ก่อนที่พวกเราจะแยกย้ายไปฉลองสามชั่วโมงสุดท้ายของคืนวันส่งท้ายปีเก่าแบบตัวใครตัวมัน

    ฉันขับรถมาข้ามสะพานกรุงธนบุรี ตรงไปขึ้นสะพานข้ามคลองบางกอกน้อย ขับไปอีกไม่เกินสิบนาทีก็ถึงบ้าน รู้สึกโล่งใจขึ้นที่ในที่สุดคืนนี้จบลงเสียที

    ตอนรถเลี้ยวเข้าถนนซอย ฉันรู้สึกผ่อนคลายลงอีกมาก ต้นไม้สองข้างทางที่แผ่กิ่งก้านคลุมถนนเอาไว้ทำให้รู้สึกเปล่าเปลี่ยวอยู่บ้าง แต่นั่นละที่ฉันชอบ เพราะไม่อยากให้ความอ่อนล้าทำให้สมองต้องเปิดรับคลื่นความคิดของใครต่อใครที่อยู่ใกล้ๆ

    ยิ่งเข้ามาในซอยเล็กๆ ที่แทบจะเรียกได้ว่าเป็นซอยส่วนบุคคล บรรยากาศยิ่งเงียบสงัด ฉันต้องเปิดไฟสูง ส่องไปข้างหน้าเพื่อให้เห็นทางชัดเจนขึ้น

    ส่วนในใจนั่นแล่นกลับไปถึงบ้านเรียบร้อยแล้ว นึกถึงการแช่น้ำอุ่นให้สบายใจ เตียงนอนและผ้าห่มนุ่มๆ หอมๆ ชวนเคลิ้มฝัน

    แล้วอยู่ๆ ไฟหน้ารถก็สาดกระทบกับร่างหนึ่ง

    ฉันตกใจจนต้องเหยียบห้ามล้อกะทันหัน

    ใครกันที่จะออกมาวิ่งอยู่อย่างนี้ตอนตีสามของคืนส่งท้ายปีเก่า อึดใจเดียวเขาก็วิ่งพ้นเลยกำลังของแสงไฟขึ้นไป

    ฉันกลับมาเหยียบคันเร่งให้รถเคลื่อนไปข้างหน้า พอร่างเขาเข้ามาอยู่ในแสงไฟหน้ารถอีกครั้ง ก็ดูเหมือนจะรีบวิ่งหนียิ่งขึ้นไปอีก

    เหมือนกับเขากำลังวิ่งหนีอะไรบ้างอย่าง... ซึ่งฉันจะต้องคิดให้ดี ฉันเองก็เป็นผู้หญิงตัวคนเดียว ไม่มีอาวุธ หรือถ้ามีก็คงถูกพวกที่ตามล่านายคนที่วิ่งหนีอยู่แย่งไปจนได้ แล้วฉันจะเอาตัวเข้าไปเสี่ยงด้วยทำไม

    แต่ใจฟากมนุษยธรรมของฉันก็กำลังโต้แย้ง ใครล่ะจะทิ้งคนที่กำลังวิ่งหนีหัวซุกหัวซุนอย่างนั้นได้ลงคอ ฉันเร่งเครื่องขึ้นไปอีก ใกล้จนสังเกตรายละเอียดอื่นๆ ได้มากขึ้น

    เป็นชายหนุ่มร่างสูงและรูปร่างดีอย่างที่มีไม่กี่คนจะทำได้ ผมทรงนั้นกับกางเกงยีนเอวต่ำสีนั้น ทำให้ฉันจำได้ว่าคือใคร

    ฉันปรับความเร็วให้เท่าๆ กับเขา

    “มันไตร มีอะไรหรือเปล่าคะ”

    ฉันตะโกนถามหลังจากเลื่อนกระจกลง เขาหันมามองแวบเดียว แล้วก็เร่งฝีเท้าวิ่งตะบึงต่อไป

    “คุณมันไตร นี่ฉันเองนะคะ ปาลิน”

    คราวนี้เขาหันขวับ แต่มันพร้อมกับคมเขี้ยวที่ยื่นเลยริมฝีปากออกมา พร้อมกับกรงเล็บที่เงื้อขึ้นหมายจะทำร้าย

    ฉันต้องยกมือเป็นสัญญาณว่าถามอยากฉันมิตร

    “อย่าค่ะ ฉันเอง ปาลิน ฉันจะไม่ทำร้ายคุณ”

    ใจฉันเต้นระรัว ถ้าพรายคิดจะทำร้ายมนุษย์ แค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น ฉันเป็นได้หมดลมหายใจไปในสภาพศพไม่สวยแน่ๆ

    โชคดีที่มันไตรสงบท่าทีลงได้ เขาลดมือลง ขณะที่เห็นได้ว่าเขี้ยวแหลมน่าสยดสยองนั่นค่อยหดสั้นเข้าไป

    แต่ว่า ทำไมมันไตรทำเหมือนไม่เคยรู้จักฉันมาก่อน

    ทั้งที่จริงฉันรู้จักกับเขามานานหลายเดือน ตั้งแต่ที่เริ่มคบหากับอรัญ ในฐานะที่มันไตรเป็นเจ้านายของเขา มันไตรเป็นพรายที่รับหน้าที่ดูแลแถวเขตเจริญกรุง ซ้ำยังเป็นพรายที่มีอนาคตรุ่งในสมาคมพรายพิทักษ์ไทย ที่สำคัญคือเขาเป็นพรายหนุ่มรูปหล่อและมีฐานะดีมากตนหนึ่ง

    ส่วนเรื่องที่เขาจูบเก่งมากนั่น ไม่ใช่ประเด็นในตอนนี้...

    จากสภาพมันไตรในตอนนี้ สีหน้าท่าทางและแรงสั่นสะเทิ้นบนร่างกาย บอกให้รู้ได้ว่าเขากำลังหวาดกลัวอย่างหนัก ดีที่ว่าเขาไม่ได้แปรความหวาดกลัวมาเป็นการจู่โจมใส่ฉัน

    ฉันเปิดประตูรถ

    “อย่าเข้ามานะคุณ”

    เสียงเขาก็สั่นสะท้าน

    “เกิดอะไรขึ้นคะมันไตร นี่ฉันเอง ปาลิน ทำไมมาอยู่ตรงนี้ได้ล่ะคะ”

    “คุณเป็นใคร”

    “โธ่ ก็ปาลินไงคะ คุณก็รู้ เกิดอะไรขึ้นกันแน่คะไตร มาถึงนี้ได้ยังไง รถคุณล่ะคะ”

    ฉันหมายถึงรถยนต์บีเอ็มดับเบิ้ลยูสปอร์ตสองประตู ตามสไตล์ของเขา

    “คุณรู้จักผมเหรอครับ แล้ว... ผมเป็นใครกันล่ะ”

    คำถามนี้ทำให้ฉันถึงกับอึ้ง ฟังจากน้ำเสียง ก็รู้ว่าเขาไม่ได้พูดเล่น ฉันเลยต้องตั้งสติดีๆ ตอนถามคำถามต่อมา

    “อย่าล้อเล่นเลยค่ะ เรารู้จักกันมานานหลายเดือนแล้ว หรือไม่คุณก็มีฝาแฝด ซึ่งฉันรู้ดีว่าไม่มีแน่ๆ”

    “เรื่องนั้นผมไม่รู้ ผมไม่รู้อะไรทั้งสิ้น”

    เขี้ยวที่งอกออกมาหดสั้นจนเหลือเพียงริมฝีปากสวยๆ ให้ได้มองเห็นเหมือนเดิม มือใหญ่ก็มีเล็บอยู่เสมอปลายนิ้วเหมือนปกติ แสดงว่าสภาวการณ์ฉุกเฉินผ่านพ้นไปแล้ว

    “เรื่องอะไรคะ ที่ว่าคุณไม่รู้ว่ามีคู่แฝดหรือเปล่า งั้นหรือ”

    “ไม่รู้สิ แต่ว่าผมชื่อมันไตร จริงๆ ใช่ไหม”

    แววตาเขาสื่อความเจ็บปวดที่จำอะไรไม่ได้ออกมาอย่างชัดเจน

    “คือ...” ฉันแทบหาคำพูดไม่ได้ “ค่ะ... คุณชื่อ มันไตร พรายพันธุ ว่าแต่ทำไมคุณถึงเตลิดมาถึงที่นี่”

    “ผมตอบไม่ได้ ผมไม่รู้...”

    ฉันว่ามันต้องมีเรื่องเลวร้ายเกิดขึ้นแน่ๆ

    “ถามจริงๆ เถอะ คุณจำอะไรไม่ได้เลยหรือคะ”

    ฉันพยายามนึกอยู่ว่า ไม่มีสาเหตุอะไรใช่ไหม ที่เขาจะมาอำฉันเล่นๆ กลางถนนตอนดึกดื่นเช่นนี้

    “จริงๆ ครับ”

    เขาก้าวขาใกล้เข้ามา แผงอกแร่ง มีไรขนสีอ่อนน่าสัมผัส กับซิกแพ็คบนลอนหน้าท้อง ทำให้ฉันรู้สึกหนาวยะเยือกอย่างไม่รู้สาเหตุ

    จะไม่ให้ฉันสงสารเขาจับใจได้อย่างไร ในเมื่อคืนส่งท้ายปีเก่าคืนนี้หนาวเย็นกว่าทุกปี ซ้ำเขายังมายืนเปลือยท่อนบนอยู่ท่ามกลางอากาศชื้นเย็นอยู่อย่างนี้

    “แต่คุณรู้ตัวเองใช่ไหมว่าเป็น... พราย...”

    “ครับ... ผมรู้ตัว แต่คุณ... ไม่ใช่พราย”

    สีหน้าเขาแปลกใจนิดๆ ตอนตอบคำถามนี้

    “ฉันเป็นคนธรรมดา เป็นมนุษย์ และตอนนี้ก็อยากให้คุณรับรองว่าจะไม่ทำร้ายฉัน ที่สำคัญที่สุดคือ แม้คุณจะจำอะไรไม่ได้เลย แต่เราก็ยังเป็นเพื่อนกันค่ะ”

    ฉันต้องแอบเตือนตัวเองเหมือนกัน ว่าคงมีคนมากมายเป็นร้อยเป็นพันที่พูดเช่นนี้กับเขา ก่อนที่จะถูกพวกภูตพรายขย้ำเอาเป็นอาหาร แต่ก็อีกนั่นละ ยุคสมัยมันเปลี่ยนไปแล้ว โลหิตสังเคราะห์ แม้จะให้พวกพรายดำรงชีวิตอยู่ได้ แต่ก็ไม่ได้ทรงอานุภาพเหมือนก่อน โดยเฉพาะในสภาพอย่างที่เห็นตรงหน้านี้ ฉันก็ค่อนข้างแน่ใจว่า เขาไม่สามารถทำอันตรายอะไรฉันได้มากนัก

    นี่ละที่ฉันเคยบอกกับอรัญว่า พวกมนุษย์นั้นใจอ่อน และชอบมองแต่บุคลิกภายนอกที่ฉาบฉวย ถ้าใครคิดจะมายึดครองโลก โปรดแอบแฝงมาในรูปร่างของกระต่ายน้อยน่ารัก หรือหนูแฮมสเตอร์ตัวเล็กๆ แล้วค่อยแอบกัดกินพวกเราในตอนเผลอ ฉันรับรองว่าจะใช้เวลาไม่นานเลยกับการได้ทำลายล้างเผ่าพันธุ์มนุษย์และยึดครองโลก

    “ที่คุณยืนสั่นอยู่อย่างนี้เพราะหนาวใช่ไหมค่ะ ขึ้นรถไปกับฉันก่อนเถอะ”

    พูดออกไปทั้งที่รู้สึกว่า หาเรื่องใส่ตัวอีกแล้วแท้ๆ

    “เรารู้จักกันหรือครับ”

    เขายังมีท่าลังเล ราวกับว่าจะต้องนั่งรถไปกับผู้หญิงอันตราย ที่พร้อมจะกระโจนเข้าแล่เนื้อเถือหนังเขาได้ทุกเมื่อ ทั้งที่ฉันตัวสูงแค่หัวไหล่ ผอมบาง ซ้ำยังอายุน้อยกว่าเขาไม่รู้ตั้งกี่ร้อยปี

    “ใช่ค่ะ เรารู้จักกัน”

    ฉันเริ่มหงุดหงิด ยังเชื่อไม่ได้ร้อยเปอร์เซ็นหรอกว่า ไม่ได้ถูกอำกันเล่นๆ

    “เร็วเถอะค่ะคุณไตร คุณคงหนาวจะแย่ ส่วนฉันรู้สึกหนาวขึ้นมาจริงๆ แล้วนะเนี่ย”

    และสิ่งที่สังเกตเห็นอีกอย่างก็ยิ่งทำให้ฉันตกใจ

    “ไตร คุณไม่ได้สวมรองเท้า...”

    ในที่สุดเขาก็ยอมให้ฉันดุนหลังเขาให้เข้ามานั่งในรถ ไม่รอให้ขาอีกข้างก้าวขึ้นเรียบร้อย ฉันก็ผละมาฝั่งคนขับ

    เขายังนั่งเฉย แม้จะพาทุกส่วนของร่างกายขึ้นมาบนรถเรียบร้อยแล้ว

    “ปิดประตูซีคะ”

    ฉันบอกเบาๆ ทำให้เขาหันมามองหน้า แล้วหันกับไปที่ประตูรถ จ้องมันนิ่งๆ อยู่อึดใจ ก่อนจะปิดมัน เหมือนอย่างที่ฉันทำกับประตูฝั่งตัวเอง

    แอร์ในรถเย็นกว่าข้างนอก ฉันจึงเอื้อมหยิบเสื้อวอร์มแขนยาวที่ติดประจำรถ ให้เขาคลุมตัวแก้หนาว ทั้งที่ใจหนึ่งก็ไม่อยากยื่นให้ เพราะการได้เห็นแผงอกแกร่งของชายหนุ่มรูปหล่ออย่างมันไตร ทำให้ฉันรู้สึกร้อนวูบวาบขึ้นมาได้อย่างประหลาด

    ฉันอดขำตัวเองไม่ได้

    เขาหันขวับ จ้องหน้าฉันอย่างตกอกตกใจ

    “เชื่อไหมว่าคุณคนสุดท้ายที่ฉันคิดว่าจะได้เจอในคืนวันส่งท้ายปีเท่า ที่อุตส่าห์วิ่งมาถึงนี้ ตั้งจะมาหาอรัญหรือคะ”

    “อรัญ...???”

    “ก็พราย ที่อยู่แถวนี้ไงคะ และ...ก็คือแฟนเก่าของฉันไงล่ะ”

    มันไตรสั่นหน้า มีท่าทางตื่นกลัวขึ้นมาอีกแล้ว

    “อ้าว คุณไม่รู้ตัวเองหรือว่ามาถึงที่นี่ทำไม”

    เขาสั่นหน้าอีกครั้ง



    **************
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×