ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    พรายเสน่หา*

    ลำดับตอนที่ #1 : บทนำ

    • อัปเดตล่าสุด 28 เม.ย. 56


    บทนำ








    พอกลับถึงบ้านฉันก็เห็นซองจดหมายเล็กๆ สอดอยู่กับข้างประตู ฟ้าเพิ่งมืดสนิทเมื่อครู่นี้เอง แสดงว่ามันคงเป็นของ ‘อรัญ’ แฟนเก่าของฉันนั่นละ



    ก็เพราะอรัญเป็นพราย พรายที่บรรดาลูกค้าในที่ทำงานฉันรู้จักมักคุ้นกันดีในชื่อ พราย พารัญ และคงเพิ่งมาสอดมันไว้แน่ๆ คนอย่างเขา ไม่มีทางตื่นก่อนอาทิตย์ตกอยู่แล้ว

    ที่จริงเราไม่ได้เจอกันมาเป็นอาทิตย์ เพราะการเลิกกันที่เรียกได้ว่า จบแบบไม่สวยเอาซะเลย ยิ่งเห็นซองเล็กๆ นี้ ก็ยิ่งทำให้รู้สึกแย่ขึ้นมาอีก ทั้งที่ฉันอายุตั้งยี่สิบหกเข้านี้แล้ว

    ...เธอคงคิดว่าฉันต้องไร้เดียงสา ไม่เคยมีแฟนหรือไม่เคยอกหักมาก่อนละซี

    ถูก! เธอคิดถูก

    คนทั่วไปน่ะ ไม่มีใครอยากจะนัดเดตกับฉันหรอก ใครๆ ก็หาว่าฉันพิลึกและเลอะๆ เลือนๆ มาตั้งแต่สมัยเรียนชั้นมัธยมโน่นแล้ว

    ซึ่ง...

    พวกเขาก็พูดถูก

    แต่ไม่ใช่ว่าฉันไม่เคยถูกแต๊ะอั๋งหรอกนะ เวลาทำงานที่บาร์ มันก็ต้องมีบ้างเป็นธรรมดา คนเราเวลาเหล้าเข้าปากไปแล้ว อะไรก็ทำได้ทั้งนั้น ที่สำคัญคือฉันก็คงรูปร่างหน้าตาพอไปวัดไปวาได้ ไม่อย่างนั้นบาร์ระดับห้าดาวนี้คงไม่เลือกฉันไปเดินเสิร์ฟ ให้กับลูกค้ากระเป๋าหนักพวกนั้น

    โดยเฉพาะลูกค้าประจำ ที่แม้จะรู้จักฉันดี แต่พอเมาเข้าแล้ว ก็คงลืมไปได้กับนิสัยเพี้ยนๆ ของฉัน รวมทั้งการสามารถฉีกยิ้มได้ตลอดเวลานั่นด้วย

    และแน่นอน มีอรัญคนเดียว ที่สามารถฝ่าด่าน ทนความรั่วของฉันได้ ก่อนหน้านี้เราเข้าขากันได้ดี... แล้วจะไม่ให้ฉันจะเป็นจะตายได้ยังไงล่ะ ตอนที่เลิกกันอย่างนั้น

    ฉันเดินไปรินน้ำ แล้วกลับมานั่งจิบอยู่อีกหลายอึก กว่าจะหยิบซองนั่นขึ้นมาพิจารณา

    “ปาลินที่รัก...

    ผมอยากขอโอกาสอีกครั้ง อยากคุยกับคุณตามลำพัง หลังจากที่คุณพอจะทำใจกับเรื่องร้ายๆ ที่ผ่านพ้นมาแล้ว...

    ‘เรื่องร้ายๆ’ ชิ! สะโพกยังยอกไม่หาย ข้อศอกข้างซ้ายก็ยังปวดเหมือนกระดูกจะหลุด ยิ่งเวลาเผลอเทินถาดเครื่องดื่มไว้ด้วยมือซ้าย มันก็คือความรู้สึกเหมือนตกนรกดีๆ นี่เอง

    ‘เรื่องร้ายๆ’ ที่เกิดขึ้นเพราะฉันบุกเข้าไปช่วยเขาออกมาจากไอ้พวกพรายบ้าๆ อีกฝูงหนึ่ง ซึ่งนั่นยังไม่เป็นเรื่องร้าย เท่ากับ หนึ่งในพวกที่รุมทำร้ายเขาอยู่นั้น มีนางพรายอดีตคนรักเก่าของเขาอยู่ด้วย

    แต่ที่เป็น ‘เรื่องร้ายๆ’ ที่สุดสำหรับฉันก็คือ ทั้งที่แทบจะเอาชีวิตเข้าแลกเพื่อช่วยเหลือ แต่เขากลับหันไปทำตามคำบัญชาของนางเมวีฬ์นั่นเสียได้ ยอมไปตามที่หล่อนสั่ง ไปถึงวังเวียงของประเทศลาว โดยไม่สนใจเลยว่าฉันจะทัดทานอย่างไร

    “... ผมแน่ใจว่าคุณคงมีอีกหลายอย่างที่ค้างคาใจ...”

    แน่นอน... ถูกต้องที่สุด!

    “...ดังนั้น ถ้าคุณยังให้โอกาส ให้เราได้คุยกันตรงไปตรงมา อย่าง... ได้เห็นหน้าเห็นตากัน ตอนนี้คุณช่วยเดินมาที่หน้าบ้าน แล้วเปิดประตูให้ผมเข้ามาหน่อยได้ไหม”

    อะไรอีกล่ะ ไม่ทันจะตั้งตัวหรือทำใจอะไรไว้เลย

    ฉันให้ตัวเองตัดสินใจอยู่หนึ่งนาทีเต็มๆ ตลอดเวลาที่คบหากันลึกซึ้ง เขาไม่ใช่คนเลวร้าย ทำไมฉันถึงจะไม่ยอมให้โอกาสเขาได้แก้ตัว

    คิดได้แค่นั้น ฉันก็กลับมาที่ประตู เปิดมันด้วยท่าทางไม่เต็มใจสักเท่าไร

    “เชิญ...”

    ฉันเอ่ยกับความมืดสลัว ของลานหน้าบ้าน ซึ่งฝั่งตรงข้ามยังเป็นสวนเก่าแก่ที่อุดมไปด้วยสุมทุมพุ่มไม้

    อีกเป็นอึดใจ กว่าที่เขาจะโผล่หน้าออกมาจากตรงนั้น

    และนั่นก็ทำให้หัวใจฉันทั้งสั่นไหวและร้าวรานขึ้นมาอีกครั้งพร้อมๆ กัน

    อรัญเป็นคน... ที่จริงคือพราย ที่รูปหล่อจัดๆ ร่างสูงเพรียวสมส่วนกับไหล่กว้างๆ นั่น ทำให้ดูเป็นผู้ชายมาดแมนแบบไม่มีที่ติ

    เท่าที่รู้คือ เพราะเขาเคยทำงานเหมืองแถวจังหวัดระนองมาก่อน และความทรหดอดทนที่มีอยู่เป็นนิสัยนั้น ก็เพราะเคยเป็นพวกเสรีไทสมัยสงครามโลกอีกด้วย

    คิ้วเข้มและจมูกที่โด่งเป็นสัน ส่งเสริมให้ดวงตาและริมฝีปากยิ่งมีเสน่ห์ ทรงผมที่ตัดสั้นแล้วจัดทรงไว้อย่างสุภาพ ทำให้เขาดูหล่อเนี้ยบอยู่ตลอดเวลา และ... แน่นอน ฉันแน่ใจว่าเขาต้องหล่อเนี้ยบอย่างนี้ไปตลอดกาล

    เขายังลังเลตอนมายืนอยู่ตรงประตู ก็ฉันเอ่ยปากเชิญแล้วนี่นะ จึงจำเป็นต้องเบี่ยงตัวหลบให้เขาเดินเข้ามาภายใน และเดินเลยไปถึงห้องนั่งเล่น ที่มีเครื่องเรือนอยู่เพียงสามสี่ชิ้น

    “ขอบคุณ...”

    เสียงนุ่มๆ อย่างนี้ละ ที่ทำให้ฉันต้องยอมเขาทุกอย่าง เสียงนุ่มๆ อย่างนี้บนเตียงที่เราเคยนอนเคียงกันนั่น ก็ทำให้ฉันยิ่งมั่นใจว่า เรื่องบนเตียงของเรา ไม่ใช่ปัญหาที่ทำให้เขาต้องจากไป

    “ผมอยากปรับความเข้าใจก่อนออกเดินทาง”

    “จะไปไหนอีกล่ะคะ”

    ฉันก็พยายามปรับน้ำเสียงให้เรียบๆ ไม่ประหม่าเมื่ออยู่กับเขาตามลำพังอย่างนี้

    “ไปอัสสัม... เป็นคำสั่งของมหารานี”

    “ทำไมล่ะ จะไปหาที่อัพรูปเท่ๆ ลงอินสตาแกรมหรือยังไง”

    ฉันคนหนึ่งละที่ล้าสมัยมากกับเรื่องความก้าวหน้าของเทคโนโลยี ตรงข้ามกับอรัญ เขาตามมันทันทุกฝีก้าว เรียกว่าเป็นผู้เชี่ยวชาญเลยก็ได้

    “เกือบถูก คือผมจะต้องไปค้นคว้าอะไรเพิ่มเติมที่นั่นอีกเล็กน้อย พวกพรายที่ทวารัตน์ ตระกูลเจ้าทางเหนือของพม่าน่ะ เขาให้ทุนกับพวกเราในการสืบหาที่มาของเผ่าพันธุ์พวกพราย มหารานีเลยให้ผมเป็นตัวแทนไปเจรจา ไหนๆ ก็ไปถึงนั่น ผมอยากเลยไปให้ถึง อัสสัม... คุณรู้ไหม ทุกวันนี้ที่นั้นยังมีชาวบ้านที่นามสกุลศยามกันเกือบทั้งหมู่บ้าน...”

    ‘ใช่ซี... ชื่อตามบัตรประชาชนของเขา ไม่ว่าจะเปลี่ยนมากี่ครั้ง ก็ยังนามสกุล ศยาม อยู่นั้นเอง’

    ระหว่างที่อธิบาย อรัญยังยืน เขาคงรู้สึกได้ถึงสถานภาพที่เปลี่ยนไปของเราสองคน

    “นั่งก่อนซีคะ...”

    ต้องเอ่ยปากเชื้อเชิญ เขาจึงยอมนั่งลงบนเก้าอี้ไม้ตัวกลมเตี้ยๆ ฉันนั่งลงตาม บนโซฟาฝั่งตรงข้าม แสงของโคมไฟเพดาน ทำให้ทุกสัดส่วนของรูปร่างเขายิ่งชวนพิศวาส ความรู้สึกทั้งหลายประเดประดังเข้ามา จนเราตกอยู่ในความเงียบอีกอึดใจใหญ่

    เป็นอึดใจที่ความร้าวรานได้โอกาสเข้ามาทำร้ายหัวใจฉันอีกครั้ง

    “ป๋าเป็นไงบ้าง...”

    “อยู่วังน้ำเขียว ที่เขาใหญ่โน่นแน่ะ เขาทำตัวเด่นเกินไป มหารานีต้องกันตัวเขาไว้ให้ห่างจากผู้คนอีกสักพัก แต่ไม่นานก็จะได้รับอนุญาตให้กลับเข้ามาในเมือง”

    สำหรับป๋า ถ้าเธอเห็นหน้าเขาเพียงครั้งเดียวก็จะจำได้ไม่มีวันลืม เพราะพวกเขาเป็น... พรายที่ผิดพลาด... ถูกท่านมหาเวสสุวรรณสาปหลังจากก่อคดีสำคัญที่เชิงชั้นมหาราชิกาสวรรค์

    แล้วความเงียบก็เข้าครอบงำอีกครั้ง ทำไมนะ แทนที่จะได้พักผ่อนอีกสักสองสามชั่วโมงก่อนกลับไปทำงานรอบค่ำ กลับต้องมานั่งเจ็บช้ำกับความหลังเก่าๆ กับแผลในหัวใจที่โดนกรีดเฉือนแล้วยังไม่หายสนิทดี

    “อยากจะพูดอะไรล่ะคะ พูดออกมาเถอะ พอหมดธุระแล้วก็กลับไปซะ”

    เขาพยักหน้า

    “...ผม แค่อยากอธิบาย...”

    มือซีดๆ ของเขาบีบและคลายเหมือนไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี

    “...ผมกับเมวีฬ์...”

    ฉันสะดุ้ง ไม่คิดว่าเขาจะกล้าเอ่ยชื่อนี้ให้ได้ยินอีก เมื่อเขากล้าทิ้งฉันกลับไปหาหล่อน

    “ผมต้องอธิบาย คุณจะได้เข้าใจ”

    อรัญคงเคืองเหมือนกัน ที่เห็นท่าทางของฉัน

    “ขอให้ผมได้พูด ได้ไหม...”

    เขาดูออกจริงๆ ว่าฉันไม่อยากได้ยินเรื่องของหล่อนอีก

    คราวนี้เป็นสองสามอึดใจทีเดียว กว่าฉันจะพยักอนุญาตให้เขาพูด

    “คือที่ผมไปวังเวียง เพราะขัดคำสั่งไม่ได้”

    ฉันเลิกคิ้ว ทำหน้างงๆ ใส่ ก็คำพูดทำนองนี้ มันก็มาจากผู้ชายที่เห็นแก่ตัวทั่วไปนั่นละ ความหมายไม่ต่างกันนักกับคำว่า “ผมอดใจไม่ได้จริงๆ” หรือไม่ก็ “ก็ตอนนั้นมันไม่มีเรื่องอะไรน่าสนใจไปกว่าตรงใต้สะดือนี่นา”

    “เราเคยเป็นคนรักกันตั้งแต่สมัยทวารวดียังรุ่งเรือง แต่อย่างที่มันไตรเคยบอกคุณนั่นละ ใช่ว่าความรักของพวกพรายจะเป็นนิจนิรันดร เราเลิกรากันมานานพอสมควร แต่ที่มันไตรไม่ได้บอกคุณคือ เป็นเมวีฬ์ที่เปลี่ยนผมให้เป็นพวกพราย”

    “แล้วชักชวนให้คุณเข้ากับฝ่ายไสยเวทย์อย่างนั้นรึ”

    ฉันยั้งคำไว้ไม่ทัน อยากตบปากตัวเองจัง เรื่องอย่างนี้เขาห้ามพูดออกมาพล่อยๆ

    “ก็... ถูกอย่างที่คุณว่า หลังจากนั้นเราก็ใช้ชีวิตร่วมกัน ฉันคนรัก มันไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ ในหมู่พวกพราย”

    “แล้วคุณก็เป็นฝ่ายทิ้งหล่อน”

    “ร้อยยี่สิบปีก่อน ใช่! มันมาถึงสุดที่ทนกันไม่ไหวอีกต่อไป เชื่อเถอะว่าผมไม่เคยเจอเมวีฬ์อีกเลย ถึงจะรู้ว่าเธอกำลังทำอะไรอยู่”

    “เหรอคะ... ฉันต้องเชื่อคุณในเรื่องนี้ด้วยซิเนี่ย”

    ฉันอดไม่ได้ที่จะต้องประชดประชัน

    “แต่ผมก็ต้องทำตามคำสั่งของเมวีฬ์ เพราะเธอคือผู้สร้าง และมันเป็นกฎของพราย เมื่อใดที่หล่อนต้องการ ผมก็ต้องทำตาม”

    ถึงตอนนี้ น้ำเสียงของเขาฟังดูเคร่งเครียดผิดปกติ

    ฉันพยักหน้าให้อีกครั้ง ขณะพยายามทำความเข้าใจ ซึ่งต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่ ฉันก็คงทำใจให้เข้าใจกติกาของพวกพรายในข้อนี้ไม่ได้จริงๆ

    “เมวีฬ์... เธอสั่งให้ผมเลิกยุ่งเกี่ยวกับคุณ”

    เขาพูดออกมาโดยยังจ้องตาฉันแน่วนิ่ง ขณะพูดประโยคต่อไป

    “ขู่ว่า ถ้าไม่ยอมทำตาม เธอจะฆ่าคุณ”

    ใจฉันเต้นตึกๆ รู้สึกถึงอารมณ์ของตัวเองที่เดือดปุดๆ ต้องถอนลมหายใจยาวนาน และสูดลมหายใจลึกๆ เพื่อไล่ความอัดอั้น

    “สรุปว่าคุณรักฉันมาก ไม่อยากให้ได้รับอันตราย โดยไม่คิดจะถามฉันสักคำ ไม่รู้หรือยังไง ถ้าคุณจะไปจากฉันง่ายๆ อย่างนั้น ให้ฉันตายซะยังดีกว่า”

    “แต่ผมจำเป็น ทั้งที่ต้องทำตามคำสั่ง และแน่ใจว่าเมวีฬ์ต้องฆ่าคุณแน่ ถ้าผมขัดขืน”

    “ใช่ อันหลังนี้คุณพูดถูก”

    เป็นความจริงที่สุด ที่เมวีฬ์อยากจะส่งฉันไปเมืองผีให้ได้ ถ้าไม่บังเอิญว่าฉันจัดการหล่อนได้ก่อน ... ถึงมันจะเป็นโชคเข้าข้างก็เถอะน่ะ

    “แล้ว... ตอนนี้คุณก็หมดรักผมแล้ว...”

    อรัญถามอย่างซึมๆ ลงไป

    “ไม่รู้ซิคะ”

    ฉันยังตอบเรื่อยๆ

    “ไม่แน่ใจหรอกว่า คุณจะอยากกลับมาอยู่กับคนที่ฆ่าผู้ที่สร้างคุณขึ้นมา”

    กับประโยคท้ายนี้ฉันก็พูดออกมาอย่างซึมๆ เช่นกัน แต่ระคนอยู่กับความขมขื่นยิ่งกว่าเขาแน่ๆ

    “อย่างนั้นเราคงต้องอยู่ห่างกันสักพัก ผมเสร็จธุระทางโน้นแล้ว เราค่อยกลับมาคุยกันใหม่... แต่ตอนนี้... ก่อนลา... ผมขอ...”

    จะบ้าไปแล้ว! กับคำขอสุดท้าย ที่ฉันก็ดันเต็มใจอยากจะทำตามนั้น แต่มันคงเป็นการกระทำที่หน้าอายที่สุด ถ้าฉันยับยั้งตัวเองไว้ไม่ได้

    ในที่สุดก็ต้องลุกขึ้นเดินนำเขาไปที่ประตู เขย่งให้เขาได้จูบลาที่หน้าผาก...

    พอมาอยู่ในเงามืดของหน้าบ้าน ทั้งร่างของอรัญเรืองแสงขึ้นนิดหนึ่ง นั่นทำให้เขาแตกต่างจากมนุษย์ทั่วไป แต่ฉันก็อดแปลกใจไม่ได้ เมื่อมารู้ว่ารูปกายที่เห็นและหลงเสน่ห์อย่างหัวปักหัวปำอยู่นี้ ไม่ใช่ทุกคนจะได้เห็นในสภาพเดียวกัน

    “คุณยังไปเจอ “ธร” คนนั้นอยู่อีกหรือเปล่า”

    เขาถามก่อนจะถอยลงขั้นบันไดเตี้ยๆ

    “ธร ไหนล่ะ”

    ฉันย้อน พยายามแข็งตาไว้ไม่ให้กะพริบไล่น้ำตาที่กำลังจะเอ่อท้นขึ้นมา คำถามนี้คงทำให้อรัญคิดได้ว่า ตอนนี้เขาไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้

    “คุณจะไปนานสักแค่ไหน”

    ฉันต้องเปลี่ยนเรื่อง

    “สักสองหรือสามสัปดาห์ ผมไม่แน่ใจ...”

    “งั้น กลับมาเมื่อไหร่ค่อยคุยกันใหม่”

    ฉันต้องหันหน้าหนี แอบเช็ดน้ำตาอย่างเร็วที่สุด ตอนก้าวกลับเข้ามาหยิบพวงกุญแจ

    “เอาของคุณคืนไป”

    “คุณเก็บไว้เถอะ อาจต้องใช้ตอนผมไม่อยู่ ที่นั่นไม่มีใครรบกวน และเรื่องที่ค้างๆ คาๆ อยู่ ผมก็ทำเสร็จหมดแล้ว”

    ฉันละซีคือเรื่องที่ยังค้างๆ คาๆ ฉันพยายามข่มอารมณ์เดือด ที่เดี๋ยวนี้มันเกิดขึ้นถี่กว่าปกติ

    “เดินทางปลอดภัยนะคะ”

    เป็นคำกล่าวอวยพรไล่หลังที่สร้างขึ้นด้วยนำเสียงเย็นชาที่สุดที่ฉันเคยทำ

    กลับเข้ามาในครัว ผ่านห้องนั่งเล่น ที่มีแผ่นหนังเรื่องโปรดรออยู่ เริ่มอุ่นข้าวผัดขี้เมาจากร้านสะดวกซื้อ เพื่อเอกเขนกกินตรงหน้าจอให้สมใจ

    แต่ระหว่างที่รออยู่หน้าไมโครเวฟนั้นเอง ที่น้ำตาของฉันไหลพรากลงมา...



    ...........................

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×