คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #5 : บทที่ ๔ มนต์คีตา
บทที่ ๔
คีตธรมองไปรอบห้องด้วยความพอใจ คาถาป้องกันที่เริ่มอีกครั้งหลังจากหญิงสาวรีบออกไป ขณะนี้ได้กลายเป็นข่ายใยโปร่งแสง ห้อมล้อมอาณาเขตชั่วคราวของตนเองไว้ได้อย่างแข็งแรง อีกทั้งยังเสกสิ่งที่จะอำนวยให้สุขสบายเพิ่มขึ้น เตียงเหลี่ยมถูกเปลี่ยนให้เป็นเตียงกลม มีมุมมนและนุ่มนิ่มเหมือนเบาะสำหรับทารก ทั้งหมอนหนุนหมอนกอดมีเพิ่มขึ้นอีกหลายใบ
ขาดแต่สระน้ำเล็กๆ สำหรับนอนแช่ให้ชื่นใจ ซึ่งก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะเขาไปแอบดู ‘ห้องน้ำ’ มาแล้ว และมันก็น่าอัศจรรย์ ที่เพียงขยับก้านโลหะเล็กๆ ตรงมุมหนึ่งของอ่างว่างเปล่า น้ำใสสะอาดก็หลั่งไหลออกมาไม่ขาดสาย ข้างๆ ก้านเหล็กนั่น มีแผงโลหะบางอย่าง มีทั้งปุ่มกดปุ่มหมุนประดับไว้ ซึ่งเขาลองจิ้มๆ หมุนๆ ดูเช่นกัน ผลก็คืออ่างน้ำที่เหมือนมีรูรั่วอยู่รอบด้าน กลับบันดาลให้สระน้ำเล็กๆ มีกำลังคลื่นเคลื่อนวกเวียนอย่างรุนแรง ยังไม่ได้ทดลองหรอกว่ามันจะเกิดอะไรขึ้นหากเอาตัวลงไปแช่ เพราะอยากจะจัดการในห้องของตนให้เสร็จเรียบร้อยเสียก่อน
แม้จะพอใจอยู่มากกับสภาพรอบห้องที่เห็น แต่ก็ยังรู้สึกอึดอัดกับกระแสพลังบางอย่าง ทั้งที่เป็นของบ้านหลังนี้เอง รวมทั้งที่เป็นของมหานครแห่งนี้ด้วย ที่คล้ายลามเลีย เข้ามาสัมผัสกับกำลังจิตของเขาอยู่ตลอดเวลา
ที่เชิงผาอัสกรรณนั้น แม้เหล่าผู้มีทิพยภาวะจะมากมาย แต่หากมิมีเหตุ หรือไม่คิดจะหาเหตุแก่กัน ก็จะอยู่กันอย่างปองสุข คือทุกผู้ทุกนามล้วนตั้งใจให้แห่งที่อยู่นั้นสงบและศานติ ผู้ใดมีหน้าที่ใด ก็กระทำไปตามนั้น ผู้ใดเคยผูกเวรกรรมกับใคร ก็ตามไปชดใช้ตอบแทนกันตามกรรม ไม่มีสิ่งอื่นหรือใครอื่นมาบงการ ให้ดำรงตนผิดแผกไปจากปกติภาวะนอกเหนือจากนั้น
เช่นเขา นักดนตรีแห่งวินธรเขตร ก็เพียงรับหน้าที่ท่องไปทั่วแดน บรรเลงเพลงให้เสนาะสรวง สรรค์สร้างทำนองคีตาให้บังเกิดโสตถิ คือความผาสุกสวัสดีแก่ปวงเทวา ณ เขตนั้น นั่นก็จัดว่าไม่เสียค่าที่ได้บังเกิดมา
ซึ่งในฐานะเช่นนั้น คนธรรพ์เช่นเขาก็ยินดี มีความสุขกับการคิดประดิดประดอยจังหวะทำนองต่างๆ ให้เพริศพริ้งพิสดารยิ่งๆ ขึ้น แต่กับในมนุษยภพแห่งนี้ ในโลกที่แตกต่างจากทางโน้นแทบทุกสิ่งทุกอย่าง เขายังไม่แน่ใจ ว่าชีวิตในภพภูมินี้จะต้องเริ่มดำเนินไปเช่นไร
เปิดกล่อง ตั้งใจจะหยิบเครื่องดนตรีประจำกายขึ้นมาหาที่ตั้งวางให้เหมาะเจาะ อดไม่ได้ที่จะลูบไปตามเนื้อไม้ นี่เขาหยุดบรรเลงนานเกินไปแล้วหรือไร หัวใจถึงโหยหาถึงเพียงนี้ การที่เขาสู้อุตส่าห์มาถึงที่นี่ จะแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นได้แน่หรือ...
ในที่สุด สายตาก็ไปหยุดที่หลังลับแลนั่นอีกครั้ง มันเป็นลับแลไม้หอม แกะเป็นลวดลายสายสอด เป็นเส้นพุ่งเส้นนอน บ้างโค้งบ้างคด บ้างหลบหยักเป็นเหลี่ยมเป็นมุม ซึ่งหากคีตธรรู้จักชื่อ ก็คงเอ่ยชมว่าตั้งชื่อได้สมนัก กับสองลายที่สลับรับกันไปมา ระหว่างประแจจีนกับแก้วชิงดวง
ที่ผ่านมาเพราะความละเอียดประณีตของการสลักเสลานั่น ทำให้หยุดสายตาอยู่เพียงแค่นั้น แต่คราวนี้เขาแลเลยไปด้านหลัง มันคือบานประตูที่แนบเนียน ถูกออกแบบให้กลืนไปกับทั้งผนังด้านนั้น
คีตธรลองเปิดออกไป แล้วก็พบกับชานร้านดอกไม้ คือชานที่แล่นออกไปเลยชายคา ตั้งประดับไว้ด้วยไม้กระถางหลากพันธุ์ บ้างหน้าตาเหมือนไม้ใหญ่ต้นโต แต่กลับแคระกระจิริด บ้างทรงต้นเหมือนสนใหญ่ แต่กลับสูงไม่ได้เกินกว่าสองศอก
ยังมีกระถางใหญ่ที่ตั้งกับพื้น ปลูกไม้ดอกขาวส่งกลิ่นหอมกำจาย กับที่สุดชานตรงระเบียง มีตั่งใหญ่ตั้งไว้โดดๆ มีร่มโบราณคันมโหฬารกางเอาไว้ ราวรอให้ใครสักคนมาลงนั่ง ชื่นชมกับอุทยานพฤกษาขนาดย่อมให้เย็นใจ
ก่อนจะก้าวออก เขาหันกลับไปหยิบหมอนมาใบหนึ่ง พอเดินถึงก็ลงนั่ง ใช้หมอนแบนนั้นรองแทนเบาะ ขาหนึ่งยังห้อยลงตามสบาย ขณะชักขาอีกข้างเหมือนจะขัดสมาธิ เป็นท่านั่งแบบเทวราชอาสน์ที่คุ้นเคย และเมื่อกระชับพิณเข้าประจำที่ ก็ราวกับว่าทั้งโลกจะตั้งใจฟัง
เพราะรอบข้างกลับสงบงัน เหลือเพียงเสียงน้ำตกจำลองจากด้านหน้าเรือน กับกลิ่นหอมอ่อนโยนของมวลดอกไม้ ที่แสดงว่าเขายังอยู่ในโลกนี้ ไม่ใช่วูบกลับไปยังแดนดินถิ่นเดิมของตน
ทำนองคีตานั้นเต้นเร่าขึ้นแล้วในห้วงคำนึง แต่ยังไม่กล้าบรรเลงออก ได้แต่ลูบพิณไปมา อย่างกล้าๆ กลัวๆ บทร้องนั้นก็ล้นปรี่ เป็นประกายพลุ่งพล่านวาบวาวอยู่ในทุกถ้อยคำ แรงบันดาลใจจากรูปโฉมของหญิงสาวนั่นเอง ที่ทำให้เขาอยากจะปลดปล่อยความอัดอั้นออกมาให้สุดพลัง
แต่ก็ยังกลัว ความแปรปรวนแห่งธาตุเจ้าเรือนจะบังเกิด และส่งผลไปถึงที่วินธรเขตร แค่ตอนนี้ที่นั่นก็คงยุ่งเหยิงอยู่มากแล้ว หากไม่ระวังหรือควบคุมคีตาแห่งตนให้ดี มีหรือ ณ ที่นั้นจะไม่ยิ่งเดือดร้อน
กับอีกเรื่องที่กลัวก็คือ ยังไม่มีอะไรการันตีได้เลยสักนิดว่า หากเขากับหล่อนได้ใกล้ชิด ร่วมรสร่วมรัก ร่วมอภิรมย์สมสนุก แลกเปลี่ยนบรมสุขแก่กันจนสิ้นแล้ว ข่ายพลังในแดนสรวงที่สับสนเพราะฝีมือตน จะได้รับการแก้ไขได้จริงๆ
และมันไม่ง่าย ถึงจะรู้ว่าการได้หญิงสาวมาเป็นคู่ชื่นชิดเชย จะสามารถคลี่คลายความยุ่งเหยิงนั้นได้จริง แต่เงื่อนไขที่จะได้มาก็ยังยาก เพราะความผูกพันของสองใจจะต้องมั่นคงตรงกัน ปิดผนึกความรักความเสน่หาไว้แค่สองคน ไม่คิดสอดส่ายชำเลืองแลใครอื่นอีกเลย
นั่นละสิ่งที่ยาก เขาจะไปรู้ใจหล่อนได้อย่างไร กระทั่งตัวเองยังมั่นใจไม่ได้ด้วยซ้ำ
ที่สำคัญคือหล่อนไม่ใช่ชาวแดนสรวง จะให้เข้าใจเรื่องการสมยอมกันง่ายๆ ได้อย่างไร อยู่ๆ จะบอกให้หล่อนลงนอนรองกายเขา เพื่อให้เทวาองค์อื่นได้อยู่อย่างปกติสุขอย่างนั้นน่ะรึ...
แค่ชั่วรอบพระจันทร์จร ข้ามดิถีเพ็ญ เวียนไปสู่ดิถีใหม่ คงไม่นานเลยถ้าเทียบกับการต้องใช้เวลาเกี้ยวพา โน้มน้าวให้หล่อนได้เข้าใจ และตอบสนองเขาอย่างเต็มอกเต็มใจ การบังคับหรือใช้กลอุบายใดๆ นั่นเป็นอันลืมไปได้เลย เพราะเงื่อนไขคือหล่อนจะต้องต้องการในตัวเขาพอๆ กับที่เขาต้องการในตัวหล่อน
ทั้งหมดที่มาถึงที่นี้ หากทุกอย่างสำเร็จลุล่วงด้วยดี เขาก็จะได้กลับไปเป็นนักดนตรีแห่งวินธรเขตรเช่นที่เคย ส่วนถ้าไม่สมประสงค์ เขาก็คงตกอยู่ในภาวะเหมือนตายทั้งเป็น ซ้ำยังจะเป็นการตายทั้งเป็นที่แสนทรมาน...
ก็อะไรเล่าจะทรมานนักดนตรีได้หนักหนาเท่า การถูกสั่งห้ามไม่ให้เล่นดนตรี!
แล้วแรงผลักดันที่อัดอั้นอยู่ในหัวใจก็เป็นฝ่ายชนะ คีตธรขยับเครื่องดนตรีประจำกายให้เข้าที่ กระชับปลายนิ้วที่ต้นสาย แล้วเริ่มดีดไล่เสียงเป็นจังหวะเบาๆ โดยยังมิได้เอื้อนเอ่ยเสียงขับขาน
ลองดูเฉพาะแค่เสียงดนตรีแค่นั้นจะเป็นอย่างไร เขาแบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งให้จับที่จี้ห้อยคอ หากมันมีปฏิกิริยา นั่นหมายความว่าในโลกโน้นก็เกิดผล การสำแดงเพลงพิณในที่นี้ จะยังส่งอานุภาพไปปรากฏเป็นความวุ่นวาย ณ เชิงผาอัสกรรณ
สำเนียงพิณไล่เสียงพลิ้วแผ่ว และ... ไม่มีอะไรผิดแปลกตามที่นึกกลัว ไม่ว่าจะทางโน้นหรือทางนี้ ที่ห่วงว่ากำลังของคีตาอาจรุนแรง จนทำให้พื้นชานของเรือนไม้ลุกเป็นไฟ หรือหมู่วิหคนกกาจะคลั่งเสียง จนหวีดร้องจิกตีกันเหมือนอย่างบรรดากรวิกปักษาสวรรค์
อุณาโลมที่ห้อยคอก็ไม่ได้ร้อนขึ้นอย่างที่วิตก แสดงว่าคีตดนตรีที่ถูกบรรเลงอยู่ตรงนี้ไม่ได้ส่งผลอันใดต่อวินธรเขตรแน่นอน
พอคลายใจ... จากเพียงเสียงดนตรีบรรเลง คีตธรก็เริ่มเอื้อนทำนองเพลงขับขาน...
“...โอ้เจ้าราศีเอย...
...ทรงศรี ฉวี วรวิลาส กลวาด วิมลเสมอ
...ใครยล ก็ดล จิตละเมอ มนถึง คะนึงศรี
...ในฟ้า จะหา อรสุรางค์ ดุจนาง ก็ห่อนมี
...ในดิน จะหา อรยุพี กลนุช ก็สุดหา
...ความงาม ณ สาม ภพเสนอ จะเสมอ บ่มีมา
...ทรามวัย ประไพ พรศุภา ผิวเห็น ก็เป็นบุญ...”
วสันตดิลกฉันท์*
และแล้ว...
อากาศเปล่าก็พราวไป... เป็นจุดแสงเล็กยิบปรายโปรยอยู่รอบกาย...
พอละอองหนึ่งตกต้องผิว ก็เจ็บจี๊ดเหมือนเข็มแทง พลันเดียวกัน อุณาโลมที่คล้องศอ ก็ร้อนวูบเหมือนเหล็กหลอม
คีตธรชะงักเสียง แม้ปลายนิ้วจะยังไม่หยุดเกลากรีดดีดสาย แต่ความผิดประหลาดทั้งหลายก็พลันดับ คล้ายไม่เคยเกิดละอองแสงใด ไม่มีสิ่งไรกระทบผิว จี้ห้อยก็ราวไม่เคยร้อนเหมือนจะหลอมเนื้อ อย่างในวินาทีก่อนหน้า
แล้วเขาก็หยุดมือ ระบายลมหายใจอย่างแรง บอกไม่ถูกว่าตนรู้สึกอย่างไร น้อยใจ เสียใจ เคืองแค้นหรือขัดใจ
มันมากกว่าที่คิด สัญญาณเตือนแค่จี้ที่คล้องก็น่าจะเพียงพอ แต่นี่... กระทั่งอากาศเปล่าก็ย้ำชัด ผลร้ายที่เกิดขึ้นในหิมวันต์ ณ วินธรเขตรนั้นจะยิ่งแรงร้ายกว่าแค่ละอองสะเก็ดไฟ ณ ที่นี้ เป็นแสนเท่าทวีคูณ
“ต้องแก้ไขแน่ๆ สินะ! แล้วจะทันไหมล่ะ กับแค่รอบเพ็ญเดียว!”
สารพัดสิ่งที่ต้องผจญ ทำให้ราศีรู้สึกได้ว่าตนเองหงุดหงิดมากกว่าปกติ ตั้งแต่เมื่อวานนั่นแล้ว ที่ไม่รู้ว่าจะต้องซวยซับซวยซ้อนไปถึงไหน
เรื่องนายเพี้ยนนั่น แค่ต่างคนต่างอยู่ก็น่าจะหมดเรื่องไปได้หรอก แต่ภารกิจสำคัญของคุณนารท นายจ้างจอมบงการนั่นซี ที่กระทั่งแสงริบหรี่ยังมองไม่เห็น
หล่อนไม่หวังหรอกว่าจะสืบหาร่องรอยเขาได้ด้วยการโทร.หาคนไม่กี่คน และก็เป็นไปตามนั้น คือไม่ได้ความคืบหน้าอะไรเลย ไม่มีใครเคยพบเห็นนายภาคินอีกเลย นับตั้งแต่ภรรยาของเขา ซึ่งก็คือมารดาของหล่อนเองนี่ละ อยู่ๆ ก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งขณะกำลังแสดงคอนเสิร์ตอยู่ที่อารีน่าฮอลล์
แล้วนายภาคินก็หายไปเข้ากลีบเมฆไปอย่างเงียบเชียบ ปล่อยให้หล่อนงมหาสาเหตุของเรื่องราวที่เกิดขึ้นตลอดมา ตั้งแต่เหตุการณ์บนเวทีคราวนั้น จนถึงวันที่ผู้เป็นแม่ของหล่อนยังต้องรักษาตัวอยู่จนถึงทุกวันนี้
“ถ้าติดต่อได้ บอกเขาด้วยนะครับว่าเรายังรอเสมอ จะหอบโปรเจคมา หรือมารับงานเราไปทำก็ได้ทั้งนั้น”
พวกนั้นต่างพากันสรุปบทสนทนากับหล่อนด้วยทำนองนี้ แต่ไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะในเรื่องการปั้นคน จากดินให้เป็นดาว นายภาคินถือเป็นปรากฏการณ์ของวงการบันเทิง
ไม่ใช่แค่ได้แต่งงานกับดาราสาวพราวเสน่ห์ที่จบจากวิทยาลัยนาฏศิลป์ แต่ยังส่งเสริมให้เธอผู้นั้นเด่นดังในขั้วที่แตกต่าง กลายเป็นร็อกเกอร์สาวเสียงทรงพลัง ที่มียอดขายในเนื้อเพลงสากลโด่งดังไปทั่วโลก อีกทั้งยังไม่ใช่เป็นชื่อเสียงแค่ข้ามคืน เพราะ RiZa หรือริศา วงษ์ราพณ์ มารดาของราศี เดินสายทัวร์คอนเสิร์ตรอบโลกอยู่อีกร่วมสิบปี จนแม้ในพักหลัง แฟนเพลงชาวไทยจะติดตามผลงานน้อยลง แต่บรรดาผู้อำนวยการสร้างทั้งหลายต่างหมายมั่น ว่านั่นคือตัวอย่างฝีมือของนายภาคิน ที่พิสูจน์ให้เห็นได้ด้วยตา
มีสองสามคนที่ถามหาเหตุผลว่า ทำไมถึงต้องตามหาพ่อเลี้ยง เพราะความบาดหมางขั้นรุนแรงระหว่างหล่อนกับเขา เป็นเรื่องที่คนวงในย่อมรู้ดี ซ้ำบางคนยังทำทีเป็นห่วงไปถึงผู้เป็นมารดา ว่าถ้าหากหายดีแล้วก็พร้อมจะชวนกลับไปร่วมงาน...
แล้วระหว่างที่ผ่านมานี้ล่ะ... ทำไมหล่อนจะไม่รู้ พวกนั้นแค่ต้องการข่าวของร็อกเกอร์สาวแก่ ตกอับและต้องรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลบ้า เอาไปเป็นข่าวคั่นเวลาเท่านั้นละ!
โทรศัพท์ที่ถูกทิ้งให้หญิงสาวนั่งจ้องมันนิ่งๆ อยู่หลายนาที ส่งเสียงดังขึ้นอีกครั้ง เป็นเสียงที่หล่อนจำได้ทันที และยิ่งเพิ่มความสะอิดสะเอียนที่มีต่อคนโทร.เข้ามาอีกมากมาย
แฟนเก่า... ที่เคยเข้ามาพัวพัน คบหาและทำท่าจะไปกันได้ดี หากไม่รู้เสียก่อนว่าเขาแค่ต้องการใช้หล่อนเป็นสะพาน ข้ามไปถึงชื่อเสียงที่นายภาคินจะสามารถบันดาลให้ได้
เขาโทร.มาเป็นห่วง นัดกินข้าวเย็นในร้านสุดหรูบนยอดตึกระฟ้า หากจะได้คุยกันเรื่องของเดอะริซ่าและนายภาคิน ซึ่งราศีตอบคำชวนนั่นด้วยการตัดสายทิ้ง สบถสาปส่งอยู่ในใจอีกหลายคำกับผู้ชายพรรค์นี้
ที่จริง ถ้าตอนนั้น เขาเข้ามาบอกตรงๆ ว่าอยากเข้าถึงพ่อเลี้ยงของหล่อน เรื่องราวคงไม่ต้องลงเอยให้เกลียดกันขนาดนี้ ก็เรื่องการใช้เส้นสายกับวงการบันเทิงมันแยกกันไม่ออกอยู่แล้ว
รายชื่อคนที่น่าจะโทร.หาเพื่อสืบข่าว ถูกไล่เรียงมาตั้งแต่ช่วงสาย จนเกือบจะหมดที่ลิสต์ไว้ในสมุด เหลืออยู่ไม่กี่คน ก็เป็นคนที่จะต้องดั้นด้นไปหา ซึ่งต้องชั่งใจไม่น้อยว่า จะคุ้มค่าหรือไม่
เสียงท้องร้องของตัวเองปลุกให้ราศีรู้ว่าเลยเวลามื้อกลางวันมานานแล้ว และทำให้นึกขึ้นได้ว่า สัญญากับนายนั่นเอาไว้ เรื่องจะเตรียมมื้อกลางวัน “ง่ายๆ” ให้เขารับประทาน
เพราะมัวง่วนอยู่กับการโทร.หาคนนั้นคนนี้ จึงไม่ทันสนใจเสียงดนตรีที่ลอยตามลม ไม่ใส่ใจกับเสียงร้องเป็นทำนองหนักๆ เบาๆ ที่ฟังแทบไม่เข้าใจ และไม่ไยดีแม้กระทั่งละอองแสงยิบๆ ที่หล่อนคิดว่าแค่สายตาพร่าไปชั่วคราว จากการจ้องหน้าจอของโทรศัพท์เครื่องเล็กๆ นานเกินไป
แต่พอความคิดกลับมาสู่สิ่งรอบกาย ก็เหมือนนึกขึ้นได้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมด อยู่ๆความอยากรู้อยากเห็นก็เกิดขึ้น ในบ้านตอนนี้มีแค่หล่อนกับเขา เสียงเพลง เสียงดนตรี กับละอองแสงประหลาดเมื่อครู่ ก็น่าจะเกิดจากนายนั่น
ไม่รู้ทำไมต้องค่อยย่องไปหน้าประตู แต่หล่อนก็ทำอย่างนั้น ตั้งใจว่าจะแค่โผล่หน้า เรียกให้เขามากินมื้อเที่ยง ทว่าพอจะผลักบานประตูเข้าไปก็ต้องชะงักนิดหนึ่ง กับกลิ่นหอมอ่อนๆ ที่ลอยมากระทบจมูก เป็นกลิ่นชวนชื่นใจ จำพวกเปลือกมะนาวกับผิวส้ม และเครื่องเทศอีกบางชนิดที่หล่อนโปรดปราน
ทว่าพอจะทาบฝ่ามือผลักบานประตูเข้าไปจริงๆ ก็ต้องกระตุกวูบ เหมือนมีกระแสไฟอ่อนๆ ดีดฝ่ามือให้ออกห่าง กระแสไฟที่รู้สึกได้นั้น ยังส่งอาการชามาจนถึงข้อศอก
ราศีจ้องมองดูบานประตูไม้ธรรมดาๆ ตรงหน้าอย่างไม่อยากจะเชื่อความคิดตัวเอง
ใครจะบ้าถึงขั้นต่อไฟฟ้าไว้ที่ประตู เอาไว้ช็อตพวกที่จะล่วงล้ำเข้าไปอย่างนั้นรึ!
แต่หล่อนก็ไม่คิดจะผลักประตูเข้าไปอีก เปลี่ยนเป็นแค่เคาะเรียกเบาๆ
“ออกมากินมื้อเที่ยงกันเถอะค่ะ”
“......”
ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ
ลองเคาะอีกครั้ง แล้วก็ยังเงียบ...
แขกของคุณป้ามณฑา เขาอาจไปอยู่ที่ชานด้านหลังกระมัง ราศีจึงเดินอ้อมห้องไปอีกด้าน คิดจะอ้อมมุมระเบียงไปเรียก แต่คราวนี้กลับรู้สึกเหมือนถูกมนตร์สะกด
เสียงดนตรีนั่นเหมือนมีเวทย์มนตร์ ทั้งทรงพลังและชวนให้หวั่นไหวไปพร้อมกัน
ราศีโตมากับครอบครัวนักดนตรี คุณริศาผู้เป็นมารดาจบวิทยาลัยนาฏศิลป์สาขาการขับร้องเพลงไทย ทั้งยังบรรเลงเครื่องสายได้อย่างล้ำเลิศ แม้ตัวหล่อนเองจะร้องเพลงไม่เป็น แต่เสียงที่ได้ยินก็บอกได้ว่า ใครคือผู้ที่มีพรสวรรค์ทางด้านนี้
และหล่อนก็ไม่เคยได้ฟังเสียงดนตรีและเสียงร้องที่ไพเราะจับใจขนาดนี้มาก่อน
ในเสียงร้อง หลายเสียงคล้ายจะจับได้เป็นคำไทย แต่เสียงสูงต่ำขึ้นลง พลิ้วระรัวของการเอื้อนเป็นทำนองแปลกประหลาด ทำให้ไม่แน่ใจว่าเป็นบทเพลงภาษาไทย หล่อนอาจเคยได้ยินหรือไม่เคยได้ยินมาก่อน ก็ยังบอกกับตัวเองไม่ได้
แต่ก็ยังเข้าใจได้ เข้าใจความหมาย เข้าใจความรู้สึกที่สอดผสานอยู่ในบทเพลง
ผมสีดำยาวลุ่ยรายลงมาปกปิดใบหน้ากว่าครึ่งของคีตธรเอาไว้ เหมือนกับนาทีแรกที่ได้พบกัน เขาไม่ได้หันมองมา ยังคงก้มหน้าบรรเลงพิณราวกับในโลกนี้ไม่มีสิ่งอื่นใด สำคัญเท่ากับการได้ดื่มด่ำกับทำนองดนตรีของตนอีกแล้ว
ราศีรู้สึกได้ถึงเรื่องราวที่ดำเนินไปในเสียงเพลง คนรักที่มีอันจะต้องพลัดพราก แต่ยังคงเฝ้าคอยและห่วงหา แทบจะรู้สึกถึงยามย่ำสนธยากาลที่ทั้งสองพร่ำคำรักคำอำลา แทบจะได้กลิ่นหอมจากเรือนกายของหญิงสาว ที่ฝ่ายชายซบลงสูดเก็บมันไว้ในความทรงจำ แทบจะรู้สึกได้ถึงสัมผัสแนบแน่น ยามที่สองเรือนกายกอดกระชับรัดกุม
หล่อนรับรู้ได้ถึงค่ำคืนอันยาวนาน กระทั่งทิวาวารอันเดียวดาย... จากวัน เป็นเดือน เป็นปี เป็นนานกว่านั้น ที่วันคืนอันเหน็บหนาวว่างเปล่าจะพัดผ่าน โดยมิอาจพรากเอาความรักความคิดถึง ให้ปลิดปลิวไปจากหัวใจทั้งสองดวง
น้ำตาหล่อนไหลลงเปียกแก้ม และได้แต่ปล่อยให้มันไหลลงมา เพราะความรู้สึกราวกับถูกสะกดยังคงอยู่อย่างเต็มเปี่ยม
น้ำตาคงทำให้แสงสีตรงหน้าพร่าพราย ละอองประกายเล็กยิบวูบวับอยู่ทั้งบริเวณ แล้วเสียงเปรี๊ยะๆ คล้ายเสียงกิ่งไม้ปะทุไฟก็ดังขึ้น...
พลันนั้นเองที่ทุกอย่างก็ดับวับ แสงสีพร่างพรายมลายเลือน เสียงเสนาะราวเทพคีตาชะลอองค์ลงมาบรรเลงพิณชะงักไป ราศีมารู้ตัวอีกครั้ง ร่างของตนก็อยู่ห่างจากคีตธรไม่ไกลเกินสองสามก้าว
ชายหนุ่มยังนั่งนิ่ง ดวงหน้าที่ส่วนใหญ่ถูกซ่อนไว้ในเรือนผม ยังก้มมองเครื่องดนตรีในมือตนแน่วนิ่ง ถ้อยคำที่ราศีตั้งใจจะเอ่ยชื่นชมถูกกลืนหายไปกับภาพความหม่นหมองตรงหน้า
แน่นอนว่าเขามีพรสวรรค์ หรืออาจจะมากกว่านั้น แต่หากสิ่งที่เขาได้ทำ กลับทำให้ต้องทุกข์ทรมาน แล้วมันจะมีประโยชน์อะไร
แม้ราศีจะไม่ได้เห็นดวงหน้านั้นได้ชัดๆ แต่ความงามสง่าและทรงเสน่ห์ในบัดนี้ แลดูแห้งแล้งเต็มที ภาษากายที่เคยโอ่อ่าผ่าเผย ออกแนวเย่อหยิ่งทะนงตน บัดนี้ถูกครอบไว้ด้วยแววแห่งความหมองหม่น และสิ้นหวัง ปลายมือที่กดเกร็งอยู่กับสายพิณ แสดงถึงร่องรอยของความโกรธแค้น... เขากำลังแค้นใจกับอะไรเล่า...
หล่อนแตะที่ไหล่ของคีตธรเบาๆ นึกสงสารขึ้นมาจับใจ แม้จะไม่รู้ว่าอะไรทำให้เขาเป็นทุกข์ได้ถึงขนาดนี้
ชายหนุ่มยังนิ่ง จนหล่อนต้องออกแรงกดเบาๆ พร้อมค่อยส่งเสียง
“คุณคีตธร ทานมื้อเที่ยงกันค่ะ...”
“คุณไปก่อนเถอะ”
คำตอบนี้ทำให้ราศีไม่แน่ใจ เขาอาจยังต้องการเวลาส่วนตัว เพื่อคลี่คลายความเจ็บปวดที่ขนาดหล่อนยังรู้สึกได้ แต่ก็เคยเห็นมามากมาย เวลาผู้คนตกอยู่ในอารมณ์เช่นนี้ การได้มีเพื่อนย่อมดีกว่าต้องจมอยู่กับความทุกข์โศกเพียงลำพัง
หญิงสาวตัดสินใจลงนั่งเคียง โดยเขามิได้มีปฏิกิริยาอื่นใด นอกจากยังนิ่งอยู่ในท่าเดิม
“คุณคีตธร เพลงของคุณ เสียงของคุณ ฉันไม่เคยได้ยินอะไรที่ไพเราะเท่านี้มาก่อนเลยในชีวิต...”
“แน่นอน... คุณย่อมไม่เคยได้ยินได้ฟัง”
ไหมล่ะ... เขาก็ยังเป็นเขา แต่ราศีก็ทำเป็นไม่ใส่ใจกับความหยิ่งทะนงนั่น
“นั่นก็จริง แต่ฉันก็โตมากับคนที่มีพรสวรรค์ ฉันพูดอย่างที่รู้สึก ไม่ได้คิดจะเยินยออะไรคุณ แล้ว... ฝีมือขนาดนี้ คุณเปิดการแสดงที่โน่นด้วยหรือเปล่าคะ”
ราศีพยายามจะพาเขาออกจากความหม่นหมองตรงนี้
“ใช่...”
คำตอบห้วน สั้นจนหล่อนแทบอยากจะล้มเลิกความตั้งใจ
“เถอะค่ะ อย่ายอมแพ้ กับอะไรก็ตามที่ทำให้ความสุขของคุณต้องสูญหาย อย่าหยุดร้องเพลงหรือเล่นดนตรีของคุณ...”
พลางเลื่อนมือไปแตะที่ต้นแขนเขา
“ฉันว่าคุณมีมากกว่าพรสวรรค์ และนั่นก็หมายถึง มันจะไม่มีค่าอะไรเลย ถ้าผู้คนไม่มีโอกาสได้ร่วมชื่นชมมัน”
ชายหนุ่มนิ่งเงียบไปอีกครู่ใหญ่ กว่าที่เขาจะเลื่อนมือหนานุ่มมากุมมือหล่อนเอาไว้ เงยหน้าขึ้นมาสบตา นัยน์ตาสีดำจัดเจือสีน้ำเงินวาว เหมือนมีมนตร์สะกดทำให้ไม่อาจละสายตาหลบเลี่ยง ยอมให้เขาแทรกนิ้วเข้าระหว่างนิ้ว กุมกระชับแล้วยกขึ้นจุมพิตแผ่วเบา
“ราศี คราวหน้าเมื่อผมจะร้องเพลง จะเป็นบทเพลงเพื่อคุณเท่านั้น สิ่งที่คุณเรียกว่าพรสวรรค์จะไม่ใช่เพียงแค่สำหรับผม กระทั่งคุณ ยามเมื่อเราร้องเพลงด้วยกัน...”
“ฉันร้องเพลงไม่เป็น...” หล่อนรีบขัดคำ “...ฟังได้ค่ะ แต่ก็แค่ฟัง”
อยากจะดึงมือออกจากมืออุ่นของเขา แต่ก็กลับให้เขากุมเฉยอยู่
“หรือ... อย่างนั้นเราก็จับระบำ... เอิ่มมม์... เต้นรำด้วยกัน...”
เขากลับมาเป็นคนเดิมได้แน่แล้ว เพราะวี่แววพราวเสน่ห์กลับมาเต็มเปี่ยม ราศีวัดได้จากอาการเต้นระรัวของหัวใจตน มันตึกตักตึงตังจนกลัวว่าคนตรงหน้าจะได้ยิน
อีกทั้งจินตนาการเจ้ากรรมก็ทำพิษ เพราะคำ “เต้นรำ” มันไม่ได้เป็นเพียงแค่นั้น ในท่ามกลางความเร่าร้อนของท่วงที ราศีนึกไปไกลกว่านั้นมากนัก
“คือ... ไปทานมื้อกลางวันเถอะค่ะ ถ้า... ถ้าคุณหิวน่ะนะ”
แล้วหล่อนก็ค่อยๆ รูดมือของตนเองให้เป็นอิสระจากการเกาะกุม
เขายอมปล่อยแต่โดยดี
“ผมเก็บพิณแล้วจะตามไป”
มื้อเลยเที่ยงง่ายๆ ที่ราศีสัญญาว่าจะเตรียมให้เขารับประทาน ถูกลำเลียงออกมาวางบนเคาน์เตอร์ หลายอย่างที่มีอยู่ในตู้เย็น ราวกับคุณป้ามณฑารู้ว่าเขามีรสนิยมในการรับประทานเป็นอย่างไร
ขนมปังธัญพืช กับแยมสารพัดรส เนยก้อนทั้งจืดและเค็ม ผักกาดแก้ว มะเขือเทศ ฯลฯ
“จะทำแซนวิชผักสดกับชีส หรือแค่ขนมปังทาเนยดีล่ะ”
หล่อนพึมพำกับตัวเอง...
“มีน้ำผึ้งด้วย แค่ขนมปังราดน้ำผึ้งก็พอ”
เสียงเบาๆ เอ่ยขึ้นพร้อมกับรู้สึกถึงลมหายใจแผ่วที่เป่ารดลำคอ
ราศีกระตุกตัววูบ กลับหลังหันทันที พร้อมกับมีดปลายแหลมในมือที่ตวัดตาม
มีดหลุดมือ! เห็นชัดๆ ว่ามันพุ่งไปที่เขา!
แต่แล้วก็ร่วงผล็อยลงต่อหน้า... เขาคงปัดมันลงได้แบบ... เร็วจนหล่อนมองไม่ทันกระมัง
“ขอโทษค่ะ... ฉันไม่ได้ตั้งใจ คุณไม่เป็นไรนะ”
“ผมไม่เป็นไร” เขาส่งยิ้มแบบนั้นมาอีกแล้ว “ขอบคุณที่เป็นห่วง”
คีตธรขยับเข้าใกล้ ใกล้จนหญิงสาวรู้สึกถึงลมหายใจอุ่นๆ และได้กลิ่นหอมคล้ายสมุนไพรผสมกับเครื่องเทศบางชนิด เป็นกลิ่นน้ำหอมที่บอกไม่ถูกเหมือนกันว่า เหตุไรมันจึงปลุกเร้าแรงปรารถนาให้เกิดขึ้นมากมายได้ถึงขนาดนี้
เสื้อคอกว้าง เผยให้เห็นไรขนสีอ่อนบนแผงอกกำยำ สร้อยคอเป็นด้ายทองเส้นละเอียดถักเป็นเชือกทองเส้นเล็ก คล้องไว้ด้วยรูปอุณาโลมอันคุ้นตา ผมยาวถูกรวบไปด้านหลัง เน้นให้ดวงหน้านั้นยิ่งโดดเด่นสะกดสายตายิ่งขึ้น
ราศีต้องปรับลมหายใจด้วยการหายใจเข้าลึกๆ ระบายลมหายใจออกยาวๆ ข่มความปรารถนาที่ผุดขึ้นภายในอย่างเร่าร้อน ขณะที่สายตายังเฉียดผ่านส่วนสำคัญตอนก้มลงเก็บมีด
“ยังโชคดีนะคะเนี่ย คุณทำให้ฉันตกใจ อยู่ๆ ก็เดินมาถึงตัวขนาดนี้”
“ปกติพวกเราก็เคลื่อนไหวกันอย่างนี้...”
เขายิ้มให้อีกรอบ ก่อนจะยอมถอยกลับไปนั่งรอบนเก้าอี้กลมตัวสูงแบบไม่มีพนัก
“ผมเพิ่งรู้ว่าหิว”
“ถ้าแค่ขนมปังราดน้ำผึ้งก็จัดการเองได้เลยนะคะ”
ราศีพูดพร้อมกับเลื่อนกระปุกน้ำผึ้งและขนมปังแผ่นที่เจียนขอบแล้วให้เขา
“พวกเจ้าเหมียวกวนคุณหรือเปล่าคะ”
คนถามหาเรื่องชวนคุย เพื่อที่ตนจะได้เลิกคิดวนเวียนฟุ้งซ่าน
“มีตัวหนึ่งขึ้นไปอยู่บนที่นอน ตัวขาวๆ ดำๆ”
“เจ้าแต้ม... หรือว่ามันยังอยู่ในนั้น เจ้าพวกนี้ ถ้าถูกขังมันจะข่วนกระจายเลยนะคะ”
แล้วหล่อนก็วางมือจากการฝานมะเขือเทศ โผไปทางประตู ตั้งใจจะรีบไปเอาตัวมันออกมา
“คุณเข้าไปไม่ได้หรอกถ้าผมไม่อนุญาต”
เสียงเตือนของเขาทำให้ต้องชะงักเท้า
“กลับมาเถอะ”
แต่ถ้ามันทำห้องนั้นกระจุยกระจาย ในฐานะคนที่อาสามาอยู่ดูแลบ้านให้ หรือจะพูดอีกอย่าง คนที่ได้มาอยู่บ้านเขาฟรีๆ อย่างหล่อน คงต้องรู้สึกผิดมากมายแน่ๆ
ราศีจึงพยายามก้าวต่อไป แต่กลับรู้สึกเหมือนกำลังลุยอยู่ในปลักโคลน สองขาหนักจนแทบยกไม่ขึ้น ทว่าพอหันกลับ เท้ากลับเบาจนหน้าแทบคะมำ ความกลัวแล่นขึ้นมาจับหัวใจ บอกไม่ได้ว่ากลัวอะไร จนต้องนึกให้กำลังใจตัวเอง
“เพราะเราไม่อยากเข้าไปละลาบละล้วงในห้องเขาน่ะสิ ไม่ใช่เวทย์มนตร์คาถาอะไรหรอก”
แล้วก็ตัดใจ กลับมาประจำที่ แต่ยังอดถามชายหนุ่มตรงหน้าไม่ได้
“ในห้องคุณ เหมือนจะยุ่งๆ เตรียมแผนการจะทำอะไรหรือไปไหนหรือเปล่าคะ ถ้าเรื่องพาเที่ยว คุณป้าบอกไว้แล้ว ให้ฉันช่วยดูแล”
“คุณพูดถึงในห้อง แล้วก็พูดถึงไปเที่ยว...” เสียงเขาไม่เหมือนจะจับผิด แต่ก็ทำให้หล่อนรู้สึกเก้อได้ไม่น้อย “...แล้วผมจะบอก เราเริ่มมื้อเที่ยงกันเถอะ ผมว่าคุณก็หิว เราจะได้คุยกัน”
ราศียังไม่วายหันไปทางห้องของเขาอีกครั้ง สัญชาตญาณบอกว่าต้องมีเรื่องไม่ชอบมาพากล แทบไม่รู้รสของขนมปังอย่างดีกับผักสลัดสดกรอบ จากแซนวิชที่กำลังรับประทาน
เมื่อหันกลับมาแล้วเห็นเขายังมองอยู่ จึงเอ่ยถามอีกครั้ง
“คุย... เรื่องอะไรคะ”
“ผมอยากฟังคุณคุย เรื่องอะไรก็ได้ ความเชื่อ ความคิด ความกลัว หรือความต้องการ อะไรก็ได้”
‘ความต้องการ’ กลับเป็นคำคำเดียวที่ผ่านเข้ามาในหัว บวกกับสิ่งที่ได้รู้สึก ได้เห็นอยู่ต่อหน้า ทั้งหมดนี่ละที่เร้าให้หล่อนต้องการ รอยจุมพิตที่ยังไม่จางจากหลังมือ มันเข้าไปฝังลึกและลามเลยไปทั่วร่าง ราวกับเขาระดมจูบไปตลอดทั้งแผ่นผิว จนเนื้ออ่อนระริกขึ้นเพราะความรัญจวน
และจากนั้น... จากนั้น และจากนั้น จากแค่รอยจุมพิตที่หลังมือ กลับทำให้หล่อนเผลอตัว ค่อยโน้นใบหน้าเข้าใกล้ริมฝีปากที่ยิ้มรอ กับดวงตาคู่สวยที่เชิญชวน และพร้อมจะมอบสิ่งที่จิตสำนึกส่วนลึกของหล่อนกำลังต้องการอย่างล้นเหลือ
อยู่ๆ เสียงเรียกเข้าเป็นทำนองโศกเศร้าก็ดังขึ้น ราศีต้องรีบตะครุบกดรับ ก่อนที่เสียงสูงๆ ของคุณเจนิเฟอร์จะแผดขึ้นในท่อนฮุคของเพลงคนเจ้าน้ำตา
บรรยากาศที่กำลังเข้าด้ายเข้าเข็มถูกทำลายลงกะทันหัน จนคีตธรหรี่ตามองเจ้าโทรศัพท์เครื่องเล็กอย่างเคืองๆ
“เสียงมือถือน่ะค่ะ มีคนโทร.เข้ามา คือ... ถ้าคุณไม่รู้ว่าเรามีสัญญาณเตือนไฟไหม้ไว้ทำไม เรื่องมือถือนี่คุณก็ไม่น่าจะรู้...”
ไม่รู้หรอกว่าทำไมถึงต้องพูดออกมาอย่างนั้น ก่อนที่จะเริ่มรับสายอย่างเป็นการเป็นงาน เพราะจำไม่ได้แล้วว่าโทร.ไปฝากข้อความกับใครไว้บ้าง
“ราศี ทักษิณาวรรณ ค่ะ”
แล้วก็จำได้ว่าเป็นเสียงของสุนทร นักค้าของเก่าที่เปิดร้านอยู่ใกล้ศูนย์การค้าย่านงามวงศ์วาน
“ไม่จ๊ะ ไม่ได้ข่าวเลย เป็นชาติแล้วละมั้ง”
เขาตอบคำถามที่หล่อนฝากไว้ในวอยซ์เมล์ ก่อนจะตามมาด้วยคำถาม
“แม่เธอเป็นไงบ้าง”
“ก็เหมือนเดิม”
ได้ยินเสียงถอนหายใจของฝ่ายนั้น ขณะหล่อนรีบกัดแซนวิชอีกคำหนึ่ง
“เชื่อไหมราศี การที่ได้เห็นแม่ของเธอขึ้นเวทีอีกครั้ง มันคือความใฝ่ฝันของฉันเลยนะ อยากให้หายเร็วๆ จัง”
“เราก็หวังอย่างนั้นทุกคน แต่เธอนึกออกบ้างไหมว่า ถ้านายภาคินเขาไม่ติดต่อใครเลย แล้วเขาจะไปอยู่ที่ไหน... ได้บ้าง...”
ปลายสายเงียบไปอีกครู่
“นึกไม่ออก... เอ๊ะ! เดี๋ยวนะ ลืมไปแล้วนะเนี่ย ตอนก่อนที่จะเกิดเรื่อง เขาให้ฉันหาของบางอย่างไว้ให้ นี่จะเป็นปีแล้วสินะ นานจนลืมไปแล้ว มันอยู่ในกล่องบนชั้นข้างหลังเคาน์เตอร์นี่เอง หรือเธอจะมาดู เผื่อจะนึกอะไรได้บ้าง”
ราศีระบายลมหายใจยาว ในที่สุดก็ได้เบาะแสของเขาเสียที
“ดีสิ ฉันจะรีบไป”
“ไม่ต้องรีบหรอก เราเปิดร้านตอนห้าโมงเย็นจนโน่น... ตีสอง จำไม่ได้หรือไงล่ะ”
เสียงจากเจ้าของร้านขายของเก่าเตือนเบาๆ
ร้านขายของเก่าคู่อยู่กับความไม่ชอบมาพากลอยู่แล้ว ทั้งการสั่งซื้อสั่งหา การได้มาหรือการปล่อยไป เวลาที่เปิดร้านจึงไม่เหมือนชาวบ้าน ยิ่งร้านของสุนทร ที่หาของที่ลูกค้าต้องการได้สารพัด ไม่แน่หรอกว่าในอนาคตลูกค้าอาจต้องนัดเจอกันล่วงหน้าในที่ลับหูตาผู้คนมากกว่านี้ก็เป็นได้
“ถ้าอย่างนั้นเราเจอกันตอนเย็นๆ ก็ได้”
แล้วหล่อนก็วางสาย เลื่อนสายตาไปทางสมุดรายชื่ออีกครั้ง ยังมีอีกชื่อที่เหลืออยู่ท้ายรายการ นักจิตบำบัดที่นายภาคินติดต่อคบหาอยู่ด้วย จำได้ว่าเคยเห็นเขาบ้างที่หลังเวที จึงลองโทร.ไปตามหมายเลขที่ให้ไว้
เป็นเสียงจากเครื่องตอบรับอัตโนมัติเช่นเคย บอกว่าเขาจะอยู่ที่คลินิกถึงแค่ห้าโมงเย็น และต้องนัดล่วงหน้าเท่านั้น ราศีจึงรีบฝากข้อความ ให้เขาอยู่รอ หล่อนจะไปพบเขาก่อนเวลาเลิกงาน
พอวางโทรศัพท์จากสายนี้ ก็เหลือบไปมองนาฬิกา... ได้เวลาออกภาคสนามแล้วสินะเรา
หญิงสาวคิดในใจว่าถึงเวลาแล้ว ที่จะต้องอยู่ห่างจากเขาแบบจริงจัง หาทางกลับมาอยู่กับตัวเอง แบบที่ปราศจากสายตาของเขาคอยจับจ้องอย่างมาดหมาย
ที่สำคัญคือ เพื่อที่หล่อนจะได้ทบทวนความรู้สึกและฝึกกำกับความหนักแน่น
ไม่ให้เผลอตัว เป็นฝ่ายกระโจนเข้าขย้ำ แผงอกกว้างและชวนเคลิ้มนั่นเสียเอง...
**********************
*พระนลคำฉันท์ : กรมหมื่นพิทยาลงกรณ์ (น.ม.ส.)
ความคิดเห็น