ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    อรุณสวัสดิ์รัตติกาล

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ ๑ (100%)

    • อัปเดตล่าสุด 14 ก.ย. 54



    01

    คนธรรพ์รับขวัญแล้วจุมพิต       กรสะกิดเลี้ยวลอดสอดประสาน
    เคล้าเคล้นเล่นดวงปทุมมาลย์      ยุพาพานแม่อย่าหมองกมลใน
    ซึ่งโทษผิดชิดโฉมประโลมเล้า       ด้วยร้อนเร่าสวาทหวังไม่ยั้งได้
    อย่าถือความจงประนามประนอมใจ       พี่จะไว้ชีพด้วยวนิดา



    แสงทองเพิ่งพ้นขอบฟ้าเพียงเบาบาง หากภายในห้องนี้กลับกระจ่างด้วยแสงนวล โดยเฉพาะตรงหัวนอน อันมีพื้นผนังทาสีน้ำเงินเข้ม ตัดกับภาพลายเส้นของช่อดอกสายน้ำผึ้งสีเหลืองเรืองรอง

    ตรงภาพนั้น... กลับวิบวับ คล้ายเส้นสายระย้าย้อยนั่น ปิดประดับไว้ด้วยเปลวทอง

    อากาศอุ่น... เริ่มยะเยือกเย็น ขัดแย้งกับแสงแห่งรุ่งทิวา ที่เริ่มสาดสายสว่างไสวขึ้นทุกวินาที

    หนาวจนมธุรดาต้องหดปลายเท้าเข้าใต้ผ้าห่ม หนักเข้าก็ต้องเคลื่อนผ้านั้นขึ้นคลุมให้มิดหัว ขดตัวอยู่ภายใต้ความอบอุ่นอันคุ้นเคย

    ผ้าห่มทำมือ ทำจากเศษผ้าตัดเป็นชิ้น แล้วต่อกันเข้าเป็นลวดลายเรขา ลายพิมพ์บนแต่ละชิ้นส่วนใหญ่เป็นมวลบุปผา ดอกเล็กช่อน้อย กระจิริดพราวสีสรรทั่วไปทั้งผืน

    เป็นสมบัติชิ้นเดียวที่มารดาของมธุรดาทิ้งให้เธอดูต่างหน้า

    มธุรดาไม่อยากตื่นเลยในตอนนี้ อยากให้เรื่องราวทั้งหมดเมื่อคืนเป็นแค่ความฝัน

    อยากให้ข่าวร้ายนั่น คลี่คลายเสียตั้งแต่ยังไม่ได้ลืมตา...

    เผื่อว่า...

    จะได้ถูกปลุกให้ลุกขึ้นมา ด้วยเสียงของบิดา... เหมือนอย่างที่เคย

    ใต้ผ้าห่มผืนนี้ สองสิ่งที่มธุรดารู้สึกอบอุ่นและคุ้นเคย หนึ่งก็คือ การได้เข้านอนพร้อมผ้าห่มของแม่ ผืนผ้าอันเก็บออมความอบอุ่นเอาไว้ มอบให้เธอได้อย่างไม่มีวันหมดสิ้น

    ทั้งที่จริง นมแจ่มก็บอกเสมอแหละว่า เธอมาทีไร ก็จะเตรียมเอาผ้าห่มนี้ไปตาก ให้ซับไอตะวันไว้ตั้งแต่หัวบ่าย แล้วไม่ทันแดดจะร่มลมจะตก ก็เก็บพับอบร่ำไออุ่นนั้นไว้รอท่า

    แต่เมื่อคืน...

    เธอมาโดยกะทันหัน นมแจ่มจะรู้ได้อย่างไร ว่าต้องจัดการผ้าห่มรอไว้

    กับอีกสิ่งที่มธุรดาแสนจะเคยคุ้น นั่นก็คือ เสียงปลุกของผู้เป็นบิดา ชวนกันลงมาทำบุญใส่บาตร กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศลให้มารดาผู้หายลับ

    คืนนี้มีสิ่งหนึ่งแล้วที่ยังคงอยู่ ในเมื่อผ้าห่มอุ่นยังอวลไปด้วยความอาทรห่วงใย แล้วจะไม่ให้คิดได้อย่างไรว่า เรื่องราวทั้งหมดเมื่อคืน เป็นแค่ความฝัน

    เดี๋ยวพ่อก็มาปลุก...

    แล้วเธอก็ต้องแกล้งซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม จนคุณพ่อต้องถลกผ้าออกทั้งผืนนั่นละ ถึงจะยอมลืมตาขึ้นมาสบตา กล่าวอรุณสวัสดิ์ แล้วก็ทำท่าจะหลับต่อไป ให้ท่านสรรหาวิธีอื่นๆ มาปลุกลูกสาวคนนี้ให้ลุกขึ้นจากเตียงให้จงได้

    ก็คุณพ่อเคยเล่นปลุกตั้งแต่ยังไม่รุ่งสาง อากาศหนาวเย็นเหมือนจะตาย ใครจะอยากตื่น เธอเคยตื่นเร็ว... เพื่อร่วมใส่บาตร แต่ก็หลับแล้วหลับอีก กว่าแสงสางจะส่งสัญญาณ ให้พระภิกษุออกโปรดสัตว์

    ขณะที่ขดตัวอยู่ใต้ผ้าห่มนี่ก็ยังคิด หนาวเย็นขนาดนี้ ต้องเป็นค่อนดึกลึกล้ำ น้ำค้างยังคงฉ่ำละอองไอเย็น จนคงแทบจะกลายเป็นแม่คะนิ้ง... คือหยาดน้ำค้างที่จับเกล็ด กอดมวลกันเข้าจนแข็งวาว ด้วยอุณหภูมิอันเย็นจัด

    อีกนานหรอก กว่าบิดาจะมาปลุกให้ลุกออกจากที่

    แต่ที่หลังเปลือกตา ละม้ายมีแสงส่องสว่าง

    อาจเป็นแสงจากโคมไฟดวงเล็ก ที่นมแจ่มตามไว้ให้ตรงข้างเสาประตู มธุรดาจึงเพียงแค่ซุกหน้าหลบอยู่กับหมอนหนานุ่ม

    แต่แสงนั้นไม่จางหาย... หนักเข้าก็ต้องใช้ท่อนแขนช่วยปิด

    คราวนี้ค่อยรู้สึกว่าแสงที่ระรานการนอน ค่อยหรี่ลง...

    ทว่า... กลับมีเสียงเครือๆ ครือๆ คล้ายเสียงกรนของบิดา ที่มธุรดายังจำได้ดี และเคยคิดไปว่า นั่นคือเสียงกล่อมนอนของพ่อ

    เหมือนอย่างตอนนั้น ยามเมื่อเธอยังเล็ก ตอนที่มารดาหายลับไปใหม่ๆ แล้วพ่อต้องมานอนเป็นเพื่อน โอบปลอบและกล่อมนอน

    ทั้งที่จริง... อีกนานแสนนาน นานจนจำไม่ได้แล้วว่าครั้งสุดท้ายที่พ่อต้องมานอนเป็นเพื่อนนั้นคือเมื่อไร เธอจึงค่อยระลึกได้ว่า เสียงเครือๆ ครือๆ นั้นแท้ที่จริงคือเสียงกรนของคนที่รักเธอที่สุด...

    “พ่อ... น้ำผึ้งมาแล้วเจ้าค่ะ”

    มธุรดาคิดว่าตนขานรับเสียงครางๆ ครือๆ ไปดังนั้น

    อีกนิด เดี๋ยวพ่อก็จะแกล้งจี๋ ยุทธวิธีสุดท้ายที่จะให้เธอต้องยอมจำนน

    รอ... ลุ้น... ว่าจะหลบ... หรือแกล้งขี้เกียจตื่นต่อไปอย่างไรดี

    เงียบ...

    คราวนี้เงียบหมด...

    แสงที่วาวๆ อยู่หลังตาก็ดับลับ เสียงที่คล้ายครวญๆ ก็สนิทนิ่ง

    อากาศยิ่งหนาว ราวทั้งกายเพียงคลี่คลุมไว้ด้วยผ้าแพรผืนบาง

    ที่นอนและหมอน ยะเยือกราวกับท่อนศิลาบนยอดเขา

    สติที่ตื่นรู้เพราะลุ้นรอบิดาให้มาสะกิด เริ่มบอกกับตัวเองว่ามีสิ่งผิดปกติ

    เมื่อความอบอุ่นอันคุ้นเคยมลายหลาย...

    ...สิ่งที่ตั้งใจหวังจะสมดั่งหวังกระไรได้

    ที่เธอรีบบึ่งรถมา ก็เพราะนมแจ่มโทร.ไปบอกว่าคุณพ่อหายเข้าไปในป่า

    นมแจ่มละล่ำละลักนักหนา ว่าเหมือนคราวคุณแม่หายลับไปไม่มีผิด

    จนเธอต้องรีบมา มาถึงเมื่อใกล้เที่ยงคืน มาเพื่อจะได้เห็นว่านมแจ่มอกสั่นขวัญแขวนอยู่ถึงขนาดไหน

    ใช่! คุณพ่อหายตัวไป!

    มธุรดานึกโกรธตัวเองขึ้นมาวิบหนึ่ง

    ดูเถอะ! ช่างเลือนรางนัก กับเหตุการณ์เมื่อกลางคืน นึกไม่ออกเลยว่า เธอจะเข้านอนและหลับลงได้อย่างไร

    ทั้งที่เมื่อยิ่งฟังนมแจ่มเล่าไปๆ ก็ยิ่งแปลกใจนักหนา เพราะอยู่ๆ บิดาก็มุ่งหน้าเข้าป่าไปเมื่อก่อนพลบ หญิงชราที่เลี้ยงดูเธอมาแต่เล็กๆ ไม่ได้ห้ามปรามหรือทักถาม เพราะคิดว่าคงลืมอะไรไว้ที่สุดเขตบ้าน ออกไปเอามาแล้วก็กลับ ไม่ทันมืดก็คงมาถึงสำรับชานเรือน

    ยิ่งเมื่อตอนนมแจ่มเล่าว่า พอเข้าไต้เข้าไฟก็ให้เจ้าแก้วหลานแกออกไปตาม จนเด็กชายวัยไม่พ้นสิบสองกระหืดกระหอบกลับมา พร้อมกับผ้าขะม้าที่คุณพ่อเคียนเอวออกไป นั่นละ นมแจ่มจึงถึงกับต้องเกณฑ์คนงานทั้งไร่ออกเที่ยวค้นหา

    ก็เพราะค้นอย่างไรก็ไม่เจอ แต่ละชั่วโมงที่ผ่านไป สาม สี่ ห้าชั่วโมงที่นมแจ่มเฝ้ารอ แล้วก็หวนนึกว่า เหมือนค่ำคืนวันนั้นไม่มีผิด!

    “พ่อ... พ่อจ๋า... นม... นมจ๋า พ่อกลับมาหรือยัง!”

    มธุรดาผวาลุก ทั้งที่ยังรู้สึกว่าทั่วร่างยังเย็นยะเยียบ

    แสงทองสาดย้อนเหมือนแกล้ง ผ่านช่องลมเข้ามาเพียงแค่จะแยงนัยน์ตา

    เธอต้องหลับตาหลบ รู้สึกว่ามีดาวระยิบอยู่ในหัว ทิศทางสับสนไปหมด

    พอตั้งสติได้อีกครั้ง ก็หันตัวไปอีกทาง ตั้งใจจะขยับลงข้างเตียง

    แต่ก็ต้องสะดุดกึก!

    ยังไม่ได้ลืมตาดีตอนที่รู้สึกว่าหันไปกระทบกับอะไรบางอย่าง

    พอรีบลืมตาดู...

    ทีแรกก็ไม่ชัด แค่เรืองๆ วาวๆ เหมือนร่างคนใสๆ นอนนิ่งอยู่ข้างๆ

    พอเพ่งเข้าก็ชัดขึ้น ร่างนั้นหัวหนุนหมอน นอนก่ายหมอนข้างอีกใบอยู่อย่างสบาย

    ที่สำคัญ... ผู้ชาย!... แถมยังเปลือยท่อนบน!

    กรี๊ด!....

    มธุรดากรี๊ดลั่นบ้าน! ตกใจเสียยิ่งกว่าตอนที่รู้ว่าพ่อยังไม่กลับมา

    ผู้ชาย! เวรกรรม!...

    ใคร! มาจากไหน! มาตั้งแต่เมื่อไหร่!

    กรี๊ด!... มธุรดากรี๊ด... แล้วก็กรี๊ด... แต่อีตานั่นยังนอนนิ่ง ทั้งที่ลืมตาอยู่ชัดๆ

    จนมีเสียงตึงตังขึ้นบันได เคาะประตูระรัว แล้วก็เปิดผลัวะเข้ามาด้วยความร้อนใจ กระทั่งนมแจ่มผวาเข้ามาถึงตัว อีตาผู้ชายคนนี้ก็ยังไม่ตื่น

    “ต๊าย!... คุณรัตติ”

    คราวนี้นมแจ่มแทบจะเป็นฝ่ายกรี๊ดแทน

    “ทำไมมานอนอยู่นี่... ตายๆ มาอยู่ตรงนี้ได้ยังไงกันล่ะคะ”

    ขณะถาม หญิงชราร่างท้วมก็เข้ามาแทรกกลางระหว่างเธอกับเขาในพริบตา

    อากาศอันยะเยือกนั้น กลับอุ่นอวล เป็นอุณหภูมิของยามเช้าไปเมื่อใดก็ไม่มีใครสังเกต แสงวาวของช่อสายน้ำผึ้งตรงหัวเตียง ที่ยังระยิบล้อแสงเช้าอยู่นั่น ก็ไม่มีผู้ใดหันไปสนใจ มีแต่ร่างนิ่งตรงหน้านี้เท่านั้น ที่สองสาวต่างวัย กำลังจ้องเขม็ง

    “ใคร... ใครกันคะนม...”

    “คุณรัตติ คุณรัตติกรน่ะค่ะ”

    ทางหนึ่งก็เอ่ยตอบ ทางหนึ่งก็กำลังกล้าๆ กลัวๆ ว่าจะทำอย่างไรดี

    “ลุก... ลุกได้... เอ่อ... ลุกไหวไหมล่ะคะ”

    “ไม่ได้... มนตร์ยัง...อุ๊บ!”

    หญิงชรารีบยื่นมือไปปิดปากของชายหนุ่ม ทั้งที่เขาไม่ได้ขยับปากพูดจาเลยสักนิด

    “แล้วยังไงกันคะ จะทำยังไงกันดี ป้าก็ตามหาเสียทั่ว ว่าจะให้ช่วยกันตามหาคุณท่าน แล้วก็ดูซิ... มาอยู่ตรงนี้เอง”

    “เบี้ยแก้... หน้าพระเลย์ไลย์ในห้องพระ...”

    มธุรดาก็ได้ยินชัดว่าเขาพูดอะไรบ้าง เพียงแต่ไม่เห็นว่าเขาพูด... ด้วยวิธีใด เพราะนมแจ่มนั่งขวางเอาไว้

    “คุณหนูคะ ช่วยป้าหน่อย ที่ห้องพระ ในพานแก้วหน้าพระเลย์ไลย์ หอยเบี้ยที่มีเชือกถักหุ้มอยู่น่ะค่ะ ช่วยเอามาให้ป้าหน่อย เร็วค่ะ เร็วเข้า”

    นมแจ่มหันมาสั่งการ สีหน้าเคร่งเครียดจริงจัง

    “แต่... แต่ว่า...”

    “เร็วเถอะค่ะ อย่าเพิ่งถามอะไรตอนนี้”

    มธุรดาแทบจะลืมนึกถึงบิดาไปเลย เมื่อเจอกับสถานการณ์ตรงหน้า เธอไม่ต่อปากซักถามอะไรอีก จะรีบวิ่งไปที่ห้องพระ แต่ประตูห้องนอนกลับปิดปัง!

    ทั้งเธอและนมแจ่มต่างสะดุ้ง หันมองหน้ากันไปมา

    “แค่ลม! ไปค่ะ เร็วเข้า!”

    พร้อมกับคำเร่ง หญิงชราก็เอื้อมมือไปตบผนังตรงหัวนอนดังปังเช่นกัน

    และเช่นเคย ไม่มีใครสังเกตเห็นว่า เมื่อสิ้นเสียง แสงวาวตรงช่อดอกสายน้ำผึ้งก็จางลงทันที

    ประตูเปิดออกอย่างง่ายดาย มธุรดารีบวิ่งข้ามห้องโถงไปอีกฝั่ง คราวนี้ประตูห้องพระปิด เธอต้องเขย่า ทั้งดึงทั้งดัน เห็นอยู่ชัดๆ ว่าถูกลั่นดานจากภายใน

    แล้วใครจะไปอยู่ในนั้น ในเมื่อไม่ใช่ลูกบิด ข้างนอกจะคล้องปิดด้วยกุญแจ ส่วนข้างใน ไม่แน่ใจว่ามีกลอนหรือเปล่า

    มธุรดาต้องวิ่งกลับมาที่ห้องนอนตน

    “นมคะ... เปิด...”

    “ประตูมันฝืดน่ะค่ะ ไปลองอีกที เบี้ยแก้ตรงหน้าพระเลย์ไลย์นะคะ”

    ราวกับหญิงชราจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ทันที่หญิงสาวจะบอกหมด ก็ตอบได้ทันที

    มธุรดาไม่ทันเอะใจ รีบหันกลับไปทำตามนั้น...

    คราวนี้... ประตูคงฝืดจริง เพราะพอออกแรงผลักดัน มีแรงฝืนอยู่นิดเดียว แล้วประตูทั้งบานก็เผยเข้าไปอย่างง่ายดาย

    เบี้ยแก้ที่ว่า เหมือนจะเรืองแสงรอ เพราะทันทีที่มองปราดเข้าไป มันก็กระจะกระจ่างอยู่ในสายตา

    พอฉวยมาได้ก็รีบหันกลับ ไม่ทันได้เห็นว่า รอยแย้มพระพักตร์ของพระปฏิมานั้น คล้ายจะสรวลเสียมากกว่า

    นมแจ่มบังสายตาเอาไว้อีกแล้ว ตอนหลังจากที่ยื่นมือมารับเบี้ยแก้จากเธอ

    “ไปล้างหน้าล้างตาเสียก่อนเถอะค่ะ แล้วค่อยมาพูดจากัน”

    เสียงของหญิงชรา ฟังดูเย็นใจลงอีกมาก

    มธุรดาได้แต่ทำตาม เพราะไม่เห็นประโยชน์ในการจะคัดค้านหรือรั้งรอ

    แต่ในใจเริ่มกังวล...

    เรื่องประหลาดพวกนี้ จะเกี่ยวกับการหายไปของคุณพ่อหรือเปล่าหนอ




    น้ำอุ่น... ทั้งที่น่าจะเย็นจัด หรือว่าเธอจะป่วยไข้ไปจริงๆ เพราะเดี๋ยวก็ร้อนเดี๋ยวก็หนาว หรือว่ากังวลเรื่องบิดามากเกินไป จนอารมณ์ความรู้สึกทั้งหลาย ชิงกันรับรู้ปรวนแปรไปหมด

    แต่อย่างน้อยก็สดชื่นขึ้น และก็ยิ่งมั่นใจว่าตัวเองยังมีสติ เมื่อได้แต่งตัวเสร็จเรียบร้อย เพราะเตรียมเครื่องแต่งกายมาพร้อมสรรพ

    ถึงจะลากทั้งกระเป๋ามาจากห้องนอนก็เถอะน่า ดีกว่าต้องเอาผ้าห่อตัวกลับไปค้นหาสวมใส่ให้ทุลักทุเล อับอายสายตาของอีตาบ้านั่น

    แล้วในที่สุด มธุรดาก็กลับบอกตัวเองไม่ได้เหมือนกันว่า ทำไมตอนขากลับมาที่ห้องนอนนี่อีกที จึงถึงต้องย่องกริบถึงขนาดนี้

    “ตั้งแต่ท่านพลิกกาย ปริมณฑลแห่งไฟก็เคลื่อน คุณอามุก็ทราบ”

    ยิ่งพอได้ยินเขาเอ่ยถึงบิดา มธุรดาก็แทบจะกลั้นลมหายใจ

    “ตั้งแต่ครั้งที่เกิดคลื่นยักษ์นั่นใช่ไหมคะ คุณมุเธอก็เล่าให้ป้าฟัง แต่ป้าไม่เคยคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเราได้”

    นมแจ่มก็เอ่ยถึงบิดาเช่นกัน คราวนี้ได้ความเพิ่มขึ้นอีกว่า คุณพ่อก็รู้เห็นเรื่องราวอะไรบางอย่าง

    แต่... ท่านพลิกกาย ปริมณฑลแห่งไฟ กับ... คลื่นยักษ์

    มันเกี่ยวอะไรกัน

    “ก็คุณมุเธอเป็นนักวิทยาศาสตร์”

    เสียงนมแจ่มยืนยันหนักแน่น

    “พอๆ กับที่เป็นนักเทวศาสตร์”

    เสียงทุ้มๆ ของอีตานั่น ออกสำเนียงล้อๆ

    “นักไสยศาสตร์มากกว่า ป้าไม่เคยเห็นว่าจะเคารพนับถือเทวดาองค์ไหน”

    “อาจเป็นเพราะรู้จักเทวดาดีเกินไปหรือเปล่าครับ เลยไม่นับถือ”

    ยิ่งฟัง มธุรดาก็ยิ่งรู้สึกว่าบทสนทนาจะยิ่งเลยเถิดเวิ่นเว้อ แต่ก็จำจะต้องอดทนแอบฟังต่อไป โดยไม่ยอมรับเด็ดขาดว่า เพราะตนยังกระดากอายเกินกว่าจะกลับไปสู้หน้าเขาได้

    ก็นี่ขนาดยังไม่ได้เห็นหน้ากันชัดๆ รูปร่างหน้าตาเขายังติดตาได้ถึงเพียงนี้ รูปร่างที่มีกล้ามเนื้ออันชวนมอง กับใบหน้าที่แม้ได้เห็นแค่เสี้ยวหน้า ในชั่วเสี้ยววินาที ก็ยังทำให้เธอใจเต้นตึกๆ ราวกับมีใครไปรัวกลองอยู่ในอก

    “ก็เพราะมีคนอย่างพวกคุณมาเข้าพัวพันกันเยอะละมังคะ”

    “พวกผมไม่ใช่เทวดา”

    “ป้าก็ไม่ได้บอกว่าพวกคุณเป็นเทวดา... ว่าแต่... ตกลงไปยังไงมายังไง ถึงได้มาลงเอยที่ห้องนี้ได้คะ ป้าก็นึกไม่ถึง เลยไม่ได้จัดให้คุณผึ้งเธอไปนอนอีกห้อง”

    เริ่มเข้าเค้าแล้วละ... มธุรดาเลยยิ่งตั้งหน้าตั้งตาฟังอย่างใจจดใจจ่อ

    ทั้งที่อีกใจก็เริ่มขัดแย้ง... จะมามัวแอบฟังอยู่ทำไมกันล่ะเนี่ย

    "คุณอาสะกดไว้ตั้งแต่เมื่อเย็นวาน ท่านว่าพวกนั้นวนเวียนใกล้เข้ามา”

    สิ้นเสียงนี้ ในห้องก็เงียบไปอีกเป็นอึดใจ จนคนแอบฟังต้องชะโงกหน้าไปมอง

    สองคนในห้องหน้าออกหน้าต่าง หันหลังให้เธอ และผู้ชายคนนั้น ที่พอยืน ก็สูงกว่าหญิงชราตั้งมากมาย เขามีผ้าผืนห่มคลุมอยู่ด้วย

    มองจากด้านหลัง กรอบโครงร่างทึมๆ เพราะยืนย้อนแสงอยู่ตรงนั้น ทำให้ดูเหมือนกรอบร่างนั้นแผ่รังสีเรืองๆ ออกมาได้

    แต่เพราะเขาทำท่าเหมือนจะหันกลับมา มธุรดาจึงต้องรีบหลบ จนไม่ทันได้สังเกตว่า กรอบร่างของหญิงชราที่ยืนอยู่ข้างกัน กลับปราศจากรังสีเรื่อเรืองใดๆ

    “แสดงว่าคุณมุรู้หรือคะ ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

    “คุณอาอาจจะแค่ต้องการไปจัดการอะไรบางอย่าง”

    “ทำไมไม่บอกป้าก่อน”

    “คงรีบ...”

    “ไม่ค่ะ รีบแค่ไหนเธอก็จะบอก”

    “งั้นก็คงไม่ได้คิดเตรียมการอะไรมาก่อน”

    “ถ้าอย่างนั้นก็ต้องกลับมาเตรียมการ ไม่ใช่หายไปดื้อๆ อย่างนี้ค่ะ”

    “จะคุยแบบจับต้นชนปลายไม่ถูกกันอีกนานไหมคะ”

    ในที่สุดมธุรดาก็ทนรำคาญไม่ไหว ต้องโผล่เข้าไปพร้อมกับคำถาม

    “ก็รออยู่ว่าเมื่อไหร่จะออกมาจากหลังประตู”

    ผู้ชายที่นมแจ่มเรียกว่า “คุณรัตติ” ตอบกลับมาแบบยิ้มๆ

    “หาว่าแอบฟังหรือไง นี่มันห้องฉันนะ นายนั่นละเป็นใคร”

    คนพูดต้องรีบกล่าวหากลับ เพราะถูกคำตอบนั่นแทงถูกใจดำเข้าทันที ทั้งที่ค่อนข้างแน่ใจว่า เธอหลบได้พ้นจากสายตาเขาแน่ๆ

    “ผมก็ไม่รู้จะเรียกว่าแอบหรือเปล่า ก็เห็นเงาตะคุ่มๆ พาดไปโน่น ก็คงไม่แอบละมั้ง”

    แล้วเขาก็พยักหน้าให้มองตาม ว่าเบื้องนอก ด้านหลังของมธุรดานั้น เงาของเธอเอง ทอดไกลออกไป เพราะแสงที่สาดผ่านกรอบประตูห้องนอนออกมานั่นเอง

    “หลบให้พ้นแดดสิครับ ยืนตรงนั้นมันร้อน”

    เขาพูดออกมาอีกประโยค คราวนี้เหมือนกับว่าจะเอาใจใส่เธอนิดๆ

    มธุรดาจึงก้าวผ่านธรณีประตูเข้ามาอย่างเก้อๆ ไม่ทันได้สังเกตอีกด้วยว่า มุมสาดสะท้อนของแสงกับเงาร่างของเธอนั้น มันทำมุมผิดปกติกันอยู่อย่างไร

    ก่อนที่จะเดินนำไปตรงชุดนั่งเล่นตรงมุมห้องปลายเตียง เขาก็หันมาแนะนำตัวเองอย่างเป็นทางการ

    “อรุณสวัสดิ์ครับ ผม... รัตติกร วงศ์ธตรฐ...”

    “ฉันไม่ได้อยากรู้!”

    เกือบจะพูดคำนี้ออกไปแล้วแต่เธอยั้งเอาไว้ได้ทัน

    “คุณมธุรดาใช่ไหมครับ คุณอามุรธาพูดถึงคุณบ่อยๆ”

    แล้วเขาก็พูดเรื่อยไป ขณะเดินตรงไปนั่งลงบนโซฟายาว ราวกับเป็นห้องนอนของตัวเอง

    “เชิญนั่งครับ...”

    แน่ะ! ยังมีหน้ามาเชิญให้นั่ง ช่างเป็นสุภาพบุรุษเสียนี่กระไร

    “คุณกำลังเชิญเจ้าของห้องให้นั่งในห้องของตัวเอง”

    มธุรดาทำเสียงเย็นๆ เน้นๆ ให้รัตติกรได้รู้ว่า นี่ไม่ใช่ห้องของเขาแน่ๆ

    “ผมเชิญคุณนั่งแล้วผิดตรงไหน หรืออยากจะยืนคุยกัน”

    คนฟังค้อนขวับกับคำนี้ แถมยังตวัดเผื่อไปถึงหญิงชราที่ยืนอมยิ้มอยู่ห่างๆ

    “นี่มันห้องนอนฉัน มันต้องเริ่มจากนายกล้าดียังไง ไม่ใช่มาแนะนำตัวเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น!”

    “ผมถูกขังไว้ที่นี่...”

    “ตลกหรือไง ก็เห็นว่านอนสบายอยู่ชัดๆ นอนข้าง...อุ๊ย!!!”

    มธุรดารีบระงับคำ จนเผลอขบริมฝีปากของตนเองดังกึก

    “ไม่ได้ตลก แต่ที่จริง จะบอกว่าถูกขังก็ไม่เชิง คุณอาเป็นคนจัดการเรื่องนี้เอง”

    “โดยการให้คุณมานอนบนเตียงลูกสาวเขาน่ะเรอะ!”

    “คุณมาทีหลังนะ ผมนอนอยู่ก่อน”

    หญิงสาวแทบกรี๊ด ตกลงเธอเป็นฝ่ายผิดหรือนี่

    “อีตาบ้า! มันเกี่ยวกับก่อนหรือหลังตรงไหนล่ะ”

    “ถ้าไม่เกี่ยวแล้วคุณจะมาโมโหโกรธาอยู่ทำไมล่ะครับ มัวแต่วุ่นอยู่กับเรื่องนี้ เลยไม่ต้องปรึกษากันเรื่องคุณอามุ”

    ถ้อยคำของเขาเหมือนกำลังให้สติ แต่มธุรดาฟังยังไง ก็ยังรู้สึกเหมือนเป็นการแก้ตัวอยู่ดี”

    “นั่งกันก่อนเถอะค่ะ ค่อยพูดค่อยจากันดีกว่า”

    หญิงชราเพิ่งได้ช่องเจรจาก็ตอนนี้

    “นมผิดเองแหละค่ะ มัวแต่เป็นห่วงคุณท่าน เลยลืมว่าเธอให้คุณรัตติพักอยู่ห้องนี้”

    “แต่เมื่อคืนไม่มีใคร”

    มธุรดาอดเถียงไม่ได้

    “เถอะค่ะ ยังไงเรามาห่วงเรื่องคุณมุรธาก่อนดีกว่านะคะ”

    แล้วนมแจ่มก็ตัดบทเอาง่ายๆ ด้วยเหตุผลที่มธุรดายากจะคัดค้าน ในใจของเธอได้แต่คิดว่า ...ฝากเอาไว้ก่อนเถอะน่ะ!

    “งั้นก็ให้ออกตามหา สว่างขนาดนี้แล้ว”

    เธอรีบออกความเห็น

    “ไม่ต้องรีบหรอกครับ ถ้าจะพบ ก็ควรพบตั้งแต่เมื่อคืน”

    น้ำเสียงของรัตติกรบอกชัด ว่าเรื่องนี้ไม่ได้หนักหนาเลยสักนิด

    “คุณอาอาจจะแค่ล่อพวกนั้นไปที่อื่น”

    แล้วเขาก็หันไปพูดกับนมแจ่มเหมือนเห็นว่าเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่สุด

    “แต่ปกติคุณมุเธอต้องบอกป้า หรือไม่ก็ทิ้งสัญญาณอะไรไว้”

    “อาจจะฉุกเฉินจริงๆ ละมังครับ”

    พอได้ยินคำว่า “ฉุกเฉิน” ใจของมธุรดาก็เป็นห่วงหนักขึ้นมาอีก

    “ไม่ต้องเป็นห่วงหรอกครับ ฟากโน้น คุณลุงผมก็คอยดูอยู่”

    “คุณธรรพ กลับมาแล้วหรือคะ”

    หญิงชรารีบถามถึง เหมือนคนที่เอ่ย เป็นคนที่เคยรู้จักกันมานาน

    “ยังไงกันแน่คะเนี่ย หนูจับต้นชนปลายไม่ถูกแล้ว”

    ยามเผลอตัว มธุรดามักแทนตัวเองว่าหนูกับนมแจ่มอยู่เสมอ

    “เรื่องมันยาวอยู่หรอกค่ะ แต่ถ้าเป็นอย่างที่คุณรัตติว่ามา นมก็ต้องขอโทษคุณหนูจริงๆ ที่ทำให้ต้องพลอยมาเป็นห่วง ขับรถมาดึกๆ ดื่นๆ”

    “กรุงเทพกับสวนผึ้งใกล้กันแค่นี้เองหรอกค่ะ”

    “ก็นั่นละค่ะ ไม่อย่างนั้น เช้าๆ นมอาจจะค่อยโทร.ไปบอก”

    “ตกลงคุณพ่อเป็นอะไรหรือเปล่าคะนี่”

    มธุรดาเลยชักไม่ค่อยแน่ใจ ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไรกันแน่

    “ถ้าคุณรัตติว่าปลอดภัยก็น่าจะปลอดภัย”

    หญิงชรายืนยัน ด้วยหลักฐานที่ไม่น่าเชื่อถือเลยสักนิดในความรู้สึกของคนฟัง

    เธอจึงต้องปรายตามองเขาแบบว่า... นมแน่ใจหรือคะ กับสิ่งที่อีตานี่พูด...

    ในพลัน!

    อากาศก็หวั่นไหว ทั้งเรือนคลอนไปคล้ายลมโยก แค่ครึ่งอึดใจทั้งฟ้าก็มืดมิด!

    หญิงชราร้องคุณพระช่วย ขณะรัตติกรโผนตัวไปทางหน้าต่าง

    เสี้ยววินาทีถัดมา ทั้งประตูหน้าตาก็ปิดปัง!

    ทั้งห้องมืดสนิท

    เสียงที่เบาเหมือนกระซิบของรัตติกรนั่น มธุรดาจับได้ว่ามีแววหวาดหวั่นแฝงอยู่ไม่น้อยเลย

    ตอนที่เขาเอ่ยคำ...

    “เป็นนาง!... ครุฑี!!!...”



    ****************

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×