ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    น้ำค้างกลางจันทร์

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ ๑

    • อัปเดตล่าสุด 10 ม.ค. 60


     

    บทที่ 1

     

     

     

    ดดเช้าทอแสง ทั้งประกายและไออุ่น ล้วนชวนเชิญให้หัวใจชื่นบาน

     

    มื้อเช้า กรุ่นอวลอยู่บนโต๊ะหินอ่อนขนาดใหญ่ สีเงินของเครื่องเงิน และสีทองของลายรอบภาชนะเซรามิคสีขาวขนาดต่างๆ ทำให้อาหารเช้ามื้อนี้ยิ่งน่าชมและชวนชิม

     

    แต่อินทุอรกลับกำลังจมอยู่กับความคิดบางอย่าง  ไม่ทันสังเกตว่า ผู้เป็นบิดาก้าวผ่านเข้ามาจนเกือบจะชิดตัว

     

    ใจลอยไปถึงไหนแล้ว ลูกอิน

     

    กระทั่งนายอิศราเอ่ยทักนั่นแล้ว เธอจึงรู้สึก

     

    อินทุอรทำท่าจะลุกขึ้นรับ แต่บิดาวางมือลงบนบ่าเธอ เป็นเชิงให้ไม่ต้องมากพิธี

     

    เรื่องงานน่ะค่ะ จะมีโปรเจคใหม่ เลยคิดอะไรไปเรื่อย

     

    เธอไม่คิดว่าที่ตอบออกไปจะเป็นการโป้ปด เพราะโปรเจคใหม่มีอยู่จริง แล้วตัวเองก็กำลังคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยอยู่จริงๆ เช่นกัน

     

    อย่างจันทร์ค้างฟ้านั่นไง สีหมองหม่นมัว ขาวจางอยู่กลางท้องฟ้าซีดเซียว และเดียวดายไร้คนแลเหลียว

     

    ก็อรุณรุ่งของวันใหม่ผ่านเข้ามาแล้ว ใครจะสนใจ จันทร์จะหลงละเมอคิดว่ายังเป็นยามรัตติกาล ไปอีกนานแค่ไหน ก็เรื่องของจันทร์

     

    กระทั่งเธอยังแค่เหม่อมอง แลผ่านผาดเผิน จันทร์เช่นนั้น จะค้างฟ้าอยู่อีกนานเพียงใดก็ช่าง...

     

    พ่อมองลูกอินพักหนึ่งแล้ว... เห็นจากข้างหลัง นึกว่าคุณแม่ของลูกลงมานั่งคอย ลูกอินเหมือนคุณแม่ของหนูมากรู้ไหม

     

    นายอิศราเลื่อนเก้าอี้ตัวข้างลงนั่งเคียงบุตรสาว ทอดสายตามองตามอินทุอรออกไปสู่ลานกว้าง...

     

    กว้างอย่างแทบจะเรียกได้ว่าจดขอบฟ้า...

     

    บัดนี้แสงอรุณฉาบไล้ลานหญ้าสีเขียวกระจ่าง ให้วาวแสงเหมือนชุ่มด้วยน้ำทอง

     

    ที่ดินผืนนี้ บ้านหลังนี้ สมบัติของแม่หนูทั้งนั้น... พ่อตั้งใจจะยกให้ลูกอินทั้งหมด

     

    บิดาพูดเรื่อยๆ มือที่แตะบ่าตอนแรก เปลี่ยนมาเป็นลูบศีรษะบุตรสาวเบาๆ

     

    อินทุอรสุขใจและอบอุ่น กับอาการที่ผู้เป็นบิดาส่งผ่านมาดังนั้น

     

    ยามอยู่กันเพียงสองคนพ่อลูกเช่นนี้ นายอิศราไม่เคยลืมถ่ายทอดความรู้สึกของตนว่า ยังรัก ยังอาทร และ... ยังนึกถึงมารดาของอินทุอรไม่เสื่อมคลาย

     

    คุณแม่คงคอยดูแลเราจากบนโน้นนะคะ อาจยังรอคุณพ่อ แต่อินอยากอยู่กับคุณพ่อนานๆ อินไม่หวังอะไรอื่น นอกจากได้อยู่ดูแลคุณพ่อของอิน ดูแลคุณพ่อแทนคุณแม่

     

    ป่านนี้แม่ของอินคงสบายไปแล้ว จะเหลือก็แต่เราสองคน ที่ยังต้องอยู่กันต่อไป อิน... พ่อถามจริงๆ อินกำลังมองใครๆ อื่นไว้อีกหรือเปล่าลูก

     

    อยู่ๆ นายอิศราก็เปลี่ยนเรื่อง แถมยังเปลี่ยนเป็นเรื่องที่ทำให้อินทุอรลำบากใจเป็นที่สุด

     

    ...ก็ที่เธอใจลอยอยู่นี่ ไม่ใช่เพราะเรื่องนี้หรอกหรือ

     

    ทำไมคุณพ่อถามอินอย่างนั้นล่ะคะ

     

    น้ำเสียงของอินทุอรหม่นหมองลงเล็กน้อย ขณะที่ในใจยังพยายามเดาต้นตอของคำถาม

     

    พ่อไม่ค่อยมั่นใจปริยัติ ถ้าลูกอินอึดอัด หรือคิดว่าเขาไม่ใช่คนที่จะเป็นคู่ชีวิตกันได้ พ่อก็ว่าน่าจะถอนหมั้นกันไป

     

    อินกลัวน้าโสภาจะไม่เห็นด้วยน่ะสิคะ

     

    สองคนที่สองพ่อลูกกำลังพูดถึง ฝ่ายหนึ่งคือ ‘ปริยัติบุตรชายคนโตของครอบครัวผู้มั่งมีตระกูลหนึ่ง ซึ่งฝ่ายหลังที่อินทุอรออกชื่อว่า น้าโสภาจัดการให้ได้หมั้นหมายกับเธอได้ในที่สุด

     

    ส่วน ‘น้าโสภาหรือคุณโสภาพรรณ คือภรรยาคนปัจจุบันของนายอิศรา

     

    หล่อนแต่งงานใหม่กับบิดาของอินทุอร ตั้งแต่เธอเสียมารดาไปได้ไม่นาน และคุณโสภาพรรณผู้นี้เอง ที่รับหน้าที่ดูแลอินทุอรมาอย่างค่อนข้างบริบูรณ์ ในฐานะแม่เลี้ยง ตั้งแต่เธออายุยังไม่เกินสองสามขวบ

     

    แสดงว่าลูกอินไม่ชอบนายปริยัติอะไรนั่น

     

    ท่าทางเขาก็เฉยๆ กับอินเหมือนกัน

     

    อินทุอรยังเลี่ยงคำถามแรกของนายอิศราไปเรื่อยๆ

     

    แต่คุณน้าเขาว่า ดีพร้อมทุกอย่าง...

     

    อินทุอรอยากจะพูดออกไปนัก หากดีพร้อมขนาดนั้น ทำไมไม่ทาบทามไว้ให้ลูกสาวของตัวเองเสียเล่า จะมาเจ้ากี้เจ้าการอะไรกับเธออยู่ได้

     

    แต่ก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกไป เพราะไม่อยากให้ผู้เป็นบิดาต้องลำบากใจ กับเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นเรื่องเช่นนี้

     

    ที่จริง พ่อเห็นว่านายปริยัติอะไรนั่น ก็ทำหน้าที่ของเขาได้ดี เพียงแต่รู้สึกว่ามันชืดๆ ชาๆ กันทั้งสองฝ่าย

     

    เขาคงงานยุ่งมังคะ ทายาทเจ้าของธุรกิจใหญ่โตขนาดนั้น

     

    สีหน้าของอินทุอรยังเรียบๆ นิ่งๆ ราวกับไม่ได้กำลังพูดถึงคู่หมั้นคู่หมายที่อาจจะต้องได้ใช้เวลาร่วมกันไปอีกตลอดชีวิต

     

    เธอลืมไปแล้วด้วยซ้ำ ว่าบรรยากาศในงานวันหมั้นนั่นเป็นอย่างไร จำได้รางๆ เพียงว่ามันช่างมากมายไปด้วยพิธีรีตอง รวมทั้งความรู้สึกวันนั้น ที่เธอก็จำไม่ได้เช่นกัน

     

    หรือจะให้คุณน้าเขาไปหาฤกษ์แต่งงานกันเสียให้เรียบร้อย ทางโน้นเขาก็จัดว่าเป็นทายาทมหาเศรษฐี ใครๆ ก็หมายปอง ระหว่างรีๆ รอๆ กันอยู่นี้ เกิดพลาดพลั้งอะไรกันขึ้นมา ลูกอินของพ่อจะเสียหาย

     

    อินทุอรอึ้งไปอีกพัก นี่บิดากำลังจะคาดคั้นเอาอะไรกับเธอ อยากจะขับไสให้ออกจากบ้านหลังนี้ไปมากมายขนาดนั้นเชียวหรือ

     

    และนายอิศราคงอ่านสีหน้าของบุตรสาวออก

     

    พ่อไม่เคยสักนิดที่จะคิดผลักไส อยากให้ลูกอยู่กับพ่อไปนานๆ การหมั้นอะไรนั่น พ่อก็ผิดเองที่ไม่ได้ยับยั้งต้านทานให้เข้มแข็งพอ แต่จนถึงวันนี้... ที่พ่อต้องพูดต้องถาม ก็เพราะอยากจะเห็นอะไรที่มันแน่นอนลงไป ขอเพียงแค่ลูกอินบอก ไม่ว่านายปริยัตินั่นจะใช่หรือไม่ใช่ พ่อจะได้จัดการให้มันครบถ้วน

     

    ทุกถ้อยคำของนายอิศรา ล้วนอ่อนโยนนุ่มนวล ฟังคล้ายกำลังปลอบประโลมลูกสาวตัวเล็กๆ ที่เพิ่งร้องไห้จ้าวิ่งเข้ามาหา เพราะถูกใครบางคนบังคับขัดใจ

     

    ขอเวลาอินอีกนิดได้ไหมคะคุณพ่อ อินก็ผิดเองที่ไม่ยอมปฏิเสธไปตั้งแต่ตอนนั้น ที่จริงปริยัติเขาก็ไม่ได้บกพร่องอะไร อินคิดว่าคบหาดูใจกันไป ความรู้สึกมันอาจจะก้าวหน้าขึ้นมาได้บ้าง

     

    ทางโน้นก็คงเหมือนกันใช่ไหม

     

    คำถามนี้ นายอิศราถามออกมาหลังจากนิ่งไปอึดใจหนึ่ง ค่อนข้างแน่ใจแล้วว่า คู่นี้ไม่น่าจะไปกันตลอดรอดฝั่ง

     

    ค่ะ...

     

    อินทุอรได้แต่รับคำอยู่ในลำคอ ขณะที่สายตาชำเลืองเห็นว่า คุณโสภาพรรณกำลังเดินลงบันไดมาจากชั้นบน

     

    คุณน้าลงมาแล้ว ว่าแต่คุณพ่อมีอะไรหรือเปล่าคะ ถึงเรียกให้พวกเราลงมารับประทานมื้อเช้ากันพร้อมหน้า

     

    คุณน้าน่ะลูก เขาว่ามีเรื่องสำคัญจะบอกให้ทุกคนได้รับรู้พร้อมๆ กัน

     

     

     

    แม้ว่ารูปร่างจะไม่แบบบางอย่างรุ่นสาว แต่วันนี้คุณโสภาพรรณก็ยังสวยพริ้ง แต่งหน้าและทำผมอย่างที่พร้อมจะออกไปงานสังคมใหญ่ๆ ทั้งที่เพียงจะแค่ลงมารับประทานอาหารเช้า

     

    และถึงจะลงมาช้ากว่าที่กำหนด นายอิศราก็ยังยิ้มให้ได้ง่ายๆ

     

    คุยอะไรกันอยู่จ๊ะพ่อลูก น้าขอโทษที่ลงมาช้า ก็... กะว่าจะให้มันเสร็จสิ้นไปทีเดียว เลยจะไปหาคุณแวววิไลเขาเสียเลย

     

    ประโยคหลังๆ อินทุอรยังไม่ค่อยเข้าใจ แต่ก็ยังนั่งสงบปากคำเหมือนที่เคย

     

    ไหนคุณโสภาว่าจะปรึกษากันก่อน

     

    จะต้องมานั่งปรึกษาหารือ ให้ยืดยาดกันไปทำไมอีกล่ะคะคุณพี่

     

    บรรยากาศในโต๊ะอาหารเริ่มระอุร้อนขึ้นมา ทันทีที่หางเสียงของคุณโสภาพรรณตวัดเข้ากระแทกกระทั้นผู้เป็นสามี

     

    ผมแค่ถามถึง ที่เราคุยกันเมื่อวาน ที่ว่าจะปรึกษากันให้แน่นอนเสียก่อน

     

    ยิ่งนายอิศราทำท่าประนีประนอม คุณโสภาพรรณก็ยิ่งทำตาเขียวใส่

     

    ทำไมคะ เราเป็นพ่อเป็นแม่ เรื่องแบบนี้มีแต่จะยิ่งให้เกียรติศักดิ์วงศ์ตระกูลยิ่งก้าวหน้ากว้างขวาง มีหรือคะใครจะปฏิเสธ

     

    ท้ายๆ ถ้อยคำ คุณโสภาพรรณหันมาค้อนเอากับอินทุอร ราวกับเธอเป็นต้นเหตุสำคัญของความโมโหโกรธาครั้งนี้

     

    เอาละๆ ทานมื้อเช้าเสียก่อน... ลูกอินทานอะไรหรือยังล่ะลูก โกโก้แก้วเดียวจะอยู่ท้องหรือ

     

    ต่อหน้าคุณโสภาพรรณ อินทุอรมักสงบปากสงบคำ เพราะเคยมานักต่อนัก ที่เรื่องเล็กจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เพียงเพราะเอ่ยสักคำที่ไม่ถูกหูแม่เลี้ยง

     

    ตลอดเวลาที่อยู่ร่วมกันมา จริงอยู่ว่าภรรยาใหม่ของคุณพ่อ ไม่เคยทำหน้าที่เลี้ยงดูเธอให้บกพร่อง แต่ความรักความเอ็นดูนั้นเล่า อินทุอรแน่ใจว่าไม่เคยได้สัมผัส

     

    เป็นไงล่ะอิน กับคุณปริยัติน่ะ น้าจะไปขอฤกษ์แต่งเสียทีนะ

     

    นี่น่ะหรือ เรื่องที่จะปรึกษา อินทุอรขัดใจขึ้นมาทันที เลื่อนจานแบ่งออกจากตัว และปล่อยขนมปังที่กำลังคีบกลับวางไว้ตามเดิม ทั้งยังอดไม่ได้ ที่จะต้องสบตากับคุณโสภาพรรณตรงๆ

     

    ทำไมล่ะ หรือว่ามีปัญหา

     

    น้ำเสียงของคุณโสภาพรรณ ไม่ได้แข็งกร้าวเหมือนอย่างที่คุยกับนายอิศรา แต่แววตาที่เชือดเฉือนนั้น ทำให้อินทุอรจำเป็นต้องหลบสายตา

     

    “...เราเป็นลูกผู้หญิง คุณปริยัติเขาก็ไม่ได้เสียหายอะไร มีแต่จะส่งเสริมให้ธุรกิจการงานของคุณพ่อเธอเจริญรุ่งเรือง หากไม่คิดถึงตัวเอง ก็ขอให้คิดถึงหน้าตาคุณพ่อของเธอเอาไว้บ้าง

     

    แต่... อินไม่ได้เต็มใจตั้งแต่แรก

     

    ในที่สุด อินทุอรก็ต้องพึมพำออกไป

     

    ตลกนะคะคุณพี่...

     

    ราวกับคุณโสภาพรรณไม่ได้ยินถ้อยคำของลูกเลี้ยง หล่อนกลับหันไปพูดกับสามี เหมือนกับเพิ่งนึกถึงขำขันสักเรื่องขึ้นมาได้

     

    “...นี่มันยุคสมัยไหนกันแล้ว ทีตอนนั้นละเงียบ อย่างกับกลัวดอกพิกุลจะร่วงออกจากปาก สาวๆ สมัยนี้น่ะหรือคะ โสภาไม่เชื่อหรอกว่า จะไม่กล้าขืนขัดใจพ่อแม่ เอาแต่ใจของตัวเอง

     

    คำสุดท้ายยังกระแทกเสียงใส่ ให้คนที่ถูกกระทบกระเทียบรู้ชัดๆ ว่าไม่ควรจะเพิ่งมาไม่พอใจ กับเรื่องการหมั้นการแต่งงานครั้งนี้

     

    จนถึงตอนนี้ นายอิศราก็ยังไม่ปริปากใดๆ อีก แม้ลูกสาวที่ตนพร่ำบอกเสมอว่ารักมากมาย จะพยายามสบสายตา ขอความคิดเห็น ขอความช่วยเหลือ ขอให้พูดอะไรสักอย่างออกมาบ้างก็ได้ แต่เขายังนิ่งเงียบ

     

    อิน... อินอยากจะขอเวลา...

     

    อินทุอรพูดได้ไม่เต็มคำ

     

    จะมาขอเวลาอะไรอีกล่ะจ๊ะ นี่มันก็ค่อนปีเข้าไปแล้ว หรือว่าจะรอให้ท้องมันโย้ออกมาเสียก่อน

     

    คุณโสภาพรรณยังจ้องอินทุอรเขม็ง สายตานั้นประเมินค่าลูกเลี้ยงของตนเองต่ำจนแทบจะไม่มีราคา

     

    อินทุอรรู้สึกว่าหน้าชาวูบ ขอบตาร้อนผ่าวขึ้นมาทันที...

     

    คุณพ่อคะ...

     

    เอ่ยออกมาได้แค่นั้น ก็รู้สึกเสียงสั่นจนไม่อาจเอ่ยคำใดๆ ได้อีก

     

    คุณว่าจะไปไหนนะ ไปหาคุณแวว... อะไร... ใคร ผมไม่เห็นเคยได้ยินชื่อ

     

    ในที่สุดนายอิศราก็เอ่ยขึ้น อินทุอรไม่แน่ใจว่า คำถามเช่นนั้นจะเป็นการช่วยปกป้องเธออย่างไรได้

     

    ก็พวกๆ กันน่ะค่ะ เพื่อนของเพื่อนอีกที เพิ่งได้คุยกันสองสามครั้ง แต่ฐานะเหย้าเรือนก็สืบเถาตระกูลกันได้เก่าแก่ จัดว่าเป็นผู้ดีมีฐานะ โสภามองไม่พลาดหรอกค่ะ คุณแวววิไลคนนี้น่ะ คบหาได้

     

    แล้วก็เหมือนคุณโสภาพรรณจะลืมเรื่องที่กำลังร้อนๆ อยู่กับอินทุอรได้สนิท กล่าวชักแม่น้ำทั้งร้อยสาย มาอ้างอิงคุณสมบัติของเพื่อนใหม่ที่สามีเพิ่งเคยได้ยินชื่อเป็นครั้งแรก

     

    เขากว้างขวางเรื่องหลวงพ่อหลวงนาย ผูกดวงทำนายทายทักนี่รู้หมด ว่าพระคุณเจ้ารูปไหนมีวิทยาคุณอะไรบ้าง

     

    พระน่ะหรือ... เรื่องทำนายทายทักหาฤกษ์ยาม พระพุทธเจ้าท่านห้ามไว้ไม่ใช่หรือ

     

    พอคุณโสภาพรรณทำท่าว่าจะกู่ไม่กลับ บิดาของอินทุอรเลยยิ่งตั้งคำถามให้ล่วงเลยออกไปจากบรรยากาศตึงเครียดเมื่อครู่

     

    องค์นี้ท่านว่าเชี่ยวชาญทั้งปริยัติปฏิบัติ ข้อไหนอาบัติ เช้าขึ้นมาก็ปลงซะ คุณแววเขาว่าท่านยอมอาบัติ เพื่อโปรดสัตว์ผู้ตกทุกข์ได้ยาก

     

    แต่อนาคตนะคุณโสภา ที่ทำนายทายทักน่ะ ทายดีก็ดีไป ถ้าทายว่าร้าย ก็จะเกิดทุกข์เสียตั้งแต่ตัวทุกข์ยังไม่เกิด

     

    คราวนี้คุณโสภาพรรณต้องตวัดค้อนให้สามีเสียทีหนึ่ง แล้วก็สะบัดหน้ามาทางอินทุอร เหมือนอย่างจะนึกขึ้นมาได้ว่าคุยเรื่องอะไรค้างเอาไว้

     

    เรื่องชีวิตคู่น่ะนะ มันก็ต้องดูฤกษ์ดูยาม น้าเองก็ผิดไปตอนหมั้นนั่น ก็มันฉุกละหุกอย่างที่รู้ๆ กันนั่นละ แต่เธอรู้ไหมว่าถ้าพลาดครั้งนั้นไปแล้ว ป่านนี้คุณปริยัตินั่นต้องดิ้นไม่หลุดจากผู้หญิงคนนั้นแน่ๆ

     

    เรื่องที่คุณโสภาพรรณหันมาพูดกับอินทุอรนี้ เป็นข่าวดังเกรียวกราวอยู่พอสมควรในช่วงหลายเดือนที่แล้ว ที่ว่าทายาทธุรกิจพันล้านทำดาราสาวคนหนึ่งท้อง แล้วทำท่าว่าจะไม่ยอมรับ อ้างว่าตนซื่อสัตย์อยู่กับแต่คู่หมั่นสุดที่รักคนเดียว

     

    พอได้ฟังเรื่องนี้อินทุอรก็ต้องเบ้หน้า ก็ทำให้คุณโสภาพรรณได้เห็นชัดๆ นั่นละ ว่าเป็นเพราะผลประโยชน์ร่วมกันหรอก สองครอบครัวระหว่างเธอกับเขาจึงถูกจับมาเป็นคู่หมั้นคู่หมายกันได้

     

    แต่ที่อินทุอรไม่เคยบอกใครนั้นสำคัญกว่านัก

     

    ที่ตอบตกลงรับหมั้น... ก็เพราะตอนนั้นตนรู้สึกอกหัก ถูกทอดทิ้ง...

     

    ถูกทอดทิ้งทั้งที่... ทั้งที่...

     

    อินทุอรไม่อยากจะนึกถึงมันเลยจริงๆ

     

    คืนนั้น... คืนนั้นคืนเดียวเท่านั้น....

     

    ที่ทำให้เธอต้องมาตกอยู่ในสถานการณ์ที่แสนจะลำบากใจ

     

    หากย้อนเวลากลับไปได้ ในคืนนัดบอดครั้งนั้น... แน่นอน...

     

    เธอจะปฏิเสธ

     

     

     

    มื้อเช้าไม่ชวนให้ชมชิมอีกต่อไป บรรยากาศทั้งโต๊ะอาหารออกแนวเฉยเมยใส่กันมากกว่าจะเคร่งเครียด ราวกับทุกคนกำลังนิ่งอยู่ในที่มั่นของตัว หากใครสักคนเอ่ยสิ่งไรออกมาก่อน ผู้นั้นจะต้องเป็นผู้พ่ายแพ้ในสงครามมื้อนี้

     

    แหม... ผมนึกว่าจะไม่รอกันเสียแล้ว ทำไมเงียบกันจังล่ะครับคุณแม่

     

    เจ้าของเสียงเอ่ยทักทายทุกคนที่นั่งรออยู่ก่อน ตั้งแต่โผล่ประตูเข้ามา

     

    แต่ผมก็ไม่ใช่คนสุดท้าย... ใช่ไหมครับคุณพ่อ

     

    นั่งสิพัน ลงมาช้าไปหน่อยนะ

     

    นายอิศราระบายลมหายใจยาว ก่อนเชิญชายหนุ่มด้วยน้ำเสียงเรียบๆ ประโยคหลังเป็นเชิงตักเตือนมากกว่าจะตำหนิ

     

    คนที่ถูกเชิญ ชื่อพันธกานต์ เป็นลูกติดของคุณโสภาพรรณ ที่นายอิศราต้องยินดีรับไว้เป็นบุตรบุญธรรม เนื่องจากหลังจากแต่งงานกับภรรยาใหม่มาได้ร่วมปีแล้วถึงเพิ่งรู้ว่า มีหล่อนมีลูกชายหลบซ่อนไว้อีกคน

     

    แต่พันธกานต์ก็รู้อยู่ ขยันขันแข็งทั้งการเรียนการงาน กระทั่งตอนนี้ก็แทบจะรับภาระกิจการงานต่างๆ สืบทอดจากนายอิศราได้ทั้งหมด

     

    เมื่อคืนดึกไปหน่อยน่ะครับ รับลูกค้าญี่ปุ่น กว่าเขาจะแย้มๆ ว่าซองประมูลงานของเราจะได้รับพิจารณาเป็นพิเศษ ก็เกือบๆ ตีสาม

     

    พันธกานต์เล่าเรื่อยๆ มากกว่าจะเป็นการแก้ตัว เขาหันมายักคิ้วให้อินทุอรนิดหนึ่ง ตอนเรียกหากาแฟร้อนๆ เข้มๆ

     

    พวกไอ้ยุ่น มันจะหลอกกินเลี้ยงเราหรือเปล่า พวกนั้นมันตรงยังกะไม้บรรทัด จะมาลักไก่อะไรเหมือนอย่างเราๆ ได้หรือ

     

    ไม่มีใครดีไปหมดหรอกครับคุณพ่อ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะควานหาคนแบบที่เราต้องการได้ที่ไหนต่างหาก

     

    ไม่รู้สิพัน พ่อค่อนข้างเป็นห่วง อยากทำอะไรๆ ให้มันโปร่งใส

     

    ก็... รับรองว่าโปร่งใสแน่ครับคุณพ่อ รับรองว่าถูกต้องตามขั้นตอนทุกอย่าง ไม่มีทางที่ใครจะมากล่าวหาอะไรเราได้

     

    สีหน้าของพันธกานต์ยังรื่น เขาชินเสียแล้วกับคำทักท้วงของผู้เป็นบิดาเลี้ยง รู้ดีว่านายอิศราชอบพูดแบบกันไว้ก่อน ซึ่งหากเขาหาเหตุผลมาอธิบายได้ ก็ไม่เคยขัดข้อง

     

    อินจะแต่งงานแล้วนะพัน แม่จะไปหาฤกษ์ให้เสร็จๆ ไปในวันนี้

     

    คุณโสภาพรรณแทรกขึ้นทันทีที่ได้จังหวะ ทำเอาอินทุอรแทบสำลักโกโก้จิบสุดท้าย

     

    คุณแม่ว่าไงนะครับ! ก็ไหนบอกว่าแค่หมั้นไว้ก่อน

     

    เสียงของพันธกานต์เหมือนตกใจอะไรสักอย่าง แต่เขาก็รีบปรับสีหน้าให้แนบเนียนได้ทันท่วงทีในท้ายประโยค

     

    พันก็รู้ว่าคุณปริยัติเขาเป็นดาวสังคม ใครๆ ก็หมายปอง แค่หมั้นแล้วไม่รีบแต่ง คนก็เลิกนินทาเรื่องท้องก่อนแต่งไปเปลาะนึงแล้วไงล่ะ

     

    คุณโสภาพรรณเว้นระยะนิดหนึ่ง ตอนหันมาพยักพเยิดให้สามี

     

    “...คราวนี้ถ้าปล่อยให้ช้าออกไป แม่กลัวว่าจะเสร็จนังนางแบบอะไรนั่นไปเสียก่อน

     

    ผมว่าไม่น่านะครับคุณแม่ ปริยัติเขาก็ดูเรียบร้อยดีตั้งแต่หมั้นกับน้องอิน

     

    เราจะไปรู้ได้เรอะพัน เขาไม่ได้มาประกาศนี่ว่า จะไปอะไรกะใครตอนไหน

     

    คุณโสภาพรรณบรรยายเรื่อยไป คล้ายไม่มีอินทุอรนั่งร่วมอยู่ด้วย

     

    แล้วน้องอิน...

     

    จนพันธกานต์หันมาถามนั่นละ คนถูกถามจึงได้เงยขึ้นมองคนรอบโต๊ะ

     

    อิน.... บอกคุณน้าแล้วว่าอยากจะขอเวลาสักนิด

     

    เสียงเบา พึมพำอยู่กับตัวเองเพียงเท่านั้น

     

    แสดงว่ายังไม่พร้อม... พี่ก็ว่ามันเร็วไป

     

    จะเร็วเกินไปอะไรอีกล่ะ

     

    คุณโสภาพรรณตวัดเสียงแหลมร้อนขึ้นทันที

     

    ก็อะไรๆ ที่ทำไปโดยที่คนทำยังไม่พร้อม มันก็เร็วเกินไปทั้งนั้น จริงไหมครับคุณพ่อ

     

    พันธกานต์พร้อมจะขัดกับมารดาของตนเองได้เสมอ หากมีนายอิศราคอยหนุนหลัง

     

    และเมื่อนายอิศราพยักให้เป็นอาการเห็นด้วย พายุอารมณ์ลูกใหญ่ก็ตั้งเค้าทะมึนขึ้นมาทันที

     

    ผม... ผมหมายความว่า เราน่าจะต้องปรึกษากับทางโน้นเขาก่อน

     

    นายอิศราต้องรีบอ้อมแอ้ม เป็นการตัดไฟเสียตั้งแต่ต้นลม

     

    คุณโสภาพรรณจึงได้แต่สะบัดหน้าไปเสียอีกทาง ด้วยความขัดใจเต็มที่

     

    ว่ายังไงล่ะเธอ จะต้องผัดต้องผ่อนไปกันสักกี่มากน้อย ไอ้ที่ร่อนๆ ออกไปกะเขาน่ะ จะรอวันให้มันพลาดพลั้งมาก่อนหรือยังไง

     

    พอใส่อารมณ์ต่อเนื่องกับใครไม่ได้ คุณโสภาพรรณก็หันมาลงเอากับลูกเลี้ยง

     

    เรื่องไปไหนมาไหนนั่น มันก็... ยังไม่มีอะไรคืบหน้าไม่ใช่หรือลูกอิน

     

    คำถามของภรรยาค่อนข้างรุนแรง นายอิศราจึงอดที่จะออกปกป้องบุตรสาวไม่ได้

     

    ลมพัดพรูเอาไอเย็นของยามเช้าผ่านเข้ามา ทว่าอินทุอรกลับรู้สึกผ่าวร้อนไปทั้งตัว ด้วยไม่รู้จะตอบคำถามให้ใครก่อน

     

    อีกทั้งเมื่อมองไปทางพันธกานต์ เขาก็ซ่อนหน้าอยู่หลังหนังสือพิมพ์เสียแล้ว

     

    เวลานี้อินทุอรหวังจะพึ่งพาพันธกานต์ที่สุด เพราะเขาไม่หงอคุณโสภาพรรณ กล้าทักกล้าเถียง ถ้าเห็นว่าสิ่งที่มารดาทำลงไปมันไม่ถูกต้อง

     

    อินทุอรรักพันธกานต์เหมือนพี่ชาย เธอปรึกษาเขาได้ทุกเรื่อง จนแทบไม่รู้สึกเลยว่าเขาเป็นแค่พี่เลี้ยงที่อายุห่างกันสามสี่ปี

     

    เรียกได้ว่าสนิทกันยิ่งกว่าพี่น้องแท้ๆ อย่างคู่ของพันธกานต์กับพิมพิกาก็ว่าได้

     

    รายนั้น... พิมพิกา ลูกคนรองของคุณน้าที่เกิดกับคุณพ่อ แบบที่เรียกว่ามีลูกทันใช้ คือนายอิศรากับคุณโสภาพรรณแต่งงานกันไม่ทันข้ามปี พิมพิกาก็รีบมาลืมตาดูโลกเสียแล้ว

     

    พิมพิกาเป็นลูกคนเล็ก และเป็นที่รักของทุกคนในบ้าน แม้ทุกอย่างที่เป็นพิมพิกาจะดูเกินๆ ล้นๆ ไปหมด แต่ทุกคนก็รักหล่อน ยอมให้หล่อนในทุกสิ่งที่ต้องการ

     

    กระทั่งอินทุอรก็ยังรู้สึกว่า พิมพิกาเป็นน้องสาวคนเล็ก ที่เธอจะต้องปกป้องดูแล และยอมตามใจ

     

    แต่พันธกานต์ที่เป็นคนตรงๆ กลับไม่ค่อยพอใจ เวลาที่พิมพิกาชอบทำอะไรตามใจตัวเอง แล้วก็เลยไม่ค่อยอยากคุยกับน้องสาวแท้ๆ ของเขาเอง เวลาจะตักเตือนหรือแนะนำอะไรหล่อน เขาจะมาพูดผ่านอินทุอรเสียมากกว่า

     

    แน่ะ... ถามแล้วยังทำเฉย นี่มันเรื่องทั้งชีวิตของเรานะอิน ที่น้าเข้ามายุ่งวุ่นวายนี่ก็เพราะเป็นห่วง นี่ละหนาที่เขาว่า เอาลูกเขามาเลี้ยง เอาเมี่ยงเขามาอม มันก็ได้แต่พะอืดพะอม กลืนไม่เข้าคายไม่ออกอยู่อย่างนี้

     

    คุณโสภาพรรณยื่นหน้าเข้าใกล้ เมื่อเห็นอินทุอรยังใช้ความเงียบเป็นการตอบคำถาม

     

    ก็... อินบอกไปแล้ว จะให้พูดอะไรอีกล่ะคะ

     

    ก็มันชีวิตเธอ ถ้าเธอไม่ยอมฉันจะไปกะเกณฑ์อะไรได้

     

    ลองขึ้นเธอขึ้นฉันอย่างนี้ เป็นต้องเกิดเรื่องยืดยาวอีกแน่ๆ พันธกานต์ถึงกับลดหนังสือพิมพ์ลงเพื่อสังเกตการณ์

     

    ขณะที่นายอิศราก็ต้องขยับตัวให้คลายความอึดอัด ก่อนจะเอ่ยถ้อยคำออกมา

     

    ลูกอิน... พ่อว่าให้น้าโสภาเขาไปดูๆ ไว้ก่อนก็ไม่เสียหายนะ ไม่ใช่ว่าดูฤกษ์วันนี้แล้วจะแต่งพรุ่งนี้เสียเมื่อไหร่ จริงไหมล่ะ

     

    คุณพี่คะ อย่ามาเสียเวลาอธิบายเรื่องอะไรแบบนี้เลยค่ะ เรื่องแค่นี้ต่อให้คนปัญญาไม่สมประกอบก็ยังรู้กันทั่วไป

     

    คุณโสภาพรรณยังไม่วายกระแทกใส่ลูกเลี้ยง

     

    คุณแม่ไปได้อาจารย์ดีที่ไหนมาหรือครับ...

     

    เป็นพันธกานต์ที่เอ่ยขัดขึ้น

     

    ถ้าเก่ง ผมอยากฝากให้คุณแม่ช่วยถาม เรื่องลูกค้าญี่ปุ่นคราวนี้จะสำเร็จไหม

     

    ฮู้ย!... เรื่องอย่างนั้น แม่เชื่อฝีมือพันอยู่แล้วละจ๊ะ แต่ก็จะถามๆ ให้

     

    แล้วพันธกานต์ก็จี้ถูกจุด เสียงแหลมๆ ของมารดาเปลี่ยนสำเนียงไปได้ทันที

     

    ผมอยากจะออกรถใหม่ ยังไงฝากดูด้วยว่าสีอะไร เลขอะไรจะดีถูกโฉลก

     

    เอ... เรื่องนี้แม่ไม่แน่ใจ แต่ไม่เป็นไร จะถามๆ คุณแวววิไลเขาให้

     

    ใครนะครับ

     

    คุณแวววิไลน่ะ เพื่อนแม่เอง

     

    ผมไม่เห็นเคยได้ยิน

     

    ก็แหม... คุณแวววิไลน่ะนะ... เค้า...

     

    อินอิ่มแล้วค่ะ ขอตัวก่อนนะคะคุณพ่อ พี่พัน...

     

    ไม่แทรกก็เหมือนแทรก การที่อินทุอรเอ่ยขึ้นอย่างนี้ ย่อมทำให้คุณโสภาพรรณต้องแหวขึ้นมาอีกจนได้

     

    ไม่มีมารยาท ธุระของตัวเองทั้งนั้น!

     

    อินมีประชุมแต่เช้าค่ะ ต้องรีบไป

     

    อินทุอรพยายามใจเย็น

     

    แสดงว่าเธอตกลงตามนี้

     

    คุณโสภาพรรณยังคาดคั้น สุ้มเสียงแข็งขันอยู่ไม่คลาย

     

    ก็คุณน้าตกลงใจไปแล้ว... แล้วก็คุณพ่อ...

     

    ท้ายๆ คำ อินทุอรอดสะท้อนในอกไม่ได้ ถ้าคุณพ่อคัดค้านเสียงแข็งกว่านี้ เธอคงจะกล้ากว่านี้อีกมากนัก ที่จะประกาศว่าเรื่องนี้มันเรื่องของเธอ มันเป็นชีวิตของเธอ ไม่ใช่เรื่องที่ใครจะมากะการเอาสะดวกสบายอะไรได้ง่ายๆ

     

    แต่นายอิศรากลับเออออ สนับสนุนคุณโสภาพรรณทั้งที่ฤกษ์ยามไม่เคยใช่เรื่องสำคัญสักนิดในการทำธุรกิจของคุณพ่อ

     

    คิดไปอินทุอรก็ยิ่งน้อยใจนัก แล้วที่พูดจากันก่อนที่สองแม่ลูกจะลงมานี้เล่า...

     

    พันธกานต์ยังลดหนังสือพิมพ์ค้างอยู่ เขาจ้องตาตรงๆ กับอินทุอร แววตานั้นคล้ายให้กำลังใจ คล้ายกับกำลังประกาศสนับสนุน ให้อินทุอรพูดออกไปในสิ่งที่หัวใจกำลังร่ำร้อง

     

    แต่อินทุอรกลับหลบตาของพี่เลี้ยง คิดว่าหมดเรื่องพูดจากันแล้วในเช้าวันนี้

     

    เธอไม่ตอบคำถามซ้ำ และยอมเสียมรรยาทอย่างที่ถูกกล่าวหา ตอนที่ก้มศีรษะให้บิดานิดๆ ก่อนลุกขึ้นจากที่

     

    จะรีบไปไหนล่ะคะพี่อิน พิมเพิ่งลงมานะเนี่ย

     

    ลูกสาวคนเล็กเสียงหวาดหยดนำมาก่อนตัว ปรี่เข้าไปกอดประจบนายอิศรา ก่อนที่จะถูกตำหนิเรื่องไม่ตรงเวลา

     

    คุณแม่ละก้อ ชอบทำให้บรรยากาศเสียเรื่อยเชียว ใช่ไหมคะ

     

    เปล๊า!... แม่น่ะเรอะจะไม่อยากเห็นครอบครัวเป็นสุข ครอบครัวของเรานะลูกพิม ไม่ใช่ใครที่ไหน

     

    ที่จริงคุณโสภาพรรณไม่ต้องตอบคำกระเซ้าของลูกสาวคนเล็กเลยก็ได้ แต่หล่อนเลือกที่จะเอ่ยออกไปดังนั้น

     

    พี่อิ่มแล้วละพิม ฝากดูแลคุณพ่อให้ด้วย

     

    อินทุอรยังยืนนิ่งอยู่ จนพิมพิกาทั้งกอดทั้งหอมคุณโสภาพรรณเรียบร้อยแล้วนั่นละ หล่อนถึงได้เอ่ยประโยคนี้ออกมา

     

    รับรองค่ะพี่อิน ไม่ว่าตอนไหน... หรือถ้าถึงตอนที่พี่อินแต่งงานกะคุณปริยัติไปแล้ว พิมจะดูแลคุณพ่อให้เองค่ะ

     

    เสียงใสของพิมพิกายังระริกระรื่นชื่นบาน จนอินทุอรไม่อยากคิดว่า ถูกน้องสาวที่เธอรักผลักไสไล่ส่งขึ้นมาอีกคน

     

    ไม่หรอกพิม พี่ยังอยากอยู่ปรนนิบัติคุณพ่อไปอีกนานๆ อยากอยู่กับพิมไปอีกนานๆ ไม่ดีหรือ

     

    อินทุอรต้องใช้น้ำเสียงเรื่อยๆ พยายามไม่สบตากับคุณโสภาพรรณอีกเป็นอันขาด

     

    แหม... พี่อิน... ถ้าพิมเป็นพี่อิน พิมจะรีบแต่งๆ ไปแล้วตั้งแต่แรก

     

    พิมพิกายังยิ้มเบิกบาน เปิดเผยทั้งคำพูดจาและสีหน้าท่าทาง จนเดาไม่ออกว่า ที่พูดออกมานั้น เป็นทีเล่นหรือทีจริง โดยเฉพาะตรงคำท้ายที่ว่า

     

    ถ้าพี่อินไม่เอาคุณปริยัติ จะโอนมาให้พิมก็ได้นะคะ

     

     

     

    ***************

     

     

     

     

     

     

     

     

     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×