ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    น้ำค้างกลางจันทร์

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ ๒

    • อัปเดตล่าสุด 14 พ.ค. 58


     

     

    บทที่ 2

     

     

     

    อินทุอรยกเลิกนัดกับปริยัติคู่หมั้น หลบมารับประทานมื้อกลางวันกับเพื่อนสนิท ด้วยนัดที่ค่อนข้างกระชั้นชิด

     

    ตั้งแต่เช้า ที่ไม่มีจิตใจทำอะไรทั้งสิ้น การแต่งหน้าแต่งตัวก็พลอยมัวหมอง จนในที่ทำงานทักกันเกรียว แม้จะระบายแต่งแต้มให้เฉิดฉายอีกครั้ง สำหรับการเข้าประชุมเสนอโปรเจค สีหน้าของอินทุอรก็ยังบอกอาการเหนื่อยหน่ายอยู่นั่นเอง

     

    จนกระทั่งการประชุมที่เคร่งเครียดจบลง เพื่อนร่วมงานบอกว่าปริยัติโทร. เข้าหมายเลขของสำนักงาน อินทุอรก็ยิ่งไม่สบายใจ  ไม่รู้จะทำสีหน้าอย่างไร หากต้องเจอกันวันนี้

     

    เมื่อตัดสินใจโทร.ไปเลิกนัด ปริยัติกลับบอกว่ามีเรื่องสำคัญต้องคุยกัน  ด้วยว่าคุณโสภาพรรณให้รวบรัดเรื่องการแต่งงาน

     

    และตอนก่อนออกมาพบกับลลิตา  อินทุอรยังไม่ได้สำรวจจัดแต่งเสื้อผ้าใบหน้าหรือเรือนผมอะไรอีกเลย

     

    การแต่งตัวแต่งหน้า อาการหม่นหมองหดหู่ จึงไม่พ้นไปจากสายตาของเพื่อนสนิท

     

    แต่ลลิตาไม่ใช่คนที่จะตั้งท่าถามไถ่ แต่กับความทุกข์ยากของคนอื่น

     

    นี่ต้องหลบเจ้านายออกมานะยะ... ถ้าไม่มีเรื่องคอขาดบาดตายละก็...

     

    เพื่อนสนิทตั้งแต่สมัยเรียนโวยใส่ทันทีที่เห็นหน้า ก่อนคว้าแขนเข้าไปในร้าน

     

    ฉันต้องแต่งงานแล้วละ

     

    อินทุอรบอกเรียบๆ แต่ทำให้ลลิตาถึงกับหยุดกึก

     

    อะไรนะ พูดใหม่อีกทีซิอิน

     

    น้าโสภาไปหาฤกษ์แล้ว

     

    บ้า!... ทำยังกะว่ารักกันเสียเต็มประดา

     

    เสียงของลลิตายังสูงเสมอกัน ตั้งแต่คำแรกจนคำสุดท้าย

     

    หลายคนในร้านหันมอง อินทุอรต้องสะกิดให้เพื่อนเบาเสียงลง

     

    แล้วนี่ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเบี้ยวนัดนายปริยัติมาละซี

     

    อือ...คราวนี้อินทุอรแค่รับคำในลำคอ พร้อมกับพากันรีบเดินเข้ามานั่ง

     

    เขาคงจะคุยเรื่องนี้เหมือนกัน แต่เธอก็รู้นะหลิว ว่าเรามันตกบันไดพลอยโจนมาตั้งแต่แรก

     

    คนที่เหมือนถูกสายฟ้าฟาดตั้งแต่เช้า พูดคล้ายกำลังขอความเห็นใจจากเพื่อนสนิท

     

    ก็บอกแล้วว่า ชีวิตไม่ได้มีไว้ให้ประชดประชันกันเล่น กะอีแค่ผู้ชายคนเดียว... คืนนั้นคืนเดียว เธอก็ทำยังกะทั้งโลกมันป่นปี้ไปหมดแล้ว แล้วยังไงล่ะ พอมาวันนี้ทำเป็นโอดครวญ

     

    ลลิตาไม่ได้พูดอะไรให้ชัดเจน แต่ต่างคนก็รู้ดีอยู่แล้วว่า สิ่งที่พูดออกมาหมายถึงอะไร

     

    ก็... ตอนนั้นมันเหมือนชีวิตหมดสิ้นไปแล้วจริงๆ

     

    เลิกพูดเรื่องนั้นเถอะ ฉันขี้เกียจฟังไอ้เรื่องเจ้าบ่าวคืนเดียวนั่นเต็มทีแล้ว

     

    จบคำ ลลิตาก็ยกเมนูเล่มโตขึ้นไล่สายตาปราดๆ พลิกๆ เรื่อยไป

     

    ขอร้องละหลิว ฟังกันหน่อยไม่ได้หรือ

     

    อินทุอรวิงวอน เพื่อให้เพื่อนสนิทหันมาสนใจ เรื่องที่ทั้งสองคนเหมือนจะพร้อมใจกันลืมไปนานมากแล้ว

     

    ต้องรอให้ลลิตาเรียกบริกรมาสั่งอาหาร เสร็จสรรพทั้งของคาวของหวานและเครื่องดื่มนั่นละ หล่อนจึงได้เริ่มบทสนทนากับเธอต่อไป

     

    “...เอ้า! ว่ามา... กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว... คืนนั้น...

     

    อย่ามาประชดเลยน่า นี่ไม่ใช่นิทานหลอก ฉันจริงจังจริงๆ

     

    เธอก็จริงจังมันซะทุกเรื่องนั่นละอิน ตั้งแต่ไอ้เรื่องผู้ชายคืนเดียวคืนนั้น จนกระทั่งเรื่องไม่รู้จะทำยังไง กะว่าที่สามีในวันนี้

     

    ลลิตาอดตำหนิเพื่อนไม่ได้ แต่สำเนียงล้อๆ ทำให้เข้าใจได้ดีว่า หล่อนก็ยังไม่ยอมทำอารมณ์ให้จริงจังร่วมไปกับอินทุอรได้ แต่เมื่อเห็นว่าเพื่อนสนิทยังนิ่ง เลยต้องพยายามปรับอารมณ์  เปลี่ยนโทนเสียงให้เป็นการเป็นงานมากขึ้น

     

    ถามจริงๆ เถอะอิน กะไอ้ผู้ชายพรรค์นั้น อินจะเอาแค่เรื่องนั้นมาตัดสินทั้งชีวิตของตัวเองเลยเชียวหรือ

     

    แล้วเธอว่าฉันกำลังคิดอะไรอยู่ล่ะหลิว

     

    ก็ว่าที่อินมานั่งคิดมาก เรื่องที่จะต้องแต่งงานกับนายปริยัตินั่น ก็เพราะเจ้าชายขี่ม้าขาวในคืนนั้น

     

    คำท้ายทำให้อินทุอรรู้สึกใบหน้าร้อนผ่าว ราวกับเรื่องคืนนั้นเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อคืนนี้เอง

     

    เธอคิดว่าเขาไม่คิดอะไรกับเราจริงๆ น่ะหรือ

     

    นี่ละ คือสิ่งที่อินทุอรยังค้างคาใจมาโดยตลอด

     

    โธ่!... คุณอินทุอรเจ้าคะ กะผู้ชายในคืนนัดบอดเนี่ยนะ

     

    นัดบอดแล้วยังไง ทุกคนก็พูดกันทั้งนั้นว่า กำลังตามหารักแท้

     

    ลลิตาไม่รอให้เพื่อนสนิทพูดจบ ตอนถอนหายใจแรงๆ ให้เข้าใจว่ากำลังระอาเต็มที

     

    แล้วจะให้เขาพูดกันว่า มาตามหาเซ็กซ์หรือไงคะ

     

    แต่...

     

    หยุดเถอะอิน เราน่ะขอโทษมาไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้งแล้ว เราผิดเองที่ให้ไปเป็นเพื่อนในคืนนั้น แต่เธอต้องเข้าใจนะ นั่นมันเป็นแบบ รักแท้แค่คืนเดียว

     

    แต่... แต่ฉัน...

     

    อยู่ๆ อินทุอรก็น้ำตาคลอขึ้นมาได้ มันตื้อตันไปหมด เมื่อนึกมาถึงตรงนี้

     

    ช่างหัวมันไม่ได้หรืออิน เชื่อไหม เรื่องคืนนั้นของเธอกับเขา ถ้าไม่เล่าให้ฟัง ฉันก็ไม่มีวันรู้ แล้วถ้าไม่ได้เล่าให้คนอื่นฟังอีก ก็หมายความว่า ในโลกนี้จะไม่มีใครได้รู้ความลับเรื่องนี้อีกแล้ว นอกจากเราสองคน

     

    ยังมีอีกคน

     

    อินทุอรกล้าคัดค้าน แน่นอน... อีกคนนั้นละที่สำคัญนัก

     

    ไอ้ผู้ชายพรรค์นั่นน่ะนะ ทำไมล่ะ ตัดใจไม่ได้เลยหรือ

     

    แต่เขาบอกว่าเขารัก...

     

    คำท้ายนี้คล้ายถูกกลืนหายไป ก่อนจะได้เอ่ยออกมาด้วยซ้ำ

     

    อีกครั้งที่ลลิตาระบายลมหายใจแรงๆ แล้วสูดลมเข้าไปอัดไว้ในอก เหมือนเตรียมจะพูดอะไรที่มันแรงๆ ยาวๆ ใส่เพื่อนสนิทให้รู้ดำรู้แดงไปเสียที

     

    แต่บริกรที่ก้าวเข้ามาเสิร์ฟเครื่องดื่ม ช่วยขัดจังหวะเอาไว้ได้

     

    จริงๆ นะหลิว เราคุยกันตั้งนาน ก่อนที่...

     

    ลลิตาเม้มหลอดในแก้วน้ำส้มคั้นสดนั่นไว้กับริมฝีปาก เพื่อช่วยระงับอารมณ์

     

    แล้วเธอก็เชื่อเขา ยอมเขา ฉันว่าคืนนั้น ถ้าเธอไม่เมาก็ถูกวางยาแน่ๆ

     

    ไม่นะ เรายังรู้สึกตัวดี

     

    จริงเรอะ

     

    พอถามย้ำเข้าชัดๆ อินทุอรก็ไม่กล้าตอบให้หนักแน่นลงไปจริงๆ

     

    ก็... เราไม่ได้ดื่มอะไรมากมาย

     

    แล้วตอนพากันไปนั่น เธอรู้สึกตัวหรือเปล่าล่ะ

     

    ก็รู้... ก็รู้สึกตัวดีนะ

     

    รู้ว่าอะไรล่ะ ว่าอยากจะไปกับเขายังงั้นละซี

     

    อินทุอรต้องหลบสายตาเพื่อน ที่ลลิตาพูดออกมานั่น มันจริงเสียยิ่งกว่าจริง เธอจำได้แม่นยำว่ารู้สึกเช่นนั้นจริงๆ แต่... ทำไมเล่า...

     

    ไม่รู้กี่ร้อยกี่พันครั้งมาแล้ว ที่อินทุอรนึกทบทวน ทุกขั้นทุกตอน กระทั่งตั้งแต่แรกรับปากว่า จะไปเป็นเพื่อนนัดบอดกับลลิตานั่นแล้วด้วยซ้ำ

     

    วันนั้น...

     

    คุณโสภาพรรณประชดประชันเธอด้วยเรื่องมรดก กล่าวหาว่าเรียนจบปริญญามาตั้งนาน ทำไมยังไม่มีวี่แววจะแยกตัวออกไปมีครอบครัว พอเธอบอกอยากอยู่ปรนนิบัติบิดา ก็ถูกกล่าวหาว่าดัดจริต จะเป็นจระเข้ขวางคลอง ให้ครอบครัวเขาอยู่กันไม่เป็นสุข

     

    ที่ช้ำใจยิ่งกว่า ก็เพราะวันนั้นนายอิศราผู้เป็นบิดา กลับส่งเสริมให้เธอมองหาใครๆ เอาไว้เสียบ้าง เผื่อพ่อเป็นอะไรไปจะได้มีหลักที่พึ่ง

     

    อินทุอรเสียใจนักที่หลักใจอันเดียวนั่น โอนเอนเป็นไม้หลักที่ปักบนโคลนเลน นึกอยากไปให้พ้นๆ จะได้ไม่ต้องเป็นส่วนเกินในสายตาใครๆ

     

    อินทุอรคิดวนเวียนอยู่กับความชอกช้ำนั้น จนเพื่อนสนิทโทร.เข้ามา

     

    ลลิตาบอกว่าอยากให้ไปเป็นเพื่อนในงานสังสรรค์เล็กๆ ของคนแปลกหน้า

     

    เธอรับปากทันที หวังจะให้ความแปลกหน้าเหล่านั้น ช่วยคลายความอึดอัดเคร่งเครียดของตนเองได้บ้าง

     

    จำได้ชัดเจนว่า อีกห้าคนที่นั่งรออยู่แล้วนั่น ผู้ชายสามผู้หญิงสอง แต่ละคนไม่ใช่หน้าตาไม่น่ามอง เพียงแต่เกือบทุกคนมีปัญหาเรื่องการพูดจากับคนอื่น ทำให้การพูดคุยเป็นไปด้วยความรู้สึกแปลกๆ

     

    แต่อย่างน้อยก็มีสองคน ที่เคยผ่านการนัดบอดเช่นนั้นมาก่อนแล้ว หนึ่งในนั้นคือลลิตา และชายหนุ่มอีกคนที่จัดว่าหน้าตาดีกว่าใคร... เรียกได้ว่าหน้าตาท่าทางดีกว่าทุกคนในร้านอาหารใหญ่โตนั่นด้วยซ้ำ

     

    แล้วลลิตาก็ขอตัวกลับก่อน โดยมีนายคนนั้นอาสาไปส่ง จำได้ดีว่า เพื่อนสนิททำท่าเกรงอกเกรงใจ เวียนห่วงใยอยู่ไม่รู้แล้ว กว่าที่นายนั่นจะแกะเอาหล่อนออกไปได้

     

    ตอนนั้นคนไม่ครบคู่ เหลือชายหนุ่มอีกสองแต่หญิงสาวอีกสาม เมื่อสองคู่นั่นทำท่าจะลงเอยกันได้ไม่ยากเย็น เธอเลยบอกเพื่อนว่า ไม่ต้องเป็นห่วง อีกสักพักจะกลับเอง

     

    คืนนั้นจะไม่ยาวนานมาในความรู้สึกจนกระทั่งตอนนี้เลย หากอินทุอรไม่อ้อยอิ่งอยู่กับโต๊ะอาหารขนาดแปดคน ที่ขณะนั้นเธอถูกปล่อยให้ละเลียดอารมณ์อยู่เพียงลำพัง

     

    ครู่เดียวเท่านั้น หลังจากได้นั่งคนเดียวเงียบๆ ก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งขอเลี้ยงเครื่องดื่ม ไวน์ขาวนั่นรสชาติไม่กลมกล่อมนักหรอก แต่ก็ทำให้อารมณ์ละมุน ยิ่งบรรเจิดขึ้นอีกไม่น้อย

     

    แววตาพราวระยับที่เขาส่งมา บอกชัดว่าต้องการสิ่งไร และเธอก็กล้ายิ้มตอบ แกล้งยั่วใส่ ตั้งใจให้เขาลำพองได้สักนิด ก่อนปฏิเสธการสานสัมพันธ์ ที่เขาพยายามนำเสนอต่อไป

     

    คงเป็นกรรมของชายเจ้าชู้ เพียงอีกไม่ถึงสิบนาที หญิงสาวรายนั้น ที่ประกาศตัวชัดๆ ว่าเป็นเมีย ก็ปรี่มาลากเขาออกไป

     

    อินทุอรได้แต่มองตาม คิดสมน้ำหน้า แต่ก็แค่แวบเดียว เพราะไวน์เพียงแก้วนั้นยังพาหัวใจให้ละล่องลอยต่อไปได้เรื่อยๆ

     

    เป็นค่ำคืนที่แสนงดงาม แสงนีออนพราวพร่างราวแสงดาวเดือน ผู้คนที่ขวักไขว่แลคล้ายมนุษย์นิรมิต ลอยล่องเลื่อนไหล เหมือนแต่ละคนพลิ้วผ่านเธอไปมากกว่าจะก้าวย่าง ดนตรีไพเราะกังวานหวาน บทเพลงอันเคยคุ้น กลับกลายเป็นทอดจังหวะเนิบช้า ละม้ายบทสวดที่เปี่ยมมนตร์ขลัง

     

    อินทุอรคิดเพียงว่า ความมึนเมาอันนั้น เกิดขึ้นเพราะเครื่องดื่มหลายชนิดที่เข้าไปผสมในร่างกาย หวังนั่งต่อไปพอให้อาการนั่นคลายลง แล้วก็จะกลับ...

     

    อีกร่วมครึ่งชั่วโมง เธอยังนั่งอยู่เดียวดาย มึนเหม่ออยู่ท่ามกลางบรรยากาศชวนฝัน อมยิ้มละมุนกับค่ำคืนที่แสนโดดเดี่ยว ก่อนที่เขาอีกคนจะเข้ามาทักทาย

     

    โต๊ะ... ใช่ไหมครับ

     

    ชายหนุ่มผู้นั้นเอ่ยถามเบาๆ อย่างเกรงใจที่สุด ในการผ่านเข้ามารบกวนความสุนทรีของเธอ เขาเรียกรหัสโต๊ะได้ถูกต้อง จนอินทุอรต้องพยักรับ

     

    ตอนแรกที่ยังไม่ได้สบตา คิดว่าก็คงเป็นผู้ชายหน้าตาดีอย่างธรรมดาๆ ที่การมาสายเสมอนั่นละ ทำให้เขาต้องตระเวนหารักแท้ ด้วยการรับนัดบอดต่างๆ

     

    ผมมาช้า ต้องเคลียร์อะไรหลายเรื่อง

     

    เขานั่งลงบนเก้าอี้ตัวตรงข้ามโดยมิได้รับเชิญ ชุดจานช้อนที่ยังสะอาดสะอ้าน คงทำให้รู้ว่า ที่นั่งตรงนั้นเป็นของตน

     

    ตอนที่เข้ามาอยู่ในสายตานั่นละ ที่ทำให้อินทุอรต้องเผลอส่งยิ้มไปให้

     

    ยิ้มนั้นอาจเป็นเพราะฤทธิ์ไวน์ที่เจือกรุ่นอยู่ในกาย บวกกับหน้าตาที่หล่อเหลาราวรูปสลัก จึงทำให้ความร้อน ผ่าวขึ้นทั้งใบหน้า ผลักดันให้เธอเผยรอยยิ้มเช่นนั้น ออกมาพร้อมแววตาชุ่มอารมณ์โหยหา

     

    แล้วเขาก็คง... แนะนำตัว...

     

    ตรงนี้สิ ที่อินทุอรจำได้เลือนราง

     

    ไม่แน่ใจ

     

    เขาเอ่ยออกมาว่าอะไร...

     

    ฟังคล้ายๆ ชื่อ แต่ก็เหมือนไม่ใช่

     

    นั่นไม่สำคัญเท่า การทำท่าคุยกันได้ถูกคอ ตั้งแต่เริ่มบทสนทนาสามสี่ประโยคแรก

     

    คืนนั้น... อินทุอรไม่เชื่อหรอกว่า ชายหนุ่มผู้มีนัยน์ตาหวานซึ้งนั่น จะมากมายมารยา ตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จ... ให้เธอฟัง... ให้เธอใจอ่อน...

     

     

     

    เมื่อรถเลี้ยวเข้ามาในบริเวณวัดย่านชานเมือง คุณโสภาพรรณก็ดูตื่นเต้นขึ้นอีกเป็นร้อยเท่า

     

    จริงๆ เลยนะคะเนี่ย ทำไมดิฉันเพิ่งมาได้รู้จักกับคุณแวววิไลก็ไม่รู้ ไม่อย่างนั้นคงได้พาตระเวนทำบุญกันได้ทั้งร้อยเอ็ดเจ็ดย่านน้ำไปแล้ว

     

    คุณโสภาพรรณนั่งในตอนหลังของรถยุโรปคันหรู พูดจาเรื่อยเจื้อยราวตื่นเต้นไปกับทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ผ่านเข้ามาในสายตา

     

    แล้วดูเถอะ มีลูกชายกะเขาคน ก็น่ารักขนาดนี้ ไม่เหมือนลูกชายดิฉัน ทำแต่งาน วันๆ ยุ่งอยู่แต่กับคนอื่น ไม่เคยมาเหลียวมาแล

     

    ไม่รู้เป็นครั้งที่เท่าไร ที่หล่อนกล่าวชื่นชมบุตรชายของคุณแวววิไล ผู้ที่ขันอาสาขับรถพามารดามาทำบุญ

     

    ตาภาคก็ว่างๆ น่ะค่ะ เพิ่งกลับจากนอก ยังดูๆ งานอยู่ เลยชวนให้มาทำบุญทำทานเสียบ้าง

     

    ปกติคุณแวววิไลเป็นคนพูดน้อยแม้จะออกงานสังคมบ้าง ก็เพียงเพราะหน้าที่การงานของสามี เช่นเดียวกับภาควัตบุตรชาย ซึ่งเรียกได้ว่าไม่เคยมีข่าวคราวปรากฏในหน้าหนังสือพิมพ์ ไม่ว่าในฐานะทายาทตระกูลดัง เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์มูลค่านับหมื่นล้าน หรือในฐานะลูกชายคนเดียวของบุคคลสำคัญ ผู้มีชื่อติดโผรัฐมนตรีกระทรวง ในเกือบทุกรัฐบาล

     

    แต่ดีนะคะ ยังห่วงแม่ห่วงบ้าน รู้จักทำบุญทำทาน ไม่รีบมีลูกมีเมียไปเสียก่อน

     

    คุณโสภาพรรณยังชื่นชมอยู่ไม่วาย ในสายตาหล่อนที่ยังเฝ้าพิจารณา ชายหนุ่มผู้นี้ช่างเหมาะสมทุกประการกับพิมพิกาบุตรสาวของตนเอง

     

    รายนี้น่ะหรือ แค่ยังไม่ได้พลาดพลั้งอะไรเท่านั้น...

     

    หางเสียงของคุณแวววิไล หันไปกระทบกระเทียบบุตรชาย ก่อนจะชำเลืองมายิ้มๆ ให้กับคุณโสภาพรรณ

     

    เขาก็เป็นหนุ่มเจ้าสำราญอยู่หรอกค่ะ ขนาดต้องส่งไปนอก ไปดูแลสาขาบริษัททางโน้น เพิ่งกลับมาได้สักเดือน ก็... ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้น... จริงไหมภาค

     

    วันนี้ดูคุณแวววิไลพูดจาได้มากกว่าเคย อาจเป็นเพราะเพื่อนคุย รู้จักหานั่นนี่ที่สบใจมาคุยด้วยก็เป็นได้

     

    แต่ผู้เป็นบุตรชายนั้น เหมือนไม่สบอารมณ์เท่าไรนัก

     

    ชายหนุ่มพยักหน้านิดหนึ่ง นิดเดียวจริงๆ เป็นเพียงอาการว่ารับรู้ สิ่งที่มารดาเอ่ยถึง แต่ไม่ถึงกับเออออไปด้วยทุกเรื่อง

     

    แต่เพิ่งกลับมาแท้ๆ ก็ทำท่าจะมีแฟน...

     

    คุณแม่ครับ

     

    พอคุณแวววิไลทำท่าเพลินเจรจามากเกินไป ภาควัตจึงต้องเรียก... เตือนมารดาด้วยคำเรียก พร้อมหันไปสบสายตาให้รู้ว่า เรื่องนี้มันส่วนตัวเกินไป

     

    เป็นลูกผู้ชาย จะอายอะไรกับการมีฟงมีแฟนล่ะคะ คุณแววก็ทำเป็นหวงลูก

     

    คุณโสภาพรรณยังระรื่น และกระโจนเข้าข้างชายหนุ่มได้ทันที

     

    รถตรงเข้ามาจอดในร่ม ข้างกุฏิที่มีรถยนต์อื่นจอดอยู่แล้วหลายคัน นอกจากกุฏิที่หมายแล้ว ที่อื่นล้วนเงียบเชียบ

     

    บรรยากาศของร่มไม้ทำให้ทั้งบริเวณสงบสงัด ความเข้มขลังคล้ายมีพลานุภาพบางอย่าง แผ่กระจายอยู่ทั่วไป

     

    คุณแวววิไลก้าวลงมาก่อน รอทุกคนลงมาจนครบแล้ว จึงค่อยเอ่ยกับคุณโสภาพรรณ

     

    ท่าทางคนกำลังเยอะ ปลายเดือนแล้วนี่นะ

     

    คนลงมายืนรอเปรยกับเพื่อนใหม่ ที่รู้จักกันผ่านเพื่อนของเพื่อนอีกที

     

    คะ... ปลายเดือน...

     

    ด้วยอยู่ในแวดวงชั้นสูง และไม่ใส่ใจกับโชคลาภเลื่อนลอย ที่รัฐบาลสัญญาว่าจะกินแล้วแบ่งให้ประชาชนบ้าง หากใครคนนั้นโชคดีพอ คุณโสภาพรรณจึงไม่เข้าใจว่า ปลายเดือนหมายถึงการวิ่งรอกกันขาขวิดของนักเลงหวยทั้งหลาย

     

    หลวงพ่อท่านไม่เคยบอกใบ้ให้เลขอะไรหรอกค่ะ แต่คนก็ขึ้นกันเหลือเกิน รูปนี้ดิฉันนับถือมานาน ศรัทธาท่านมาก ท่านก็เมตตาช่วยแนะนำอะไรๆ บ้างเป็นบางครั้ง

     

    นั่นละ คุณโสภาพรรณจึงค่อยเข้าใจว่า ปลายเดือนของคุณแวววิไลหมายความว่าอย่างไร

     

    ไม่ใบ้ไม่ให้ แล้วทำไมใครๆ ยังขึ้นกันครึ่กๆ อย่างนี้

     

    นั่นสิคะ... ที่จริง กระทั่งน้ำมนตร์ท่านยังไม่เคยทำ แต่คุณโสภาเชื่อไหม โอ่งน้ำตรงเชิงบันได ใบนั้นน่ะค่ะ... เขาว่าเป็นน้ำมนตร์ศักดิ์สิทธิ์ ทั้งที่หลวงพ่อว่าท่านรองไว้ล้างเท้า

     

    คุณแวววิไลชี้มือประกอบ ตอนเดินใกล้เข้ามา

     

    โอ่งน้ำใบที่ชี้นั่น ตั้งรอตรงเชิงบันไดไม้เตี้ยๆ ของกุฏิเรือนไม้ หนึ่งในสองสามหลังที่ตั้งเรียงกันอยู่ ที่จริงถ้าสังเกตกันให้ถ้วนที่ กุฏิหลังนี้จะดูเก่าแก่กว่าเพื่อน

     

    คุณโสภาพรรณเพ่งมองภาพตรงหน้าอย่างพินิจ มีรองเท้าหลายคู่ระเกะระกะอยู่กับพื้นซีเมนต์หน้าบันได มีอ่างหินไว้สำหรับรองรับน้ำล้างเท้า แต่มันไม่ได้เปียกชุ่มอย่างที่ควรจะเป็น อาจเป็นเพราะลูกศิษย์ลูกหาที่มาขึ้นกับท่าน เข้าใจว่าเป็นน้ำมนตร์อย่างที่คุณแวววิไลบอก ทำให้คนที่ผ่านขึ้นกุฏิไปอีกกลุ่มหนึ่ง มีทีท่านบนอบโอ่งน้ำล้างเท้านั่นมากเป็นพิเศษ

     

    ภาควัตสวมรองเท้าผ้าใบ จึงถอดยากกว่ามารดาและเพื่อน เขาใช้ขอบโอ่งช่วยพยุงตัว จนคุณแวววิไลต้องเอ็ดเบาๆ

     

    ดูทำเข้าซิ...

     

    อะไรครับคุณแม่

     

    ก็นั่นมันโอ่งน้ำมนตร์ ภาคเอามือไปเท้าได้ยังไง ไม่เหมาะเลยลูก

     

    เสียงนั้นจริงจัง จนภาควัตรู้สึกแปลกๆ

     

    ไหนคุณแม่บอกว่าเป็นแค่โอ่งน้ำล้างเท้า

     

    พูดพลางชะโงกหน้าดู มีน้ำขอดก้นโอ่งอยู่ไม่มาก จึงช่วยเปิดก๊อก ไขน้ำเติมลงไป

     

    ต๊าย!... ทำอะไรน่ะตาภาค ดูทำเข้าสิ

     

    มารดาแทบกรี๊ด เมื่อเห็นว่าบุตรชายทำอะไรอุตริพิสดารถึงเช่นนั้น

     

    ก็น้ำเหลือติดอยู่นิดเดียว ผมก็เติม... คุณแม่ขึ้นไปกับคุณน้าเถอะครับ ผมจะรออยู่ตรงนี้ละ

     

    เขาให้เหตุผลกับมารดาง่ายๆ น้ำเสียงต่างกันลิบลับ กับอาการเป็นเดือดเป็นร้อนของคุณแวววิไล

     

    ทำให้มารดาต้องค้อนให้อีกหลายขวับ ก่อนค่อยก้าวเท้าขึ้นไป โดยไม่เอ่ยกระไรอีก เพราะหลายคนข้างบน เริ่มชะโงกหน้าลงมาดู

     

    ภาควัตตัดสินใจไม่ตามขึ้นบนกุฏิ เดินเลาะไปนั่งตรงแคร่ไม้ไผ่ใต้ต้นจำปี ซึ่งตั้งอยู่ด้านเหนือกุฏิขึ้นมา กวาดสายตาสำรวจสิ่งต่างๆ เรื่อยไป จนวกกลับมาที่เชิงบันไดที่มารดากับเพื่อนใหม่ก้าวหายขึ้นไปแล้วครู่หนึ่ง

     

    ต้องกลั้นหัวเราะ เมื่อเห็นว่า สองสามคนที่ลงมานั่น พากันวักน้ำในโอ่งเชิงบันได ล้างหน้าล้างตา จบหัวจบเกล้ากันอย่างเป็นเรื่องเป็นราว

     

    พอกลุ่มนั้นจากไปได้ไม่นาน เพื่อนใหม่ของมารดาก็ก้าวตามลงมา ภาควัตอดนึกไม่ได้ว่า คุณนายโสภาพรรณจะวักน้ำล้างเท้าขึ้นมาจบเจิมเศียรเกล้า เหมือนอย่างคนอื่นๆ ด้วยหรือไม่

     

    พ่อคุณ... ไปนั่งอยู่นั่นเอง

     

    คุณโสภาพรรณเห็นเขาเสียก่อน จึงเรียกหาพร้อมกวักไม้กวักมือ

     

    หลวงพ่อท่านยังไม่ออกจากสมาธิ น้าเลยอาสาลงมาบอกให้รอหน่อย

     

    คนลงมาบอก ทำท่ากระซิบกระซาบ ราวกับเกรงจะมีใครตื่นขึ้นมาเอ็ดตะโร โทษฐานรบกวนการนอนกลางวัน

     

    แล้วคุณแม่...

     

    น้าให้คุณแววเธอคอยดูอยู่ข้างบน เผื่อท่านถอดสมาธิแล้วหันมาเห็น หันมาทักทายคนคุ้นเคยกันก่อน เราจะได้ไม่ต้องเสียเวลารอ ข้างบนเบียดกันแทบไม่มีที่นั่ง คุณภาควัตจะไปเดินเล่นยืดเส้นยืดสายเสียก่อนก็ได้

     

    ภาควัตพยักรับด้วยสีหน้าเรียบๆ ไม่อยากคิดเรื่องคิวเรื่องเวลา หรือการเบียดเสียดยัดเยียดพวกนั้น เริ่มเหลียวหาที่หมาย เดินยืดเส้นยืดสายอย่างคำแนะนำ

     

    สุดทางด้านใน พ้นแนวกุฏิหลังเก่าทั้งหมดออกไป ต่อจากแถวร่มไม้ร่มครึ้มนั้น มองแต่ไกล ภาควัตเห็นว่าน่าจะเป็นศาลาโถง ที่น่าจะไปนั่งหย่อนใจได้สบายกว่าแคร่ไม้ไผ่ตัวนี้

     

    เดินผ่านความร่มรื่นของแมกไม้ ผ่านเข้ามาจนถึงใต้ร่มชายคา บรรยากาศภายในศาลาช่างสงบเย็น เครื่องไม้อันประกอบเข้าเป็นโครงสร้างทั้งหมด บ่งบอกอายุว่าเก่าแก่ถึงเพียงไหน ไม่นับกระเบื้องหลังคาดินเผาเก่าคร่ำ และการโย้เอนน้อยๆ ของทั้งเรือนศาลา

     

    ภาควัตทรุดตัวลงอย่างระมัดระวัง นั่งลงจนเรียบร้อย แล้วจึงถอดรองเท้า ก่อนค่อยคลานเข้าไปตรงหน้าพระปฏิมาประธาน

     

    เครื่องตกแต่งทั้งหมดภายใต้ร่มศาลา มีเพียงตั่งไม้ตัวใหญ่ซ้อนเป็นสองชั้นประดิษฐานพระประธานองค์ย่อม โต๊ะหมู่บูชาชุดหนึ่งทำจากไม้เนื้อแกร่ง พนมดอกไม้แห้ง แจกันดอกไม้สด กระถางธูปมีเชิง รางเทียนหัวหงส์ และพรมเจียมที่ตั้งซ้อนๆ กันอยู่ตรงข้างโต๊ะหมู่ เพียงแค่นั้น

     

    ไม่มีพัดลมแต่สายลมกลับพัดระเรื่อยรื่น ไม่มีกลิ่นน้ำยาปรับอากาศ แต่อากาศกลับสดชื่นชวนชื่นใจ ไม่มีเบาะโซฟาแต่กลับรู้สึกน่านั่งได้อย่างสบายอารมณ์

     

    ภาควัตกราบแล้วก็ยังนั่งนิ่งอยู่ตรงหน้าพระ

     

    รู้สึกสงบสงัดราวกับถูกตัดขาดออกจากโลกภายนอก...

     

    ไม่ถึงกับได้สมาธิ เพราะใจยังฟุ้งไปกับเรื่องนั้นเรื่องนี้ แต่อย่างน้อยก็ได้ทบทวน ถึงเรื่องราวต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาในชีวิต

     

    นานแค่ไหนแล้วหนอ ที่ไม่ได้ย่างกรายเข้ามาในวัด

     

    ตั้งแต่ก่อนจบมหาวิทยาลัยโน่น ที่เริ่มเที่ยวเตร่ ร่อนไปตามประสาคนที่ได้ต้นทุนจากฟ้ามาสมบูรณ์แบบ ทั้งรูปร่างหน้าตา ฐานะเงินทอง ความฉลาดเฉลียวและปฏิภาณไหวพริบ

     

    และจนวันนี้ภาควัตก็ยังไม่ปฏิเสธว่าชีวิตเป็นของมีค่า รวมทั้งมีเวลาสั้นนักสำหรับการหาความสุขใส่ตัว

     

    ตราบใดที่ไม่ได้ทำให้ใครเดือดร้อน เขาก็ถือว่าชีวิตเป็นของตน และความสุขเป็นสิ่งที่ต้องรีบตักตวงไขว่คว้า

     

    สิ่งเดียวที่คิดว่ายังขาด และยังต้องสะสมให้เพิ่มขึ้นเรื่อยไป

     

    นั่นคือ... ประสบการณ์

     

    เขาคิดว่าประสบการณ์นั่นเอง ที่จะหล่อหลอมให้ชีวิตของตัวเองเข้มงวดได้ที่ และประสบการณ์นั่นเอง ที่จะช่วยคัดกรองความชั่วออกจากความดี แยกกงจักรออกจากดอกบัวได้อย่างชัดเจน

     

    เมื่อภาควัตลองนึกทบทวน ครั้งใดบ้างเล่า ที่เขาเข้าไปหาญเล่นล้อกับกงจักร

     

    ไม่ใช่ครั้งสองครั้งแน่ๆ แต่ก็เอาตัวรอดมาได้เสมอ

     

    แม้ต้องสะบักสะบอมเพราะพิษจักร เคยทรุดโทรมทางจิตใจ จนต้องไปรักษาแผลใจถึงต่างบ้านต่างเมือง แต่เขาก็ยังกลับมาได้ในวันนี้

     

    ชายหนุ่มรู้อยู่แก่ใจ บัดนี้แผลใจกลายเป็นแผลเป็น กลับกลายเป็นร่องรอยด่างดวงในชีวิต เพราะการกระทำผิดด้วยความคึกคะนองลำพองใจ

     

    แหม... ยุงเจ้ากรรมแท้ๆ เชียว ที่ดันบังเอิญมาเกาะที่ต้นแขนคุณแวววิไล

     

    เสียงเพื่อนใหม่ของมารดา เจื้อยแจ้วเข้ามาทำลายความสงบ

     

    ความคิดนึกย้อนและภาพความหลังมลายหาย ภาควัตระบายลมหายใจช้าๆ

     

    มารดาตนไม่ได้พูดอะไรอีกสักคำ ขณะที่คุณโสภาพรรณยังขยับปากไม่หยุด

     

    จริงๆ นะคะ ท่านก็ตาดี๊ดี แค่ปัดนิดท่านยังไล่เปิด ยังดีที่ท่านว่าวันหน้าค่อยมาใหม่

     

    ภาควัตจับใจความได้ไม่ถนัดนัก แต่เห็นชัดๆ แล้วว่ามารดาตนมีสีหน้าไม่ค่อยดีนัก

     

    เอ๊ะ... ศาลาเก่าแก่โย้เย้อย่างนี้ ทำไมยังเก็บไว้ อันตรายจะตายไป

     

    พอหมดเรื่องจากกุฏิ คนยังไม่หยุดปากก็วิจารณ์สิ่งอื่นต่อไปได้ทันที

     

    อุ๊ยตาย! คุณภาควัต รีบออกมาเถอะค่ะ ดูซิ ไปนั่งอุดอู้อบอ้าวอยู่ได้ เดี๋ยวยุงก็หามไปเท่านั้น วันนี้กลับกันก่อนค่ะ ฤกษ์ไม่ดีเสียแล้ว

     

    มีอะไรหรือครับคุณแม่

     

    ภาควัตหันไปถามมารดา หลังจากสวมรองเท้าเสร็จเรียบร้อย

     

    ไม่มีอะไร ท่านคงเห็นว่าคนเยอะ ธุระร้อนกว่าเราทั้งนั้น เลยให้มากันวันหลัง

     

    สีหน้าคุณแวววิไลยังไม่ดีขึ้นกว่าตอนที่เดินมา อีกทั้งยังออมเสียงออมคำกว่าปกติ

     

    กลับกันเถอะภาค แม่รู้สึกเหมือนไม่ค่อยสบาย

     

    ผู้เป็นมารดาถึงกับต้องเกาะแขนบุตรชาย แรงที่ส่งมานั้น ทำให้คนถูกเกาะเข้าใจได้ว่า น่าจะมีอะไรไม่ชอบมาพากล

     

    อุ๊ย! ว้าย! ตายๆ... ตายแล้ว ไปดูดเลือดใครจากไหนมาก็ไม่รู้ละค่ะ จะมีเชื้อโรคเชื้ออะไรหรือเปล่าก็ไม่รู้... ไอ้ยุงบ้ายุงบอ ดูซิคะ เปรอะเปื้อนไปหมดเลย

     

    เสียงวี้ดๆ ของคุณโสภาพรรณไม่เบาเลย ขณะรีบแซงขึ้นมาแบฝ่ามือให้ดูรอยเลือดที่ปนอยู่กับซากยุงตัวหนึ่ง

     

    แล้วก็... ภาควัตอยากเรียกอาการนั้นว่า สะบัดร้อนสะบัดหนาว เพราะเพื่อนใหม่ของมารดาทำหมุนซ้ายหมุนขวา สำรวจตัวเองอยู่ไปมา

     

    นี่ไง... ซิ่นไหมผืนนี้ตั้งเป็นหมื่นๆ มาเปื้อนเลือดยุงซะได้

     

    แล้วคนยังโวยวายก็สำรวจลำแขนลำคอของตนเป็นลำดับต่อไป

     

    มีเลอะเทอะเปรอะเปื้อนตรงไหนอีกไหม คุณแววช่วยดูทีเถอะค่ะ

     

    พอหมดทางที่จะแลดูเนื้อตัวได้ถ้วนทั่วจริงๆ แล้ว ก็เอียงซ้ายเอียงขวาให้สองแม่ลูก

     

    คุณโสภาไม่น่าทำร้ายเขา เรื่องศีลปาณานี่หลวงพ่อท่านถือนักละค่ะ คราวหน้าคราวหลัง เราต้องระวังกันสักหน่อย เดี๋ยวท่านให้มาใหม่อีกหลายๆ ครั้งจะเสียเวลากันเปล่าๆ

     

    ที่จริง คุณแวววิไลไม่ได้เอ่ยอะไรกับคุณโสภาพรรณอีกเลยจนกระทั่งคำนี้ แล้วก็ไม่ได้พูดอะไรต่อไปอีก จนแม้ทั้งกลุ่มพากันมานั่งบนรถเรียบร้อยแล้ว

     

    ถ้าอย่างนั้น ครั้งหน้าโสภาเอาดวงหนูพิมมาลองผูกบ้างดีกว่า ดูว่าเนื้อคู่จะมาปรากฏบ้างหรือยัง แต่ก็สังหรณ์ใจนะคะ ว่าเป็นคนไม่ใกล้ไม่ไกลกันนี่เอง ลูกสาวคนเล็กของโสภาเองค่ะ วันๆ ได้แต่อยู่กับเหย้าเฝ้ากับเรือน

     

    คุณแวววิไล ขอตัวไปนั่งตอนหน้าคู่กับบุตรชาย เพราะกำลังเวียนศีรษะจนเกรงว่าจะเมารถเพิ่มขึ้น ได้แต่ชำเลืองไปสบสายตากับคนขับ

     

    ซึ่งภาควัตก็อ่านได้ทันทีว่า

     

    ผู้เป็นมารดาจะไม่มีวันไปไหนกับผู้หญิงคนข้างหลัง อีกเป็นครั้งที่สอง

     

                   

     

    *************

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×