ลำดับตอนที่ #2
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 2 เรือนอาถรรพ์
บทที่ ๒
เรือนอาถรรพ์
เรือนอาถรรพ์
เพราะไม่เจตนาอยู่แล้ว สัตยาจึงยังรักษาสีหน้าได้อย่างเป็นปกติ กระทั่งถึงเวลาอาหารค่ำที่เดือนยังไม่กล้าออกมาสู้หน้า เขาก็ยังทำเหมือนไม่ได้ถูกภรรยาโกรธ กับเรื่องจับมือถือแขนคนรับใช้
ศศิประภาอารมณ์ไม่ดี ยังเคลือบแคลงนักเกี่ยวกับพฤติกรรมของสามี ที่ไม่น่าจะอดใจไหวกับสาวใช้คนสวย เรื่องอย่างนี้มีอยู่ทั่วพระนคร ใครที่มีเมียได้มากๆ จะเป็นที่นับถือในหมู่ผู้ชายด้วยกัน ท่านจอมพลก็เป็นตัวอย่างให้เห็นอยู่ชัดๆ
จนกระทั่งอาหารว่างก่อนเข้านอนจัดเตรียมได้เสร็จสรรพ หล่อนก็ไล่หญิงรับใช้คนอื่นให้ออกไป แล้วเริ่มลงมือปรนนิบัติสามีด้วยตนเอง
“ซุปไก่ดำตุ๋นเครื่องยาจีนค่ะ”
เริ่มจากน้ำแกงในหม้อเคลือบ ตักใส่ถ้วยเล็กส่งให้
“รสชาติเป็นอย่างไรบ้างคะ”
“กลมกล่อมกำลังดี ไม่ฉุนไม่คาว กำลังคล่องคอทีเดียว”
ศศิประภายิ้มให้ ยังไม่พูดอะไร
“ชาตะไคร้ใบเตยประสมกับรางจืด ช่วยเลือดลม ช่วยระบาย ช่วยสลายพิษ”
“ทำไมสรรพคุณมันวิเศษนักเล่า กลิ่นก็หอมชื่นใจ”
สัตยายกขึ้นจิบ เครื่องดื่มร้อนอย่างนี้ เขาโปรดปรานนัก
“รสนี้ละที่ถูกใจพี่ คุณศิช่างรู้ใจดีจริง”
“เป็นฝีมือน้องที่ไหนล่ะค่ะ ทั้งหมดนี้เดือนเป็นคนทำ”
เสียงของคนพูดไม่พอใจชัดแจ้ง
คนฟังยังวางหน้าเฉย ละมือจากถ้วยชา หันกลับไปพลิกหน้าหนังสือเล่มเล็ก ตั้งอกตั้งใจอ่าน เหมือนอย่างที่เคยทำเป็นประจำ
เห็นสามียังนิ่ง ศศิประภาก็พูดต่อไป
“เดือนเป็นเด็กดี ฉลาดเฉลียว แถมยังสะสวย รู้จักเอาอกเอาใจเจ้านายไปเสียทุกอย่าง... อันที่จริง ผู้หญิงที่ทั้งสาว ทั้งสวย ทั้งมีปัญญาอย่างนี้หาไม่ได้ง่ายๆ”
ระหว่างที่พูด หล่อนก็สังเกตปฏิกิริยาของสัตยาไปด้วย
แต่ท่าทางของคนฟังก็ยังไม่ส่อพิรุธ นั่งฟังนิ่งๆ ไม่มีท่าทางเดือดร้อนอะไร
“คุณพี่คิดว่า...”
“ถ้าเขาทำงานถูกใจ ก็ให้รางวัลกันไปซี”
สัตยาให้ความเห็นโดยไม่เงยจากหนังสือ
ศศิประภาได้แต่คิดเคือง
‘แสดงว่า ที่ให้รูปวาดกันนั่น คือนังเดือนทำให้ถูกใจงั้นซีนะ’
แรงโกรธทำให้เผลอปัดถ้วยน้ำแกงร่วงลงพื้น
ทำให้สัตยาต้องละความสนใจจากหนังสือที่อ่าน
“เป็นอะไรไปคุณศิ”
“ปละ... เปล่าค่ะ”
“พี่ว่าวันนี้คุณสิดูใจลอยๆ พิกล”
“ไม่มีอะไรค่ะ คงจะเหนื่อยเรื่องจัดแจงบ้านช่อง”
ศศิประภาไม่กล้าสบตา เสลุกออกมาจากที่ตั้งของว่าง
“เหนื่อยๆ น่ะค่ะ ถ้าคุณพี่จะอ่านหนังสือต่อ น้องก็ขอตัวนอนก่อน...”
จบคำ หล่อนก็เดินถึงเตียง คิดว่าสามีคงมองตาม จึงทำท่านวดหลังไหล่ของตนเองให้เขาเห็น
สัตยาเข้าใจจริตความคิดของภรรยา จึงผละจากที่เดิมมานั่งใกล้ เริ่มนวดให้ที่ต้นคอหล่อนเบาๆ พลางเริ่มขับลำนำบทที่เขาชอบยกขึ้นหยอกล้อภรรยา
“งามผิวประไพผ่อง
กลทาบศุภาสุพรรณ
งามแก้มแฉล้มฉัน
พระอรุณแอร่มละลาน”*
ระหว่างนั้น สองมือก็เลื่อนไปตามที่บรรยาย
“งามเกศดำฃำ
กลน้ำณท้องละหาน
งามเนตร์พินิศปาน
สุมณีมโนหรา”
ก่อนจะถึงบทต่อไป ศศิประภาจึงต้องรีบคว้ามือเอาไว้ ให้เขาได้แต่ใช้เสียงเล้าโลมแต่เพียงอย่างเดียว
“งามทรวงสล้างสอง
วรถันสุมนสุมา-
ลีเลิดประเสริฐกว่า
วรุบลสโรชมาศ”
เมื่อสองมือใช้การไม่ได้ สัตยาจึงใช้ปลายจมูกให้เคลื่อนไปแทน
ในห้วงสุข ศศิประภาจึงวางใจให้ห่างเสียจากความเคลือบแคลงทั้งมวล โอนอ่อนผ่อนรับ กับลีลารักชวนเคลิ้มฝันของผู้เป็นสามี
สายลมโบกโบย สายฝนโปรยละออง เสียงรากไทรคราดหลังคาดังแว่วเข้ามา สลับกับเสียงจังหรีดกรีดปีกถี่ระรัว
คลื่นแม่น้ำสะท้อนแสงพระจันทร์เพ็ญ ส่องสอดแทรก ลอดช่องลมใกล้เพดาน ให้แลเห็นเป็นลีลาพลิ้วไหว บรรยากาศห้วงนี้ ช่างชวนหฤหรรษ์ ชวนเคลิ้มฝัน ชวนสมสุขมากกว่าจะคิดกังวลถึงเรื่องอื่นใด
แล้วเจ้ากระตั้วตัวโปรดก็ทำลายหมด
อารมณ์กึ่งฝันกึ่งจริงในอึดใจก่อนกระเจิงหาย
มันตีปีกพึ่บพั่บ ราวไม่พอใจอะไรอย่างรุนแรง ตะกายบินจนกรงสั่นระรัวแกว่งไกว
อาการผิดปกตินั้นทำให้ศศิประภาต้องผละจากสัตยา ถลาออกมาดู
“คุณตั้วเป็นอะไรก็ไม่รู้ หรือมีอะไรมากวน น้องขอไปดูสักเดี๋ยวนะคะ”
หล่อนเกรงใจสามีนัก ที่ทำให้เสียจังหวะอารมณ์
สะดุดเข้ากับเชิงเทียน จนเจ็บกึกที่ปลายนิ้วเท้า
“อูยยยย!”
พยายามไม่ให้มีเสียงคราง แต่ก็สุดระงับ
ความเจ็บทำให้ลืมนึกว่า เชิงเทียนโลหะทึบตัน พลัดจากหลังตู้มานอนบนพื้นได้อย่างไร โดยไม่มีเสียง
กว่าจะจัดตั้งมันไว้ที่เดิม ค่อยสืบเท้าไปที่กรงนก กระซิบปลอบเจ้าตัวโปรดให้สงบอาการ ไฟอารมณ์ของสัตยาก็มอดไปหมดแล้ว
ศศิประภาได้แต่ระบายลมหายใจด้วยความผิดหวัง และรู้สึกผิดนิดๆ ที่ไม่สามารถปรนนิบัติสามีได้ครบถ้วนตามหน้าที่ได้ในคืนนี้
ค่อยๆ ลงนอนเคียง จะหันไปกอดก็กระดากใจ ได้แต่นอนนิ่งฟังเสียงลมหวีดหวิว ในคืนแรกของบ้านหลังใหม่
ภายนอก...
จันทร์ฉายถูกเมฆบัง แต่ตรงท่าน้ำคล้ายมีแสงไฟจืดจางค่อยเคลื่อนเข้า
ดวงไฟนั้นมิได้กะพริบแสง มิได้ลอยอ้อยอิ่ง หากแต่ค่อยวาวแสงขึ้น แล้วหรี่ลงช้าๆ ราวกับจังหวะหายใจของภูตผี ที่กำลังรอคอยห้วงเวลาสำคัญสำหรับตัวเอง...
เรื่องที่เดือนได้ภาพวาดของคุณผู้ชาย เป็นที่ซุบซิบกันของพวกสาวใช้ในครัว ต่อเติมเรื่องราวจนพิสดารพันลึก สัประโดกสัปดนสองแง่สามง่าม ตามแต่จะแต่งแต้มสีสัน
เจ้าของหัวข้อสนทนาออกมาสมทบสายกว่าปกติ เพราะเมื่อคืนนอนไม่ค่อยหลับ เนื่องจากยังใจคอไม่ดี กับการที่ถูกศศิประภาจ้องมองมา ตอนที่สัตยาช่วยปัดเป่าความแสบร้อน ที่คิดว่าน่าจะได้มีโอกาสเป็นอนุ คงยากแล้ว
“เมื่อวานเหนื่อยทั้งวัน ไม่ต้องรีบลงมาก็ได้แม่เดือน”
นางหมาย กำลังง่วนอยู่หน้าเตาไฟ เอ่ยทัก
“ได้ยังไงล่ะป้า คุณข้าวแดงแกงร้อนรดหัวอยู่ทุกวัน”
ตอบพลาง ก็ฉวยกิ่งยี่หร่ามาช่วยเด็ดใบ ทำตีหน้าซื่อเหมือนที่เคย
“พี่เดือนทั้งสวยทั้งขยันอย่างนี้ ใครได้ไปเป็นศรีเรือนก็โชคดี”
สาวใช้อีกคนที่กำลังโขลกเครื่องแกงมัสมั่น ออกความเห็น
“ฉันไม่หวังจะไปไหนหรอก อยู่รับใช้คุณท่านไปจนแก่ที่นี่ละ”
“ไอ้ที่อยู่ไปจนแก่เฒ่าละพูดได้ แต่จะเป็นคนรับใช้อย่างนี้ไปละไม่แน่”
แม้จะรู้อยู่เต็มอก และตรงกับความหมายมั่นของตัวเองเพียงไร เดือนก็จำต้องทำเป็นไร้เดียงสา
“ป้าหมายพูดแปลกๆ ฉันไม่เข้าใจ”
“อย่ามาทำเหนียมหน่อยเลย หัวค่ำเมื่อวาน ไปทำอะไรถูกใจคุณผู้ชายเข้าล่ะ ถึงได้ภาพวาดเป็นรางวัล”
หญิงชราหันไปพยักยิ้มให้กับสาวๆ อีกสองคน ที่ต่างก็มีงานครัวไม่ว่างมือ
“อย่าหาเหามาใส่หัวให้ฉันหน่อยเลย คุณผู้หญิงก็ดีกับฉันมากมาย มีหรือที่จะคิดเนรคุณ”
“เนรคุณกระไรเล่า สนองคุณสิไม่ว่า”
นางหมายขยับเข้ามากระซิบ
“สวยๆ เก่งๆ อย่างแม่เดือน ปล่อยให้หลุดไปเรือนอื่นก็น่าเสียดาย เป็นคุณนายรองมือคุณผู้หญิงในเรือนนี้ละ สมควรดีนัก”
“หยุดพูดเรื่องนี้เถอะป้า ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำ เรื่องฉันกับคุณผู้ชายน่ะ ร้อยไม่เคยคิด พันไม่เคยฝัน สักนิดหนึ่งที่จะอาจเอื้อมน่ะไม่มีวัน”
แต่นางหมายยังไม่ยอมหยุด ยิ่งพูดก็ยิ่งไม่น่าฟัง แต่ในใจของคนฟังนั้น ก็อดหลงเพ้อละเมอตามไปไม่ได้
“คนอย่างแม่เดือน จะไปกะเก็งเหตุการณ์อะไรได้ ถ้าคุณผู้ชายจะเอาเสียอย่าง มีหรือที่จะขัดใจท่าน คงได้แต่นับเป็นวาสนาสิไม่ว่า”
“ถ้าป้าไม่หยุดพูดเรื่องนี้ ฉันจะโกรธให้จริงๆ ด้วยนา”
เดือนใช้น้ำเสียงจริงจัง ต่อหน้าใครๆ จะแสดงออกไม่ได้เด็ดขาดว่ามีใจกับผู้เป็นนายขนาดไหน
และยิ่งไม่พอใจเลย ที่ได้ยินใครมากล่าวหาว่า เจ้านายตนเป็นคนมักมาก
หญิงสาวทำเป็นออกมาเสียจากห้องครัว เพราะนางหมายยังไม่ยอมหยุด ซ้ำนางบ่าวคนอื่น ก็ทำตัวเป็นลูกขุนพลอยพยักไปด้วย
ขึ้นบนเรือน คิดว่าศศิประภาคงจัดการกิจวัตรยามเช้าเรียบร้อยแล้ว จึงตั้งใจจะเข้ามาช่วยแปรงผม
“ดูสิ เดือน แก่ตัวลงทุกวัน เส้นผมที่เคยดำๆ มันๆ นุ่มสวย ก็เริ่มแห้ง กระด้าง”
“หรือจะลองหมักมะกรูดกับประคำดีควายกันสักครั้งไหมคะ”
หญิงรับใช้คนสนิทรีบเสนอความเห็น แนะให้ใช้สมุนไพรสำคัญที่มีสรรพคุณช่วยบำรุงรักษาเส้นผม
“ที่พูดนี่ หมายความว่าผมนี่เป็นอย่างที่ว่าจริงๆ ใช่ไหม”
“เดือนหมายถึงว่า มันจะช่วยให้ผมที่นุ่มสลวยอยู่แล้ว ยิ่งนุ่มเป็นเงางามน่ะค่ะ”
แปรงผมเรียบร้อยแล้ว ก็เปลี่ยนมาช่วยนวดไหล่ให้เบาๆ
ศศิประภาลอบพิจารณาดวงหน้าและผิวผ่องพรรณของสาวใช้ ผ่านกระจกตรงหน้า
ความผุดผาดมีน้ำมีนวลอย่างคนกำลังเต็มสาว ทำให้อดนึกอิจฉาไม่ได้
“ในบรรดาคนของคุณพ่อ ทั้งหมดนี่พอใจเดือนที่สุด ทั้งฉลาด รู้จักพูดรู้จักตรอง รู้ใจไปหมดทุกอย่าง”
“เดือนก็แค่ทำให้ดีที่สุด ให้สมกับคุณข้าวแดงแกงร้อน”
“อีกอย่าง แค่เรื่องหวีผม ยังไม่เคยมีใครทำให้ถูกใจเท่า”
“เรื่องนี้ เดือนก็เต็มใจ จะหวีให้คุณศิไปตลอดชีวิตเลยละค่ะ”
“ทำไม... คิดว่าถ้าไม่มีหล่อนหวีผมให้ แล้วจะอยู่ไม่ได้หรือยังไง”
อารมณ์วูบวาบแปรปรวนของเจ้านาย แม้พักนี้จะถี่หนัก แต่เดือนก็พยายามไม่คิดว่านายสาวจะระแคะระคายอะไรมากมาย เกี่ยวกับที่ตนมีใจให้นายผู้ชาย ปากก็พูดกลบเกลื่อนไปตามเรื่อง
“ไม่ได้หมายความอย่างนั้นหรอกค่ะ คือ... เดือนเป็นกำพร้า ได้รับอุปการะจากคุณท่านกับคุณหญิง ได้ติดตามรับใช้คุณศิมาหลายปี ไม่เคยคิดจะทำปีกกล้าขาแข็ง อยากอยู่ปรนนิบัติรับใช้คุณศิกับคุณผู้ชายตลอดไป แค่นั้นเอง...”
พอเห็นเจ้านายยังจ้องเขม็ง ก็คิดว่าที่พูดมายังไม่น่าเป็นที่พอใจ จึงจำต้องว่าต่อไป
“ไม่ใช่แค่หวีผมให้ทุกเช้าทุกเย็นหรอกค่ะ ต่อให้บุกน้ำลุยไฟ ต้องเสี่ยงอันตรายขนาดไหน ถ้าคุณศิกับคุณผู้ชายสั่งให้ทำ เดือนก็จะทำ”
ศศิประภาลุกขึ้น หันมาจับให้หญิงสาวมองหน้ากันตรงๆ
“พูดอย่างนี้ก็ดี ทั้งข้าทั้งพี่สัตยา ต่างก็ไม่รังเกียจ เดือนมาเป็นอนุให้คุณพี่จะดีไหม”
คนฟังถอยกรูด ก้มหน้าซ่อนสีหน้าดีอกดีใจเอาไว้ อยู่ใกล้นายผู้หญิงหากเผลอทำอะไรไม่ถูกใจเข้าจริงๆ ก็มีหวังจะตายได้ง่าย
ท่าทางนั้นทำให้ผู้เป็นนายเข้าใจว่าหล่อนไม่เต็มใจ จึงต้องถาม
“ทำไมล่ะ”
พอมีเสียงย้ำ สาวใช้ก็ถึงกับต้องคุกเข่าลง
“เดือนแค่หวังจะได้อยู่ใต้ชายคาเรือน รับใช้คุณศิกับคุณผู้ชาย ไม่เคยคิดอาจเอื้อมอะไรอย่างนั้นเลยนะคะ เดือนสาบานได้”
ปากคอสั่น กลัวเหลือเกินว่า ที่เจ้านายพูดมาทั้งหมด ก็เพื่อหาทางขับไล่ให้หล่อนไปพ้นจากบ้าน ไม่ประสงค์ให้เป็นปลาย่างอยู่ใกล้แมว
“โถๆ ล้อเล่นแค่นี้ก็ตัวสั่นเป็นลูกนก ความกตัญญู จงรักภักดีของเดือน มีหรือที่นี่กับคุณพี่จะไม่รู้ ลุกขึ้นเถิด มาช่วยดูหน่อยซิ ชุดนี้ เหมาะกับต่างหูคู่ไหน คู่ลูกมรกตดีไหม”
“ก็สวยดีค่ะ คุณศิเข้าใจเลือก ชุดกระโปรงสีตองอ่อนอย่างนี้ คู่นั้นเหมาะที่สุด”
“อย่างนั้นก็ช่วยหยิบหน่อยซิ”
เพราะเดือนเป็นคนสนิท เรียกว่ารู้ว่าเครื่องประดับชิ้นไหนเก็บงำไว้ตรงที่ใด มากกว่าเจ้าของด้วยซ้ำ แต่พอเปิดลิ้นชักกล่องกำมะหยี่สีดำ ที่เคยใส่ต่างหูลูกมรกตเป็นประจำ กลับปราศจากสิ่งที่ต้องการ
เดือนหน้าซีด รีบเปิดกล่องและลิ้นชักอื่นๆ ออกดู
“คุณศิเปลี่ยนที่เก็บหรือเปล่าคะ เดือนหาไม่เห็น”
“อะไรนะ! คู่นี้คุณแม่ให้เป็นของขวัญวันเกิดเลยนะ”
“ไม่มีจริงๆ ค่ะ หรือว่าจะหาย”
“จะหายไปได้ยังไง!”
แต่ค้นจนทั่วทุกซอกทุกมุมของโต๊ะเครื่องแป้งแล้ว ก็ยังไม่เห็น
ในที่สุด ต้องเรียกคนทั้งบ้านเข้ามา
“ตอนย้ายของมาบ้านนี้ มีใครเห็นของคุณศิบ้างหรือเปล่า”
เดือนยังไม่บอกว่า ของที่หายคืออะไร
“จะโยกโย้ทำไม ทั้งหมดในบ้านนี้มันก็ของฉันทั้งนั้น ต่างหูน่ะ ลูกมรกตคู่ ของขวัญวันเกิดจากคุณแม่”
คำแรกศศิประภาหันไปดุสาวใช้คนสนิท ก่อนจะหันไปบอกกับคนอื่นๆ
“คุณหนูเจ้าขา พวกเราแค่คนเล็กคนน้อย ร้อยวันพันปีไม่มีจะได้เหยียบขึ้นมาบนเรือน มีอย่างหรือจะรู้จะเห็นอะไร”
นางหมายรีบให้การ ส่งสายตาค้อนควักไปทางเดือนเต็มที่
“ถ้าอย่างนั้นก็ต้องแจ้งความ ให้คุณตำรวจมาช่วยกันหา”
เดือนก็รู้อยู่แก่ใจว่า สำหรับเรื่องนี้แล้ว ตัวเองบริสุทธิ์ จึงยื่นขอเสนอสำคัญ
“รู้ไปถึงไหนอายเขาไปถึงนั่น มีอย่างรึ เลี้ยงคนไม่เชื่อง มันก็ต้องพวกในบ้านนี้ละที่เอาไป”
นายผู้หญิงของบ้านกลับท้วงไว้เสียอีก
“แล้วจะทำอย่างไรดีล่ะคะ”
เดือนยังไม่สบายใจ เพราะตนเป็นคนเดียว ที่เข้านอกออกในห้องนี้บ่อยที่สุด
ศศิประภามองปราดไปทั่ว บ่าวไพร่คนรับใช้มีชายสามคนและหญิงอีกสี่คน ทุกคนต่างก้มหน้านิ่ง ด้วยยังไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
“เอาละ ถ้าใครหน้ามืดตามัวไปชั่วขณะ ก็จะยกโทษให้ ให้เวลาอีกวันหนึ่ง เอามันมาเก็บไว้ที่เดิม แล้วจะไม่สืบสาวเอาเรื่อง”
“แต่ว่า...”
เดือนขยับจะแย้ง แต่นางหมายรีบขัด
“เอาไว้ไม่ได้นะคะ ถ้าใครบังอาจทำขนาดนี้ ต้องเฉดหัวมันออกไปจากบ้าน!”
จนจะล่วงบ่าย นางหมายเองยังแปลกใจ ของสำคัญที่ว่าหายไปนั่น คนน่าสงสัยที่สุดคือเดือน ถ้ามันเอาไปป่านนี้คงไม่รู้หนีไปถึงไหนต่อไหน
ที่ว่าแปลกก็คือ ศศิประภาก็น่าจะนึกได้อย่างนี้ แต่กลับใช้ให้เดือนไปซื้อผ้าลูกไม้ ถึงที่ห้างไนติงเกลวังบูรพา ซ้ำยังไม่เห็นมีท่าทางทุกข์ร้อนเหมือนเมื่อเช้า
“หมายช่วยไปดูหน่อยซีว่า พลับแห้งยังมีอยู่ไหม รู้สึกโหยๆ พิกล”
นายสาวเอ่ยขึ้นเมื่อเลื่อนสำรับกลางวันออกเรียบร้อย
เป็นของกินเล่นที่ศศิประภาโปรดปราน และต้องเป็นชนิดนำเข้าจากเมืองจีนโดยตรงเท่านั้น
“หมดแล้วค่ะ ไม่อย่างนั้นอิฉันคงเตรียมมาไว้ให้แล้ว”
“แต่นี่อยากกิน”
“อย่างนั้นคุณหนูรอประเดี๋ยว จะให้นังจืดไปซื้อที่ตลาดวังหลังมาให้”
“จะสกปรกบูดเน่า เป็นเชื้อเป็นรายังไงก็ไม่รู้ ไม่เอาหรอก จะกินอย่างที่เคย”
“ต้องแถวเยาวราชโน่น ไปกลับก็ตั้งครึ่งค่อนวัน ก็ลืมไป นังเดือนไปทางนั้น ไม่หยั่งงั้นก็ให้ซื้อติดมือกลับมา”
“ใครจะรอ... จะกินตอนนี้ ไม่ใช่มื้อหน้า นึกได้ละ...”
นางหมายพลอยโล่งอก เมื่อเจ้านายน่าจะมีทางออกให้สบายใจ
“เคยให้เดือนไว้กินเล่น หมายไปดูที เผื่อที่เดือนยังมีเหลือ”
“แต่... มันไม่อยู่”
“แล้วยังไง”
“หมายไม่อยากเข้าไปยุ่มย่าม”
“บ้านนี้บ้านใคร นี่จะให้ใครเข้าออกห้องไหนก็ได้ รีบไปเถอะ อยากจะแย่อยู่แล้ว”
ห้องของเดือนอยู่ในเรือนชั้นล่าง ต่างกับพวกรับใช้คนอื่น ที่ไปอยู่รวมกันในเรือนบริวารตรงสุดเขตบ้านด้านหลัง
หญิงสาวเป็นคนรับใช้ใกล้ชิด แม้จะเป็นที่อิจฉาตาร้อนของคนอื่น แต่ก็ยังเกรง เพราะหากเดือนไปเพ็ดทูลอย่างไรกันนายของบ้าน ท่านๆ ก็น่าจะเชื่อถือหล่อนมากกว่าใคร
นางหมายนั้นไม่พอใจแต่แรก ฐานะที่ตนเป็นคนเก่าแก่ คุณท่านกับคุณหญิงบอกให้แยกมาอยู่ที่นี้ เพื่อช่วยปรนนิบัติไม่ให้ขาดตกบกพร่อง นึกว่าคุณหนูจะเห็นแก่ที่เลี้ยงดูกันมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอย ให้อยู่ร่วมในเรือนใหญ่ แต่ก็เปล่า
เมื่อได้ทีเข้ามาสำรวจในห้องของเดือน หญิงชรายิ่งเห็นก็ยิ่งน้อยใจระคนแค้น
“นังเด็กเมื่อวานซืน เขารับมาอุปการะเข้าหน่อย ทำจองหองพองขน”
ทั้งที่คนถูกกล่าวหาไม่เคยทำตัวเช่นว่านั้นเลย แต่คนอิจฉาก็ยังพาล
“ดูซิ ห้องหับสวยหรู นี่คงหวังเชิดหน้าชูคอเป็นเมียน้อยคุณสัตยาละซี”
ปากบ่นไป ก็เปิดหาตามตู้ตามหีบเสื้อผ้าเรื่อยไป
ใจนั้นอยากสำรวจทุกซอกทุกมุม มากกว่าจะตั้งใจค้นของที่ศศิประภาให้หา
หีบไม้ใบย่อมวางอยู่ข้างหัวเตียง
แม้พลับแห้งไม่น่าจะถูกเก็บไว้ในนั้น นางก็ยังเปิด
ในหีบมีทองเส้นเท่าหนวดกุ้ง จำได้ว่าเป็นของขวัญจากคุณท่านทางโน้น
เห็นมีผ้ารองอีกชั้นหนึ่ง ก็เปิดผ้าขึ้นดู
พริบตาแรกก็ตกใจ ต่างหูลูกมรกตคู่ที่ว่าหายไปเมื่อเช้า วางเรียงอยู่คาตา
นางหมายหยิบขึ้นมาส่องให้รู้ชัด ว่าเป็นรัตนชาติน้ำงาม ไม่ใช่เพชรพลาสติกจากสำเพ็ง
พอแน่ใจว่าใช่แน่ หญิงชราก็รีบแจ้นไปแจ้งข่าวกับเจ้านาย
เลยพลบไปแล้ว ตอนทั้งบ้านถูกตามมารวมกันพร้อมหน้า มีสัตยานั่งเป็นประธาน ในการชำระความเรื่องต่างหู
“คุณศิคะ เดือนไม่เคยแม้แต่จะคิด”
หญิงสาวผู้รับใช้คนสนิท พร่ำพูดเช่นนั้น ซ้ำไปซ้ำมา ตั้งแต่ถูกกุมตัวไว้แต่แรก
“เชื่อเดือนเถิดนะคะ พระคุณคุณศิกับคุณสัตยาท่วมหัว เดือนไม่กล้าหรอกค่ะ”
“ถ้าเอ็งไม่ได้เอาไป แล้วมันไปอยู่ในห้อง ในหีบนั่นได้ยังไง!”
ศศิประภาเค้นถามเสียงเครียด
เดือนหันจ้องเขม็งที่นางหมาย
“ต้องมีคนใส่ร้ายแน่ๆ ค่ะ”
สายตานั้น พยายามบอกให้รู้ว่า ใคร...น่าจะเป็นผู้กระทำ แต่นายผู้หญิงจะสนใจก็หาไม่
ส่วนหญิงชราร้อนตัว เพราะตนเองเป็นคนไปพบต่างหูนั้นในห้องหญิงสาวจริงๆ
“อย่ามาป้ายขี้ให้ข้านะนังเดือน ห้องเอ็งข้าไม่คิดจะเหยียบให้เสนียดตีน...”
แล้วก็หันไปทำเป็นมีน้ำหูน้ำตากับศศิประภา
“ดูเถอะค่ะคุณหนู หมายว่าแล้ว คนอย่างนี้มันเลี้ยงไม่เชื่อง นี่ยังมากล่าวหา...”
“พอได้แล้วหมาย เรื่องนี้ไม่ใช่เล็กๆ ใครเลี้ยงไม่เชื่องก็ไม่เลี้ยง เดือน! ทำผิดแล้วทำไมไม่ยอมรับ!”
คำท้ายหันมาเค้นเอากับหญิงสาวอีกครั้ง
“ไม่ค่ะ เดือนไม่ได้ทำอะไรผิด ต่างหูนั่นไปอยู่ในห้องได้ยังไงก็ไม่รู้ เดือนรับใช้คุณท่าน คุณผู้หญิง คุณศิมาตั้งแต่เดือนยังเล็กๆ...”
“เรื่องนั้นไม่เกี่ยว”
“คุณศิไม่เชื่อใจเดือนหรือคะ”
“ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่หลักฐานทนโท่ คนทั้งบ้านก็รู้เห็นเรื่องนี้ แล้วจะให้ทำยังไง ให้มันเลิกแล้วกันไปงั้นหรือ”
ตลอดเวลาเดือนสังเกตเห็นว่า นายหญิงไม่ยอมสบสายตากับตนนานๆ เหมือนเคย
แต่ศศิประภาคงรู้ทันความคิดของคนตรงหน้า เลยทำเป็นลุกจากที่ มาทรุดตัวลงใกล้ๆ
“เดือน เห็นแก่ที่ช่วยดูแลรับใช้มานาน เอาอย่างนี้ สารภาพมาเสีย แล้วจะไม่เอาเรื่อง...”
“คุณศิคะ เดือนไม่ได้เป็นคนเอาไป จะให้สารภาพได้อย่างไร”
“ถ้ายังทำตัวเป็นผู้ร้ายปากแข็งอย่างนี้ก็จนใจ”
ศศิประภาสะบัดลุก ทำเป็นขัดเคืองที่เลี้ยงคนมาไม่ได้อย่างใจ
เดือนนั้นไม่รู้ไม่เห็นเรื่องนี้มาก่อน แม้จะเริ่มคิดไปได้ตลอดแล้วว่า เหตุไรจึงถูกใส่ร้ายเช่นนี้ เมื่อนายผู้หญิงจงใจจะกลั่นแกล้ง ก็ได้แต่หันไปขอความเห็นใจจากนายอีกคน
“คุณสัตยาเจ้าคะ คุณศิไม่เชื่อเดือน ช่วยพูดให้เดือนนะคะ”
สัตยาก็มีความลำบากใจไม่น้อย เพราะข้าทาสบริวาร คนที่เป็นเรื่องเป็นราวอยู่นี้ ล้วนแต่เป็นของฝ่ายภรรยาทั้งนั้น
“ถ้าจะให้พูด ก็ต้องหมายความว่า เอ็งไม่ได้เอาไปจริงๆ”
พยายามพูดแบบไม่ให้เข้าข้างใคร
คนถูกปรักปรำยิ่งน้ำตานอง ใจนั้นเคียดแค้นหนักหนา
“เดือนไม่ได้ทำ ไม่เคยคิดแม้จนนิดเดียว จะเอาไปสาบานที่วัดไหนก็ได้”
เห็นทุกคนยังนิ่ง ก็พูดต่อ
“เดือนไม่ใช่คนเห็นแก่ได้ ใครๆ ก็รู้”
คราวนี้หันไปมองหน้าทั่วทุกคน
สัตยาก็พยักหน้าเห็นใจ รู้แน่อยู่ว่านิสัยของสาวใช้ไม่ใช่คนอย่างนั้น
“หรือต่อให้หน้ามืดตามัวขนาดไหน ก็ไม่มีวันมาทำเป็นทุบหม้อข้าวตัวเองอย่างนี้หรอกเจ้าค่ะ”
ยิ่งพูด คนทั้งบ้านก็ยิ่งเห็นเหตุผล นายผู้ชายหันไปสบตากับนายผู้หญิง เห็นหล่อนยังหน้าบึ้งอยู่ ก็เกรงใจ หากจะออกปากว่าเห็นอกเห็นใจสาวใช้อยู่มาก
“คุณสัตยาเจ้าขา ต่อให้ตาย เดือนก็ไม่ยอมรับ ไม่ยอมให้ถูกปรักปรำแบบนี้ คุณสัตยาเป็นคนมีความรู้ ช่วยตัดสินให้เดือนด้วยนะคะ”
“เอาละๆ ใจเย็นๆ ก่อนซี...”
จะพูดต่อ ศศิประภาก็ขัด
“ถ้าปล่อยเรื่องนี้ผ่านไป ต่อไปน้องจะจัดการกับบ่าวไพร่พวกนี้ได้อย่างไร ถ้ารู้ถึงหูคุณพ่อคุณแม่ น้องต้องถูกตำหนิแน่ๆ”
“นั่นซีนะ เรื่องในบ้านของเราแท้ๆ แล้วน้องคิดว่าอย่างไร”
“แต่ถ้าจะลงโทษ จับส่งพวกนครบาล น้องก็จะถูกครหาว่า ใจดำอำมหิต คนของตัวแท้ๆ ยังจับใส่คุกใส่ตะราง เอาอย่างนี้นะคะ บ้านนี้เป็นบ้านคุณพี่ น้องยกให้คุณพี่เป็นคนตัดสินใจ”
สัตยายิ่งอึดอัดมากขึ้น แต่เพื่อเอาใจภรรยา และเข้าใจเจตนาของการสร้างเรื่องนี้ขึ้น จึงต้องตัดสิน
ระบายลมหายใจแรงๆ ให้ทุกคนเห็นว่าหนักใจนัก
“เอาอย่างนี้... พยานหลักฐานก็มีชัด เห็นแก่ที่เอ็งติดตามรับใช้มานาน พรุ่งนี้เช้าก็เก็บข้าวของแล้วไปซะ เรื่องนี้เราจะไม่เอาความ...”
เดือนปล่อยโฮ เสียใจมากกับความทุ่มเทแรงกายมาทั้งหมด เพื่อให้เจ้านายของบ้านอยู่กันอย่างเป็นสุขไม่บกพร่อง ทั้งที่รู้สึกอย่างไรกับนายผู้ชายก็เก็บเงียบสนิทอยู่ในใจ ไม่คิดไม่ฝันว่าการณ์จะกลับมาเป็นเช่นนี้ไปได้
“กระทั่ง... กระทั่งคุณสัตยาก็ไม่เชื่อถือเดือนหรือคะ”
“ไม่ใช่ไม่เชื่อ แต่เพื่อให้เรื่องนี้มันยุติ คุณศิไม่ถูกครหา เอาเถอะ จะให้เงินทองไปทำทุนสักก้อน พรุ่งนี้ก็รีบไปซะ”
แล้วก็กลัวว่าตัวเองจะใจอ่อน ต้องรีบลุกขึ้น เป็นอันจบเรื่อง
เดือนถลาตาม หวังจะฉุดรั้ง ให้หาความกระจ่างกันก่อน
แต่นางหมายและบ่าวผู้ชายอีกคนรีบรั้งไว้ ซ้ำยังถือโอกาสทุบเอาอีกสองสามที ด้วยความหมั่นไส้
ไก่ขันรับกันเป็นทอด ปลุกให้สัตยาลืมตาทั้งที่ยังไม่ทันรุ่งสาง ควานมือหาภรรยาที่ข้างตัว พบแต่ความว่างเปล่าก็แทบจะตาสว่าง ยันตัวขึ้นมองหาให้แน่ชัด
เห็นศศิประภานั่งอยู่ที่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งก็คลายใจ
“น้องศิ เป็นอะไรไป”
“ฝันไม่ค่อยดีค่ะ ปวดหัวนิดหน่อย เลยลุกขึ้นมาหายากิน”
“งั้นมานอนพักอีกสักหน่อยซี”
สามีตบที่ข้างตัว ทำท่าเหมือนจะรอกล่อม
“ไม่ละค่ะ ว่าจะลงไปเรือนครัวเสียหน่อย เช้านี้คุณพี่อยากรับประทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่าคะ”
“พี่ลงไปเป็นเพื่อนดีกว่า ขอล้างหน้าล้างตาสักหน่อย”
“ได้ค่ะ... เดือน... เดือน ขอน้ำล้างหน้าให้คุณผู้ชาย”
“จะเรียกหาใครกัน ก็เราไล่เขาออกไปแล้ว”
สัตยาเอ่ยเตือน
“จริงซีนะคะ”
“อาจลำบากหน่อย แต่น้องศิคงสบายใจขึ้นแล้วนะ”
ศศิประภากลับหน้าสลดลง จนสามีแปลกใจ
“เป็นอะไรไป หน้าซีดๆ”
“ปละ เปล่าค่ะ เมื่อคืนเครียดๆ เลยลืมไป”
“พี่เองก็ติดนิสัย ห้องน้ำห้องท่าเราก็แค่ตรงนี้ ยังชอบเรียกหาน้ำล้างหน้าอยู่เรื่อย”
“น้องก็ต้องขอโทษ เกิดเรื่องอย่างนี้ ทำให้พี่พลอยลำบาก”
“ชีวิตพี่ลำบากมามาก เรื่องแค่นี้จะกระไรนัก ห่วงแต่น้อง คนจะรองมือรองเท้าอย่างนั้นหาได้ยากนัก”
“ก็เสียดาย แต่จะทำยังไงได้ เอ... หรือคุณพี่ยังอาลัยอาวรณ์...”
ไม่ทันที่สัตยาจะได้ตอบคำ ก็ได้ยินนางหมายกรีดร้องขึ้นจากที่ไม่ไกล
“ตาย ตายแล้ว นังเดือนตายแล้ว ทำไมถึงคิดสั้นๆ อย่างนี้!!!”
****************************
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น