ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ร่างนางรำ

    ลำดับตอนที่ #1 : บทที่ 1 เลื่อนตำแหน่ง

    • อัปเดตล่าสุด 13 ม.ค. 58


    บทที่ ๑
    เลื่อนตำแหน่ง


     
     
     
    กรุงเทพพระมหานคร 
    สามปีหลังกึ่งพุทธกาล
     
     
     
    วันนี้อากาศไม่เป็นใจ ฟ้าครึ้มแดด เมฆฝนปกคลุมหนาตา ตั้งแต่เช้าจนกระทั่งบ่ายนี้ ยังไม่มีวี่แววว่าท้องฟ้าจะกระจ่างแจ้ง
     
    งานใหญ่ ที่ท่านจอมพลผู้นำรัฐบาล จัดเตรียมไว้ให้อนุภรรยาสุดที่รัก ช่วงกลางคืนคงไม่เท่าไหร่ เพราะจัดเลี้ยงในโรงแรมหรูหรา แต่ช่วงบ่ายถึงเย็นนี้สิ จะเป็นอย่างไร
     
    “อย่าห่วงเลยค่ะ งานที่สวนลุมพินี เราไม่ไปก็ไม่น่าเกลียด”
     
    หญิงสาวหน้าตาหมดจด มีฐานะเป็นผู้รับใช้ใกล้ชิด ออกความเห็น ขณะบรรจงจัดแต่งทรงผมให้ผู้เป็นนาย
     
    “หล่อนจะรู้อะไร คนอย่างท่านจอมพล ต่อให้ฟ้าให้ฝน ก็ขัดใจท่านไม่ได้”
     
    ผู้พูดคือธิดาคนเดียวของนายศักดิ์ชาย หนึ่งในคณะรัฐมนตรี ที่มีท่านจอมพลเป็นผู้นำ
     
    “นั่นละค่ะ เดือนถึงว่า วันนี้พวกคุณหญิงคุณนายเขาต้องเตรียมไปประชันกันในงานกลางคืน น้ำเพชรมันล้อแสงไฟได้สวยกว่าแสงแดดอยู่แล้วนะคะ”
     
    สาวใช้ชื่อ เดือน สบสายตากับคนที่มองค้อนผ่านกระจกส่งมา
     
    “คุณศิน่ะสวยคมเป็นทุนเดิม แต่เดือนว่าเติมริมฝีปากให้เข้มอีกนิด ก็ข่มพวกนั้นได้อยู่แล้ว”
     
    ศศิประภายิ้มออกมาได้ พอใจทั้งคำชม และวิธีพูดจาของหญิงสาวคนสนิท
     
    “คนที่ต้องดูดีที่สุดในงานคือคุณน้าพรสุรางค์เจ้าของวันเกิด คนเราจะทำอะไรต้องรู้กาลเทศะ เรารู้จักว่าตัวเรามีดีอย่างไร แค่นั้นไม่พอ จะทำอะไรต้องรู้จักสถานประมาณ”
     
    “อ๋อ... ค่ะ... ขอบคุณที่คุณศิสอนค่ะ”
     
    เดือนยังอารมณ์ดี ยิ้มให้กับคำสั่งสอน ไม่สนใจว่าน้ำเสียงของผู้พูด จะแฝงความหมิ่นแคลนในสติปัญญาไว้อย่างไร
     
    เพราะศศิประภาถูกสอนให้ไว้ตัว จึงแบ่งชั้นนายบ่าวไว้ชัดเจนเสมอ พอทรงผมเข้าที่ตามต้องการ ก็ทำท่าแค่ปรายสายตามอง
     
    เห็นเดือนยังยิ้มเฉยอยู่ก็แสดงสีหน้าไม่พอใจ
     
    “ยังไง! ไหนล่ะหวีนกยูง”
     
    หล่อนหมายถึงหวีประดับผมรูปนกยูง แพนหางฝังอัญมณีมีค่า
     
    แต่หญิงรับใช้กลับส่งหวีทองเกลี้ยงขนาดย่อมแบบเรียบ ประดับมุกชมพูแถวเล็กๆ ให้แทน
     
    ศศิประภารับมาพิจารณา แล้วก็นึกขึ้นได้
     
    “นี่ ที่คุณน้าให้ไว้ตั้งแต่ได้เป็นอนุท่านจอมพลใหม่ๆ”
     
    “ใช่แล้วค่ะ เดือนว่าใช้อันนี้ดีกว่า คุณทางโน้นเห็นแล้วจะได้นึกถึง ความสนิทสนมที่มีกันมาแต่ก่อน ในงานอย่างนี้ ถ้าใครได้รับความสนใจเป็นพิเศษ คนอื่นก็ต้องคอยจับตา ผลพลอยได้จะตกมาอยู่กับเรา...”
     
    ‘เด็กคนนี้ฉลาด ช่างคิดช่างสรร หน้าตาก็สะสวย จริตจะก้านก็หมดจดงดงาม ทั้งยังแจ่มใสช่างเจรจา ไม่น่าเบื่อหน่ายเลยสักนิด’
     
    ศศิประภาคิด ขณะส่งยิ้มอย่างพอใจให้เดือนอีกครั้ง ปากก็ว่า
     
    “หล่อนมันเจ้าเล่ห์นัก”
     
    หญิงสาวรู้ว่าเจ้านายไม่ได้จริงจัง จึงยังตอบคำ
     
    “คุณศิไม่เห็นด้วยหรือคะ”
     
    ผู้เป็นนายกลับพูดว่า
     
    “อย่างนั้นก็ใช้อันนี้แล้วกัน”
     
    “ค่ะ”
     
    เดือนรีบรับมาบรรจงเหน็บไว้ในตำแหน่งที่คิดว่า นายสาวจะพอใจที่สุด
     
    ศศิประภาหันซ้ายขวา มองดูจนพอใจ กระนั้นยังแกล้งขยับหวีมุกทองอีกนิด เป็นทีว่าที่เดือนจัดเหน็บให้นั้น ยังไม่เรียบร้อยดีนัก
     
    หญิงชราอีกคนเคาะประตูห้อง แล้วรีบเดินเข้ามาโดยไม่รอให้คนข้างในขานรับ
     
    “คุณศิเจ้าขา คุณท่านกับคุณหญิงให้หาแล้วค่ะ”
     
    นางหมายเป็นแม่บ้านเก่าแก่ กล่าวเร่งด้วยท่าทางรีบร้อน
     
    ศศิประภาเหลือบมองนาฬิกา แล้วก็หันถาม
     
    “คุณสัตยาล่ะ ทำไมยังไม่มา ให้คนไปตามแล้วไม่ใช่หรือ”
     
    สัตยาเป็นสามีสุดที่รัก ที่กำลังมีอนาคตสดใสกับรัฐบาลชุดนี้
     
    บ่าวอีกคนเป็นชายหนุ่ม รีบเข้ามารายงาน
     
    “คุณศิขอรับ คุณสัตยาไม่อยู่ในห้องหนังสือ อาจไปที่เรือนจันทร์นะขอรับ”
     
    “อะไรกัน! ไม่รู้เวลาเลยหรือไง นี่มันกี่โมงกี่ยามกันแล้ว จะไปทำไมที่เรือนจันทร์”
     
    พอคุณหนูคนสำคัญของบ้านมีท่าทีไม่พอใจ บรรดาคนรับใช้ก็พากันกลัวไปหมด
     
    มีแต่เดือนที่ยังกล้าออกความเห็น
     
    “ให้เดือนไปตามที่เรือนจันทร์ไหมคะ”
     
    ผู้เป็นนายหันมาค้อนตาขวาง ไม่มีเสียละที่จะปล่อยให้หล่อนได้มีโอกาสอยู่กับเขาตามลำพัง
     
    ไม่ทันจะปฏิเสธ บ่าวอีกคนก็เข้ามา
     
    “คุณศิขอรับ คุณสัตยาให้บอกว่า ยังไม่เสร็จธุระทางโน้น คงไปงานพร้อมคุณศิไม่ได้ ยังไงก็ให้คุณศิกับคุณท่านไปก่อน แล้วคุณสัตยาจะตามไปทีหลังขอรับ”
     
    เป็นข้อความที่ทำให้ไม่พอใจหนัก คนฟังลุกพรวดขึ้น ตวาดเอากับผู้ที่อยู่รับหน้า
     
    “อะไรกัน! รู้ทั้งรู้ว่าวันสำคัญ ดันไปตั้งไกล แสดงว่าจงใจไม่ไปงานงั้นสินะ!”
     
    แล้วก็กระแทกตัวลงนั่ง จนคนที่เหลือต่างพากันสะดุ้ง ใจคอไม่ดี
     
    “คุณศิขา...”
     
    มีแต่เดือนที่กล้าเอาน้ำเย็นเข้าลูบ
     
    “อย่าโกรธเลยค่ะ คุณสัตยาคงติดธุระจริงๆ อีกอย่างคุณเขาไม่ใช่คนไม่มีระเบียบวินัย ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ ก็คงไม่เป็นอย่างนี้หรอกค่ะ คุณศิน่าจะวางใจ นี่คุณท่านเรียกหานานแล้ว เดือนว่ารีบไปที่งานกันก่อนก็ได้นะคะ”
     
    ระหว่างพูดก็ส่งสายตาให้นางหมายแม่บ้าน
     
    “ใช่ค่ะคุณหนู รีบไปกันก่อนดีกว่านะคะ”
     
    “นะคะ เราไปกันก่อนเถอะค่ะ”
     
    เดือนย้ำ จนศศิประภาต้องตัดใจยอมตาม
     
    คนกล่อมเจ้านายสำเร็จ ยังไม่ทันได้ระบายลมหายใจอย่างโล่งอก สายฝนก็เทกระหน่ำลงมา เสียงนางหมายก็ดังขึ้น ประจบประแจงคุณหนูของบ้านเต็มที่
     
    “นังเดือน กางร่มให้คุณศิซิ ระวังอย่าให้น้ำกระเซ็นเปื้อนกระโปรง”
     
     
    ฝนหลงฤดูสาดสายไปทั่วฟ้า ไม่มีลมพายุแต่ฝนก็เทลงมาไม่ขาดสาย จากคฤหาสน์ของรัฐมนตรีศักดิ์ชายบิดาของศศิประภา ที่อยู่แถวปากคลองบางกอกน้อย จนถึงย่านที่ลึกเข้ามาแถวบางระมาด อันมีบ้านสวนร่มรื่น สำหรับบุตรเขยของท่านรัฐมนตรี ใช้เป็นที่ทำงานและพักผ่อนหย่อนใจส่วนตัว
     
    สัตยาเป็นคนออกแบบตกแต่งเองทั้งหมด ทั้งเรือนจันทร์อันเป็นเรือนไทยชายน้ำหลังย่อม และอาณาบริเวณที่ปลูกต้นไม้ใหญ่น้อยไว้มากมาย
     
    โดยเฉพาะพืชพรรณอันมีชื่อคล้าย คล้อง หรือพ้องกับ ‘จันทร์’ ล้วนถูกหามาปลูกประดับ ทั้งไม้ดอก ไม้ใบ และไม้หอม ด้วยเหตุผลที่ให้กับภรรยาไว้ว่า เขาจะได้รู้สึกเหมือนอยู่ใกล้ชิดกับนาม ‘ศศิประภา’ อันมีความหมายถึงแสงจันทราได้ตลอดเวลา
     
    ตอนนี้เจ้าของเรือนกำลังมุ่งมั่นประดิษฐ์ผลงานชิ้นเลิศ แข่งกับเวลา ท่ามกลางสายฝน จนพลบค่ำจึงเสร็จเรียบร้อย รีบขึ้นรถที่ให้คนรับใช้หาเตรียมไว้ เลาะออกตามแนวถนนเจิ่งนอง เลยกรมอู่ทหารเรือไปข้ามสะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ เพื่อตรงไปยังโรงแรมที่จัดงาน
     
    รถยนต์ทะเบียนไม่คุ้นตา ทำให้พนักงานรักษาความปลอดภัยไม่ให้ผ่านเข้าง่ายๆ
     
    คนขับต้องลดกระจกลง ตะโกนใส่หน้า
     
    “นี่รถลูกเขยท่านรอมอตอศักดิ์ชาย วอนตกงานเสียแล้วพวกเอ็ง”
     
    พนักงานมีสีหน้าลำบากใจ แต่ยังยืนเฉยอย่างไม่รู้จะทำอย่างไร
     
    จนสัตยาต้องเลื่อนกระจกหลังลงบ้าง
     
    “ผมสัตยา กรมศิลปากร นำของขวัญชิ้นสำคัญมา เดี๋ยวไม่ทันใจท่านจอมพล”
     
    เขาพูดพร้อมยื่นบัตรให้ตรวจ
     
    พนักงานพยักหน้าอย่างโล่งอก ก่อนเปิดทางให้เข้าไปยังลานจอด
     
    ในงานครึกครื้นรื่นเริง ชาวสังคมชั้นผู้นำประเทศ ต่างได้รับเชิญพร้อมหน้า และมาดื่มกินพูดคุยกันตั้งแต่ก่อนค่ำ จนใกล้เวลายี่สิบนาฬิกา จึงมีเสียงพลทหารประกาศนำการมาของท่านจอมพลและผู้ติดตาม
     
    แขกเหรื่อเปิดทางให้พ้นพรมแดง เรียงเป็นแถวต้อนรับโดยอัตโนมัติ หลังฉากกั้นด้านใน คุณพรสุรางค์อนุภรรยาคนโปรด ค่อยเผยประตูจากอีกห้อง เข้ามายืนคอยต้อนรับ ตรงใกล้ที่นั่งพิเศษสำหรับท่านจอมพล
     
    ผู้เป็นใหญ่ก้าวเท้าผ่านพรมที่ลาดรอไว้อย่างสง่าผ่าเผย ไม่ทักทายผู้ใด ตรงไปที่สุภาพสตรีคนสำคัญที่สุดในงาน
     
    คุณพรสุรางค์ย่อตัวคำนับ แสดงการต้อนรับเต็มตามพิธีการสำหรับผู้มียศยิ่งใหญ่ ท่านจอมพลรีบประคองให้ยืนตรง หันไปพยักให้ผู้ติดตามนิดหนึ่ง นายผู้นั้นก็เปิดกล่องของขวัญสำคัญยื่นรอ
     
    “นี้เป็นประคำมุกดำจากปัตตานี พี่ส่งไปให้หลวงปู่ทางนั้นปลุกเสกล่วงหน้าสามเดือนมาแล้ว”
     
    คำพูดแสดงความเอาใจใส่อย่างเต็มที่ ต่อสตรีที่กำลังโปรดปราน ทำให้ทุกคนในงานต่างส่งเสียงฮือฮา
     
    “เป็นบุญตัวของดิฉันเหลือเกินค่ะท่าน”
     
    “พี่เห็นน้องฝักใฝ่ธรรมะ พี่ก็หวังส่วนบุญกุศลจะหนุนส่งให้เราทั้งสองได้เจริญรุ่งเรืองไปด้วยกัน”
     
    “อนุโมทนาเถิดค่ะ ขอให้คุณพระพุทธพระธรรมพระสงฆ์ ปกปักรักษา”
     
    จบคำ คุณพรสุรางค์ก็พนมมือไหว้ซบลงกับอก นำเสียงปรบมือที่ดังขึ้นเกรียวกราว ด้วยพากันชื่นชม กับภาพความรักความโชคดี ของเจ้าของงานวันเกิด
     
    “คุณพ่อคะ แต่ว่าวันนี้ฟ้าฝนไม่เป็นใจ จะจุดพลุฉลองยังไงล่ะค่ะ”
     
    หญิงสาวร่างน้อย ดวงหน้าจิ้มลิ้มพริ้มเพรา ถึงจะมีศักดิ์เป็นธิดานอกสมรสระหว่างท่านจอมพลกับคุณพรสุรางค์ แต่ก็ถือว่าเป็นลูกสาวที่ท่านผู้นำประเทศรัก และโปรดปรานเป็นที่สุด
     
    “นั่นสินะ”
     
    คนตอบรับกวาดสายตาไปทั่วงาน ทำให้บรรยากาศอึดอัดขึ้นมาทันที
     
    “...น่าเสียดายจริง”
     
    ยิ่งได้ยินคำนี้ผู้รับผิดชอบยิ่งรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ
     
    “ขอประทานโทษที่มาช้าขอรับพะณะท่าน”
     
    เสียงหนึ่งทำลายความเงียบขึ้นมา
     
    “ใคร ที่กล้ามาช้ากว่าผม”
    “เป็นกระผมเองขอรับ สัตยา ดำรงฤทธิ์... ขออำนาจสิ่งศักดิ์ทั้งหลายในสากลโลก โปรดดลบันดาลให้ท่านจอมพลกับคุณน้าผู้หญิง มีความสุข สมหวังในทุกสิ่งทุกประการ...”
     
    สัตยาโค้งตัวอย่างนอบน้อม มีผู้ติดตามหอบกล่องยาวๆ ตามมา
     
    “แหม พี่สัตยา มาช้ายังจะกล้าทำปากหวาน”
     
    เป็นเสียงธิดาของท่านจอมพลที่หยอกล้อ สายตาที่จ้องมองชายหนุ่มนั้น แพรวพราวจริงจัง
     
    “วันนี้เป็นงานฉลองวันเกิดของคุณน้าผู้หญิง กระผมไม่กล้ามาสาย เพียงแต่ต้องเตรียมของขวัญสำคัญ...”
     
    ผู้เป็นภรรยาของคนพูด คือศศิประภาซึ่งยืนอยู่แถวหน้า ถึงกับลอบอมยิ้มชื่นชมผู้เป็นสามี
     
    “...ขอท่านจอมพลและคุณน้าผู้หญิงให้อภัย”
     
    “อย่างนั้นคงต้องขอดูสักหน่อย ของขวัญอะไรที่สำคัญกว่าการมาให้ทันงานนี้”
     
    “ของขวัญของกระผมต้องเตรียมการนิดหน่อย ขอท่านจอมพลกรุณาอนุญาต”
     
    “มีลับลมคมในอะไรนัก อย่ามาเล่นตลกกับผมเชียวนา”
     
    ท่านจอมพลเสียงเข้ม จนคนอื่นๆ ไม่กล้าส่งเสียง
     
    “ของขวัญชิ้นนี้ ต้องอยู่ในความมืด ถึงจะได้เห็นความสวยงาม”
     
    “เอา! ถ้าคุณกล้าพูดอย่างนี้ ผมก็กล้าอนุญาต จะเอายังไงก็เอา”
     
    ศศิประภาใจคอไม่ดี รู้อยู่แก่ใจว่าท่านจอมพลเป็นคนเด็ดขาดขนาดไหน ใครจะมาล้อเล่น หรือทำให้ไม่ถูกใจ อาจถูกสั่งขังหรือจับไปยิงเป้าได้ง่ายๆ หล่อนได้แต่หันรีหันขวาง หน้าซีดฝ่ามือชุ่มเหงื่อ
     
    “อย่างนั้นขอความกรุณาท่านจอมพลสั่งการ ให้ดับไฟในห้องนี้และด้านนอกทั้งหมดก่อนครับ”
     
    “ต้องขนาดนั้นเชียวรึ”
     
    ท่านนายพลชักไม่มั่นใจ เพราะห่วงความปลอดภัยของตนอยู่ไม่น้อย
     
    “คุณคะ เถอะค่ะ มาดูกันว่าสัตยาจะเล่นตลกอะไร”
     
    เป็นคุณพรสุรางค์ที่ช่วยสนับสนุน
     
    “เอาก็เอา เด็กๆ ไปทำตามสั่งของนายสัตยาซิ”
     
    ศศิประภาถึงกับตัวสั่น ไม่มั่นใจเลยว่าสามีจะมีสิ่งไรมาทำให้ท่านจอมพลและอนุภรรยาคนโปรดได้พอใจ พอสบตากับสัตยา เขาก็ยิบตาเป็นสัญญาให้สบายใจได้
     
    เสียงซุบซิบของผู้ร่วมงานเริ่มดังขึ้นอย่างอดไม่ได้ เมื่อดวงไฟทั้งหมดดับลง ทั่วบริเวณก็มืดมิด แม้กระทั่งไฟทางภายนอก ก็มีอันดับมืดลงได้เพราะบารมีท่านผู้นำ
     
    เกือบห้านาที กว่าที่สัตยาจะส่งสัญญาณ ให้ทุกคนในห้องจัดเลี้ยง หันไปที่ประตูทางเข้า
     
    แล้วแสงไฟระยิบก็สว่างพราวขึ้น เป็นเส้นสายของพลุไฟกระจายตัว กระจ่างอยู่กลางผืนผ้าสีมืด พลุไฟจำลองนั้นส่งแสงละลานตา เรียกเสียงฮือฮาและเสียงปรบมือถูกอกถูกใจจากทุกผู้คนในงาน
     
    ธิดาท่านจอมพลตบมือชอบใจ และแสงไฟจากพลุประดิษฐ์นั้นก็สว่างพอให้เห็นสีหน้าชื่นชมเต็มที่ ทั้งจากท่านจอมพล เจ้าของวันเกิด และจากครอบครัวของภรรยาตนเอง
     
    “อย่างกับของจริงเลยนะคะคุณแม่”
     
    “อย่าทำตื่นเต้นเป็นเด็กๆ ไปหน่อยเลยน่ะศรสวรรค์”
     
    คุณพรสุรางค์ต้องเอ่ยปาก ปรามบุตรสาวเบาๆ
     
    “ก็จริงนี่คะ พี่สัตยานี่เก่งจริงๆ นึกว่าจะเก่งเฉพาะเรื่องวาดภาพเสียอีก”
     
    “สวยจริงๆ นะคะคุณพร ตอนแรกห่วงแทบแย่ ว่าพ่อลูกเขยจะทำขายหน้า”
     
    เป็นแม่ภรรยาของสัตยาที่เอ่ยขึ้น อีกนัยหนึ่งนางเป็นพี่สาว ญาติใกล้ชิดของคุณพรสุรางค์นั่นเอง
     
    ศศิประภาก็พลอยชื่นชม ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ปลาบปลื้มว่าตนเลือกคนไม่ผิด ที่กล้าขัดใจบิดามารดา ร้องขอให้คนมีแต่คุณสมบัติกับรูปสมบัติอย่างสัตยาเข้ามาเป็นเขย ทั้งที่เรื่องทรัพย์สมบัตินั้น สัตยาอยู่ในฐานะที่เรียกว่า แทบไม่มีจะกิน
     
    พอท่านจอมพลปรบมือขึ้นบ้าง ทุกคนในงานก็ยิ่งปรบมือดังกึกก้อง พลอยวิพากษ์วิจารณ์ ชื่นชมผลงานลูกเขยหรือหลานเขย ของคุณเจ้าของงานกันเต็มที่
     
    “เท่ากับว่าปีนี้คุณแม่ก็ไม่พลาดได้ดูพลุไฟสวยๆ เหมือนเคยแล้วนะคะ”
     
    ศรสวรรค์ยังตื่นเต้น เพราะอีกอึดใจต่อมา พลุไฟประดิษฐ์ก็กะพริบแสง ไล่สีจากจุดกลางกระจายไป ให้ดูสมจริงมากยิ่งขึ้น
     
    “นั่นสินะ สัตยา เธอคิดได้ยังไงกันนี่”
     
    คุณพรสุรางค์เอ่ยถามด้วยความชื่นชม
     
    “กราบเรียนพะณะท่าน เมื่อเช้าท้องฟ้ามีเมฆทึบ คิดว่าอย่างไรเสีย คืนนี้คงมีฝน กระผมทราบว่า คุณน้าท่านชอบดูพลุไฟมาก หากคืนนี้ไม่ได้เห็น คงจะทำให้งานนี้ไม่สมบูรณ์แบบ จึงคิดเร่งประดิษฐ์ภาพพลุไฟจำลองผืนนี้ขึ้นมา คิดว่าคุณน้ากับท่านจอมพลจะพอใจ”
     
    “ต้องพอใจสิ พอใจมากด้วย ใช่ไหมคะ คุณพ่อ คุณแม่”
     
    ศรสวรรค์หัวเราะชอบใจใหญ่ สายตานั้นจ้องมองชายหนุ่มไม่วางตา ที่ชื่นชมในรูปร่างหน้าตาอยู่แล้ว ตอนนี้ยิ่งรู้สึกเป็นสุขที่สุดว่า คนที่ตนเองหมายตา ช่างฉลาดปราดเปรื่อง
     
    “แม่ศร เกินไปหน่อยหรือเปล่าลูก”
     
    “ไม่หรอกค่ะคุณพ่อ ก็พลุไฟจริงๆ น่ะ แค่จุด สว่าง แล้วอึดใจเดียวก็ดับ แต่นี่ พลุของพี่สัตยา จะไม่มีวันดับ ดีกว่าของจริงๆ ซะอีกนะคะ”
     
    “ใช่ครับ อีกอย่าง กระผมก็หมายใจไว้ว่า ภาพพลุไฟนี้จะเป็นตัวแทน คำกล่าวอวยพร ให้บารมีพะณะท่านกับคุณน้าพรสุรางค์ สว่างไสว ตลอดไป”
     
    จบคำ เสียงปรบมือกึกก้องก็ดังขึ้นอีกครั้ง ศศิประภายิ้มไม่หุบ กับความสำเร็จอันงดงามของสามีในค่ำคืนนี้ สัตยาก็ส่งยิ้มมาให้ และเผื่อแผ่เลยไปยังเดือนที่ยืนซ่อนเงาอยู่ด้านหลัง
     
    ศรสวรรค์จดจ้องชายหนุ่มที่ตนเองหลงใหลอย่างไม่คลาดสายตา ขัดใจนิดหนึ่ง เมื่อเห็นเขาหันไปยิ้มให้กับภรรยา แต่พอสัตยาหันกลับมา และยิ้มตอบให้ตนเองบ้าง หล่อนก็รู้สึกเหมือนราวได้ขึ้นสวรรค์ คิดยิ้มย่องอยู่ในใจว่า คนนี้ละคือคู่ชีวิตที่ตนเลือกแล้ว
     
     
    หนังสือแต่งตั้งตามมาในวันรุ่งขึ้น ภายในเวลาชั่วข้ามคืน ตำแหน่งทางราชการของสัตยา พุ่งขึ้นมาเทียบเท่ากับอธิบดีกรม ซ้ำอีกไม่กี่วันต่อมา ยังได้รับบ้านหลวง เป็นบำเหน็จความชอบ ฐานทำให้ท่านจอมพลพึงพอใจเป็นอย่างยิ่ง
     
    บ้านหลวงหลังนี้ไม่ไกลจากบ้านรัฐมนตรีศักดิ์ชาย แต่ถัดขึ้นมาติดแม่น้ำเจ้าพระยาแถวหลังวัดระฆัง เป็นการสะดวกที่จะลงเรือข้ามน้ำมาทำงานที่กรมศิลปากรแถวท่าช้าง
     
    แม้จะไกลออกมาจากเรือนจันทร์ ที่ต้องล่องเรือผ่านคลองบางกอกน้อย เลี้ยวเข้าคลองชักพระ คลองตลิ่งชัน กว่าจะวกไปถึงคลองบางระมาด แต่สัตยาก็ยินดี เพราะสามารถแยกออกมาจากบ้านพ่อตาแม่ยายได้เสียที
     
    ด้านติดริมแม่น้ำ มีคูน้ำเล็กๆ สำหรับจอดเรือ บนพื้นแห้ง เท่ากับความยาวของลำคู ปล่อยเป็นสนามหญ้าโล่งเรียบ สุดอีกด้านมีแนวไม้พุ่มใบหนาเป็นรั้ว
     
    ตัวบ้านเป็นแบบทันสมัย ปลูกเป็นตึกสองชั้น มีหน้าต่างบานกระทุ้งอยู่รอบทั้งชั้นบนชั้นล่าง รับลมแม่น้ำได้เต็มที่ ส่วนด้านจะรับแดดบ่าย มีต้นจำปีสูงใหญ่ ปลูกเรียงไว้พรางแสง
     
    มีไทรใหญ่อีกต้นอยู่ท้ายคูน้ำ ตรงที่เป็นโรงหลังคาอู่เรือ มีผ้าสามสีเก่าคร่ำ ผูกพันสุมไว้หลายพอก มีรอยบูชา ทั้งดอกไม้ธูปเทียนและมาลัยพวงมาลัยสาย ระโยงระยาง เป็นสิ่งแรกที่ศศิประภาออกปากกับสามี ขอให้ถอนทิ้งไปเสีย
     
    “น่ากลัวออกค่ะ พวกขอเลขขอหวยคงมาทำอย่างว่า ให้คนขุดรากจำเริญลงน้ำไปเสียไม่ดีกว่าหรือคะ”
     
    “ถ้ามีอิทธิฤทธิ์อะไรจริงจัง คงไม่ถูกปล่อยทิ้งร้างอย่างนี้หรอกน่า คุณศิอย่ากลัวไปเลย”
     
    สัตยาสรุปไว้แค่นั้น ก่อนจะขอตัวลงเรือข้ามฟาก ไปรายงานตัวเพื่อรับตำแหน่งใหม่ในกรมกองที่ตนสังกัด ทิ้งให้ภรรยาดูแลจัดการปัดกวาดเรือนหลวงประดับเกียรติของตน อยู่กับบรรดาคนรับใช้
     
    พอสามีไม่อยู่ ศศิประภาก็เรียกหาเดือน
     
    “จะแขวนกรงคุณตั้วไว้ตรงไหนดีคะ ที่ระเบียงหรือที่ศาลาโถง”
     
    หญิงสาวมีกรงนกกระตั้วตัวโปรดของเจ้านายติดมือมาด้วย
     
    “แขวนๆ ไปก่อนเถอะน่ะ แล้วมาช่วยคิดหน่อยซิ ทำไมบ้านนี้มันวังเวงนัก”
     
    “คงไม่มีคนอยู่มานานกระมังคะ อยู่หลังวัดด้วย คุณศิเลยกลัวไปเอง...”
     
    “จะบ้าเรอะ คนอย่างฉัน เคยกลัวใครที่ไหน...”
     
    ไม่ทันจบคำ เสียงหอนโหยหวนก็ดังขึ้น แม้จะฟังได้ว่าเป็นเสียงเล็กๆ ของลูกสุนัข แต่ทั้งสองคนก็อดมองหน้ากันไม่ได้
     
    “ไอ้ตัวที่ใครเอามาล่ามไว้ใช่ไหม ไปเอามันมาทำไม”
     
    “ลุงสมเขาจะเอาไว้เฝ้าบ้าน เห่าพวกตัดช่องย่องเบามังคะ”
     
    “ใครจะกล้า สามีฉันเทียบชั้นอธิบดีกรม ใครจะกล้ามาหืออือ”
     
    เสียงเจ้าตัวนั้นยังหอนไม่หยุด จนศศิประภาหมดความอดทน
     
    “เอามันไปปล่อย ปล่อยเข้าวัดไปเลย หรือจะเอาไปโยนน้ำให้มันว่ายข้ามไปฝั่งขะโน้นก็ได้”
     
    เดือนต้องตะโกนสั่ง ต่อไปยังคนรับใช้ผู้ชายที่เดินผ่านมา ครู่เดียวเสียงเจ้าหมาน้อยก็เงียบไป แต่พอหมดเสียงนั้น ความเงียบสงัดก็เข้ามาครอบงำ
     
    ลมแม่น้ำที่โชยชื่น กลับรู้สึกเหมือนรำเพยความเปลี่ยวร้างเข้ามากระทบตัว เสาศาลาอู่เรือลั่นออดแอด ไทรใหญ่สั่นใบพรู รากไทรกวาดหลังคาอู่เรือดังเครือๆ อย่างน่ารำคาญ
     
    “ไปดูหลังบ้านกันหน่อย บ่อซีเมนต์นั่น ต้องล้างหรือเปล่า”
     
    ศศิประภาสาวเท้าเร็วพร้อมกับที่พูด นำหญิงรับใช้มาแหงนคอมองบ่อก่ออิฐฉาบปูน ตรงที่ติดกับครัวไฟ เป็นที่ขังน้ำสูงใหญ่ร่วมสี่เมตร ทั้งมีท่อส่งน้ำผ่านเข้าไปยังชั้นสองด้วย
     
    “บ้านนี้ก็สะดวกดีนะคะ มีระบบประปาใช้เอง คุณศิกับคุณสัตยาจะได้ไม่ต้องลำบากลงมาข้างล่าง”
     
    “ลองขึ้นไปดูบนบ้าน ว่าในบ่อมันสะอาดสะอ้านแค่ไหน”
     
    เพราะผู้เป็นนายเห็นแล้วว่า มีทางพาดไปที่ปากบ่อ จากระเบียงชั้นสอง
     
    พอขึ้นมาถึง เดือนก็อาสาชะโงกลงไปดู แล้วก็ทำท่าหวาดเสียว
     
    “น่ากลัวจริง ไม่มีฝาปิดอย่างนี้ ใครตกลงไปคงต้องตาย”
     
    “สกปรกมากไหม”
     
    “มีตาข่ายกันพวกเศษใบไม้ กับพวกนกหนูพลัดตกลงไปด้วยค่ะ”
     
    “แสดงว่าสะอาดดีอยู่”
     
    “ยังเปี่ยมน้ำด้วยค่ะ คงเพราะฝน”
     
    “ก็ดีแล้ว จะได้ไม่เปลืองต้องไขน้ำเข้ามา ลงมาเถอะเดือน มาช่วยดูห้องทำงานคุณสัตยาหน่อยซิ”
     
    เรือนใหญ่มีหลายห้อง จากโถงกลางเดินเลยข้ามจากฝั่งห้องนอนมาแล้ว ยังมีห้องว่างอีกห้อง เป็นห้องฝาบานเฟี้ยม ที่หันข้างให้แม่น้ำด้านหน้า มีกรอบหน้าต่างติดบานกระจก อย่างที่ช่างตั้งใจจะโชว์ทัศนียภาพของแม่น้ำเต็มที่ หลังห้องคือทิศตะวันตก จึงก่อเป็นผนังทึบ มีเพียงช่องลมตรงที่ชิดเพดาน
     
    “ห้องนี้ละเหมาะ เดือนให้คนมาจัดการทำความสะอาดให้ดี เอาอุปกรณ์เครื่องทำงานของคุณสัตยามาตั้งแต่งให้ครบ หนังสือหนังหา ตำรับตำรา เอามาขึ้นชั้นให้เรียบร้อย ให้เสร็จก่อนที่คุณเขาจะกลับมา”
     
    “คุณศิวางใจได้ค่ะ เดือนรับรองว่าจะตกแต่งห้องนี้ให้อย่างสุดฝีมือ”
     
     
    ภาระงานที่เพิ่มขึ้น ไม่ทำให้สัตยาเคร่งเครียดมากนัก เขาพยายามมาตลอด ที่จะก้าวขึ้นมาสู่จุดนี้ ต้องทุ่มเท และเสียสละมากมาย หลายอย่างแทบจะเรียกได้ว่าผิดศีลธรรม แต่มันก็จำเป็น กับคนที่ไม่มีต้นทุนทางสังคมอะไรเลย
     
    ศศิประภาก็รักเขาจริงใจ ยอมขัดขืนคำโต้แย้งทุกอย่าง เพื่อให้ได้ใช้ชีวิตคู่กับเขา และเขาเองก็เชื่อว่า มันคุ้มค่า กับการที่ต้องเลือกที่จะสูญเสียอะไรไปหลายอย่าง แม้บางสิ่งบางอย่าง จะเป็นสิ่งที่เขายังรักสุดหัวใจ มาจนถึงทุกวันนี้ก็ตาม
     
    เมื่อขึ้นจากท่าน้ำหน้าบ้าน สัตยายืนชื่นชมภาพตรงหน้าอยู่อีกพักใหญ่ แม้จะเป็นบ้านหลวง แต่ก็ได้ชื่อว่าเป็นบ้านประจำตำแหน่ง ตอนนี้คนทั้งพระนคร ต่างเลื่องลือ เขากลายเป็นคนเด่นดัง อย่างที่หวังมาตลอดชีวิต
     
    ศศิประภาต้องลงมาตามถึงตัว รีบจูงเขาขึ้นเรือนด้านบน ตรงไปยังห้องที่เดือนจัดเตรียมตกแต่งไว้อย่างสวยงามเป็นระเบียบ
     
    “สวยไหมคะ”
     
    “ดีจริง”
     
    สัตยาพึมพำด้วยความพอใจ
     
    “กว่าจะจัดนั่นนี่ให้เข้าที่เข้าทาง ก็เหนื่อยจะแย่”
     
    “คุณศิของผมเก่งทุกเรื่องอยู่แล้ว”
     
    “อย่ามาประชดกันหน่อยเลย”
     
    เหน็บสามีเข้าทีหนึ่งที่ต้นแขน
     
    พอสัตยาทำท่าจะรวบกอด หล่อนก็เบี่ยงตัวหลบ
     
    “อย่าเพิ่งค่ะ เหนอะหนะมาทั้งวัน”
     
    “ยังไงผมก็รัก...”
     
    “อย่างนั้น มีห้องหนังสือนี้แล้ว โต๊ะทำงาน ขาตั้งวาดรูป มีครบหมด คุณพี่ก็ไม่ต้องไปที่เรือนจันทร์นั่นแล้ว”
     
    ศศิประภาเพิ่งเผยเจตนาที่แท้จริง
     
    “ได้อย่างไร มันไม่เหมือนกัน”
     
    สัตยารีบแย้ง
     
    “ตรงไหนคะ ที่นี่ สะดวกสบายกว่าทุกทาง”
     
    “ที่นั่นสงบ เงียบ สร้างสมาธิให้พี่ได้ดี”
     
    “กล่าวหาว่าน้องสร้างความรำคาญหรือคะ”
     
    “ไม่ใช่อย่างนั้น”
     
    เขาขโมยหอมแก้มภรรยาทีหนึ่ง ก่อนพูดต่อ
     
    “ถ้าจะทำงานใช้สมอง พี่ชินกับที่นั่นมากกว่า”
     
    “ไปทำงานหรือเอาใครไปกกก็ไม่รู้”
     
    หล่อนทำเป็นผลักอกเขาเบาๆ
     
    “มีแต่ไปทำงานเท่านั้น มีเมียสวยขนาดนี้จะไปมองใครอีกได้ อีกอย่าง... คุณศิก็เห็น ภาพพลุไฟจำลองนั่น ก็เขียนจากเรือนจันทร์ พอมีสมาธิ อะไรๆ มันก็ออกมาดี”
     
    “แสดงว่าอยู่ที่บ้านคุณพ่อ หรืออยู่กันเองอย่างนี้ก็ไม่ต่างกัน งั้นหรือคะ”
     
    “โธ่! คุณสิ ก็รู้ว่าผมมันพวกสิ้นไร้ไม้ตอก ถ้าคุณพ่อไม่กรุณา มีหรือที่ผมจะมีวันนี้”
     
    “งั้นก็ตอบแทนท่านหน่อยสิคะ ตามใจลูกสาวท่านสักหน่อย”
     
    “ผมก็ทั้งรักทั้งให้เกียรติ ตามใจคุณทุกอย่าง...”
     
    “ไม่ทุกอย่าง เรื่องเรือนจันทร์ไงคะ”
     
    ลองเป็นอย่างนี้ สัตยารู้ดีว่าจะจัดการกับภรรยาของตนเองอย่างไร
     
    เขารวบหล่อนไว้ในอ้อมกอด ระดมหอมแก้มซ้ายขวา เลยลงมาตามแนวซอกคอ ศศิประภาได้แต่ปัดป้องไปตามจริตหญิง จะผลักไสจริงๆ ก็หาไม่
     
    ห้องหนังสือเป็นห้องโล่ง ประตูเป็นบานเฟี้ยมเปิดพับได้โล่งตลอด แต่เพราะเดือนเดินมาจากด้านหลัง สองสามีภรรยาที่หยอกเย้ากันอย่างดื่มด่ำจึงยังไม่ทันได้สังเกตเห็น
     
    หัวใจของหญิงสาวปวดแปลบทุกครั้งที่เห็นภาพนั้น เพราะตนเองหลงรักสัตยาตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น แต่จะทำอะไรให้ออกนอนหน้าไปก็ไม่ได้ เพราะรู้ดีว่านายผู้หญิงมีแรงร้ายถึงแค่ไหน
     
    เดือนต้องกระแอมให้เสียง
     
    ศศิประภารีบผละจากสัตยาทันที ด้วยความกระดากอาย
     
    “เห็นมีจานสีหลงไปที่ห้องนอนอันหนึ่ง เดี๋ยวไปหยิบมาให้นะคะ”
     
    เพราะความเก้อเขิน จึงลืมที่จะใช้เดือนไปนำมันมาให้
     
    ที่เดือนตามขึ้นมา ก็เพื่อจะเสิร์ฟน้ำเก๊กฮวยร้อน ของโปรดของนายผู้ชาย
     
    “เดือนขอโทษค่ะที่เข้ามาขัดจังหวะ”
     
    “ไม่ได้ขัดจังหวะอะไรหรอกน่ะ ดีเสียอีก ที่ได้เห็นหน้าเดือน”
     
    สัตยาพูดเรื่อยๆ แม้จะระแคะระคายกว่าสาวน้อยผู้เป็นบ่าวมีใจให้กับตน แต่เขาก็ตั้งใจไว้แล้วว่า จะไม่ทำผิดพลาดซ้ำสองซ้ำสามอีกแล้ว
     
    “เหนื่อยไหมวันนี้ ขอบใจนะที่จัดห้องนี้ให้”
     
    แต่คนรับใช้ที่ซื่อสัตย์เพราะมีความรักความปรารถนาดีเป็นทุนนั้น หาได้ไม่ง่าย เขาจึงจำต้องผูกไว้ใจ ด้วยน้ำเสียงเมตตาเอื้ออาทร
     
    “เป็นคุณศิ...”
     
    “ผมรู้ อย่างศิน่ะหรือ แค่สั่งเป็นอย่างเดียว”
     
    พอเห็นสัตยายังไม่มีท่าจะรับถ้วยน้ำเก๊กฮวย เดือนก็รีบวาง แล้วเตรียมจะจัดกระดาษอีกหลายม้วนที่ยังกองอยู่บนโต๊ะทำงาน เพราะตอนหล่อนจัดไม่ทราบว่าควรวางพวกมันไว้ตรงไหน
     
    “เอารูปนี้ไปทิ้งเถอะ รกเปล่าๆ”
     
    เขาแค่พลิกดูแถวตัวเลขเล็กๆ ตรงมุมม้วนกระดาษ แล้วก็บอกเช่นนั้น
     
    เดือนขอคลี่ออกดู เป็นภาพช่อเอื้องสีเหลืองสด กลีบเล็กๆ ตลอดช่อยาวที่ทอดอ่อนช้อยนั่น ราวจะสั่นไหวได้ตามแรงลมเป่า
     
    “ถ้าคุณสัตยาจะทิ้ง เดือนขอไว้ได้ไหมคะ”
     
    “ชอบรึ เอาสิ ฉันให้”
     
    พอนายผู้ชายทำท่าจะหยิบจับ จัดตำแหน่งสิ่งของบนโต๊ะทำงานต่อไป เดือนจึงวางภาพวาดไว้เสียก่อน หันไปนำถ้วยเครื่องดื่มมาส่งให้อีกครั้ง
     
    “คุณสัตยาดื่มก่อนเถอะค่ะ ประเดี๋ยวจะชืดเสียรส”
     
    ชายหนุ่มส่งยิ้มให้หญิงสาว พร้อมกับรับมาเตรียมจะซดทันที
     
    “อุ๊ย! ยังร้อน ระวังนะคะ”
     
    เดือนรีบคว้า รู้ดีว่าเครื่องดื่มในถ้วย ยังร้อนกว่าอุณหภูมิที่สัมผัสได้ภายนอก
     
    น้ำร้อนในถ้วยจึงกระฉอกลวกมือ
     
    “อูยยยย!”
     
    ความร้อนทำให้ต้องสะบัด ถึงจะไม่บาดเจ็บมากมาย แต่ยังแสดงออกว่าเจ็บปวดถึงกับคราง
     
    สัตยารีบวางถ้วย รวบมือที่ปลายนิ้วเป็นรอยแดงจางๆ เป่าให้ด้วยความเป็นห่วง
     
    เป็นความปรานีที่เดือนสุขสมใจยิ่งนัก แต่ยังทำเขินอายก้มหน้างุด
     
    ไม่เห็นว่าศศิประภากำลังยืนเท้าสะเอวมองมาอย่างเดือดดาล!
     
     
     
    ****************************
     
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×