คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #4 : บทที่ ๔ บุพเพอาละวาด
บทที่ ๓
เรือนไทยสุดซอย ที่จริงไม่คับแคบนัก ตัวเรือนตั้งอยู่ท่ามกลางแมกไม้ที่ปลูกไว้ตั้งแต่เนิ่นนาน มีลานเล็กๆ ปูด้วยอิฐมอญติดต่อไปจนถึงซุ้มศาลาตรงแนวรั้วหน้าบ้าน ซึ่งบัดนี้ตีไม้เป็นแผ่นๆ ขวางกั้นเอาไว้ เหลือให้เปิดได้เพียงแค่ช่องประตูพอดีคน
บ่อยครั้งเมื่อผู้ไม่คุ้นเคยเส้นทาง หลงลึกเข้ามา ก็เห็นเป็นแค่รั้วผุพังเก่าคร่ำ ระโยงระย้าไปด้วยเถาวัลย์ ที่เลยลามจากการพันไม้ใหญ่ภายใน มาพอกสุมจนดูเหมือนทั้งรั้วและศาลาโยกโย้แทบรับน้ำหนักไว้ไม่ได้
และอีกหลายคราว สำหรับผู้ตั้งใจเที่ยวซอนหา ทรัพย์สมบัติมีค่าจากบ้านหลังเปลี่ยว ที่จะแลเห็นเป็นทุ่งเวิ้งว้าง มีคลองใหญ่น้ำเน่าอันอุดมไปด้วยซากไม้และขวากแหลม ปักขวางระเกะระกะ
หรือหากพวกมันยังใจแข็ง กล้าลองกับภาพมายา งูร้ายตัวใหญ่เท่าลำขา ก็จะเลื้อยปราดผ่าน หันขวับมาจดจ้อง แล้วมุดน้ำเหมือนหมายจะเข้ามาทำร้าย นั่นละที่ทุกรายมีอันต้องผวาเผ่นหนี
แต่สำหรับคนที่คุ้ยเคยกันดี หรือ... สำหรับคนที่ได้รับอนุญาต บ้านสวนปลายซอย คือมุมมองหย่อนใจ เป็นบ้านเรือนไทยน่าอยู่ ภายใต้ร่มไม้ใบหนา มีวิหคนกกา กระรอกกระแตมาอาศัย แลคล้ายๆ ป่าผืนน้อยกลางเมือง
กลิ่นหอมโชยมาวูบหนึ่ง ทำให้ราศีต้องหันหา ภายในหอพระมีแต่ช่องลม กลิ่นหอม... น่าจะเป็นกลิ่นดอกไม้... คงผ่านมาทางนั้น
“ก็บ้านกลางสวน ไม้หอมทั้งนั้นที่ปลูกอยู่รอบบ้าน ไม่ใช่ปาฏิหาริย์อะไรหรอกน่า”
หล่อนบอกตัวเอง ก่อนจะเริ่มอ่านคาถาอีกครั้ง หวังจะอ่านให้ครบบท แม้ไม่ได้รู้สึกศรัทธาอะไรนัก แต่เพราะความเป็นคนที่คิดจะทำอะไรแล้วต้องทำให้จบ จึงต้องตั้งสมาธิจิตให้มั่นคงพอสมควร
ขณะปลายนิ้วไล่ไปตามตัวหนังสือ เพื่อไม่ให้พลาดไปสักอักขระเดียว รู้สึกเหมือนมีกระแสบางอย่างแผ่ซ่านขึ้นมา คล้ายเป็นละอองยิบๆ ไล่ขึ้นมาตามสายเลือด จากปลายนิ้ววาบขึ้นมาได้ถึงตรงหัวใจ
พออ่านจบ ก็ปิดหนังสือ ระบายลมหายใจยาว โดยลืมสังเกตตัวเองไปว่า ขณะร่ายคาถาบทสุดท้ายนั้น ตั้งใจจริงจัง จนถึงกับต้องกลั้นหายใจ
แล้วใจก็บอกตัวเอง... แล้วยังไง... ยังเงียบเหงา ยังว่างเปล่า... ก็แค่นั้น
โลกของมนตร์คาถาอาถรรพ์ต่างๆ นานา หล่อนหันหลังให้มานานแล้ว ไม่จำเป็นเลยที่จะคิดพึ่งพาพวกมันอีก
แต่ก็อดไม่ได้ที่จะต้องยกกระจกขึ้นส่อง ผมปอยหนึ่งปรกลงมาระปลายจมูก หล่อนปัดไปเหน็บไว้ข้างหู เพื่อพิจารณาทุกส่วนของดวงหน้าให้เห็นชัด
เหมือนเดิม... ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง แม้สักนิด...
ผิวหน้าตึงเนียนเรียบ ไม่ได้ผุดผาดมากขึ้นกว่าเดิม ดวงตาคู่หวาน กลมโตประดับด้วยขนตายาวงอน อยู่อย่างไรก็อย่างนั้น รูปริมฝีปากอิ่ม เป็นสีสดตามสุขภาพที่แข็งแรง ไม่ได้ระเรื่อขึ้นเพื่อยวนเสน่ห์
มันก็แค่นั้น... โลกคงเปลี่ยนไปแล้ว...
เวทย์มนตร์คาถาหรือจะสู้อานุภาพแอปพลิเคชั่นอัพลุค ที่จะบันดาลให้ใครๆ สวยวิ้งเท่าไรก็ได้ในโลกดิจิตอล
เสียงทุ้มกังวาน คล้ายฆ้องใหญ่ถูกตีระรัว ทำให้ราศีถึงกับสะดุ้ง หรือว่าปาฏิหาริย์จะเริ่มปรากฏ เป็นเสียงทรงอานุภาพของมโหระทึกที่หล่อนเคยคุ้นเมื่อนานแสนนานมาแล้ว
นิ่งไปอึดใจใหญ่ ก่อนที่เสียงนั้นจะดังขึ้นอีกคราว...
หล่อนเพิ่งระลึกได้... นี่มันแค่เสียงกริ่งหน้าบ้านเท่านั้น
ไม่ว่าจะด้วยเทคโนโลยีแบบไหนก็เถอะ ต้องยอมรับว่าคุณป้ามณฑาเข้าใจสรรหา สารพัดสิ่งที่ทำให้ต้องประหลาดใจ มาให้รู้ให้เห็นอยู่เรื่อยๆ
แล้วเสียงรัวมโหระทึกก็ดังขึ้นเป็นครั้งที่สาม ราศีอดคิดเล่นๆ ไม่ได้... หรือว่าบางทีเสน่ห์และความมั่นใจ อาจรู้จักเข้าตามตรอกออกตามประตูเสียละกระมัง
แต่ที่คิดได้จริงจังมากกว่าก็คือ แขกของเจ้าของบ้านคงมาถึงแล้ว มิตรของคุณมณฑาที่ชื่อว่า คีตธร ที่คุณป้าเคยบอกไว้แล้วว่า เขาไม่น่าจะเหมาะให้เฝ้าบ้านอยู่ตามลำพัง
“มาแล้วค่ะ... มาแล้ว”
ราศีโผล่บันไดออกไปตะโกนบอก ซุ้มศาลาหน้าบ้านบังผู้มาเยือนเอาไว้ จึงได้ยินแต่เสียงมโหระทึกอีกครั้ง เป็นการตอบรับ
กว่าจะเดินถึงประตูรั้ว หล่อนก็ต้องได้ยินเสียงนั้นอีกสองคราว อยากจะกระชากประตูเปิดรับให้สมกับความรีบร้อนของผู้มาเยือน แต่บานประตูไม้หนาหนัก กลับค่อยเผยอย่างอ้อยอิ่ง
ชายหนุ่มร่างสูง สวมเสื้อแขนกุดสีน้ำเงินล้ำลึก เผยช่วงไหล่ล่ำกำยำ ชายเสื้อพอดีกับแนวสะโพกและขอบกางเกง... น่าจะเป็นหนัง นุ่ม เนียน และรัดรูปทรงเอาไว้อย่างที่หล่อนเกือบลืมจะเบือนสายตาหลบ
ผมดำยาว คล้ายมีประกายวาว ถูกปล่อยตามสบาย มันบดบังดวงตาและแนวแก้ม เห็นได้แต่เพียงปลายจมูกโด่ง ริมฝีปากได้รูป และรูปคางที่ได้เหลี่ยมมุมเย้ายวนสายตา
เขาไม่ได้หันมา ยังคงจ้องอยู่ที่ปุ่มกริ่งสัญญาณ ใช้ปลายนิ้วเรียวยาว จิ้มๆ อีกสองครั้งแล้วนิ่งฟัง
“มณฑา ข้าทำตามธรรมเนียมที่เจ้าว่า แต่นี่ เป็นเสียงทำนองเดียวเช่นนี้ จะไม่น่าเบื่อหน่ายไปหรอกหรือ ถึงเสียงมโหระทึกในยัญพิธีจะเป็นที่โปรดปรานของทวยเทวา แต่หากมันซ้ำไปซ้ำมาอยู่เช่นนี้ ก็คงน่ารำคาญ...”
คีตธรพูดเรื่อยไปโดยยังไม่ได้หันมามองผู้เปิดประตูรับ จนถึงประโยคสุดท้าย ที่ได้สบตากัน รอยยิ้มที่หมายจะมอบให้มิตรเก่าที่คุ้นเคยจางหายไปทันที เขาปัดผมไปข้างหนึ่ง เผยให้เห็นดวงตาอันทรงเสน่ห์ คมกริบและฉ่ำหวานลึกซึ้ง...
“ให้ตายเถอะ!...”
ราศีรำพันอยู่ในใจ
“นี่เราลืมไปหรือเปล่า ว่าคาถาที่ร่ายเพิ่มเสน่ห์และความมั่นใจนั่น ต้องขอให้เกิดขึ้นกับตัวเรา ไม่ใช่ผู้ชายตรงหน้าคนนี้!”
เขาสบตาหล่อนแน่วนิ่ง แววตาหวานฉ่ำลึกซึ้ง ส่องประกายคุกรุ่นจนหญิงสาวรู้สึกร้อนวูบวาบไปทั้งตัว
คีตธรก็เช่นกัน ดวงหน้านี้ที่จำได้ กับช่วงลำคองามระหง...
“แต่... เธอ... ไม่ใช่... มณฑา...”
ราศีต้องหายใจเข้าแล้วกลั้นเอาไว้ เพราะบัดนี้ร่างกายเหมือนมีประจุไฟฟ้าแตกเปรี๊ยะไปมาไม่ได้หยุด นี่ไง... นี่อย่างไรล่ะ... ที่เขาเรียกว่า คนมีเสน่ห์และมั่นใจ
แล้วหล่อนก็ลืมหายใจ ได้แต่ตะลึงมองความสมบูรณ์แบบตรงหน้า รูปร่างที่หันมาเต็มตัว ไม่ยากเลยที่ผู้หญิงคนไหนเห็นแล้วจะต้องโผเข้าหา ทั้งความแข็งแกร่งผึ่งผาย ทั้งแววนุ่มนวลที่แสดงออก
ยังจะเสียงทุ้มไพเราะนั่นอีก สำเนียงคล้ายภาษาพูดของคุณมณฑา แต่ไพเราะยิ่งกว่า ส่งเสน่ห์ชวนฟังได้ยิ่งกว่ามากมาย
นึกถึงนายแบบที่เคยผ่านสายตา ทั้งพวกที่นิยมออกกำลังกายในฟิตเนสและพวกที่เล่นกีฬาเพื่อความแข็งแกร่ง พวกนั้นไม่ได้เสี้ยวเศษของรูปร่างที่มีลายมัดกล้ามเนื้อ สวยงามลงตัวพอดิบพอดีอย่างคนตรงหน้านี้
เดาไม่ออกหรอกว่าจะอายุสักเท่าไร เพราะยังปราศจากริ้วรอย หรือกระทั่งตำหนิจุดด่างดำใดๆ สีผิวไม่ได้ขาวจัด และอ่อนกว่าสีแทน ดูแล้วเหมือนกาแฟลาเต้เนื้อนวลๆ ที่ชวนให้ลิ้มชิมอยู่ตลอดเวลา
“เอิ่ม... ฉัน... ราศี... ค่ะ”
ในที่สุดก็นึกขึ้นได้ว่าต้องทำอะไร
“ใช่ ราศี แล้วเรา... เอ่อ... หมายถึงผม คีตธร”
เขาแนะนำตัวกลับ ไม่ใช่อาการตื่นเต้นเหมือนอย่างที่ราศีทักทาย แต่คงเพราะพยายามเรียบเรียงถ้อยคำต่างหาก จึงตะกุกตะกักอย่างที่ได้ยิน
พอจะพูดต่อไป ก็เหมือนมีอะไรมาติดขัดอยู่ในลำคอ หล่อนต้องรีบกลืน นึกโทษจินตนาการของตัวเองที่วาดภาพไปล่วงหน้าว่า แขกของคุณป้ามณฑา น่าจะเป็นชายวัยชรา อาจจะเป็นนักเดินทาง มีกระเป๋าใบเก่าคร่ำ กับหนังสือนำเที่ยวยับเยินในมือ แต่กลายเป็นว่าหล่อนต้องมาอยู่ร่วมชายคากับหนุ่มรูปหล่อบาดใจขนาดนี้
“คุณไม่ใช่มณฑา...”
เขาเองเริ่มไม่แน่ใจ
“ค่ะ... ฉันราศี แต่นี่บ้านคุณมณฑา คุณมาไม่ผิดหรอก ฉันมาอยู่ดูบ้านช่วงที่เธอไม่อยู่น่ะค่ะ”
“ดูบ้าน...” เขาทวนคำ พร้อมชะเง้อข้ามไหลของหล่อนเพื่อมองเข้าไปด้านใน
ราศีคิดว่าเขาคงไม่คุ้นกับภาษาไทย จึงรีบอธิบาย
“หมายถึงมาอยู่ช่วยดูแล คือฉันมาพักอยู่ที่นี่ระหว่างที่คุณมณฑาไปทำธุระ เธอบอกแล้วว่าคุณจะมา และเราจะต้องอยู่ที่เรือนมณฑานี้ด้วยกัน”
“อืมม์...”
เสียงในลำคอกับประกายตาที่บอกชัดว่ามั่นใจยิ่งขึ้นของชายหนุ่ม ทำให้ราศีต้องพลอยยิ้ม เขายิ้มตอบ เป็นยิ้มทั้งด้วยริมฝีปากและดวงตา เป็นยิ้มที่ดูแล้วเหมือนมีที่มาล้ำลึก ราวกับเขากำลังพบเรื่องสนุกอันพึงใจ หรือได้พบเหตุไม่คาดคิดที่เขาจะรีบกระโดดลงทดลองเล่นให้เต็มที่
หล่อนเคยสังเกตรอยยิ้มของผู้คนนับร้อยนับพัน แต่ไม่เคยมีสักคนเดียว ที่ส่งความเปิดเผยจริงใจ และความดึงดูดใจมาได้พร้อมกันขนาดนี้
“เสียดายที่มณฑาไม่อยู่ แต่ก็จัดการเรื่องต่างๆ ไว้ให้เหมือนรู้ใจ... มันดีที่สุดที่เราจะได้อยู่ในเรือนนี้ด้วยกัน”
อีกแล้ว... เขาคงเป็นประเภทภาษาไทยไม่แข็งแรงจริงๆ จึงพูดออกมาเช่นนี้ หล่อนพยายามไม่คิดเข้าข้างตัวเอง ว่าคาถาเพิ่มเสน่ห์จะได้ผล “ตั้งสติหน่อยสิยัยเชื้อรา!!...”
“คุณป้าเตรียมห้องพักไว้ให้คุณแล้ว สัมภาระของคุณล่ะคะ”
“นี่...”
ราศีไม่ทันสังเกตว่าเขาถือมันมาด้วย เป็นกระเป๋าย่ามใบย่อม ดูคล้ายถุงหนังสีน้ำตาล ที่ตัดเย็บประณีตจนไม่เห็นรอยตะเข็บ กับกล่องหนังมีหูหิ้วอีกใบ คล้ายกล่องใส่เครื่องสายบางชนิด
“กีตาร์หรือคะ”
หล่อนเอ่ยถามขณะหันกลับเพื่อเดินนำชายหนุ่มเข้าสู่บริเวณบ้าน
“พิณ... ครับ”
“พิณ... เครื่องมโหรีหรือคะ ไม่เคยเห็นคนเล่นพิณมานานแล้ว เดี๋ยวนี้ฮิตกันแต่กีตาร์ หรือไม่ก็เครื่องสีฝรั่ง วีโอล่า ไวโอลิน เชลโล่ อะไรพวกนั้น จำไม่ได้แล้วละค่ะ ว่าเสียงพิณเป็นอย่างไร”
“อย่างนั้นไว้ผมจะเล่นให้ฟัง เล่นเพื่อคุณคนเดียว ผมดีดพิณ คุณร้องเพลง... ได้ไหม...”
ราศีรู้สึกร้อนผ่าวที่ใบหน้า พยายามคิดว่าเพราะเขาเข้าใจภาษาไม่ได้ลึกซึ้ง จึงพูดออกมาอย่างนั้น และตนก็เพียรเวียนจะตีความเข้าข้างตัวเองอยู่เรื่อยเลยเชียว
“ฉัน... ร้องเพลงไม่เป็นหรอกค่ะ”
ขณะพึมพำตอบคำ ทำให้อดคิดไม่ได้ว่า หรือคาถามหาเสน่ห์จะได้ผล...
คีตธรเดินตามเข้ามาอย่างรู้สึกเพลิดเพลิน แม้จะรู้สึกได้ถึงพลังงานบางอย่างที่ลอยอวลอยู่ทั่วบริเวณ แต่สิ่งที่เขาจดจ่ออยู่นี่มีเพียงอย่างเดียว
ข่ายอาคมของผู้มีกำลังจิตแก่กล้า ที่สัมผัสผิวอยู่เพียงแผ่วๆ นี้ เขาคุ้นเคยดีอยู่แล้ว แต่ละอองไอของอีกมนตราหนึ่ง ที่ฟุ้งปลิวกระจัดกระจาย ราวกับเป็นของพวกมือใหม่หัดร่ายคาถานี่สิน่าสนใจ... เพราะเห็นอยู่กับตาว่ามันมาจากคนข้างหน้า
เมื่อแน่ใจว่านั่นไม่ใช่ข่ายมนตราของคุณมณฑา เขาจึงเร่งฝีเท้าให้ใกล้เข้า อยากรู้ว่าเวทย์มนตร์โบร่ำโบราณขนาดนี้ หญิงสาวข้างหน้านี่จะเรียนรู้ไปเพื่ออะไร
หญิงสาวไม่ได้มีกำลังญาณสูงส่งอะไรแน่นอน เพราะขณะนี้คีตธรเดินตามมาจนชิด ก็ยังไม่อาจรู้สึกตัว แต่แล้วอาการแข็งขันของบางส่วนในร่างกายก็กำเริบขึ้น เมื่อได้กลิ่นหอมอ่อนๆ จากหล่อน จนเขาต้องเป็นฝ่ายถอยออกห่าง เพราะกลัวอดใจไม่ไหว
ก่อนจะมาถึงที่นี้ ทิพย์หิรัญย์ไม่ได้บอกว่า นอกจากช่วงคองามระหง ดวงหน้าชวนหลงใหลและรูปร่างชวนสัมผัสแล้ว กลิ่นกายของนางยังยิ่งชื่น หอมรื่นระรวยระริน โดยเดาไม่ออกว่ากลิ่นนั้นฟุ้งกำจายออกมาจากส่วนใด หรือจะอย่างนางผมหอมที่สักหลายร้อยปีจึงจะปรากฏตนสักครั้ง...
คีตธรขยับเข้าชิดอีกราว สูดกลิ่นจากเรือนผม แล้วรีบผละ
กลิ่นนั้นอวลอยู่ทั่วกายไม่ใช่เฉพาะที่ กลิ่นนี้ละที่ราวกับบังคับให้โลหิตทั้งกายฉีดพุ่งไปรวมกันอยู่ส่วนเดียว
“เหตุไร กายข้าจึงปรารถนานางเหลือเกิน”
เขาตั้งข้อสงสัยกับร่างกายตน กับส่วนสำคัญ และกับสายตาที่ไม่อาจละจากเส้นสะโพกรูปทรงยวนตา อันสามารถยักย้ายเยื้องย่างได้น่ามองน่าพิสมัย ได้ยิ่งกว่านางนาฏยาแห่งสรวงสวรรค์
ไม่นึกไม่ฝันมาก่อน ว่า ณ ดินแดนที่ตนถูกหวงห้ามไม่ให้มาเที่ยวเล่นเยี่ยมหา จะมีสตรีรูปโฉมสะคราญโสภาถึงเพียงนี้ ในทั้งผืนหล้า กระทั่งทั้งฟ้าจนชั้นพรหม ไม่เคยมีสักครั้ง ที่ร่างกายของเขาจะมีปฏิกิริยาคลั่งรักได้ถึงเพียงนี้
“ด้วยความยินดี... ด้วยความยินดี”
ใจเต้นระทึก ทั้งตื่นเต้นระคนขำขัน ความเปรมปรีดิ์ที่จะได้ยินยอมเป็นภารดา บรรจงบรรจุความเป็นสามีให้กับนาง เป็นความปรารถนาที่ยิ่งนานยิ่งพลุ่งพล่าน
แต่ยังก่อน... เพราะเขาตั้งใจไว้แน่วแน่...
ต้องแน่ใจเสียก่อนว่า นางก็พร้อมจะเป็นภริยาแก่เขา ทั้งร่างกายและจิตใจ
และต้องเป็นความพร้อมที่ได้รับลิขิตจากมหาเทวา ให้เขาและเธอเกิดมาเป็นคู่กัน
ทั้งหมดนั่นต้องได้รับการพิสูจน์ ก่อนที่เขาจะพูดหรือทำอะไรต่อไป
“ถุงเงินกับถุงทอง หวังว่าคุณจะชอบแมว”
เสียงของหญิงสาวดึงเขากลับมาสู่เรื่องราวตรงหน้า
“วิฬาร์...”
“ค่ะ... วิฬาร์... แมว หวังว่าคุณจะโอเคกับมัน เพราะบ้านนี้ยังมีอีก...”
“โอ... เค...”
คำตอบเหมือนทวนคำ ราศีก็เข้าใจได้ว่าเป็นการทวนคำเพราะไม่เข้าใจความหมายของมันมากกว่าจะเป็นการตอบตกล’
ผู้ชายคนนี้แปลกๆ คำพื้นๆ อย่าง “โอเค” กลับไม่เข้าใจ แต่ดันรู้ศัพท์แสงสุภาพย้อนยุคสมัยอย่าง “สุนัข-หมา วิฬาร์-แมว”
“คือ... สองตัวนี้ กับอีกสองตัวนั่น ตัวสีเทาแล้วมีขนขาวแซมอยู่ตลอดตัวนั่น เจ้าแซม กับอีกตัวสีขาวมีลายเป็นดวงๆ สีดำๆ นั่นเจ้าเก้าแต้ม คุณป้าเรียกเจ้าแต้ม สองตัวนี้เป็นของคุณป้า”
“โอเค คือ?”
“อ๋อ ค่ะ หมายถึงคุณจะทนพวกมันได้ใช่ไหม”
“ได้ ได้แน่นอน”
ตั้งแต่เห็นหน้าราศีนั่นแล้ว ที่คีตธรจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว สติวอกแวกไม่ได้ดำรงสมาธิอย่างที่ควร อาการรวนๆ ในห้วงความคิดจึงยังไม่สงบนิ่ง
“ท่าทางพวกมันจะชอบคุณ”
ตอนนี้ทั้งเจ้าแซมและเจ้าแต้มพากันเข้ามาคลอเคลียอยู่กับเขาเรียบร้อยแล้ว
“สัตวพวกนี้มีสัญชาตญาณดี มันรับรู้ได้ว่าใครที่ควรจะเข้าหา ดนตรีของผมก็มักจะทำให้ใครๆ พอใจ”
“ใช่ซีคะ คุณคงเป็นนักดนตรี กับพิณนั่น คุณมาจากไหนคะ”
หล่อนหวังว่าคำถามเช่นนี้จะไม่เป็นการเสียมารยาทเกินไป
“วินธรเขตร”
“วินธรเขตร... ไม่เคยได้ยินมาก่อน ที่เคยได้ยินก็สะหวันนะเขต แต่นั่นก็ไกลมากนะคะ”
ราศีพาเขามานั่งพักตรงศาลากลางเรือน มีเจ้าสี่แมวกรูตามมานอนเฝ้าอยู่ไม่ห่าง
“ครับ ผมมาไกลมาก มีหาดทราย มีผาชัน ท้องน้ำเวิ้งว้างท้องฟ้ากว้างใหญ่ ทั้งหมดนั้นล้วนงดงาม”
คีตธรมองหน้าหล่อนตรงๆ คราวนี้ได้พบความน่าประหลาดใจอีกอย่าง คือขณะที่เอ่ยคำ เขายังลอบส่งกำลังญาณเข้าสำรวจวารจิต สิ่งที่เกิดคือ นัยน์ตาของหญิงสาว เปลี่ยนจากสีดำขลับ เป็นเจือประกายทองคำ ยามเมื่อสัมผัสกำลังจิตแปลกปลอมจากเขา
“คุณมาธุระหรือคะ”
หล่อนยังสานต่อบทสนทนาต่อไป ซึ่งเขาก็พอใจว่าหล่อนไม่ได้มีเจตนาจะละลาบละล้วงอะไรเลย
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้ครับ แต่... อีกอย่างหนึ่งก็เพื่อ เรียกว่า เรียกว่าอะไรนะ ทัศนาจร ไม่ใช่สิ... แค่... ทัศนา”
“ทัศนาจรนั่นละค่ะ ถูกแล้ว”
ราศีพยายามช่วยแก้ คิดว่าเขาคงยังไม่เข้าใจภาษาไทยดีพอ
“คือ ผมแค่มาดู มาดูเพื่อความเพลิดเพลิน”
คำตอบทำให้หญิงสาวนิ่งไป หรือเป็นตัวหล่อนที่เข้าใจไปเองว่า เขาเลือกถ้อยภาษามาสื่อสารได้ไม่ดีพอ
“อย่างนั้นก็น่าจะเหมาะ ช่วงนี้มีหลายเทศกาลที่น่าสนใจสำหรับคุณ”
ราศีต้องขยับเสื้อขึ้นนิดหนึ่ง เมื่อสังเกตเห็นว่าสายตาเขากำลังทอดมองมาตรงที่ใด
“เอาละค่ะ ห้องของคุณอยู่ด้านนั้น คุณป้ามณฑาเตรียมไว้ให้เรียบร้อยแล้ว”
แล้วก็รีบตัดบท ลุกขึ้นเดินนำเขาไปยังห้องด้านตรงข้ามกับห้องพักของตน
“เรือนไทยหลังนี้สะดวกสบาย ถัดจากห้องคุณนั่นห้องครัว มีอาหารเครื่องดื่มเตรียมไว้พร้อม คุณเลือกรับประทานได้เลย แต่ห้องน้ำอยู่ด้านนั้น กับโน่นห้องหนังสือ...”
พูดถึงตรงนี้ก็พอดีกับได้ก้าวนำมาถึงหน้าห้อง ราศีเผยประตูห้องเข้าไปให้ ทั้งห้องสว่างไสวอยู่ด้วยแสงไฟฟ้า ซึ่งดูเหมือนว่าแขกของคุณมณฑาจะไม่ค่อยพอใจนัก
แล้วคีตธรก็ก้าวเข้าไป ใจอยากจะถือโอกาสสำรวจที่หลับนอนของพวกมนุษยภพนี้เหมือนกัน เพราะที่เคยแอบมองด้วยกระจกทิพย์หิรัญย์ ก็เพียงแค่เห็นเป็นภาพ ไม่เคยได้สัมผัสกับของจริง
ภายในไม่ได้แลดูเก่าแก่และน่าอยู่เหมือนภายนอก กับแสงจ้านั่น เขารู้สึกได้ถึงการกะพริบติดดับติดต่อกันของประจุพลังงาน ไม่ใช่แสงทิวาที่ส่งรังสีแผ่ผ่านเข้ามาอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
“ยังกลางวัน ทำไมต้องใช้แสงประดิษฐ์ ไม่รำคาญรึ กับที่มันกะพริบอยู่อย่างนี้”
คำถามแรกยังไม่น่าแปลกใจเท่าที่ตามมา
“กะพริบ ไฟนีออนนะคะ... อ๋อ...” พอฉุกใจ ราศีจึงลากเสียงยืดยาว “ทางพลังงานเขาก็ว่าอย่างนั้น แค่มันถี่จนสายตาคนธรรมดามองเห็นว่ามันส่องสว่างต่อเนื่อง”
“แสงเทียนแสงโคมยังงามกว่านัก”
“เพื่อความสะดวกน่ะค่ะ หรือคุณจะเปิดหน้าต่างก็ได้ แต่คงจะเปลืองไฟน่าดู ถ้าเปิดหน้าต่างแล้วเปิดแอร์ไปด้วย”
ฝ่ายต้อนรับ พยายามหาทางออกอื่นให้กับคนที่ดูไม่สบใจกับแสงนีออนจริงจัง อย่างน้อยเขาก็เป็นแขกของคุณป้ามณฑา อะไรที่ทำให้เขาพอใจ หากไม่เหลือบ่ากว่าแรงก็ควรทำไม่ใช่หรือ
“แอร์... อากาศ เปิดอากาศ”
และก็ไม่เข้าใจเหมือนกันว่า ทำไมกับศัพท์แสงง่ายๆ ในชีวิตประจำวันแท้ๆ เขากลับทำเหมือนไม่คุ้นเคย
“เครื่องปรับอากาศน่ะค่ะ”
“ปรับอากาศ?”
“ช่างเถอะค่ะ อยากจะเปิดหน้าต่างก็ได้ แล้วฉันจะหาพัดลมกับเทียนไขเล่มโตๆ ไว้ให้คุณจุดแทนแสงไฟฟ้านี่”
ราศีบอกได้เลยว่ากำลังประชดประชัน ด้วยความที่อดหมั่นไส้ไม่ได้
แต่ก็เหมือนว่าฝ่ายตรงข้ามจะพออกพอใจกับข้อเสนอของหล่อนเป็นอันดี เดินตรงไปผลักหน้าต่างบานสูงให้เปิดออกเต็มที่
ลมอุ่นหอบกลิ่นหอมชื้นๆ จากภายนอกเข้ามาทันที มีกลิ่นของดอกไม้บางชนิด หอมหวานจนเขาต้องชะโงกหาที่มา
“พุดน้ำบุษย์ค่ะ พุ่มใหญ่อยู่ตรงหน้าต่างห้องคุณพอดี”
ราศีก็จำกลิ่นนี้ได้ หล่อนชอบเป็นพิเศษ กับกลิ่นหอมๆ หวานๆ ของมัน
คีตธรมองตาม ต้นไม้ทรงสวย สูงพอดีกับเชิงกรอบหน้าต่าง ใบรีสีเขียวเข้ม เป็นสีพื้นให้กับไม้ดอกที่มีทรงดอกเป็นหลอดเล็กๆ ปลายบานเป็นเจ็ดแปดแฉก สีเหลืองจัด กำลังส่งกลิ่นหอมจรุงใจ
“ชื่นใจกว่าเยอะ กลิ่นเหมือนแถวบ้านผม”
แล้วเสียงตึงๆ มาจากที่ไกลก็ต้องทำเขานิ่วหน้าได้อีกครั้ง
“ซอยถัดๆ ไปคงกำลังลงเสาเข็มมังคะ ถ้าปิดหน้าต่างก็ไม่ได้ยินชัดขนาดนี้”
“แต่ผมชอบลมมากกว่า”
“งั้นคงต้องเลือกละค่ะ ได้อย่าง เสียอย่าง เป็นธรรมดา”
“โอ...”
เขาหันขวับกลับมา ท่าทางจริงจังทำให้หล่อนถึงกับเผลอถอยไปก้าวหนึ่ง สีหน้าที่มองมานั่น เหมือนกับว่าเพิ่งได้ยินมหาสัจธรรมอะไรสักอย่าง
“จริง ใครเล่าจะได้สมประสงค์ไปทุกสิ่ง”
นั่นไงล่ะ ดูเหมือนเขาจะจริงจังได้กับสิ่งที่ไม่น่าจริงได้ทุกเรื่องเลยเชียว
และโดยไม่ทันได้ตั้งตัว เขาก็รวบสองมือของหล่อนขึ้นมาจุมพิต
เพียงแผ่วเบา แต่ก็ทำให้หญิงสาวผ่าวร้อนไปทั้งตัว
“ขอบคุณ ขอบคุณคุณมาก นี่ก็ดีมากแล้วสำหรับผม”
เขาทำท่าจะประทับรอยจูบบนหลังมือหล่อนอีกครั้ง คราวนี้ราศีรีบชักมือกลับ
ส่วนคีตธรยังกุมอากาศค้างอยู่อย่างนั้น รสสัมผัสที่ได้รับช่างน่าอัศจรรย์ เนื้อนวล นุ่มเนียนด้วยกระแสปราณและเลือดเนื้อ ให้ความรู้สึกดีกว่าที่ได้คลอเคล้ากับเหล่าบรรดานางอัปสรเป็นไหนๆ
“ถ้าคุณพอใจ ก็เอาไว้ขอบคุณคุณป้าเถอะค่ะ”
“แต่เป็นคุณที่จะอยู่ร่วมบ้านกับผม”
คนพูดเห็นได้ชัดกับท่าทางระคางเขินของหญิงสาวตรงหน้า ที่ตอนนี้ทั้งดวงหน้าซับสีชมพูระเรื่อ ดวงตาฉ่ำวาวอย่างไร้เดียงสากับเพศรส
“ถ้าอย่างนั้นฉันขอตัวก่อน คุณจะได้จัดข้าวของ หรือสำรวจตรวจตราอะไรๆ ได้ตามสบาย”
พอจบคำราศีก็ถอยออกมา
“ผมหิว... มีอะไรกินบ้างไหม”
เขารีบเอ่ย เพราะไม่อยากให้หล่อนจากไป
“มีสิคะ อย่างที่บอก คุณเลือกรับประทานได้ตามสบาย ในห้องครัวข้างๆ นี่เอง...”
หล่อนหยุด คล้ายชั่งใจอยู่นิดหนึ่ง ก่อนจะพูดต่อไปด้วยน้ำเสียงเรียบๆ
“เถอะค่ะ ฉันจะทำมื้อเที่ยงง่ายๆ แซนวิชนะคะ ขนมปังกับแฮม หรือว่าเนยดีคะ”
หวังว่าเขาจะไม่งงกับบรรดาชื่ออาหารที่เอ่ยออกมา
“ขนมปังกับเนยก็พอ”
คีตธรยิ้มให้พร้อมคำตอบ ในหัวนั้นจินตนาการไปถึงวันเวลาที่จะได้มีร่วมกัน ได้อยู่ร่วมเรือน ได้ร่วมรับประทานอาหาร ได้แลกเปลี่ยนความรู้สึกนึกคิด บอกเล่าถึงรสนิยมความความพอใจของแต่ละฝ่าย แค่นี้เขาก็น่าจะมีความสุขกับการอยู่ที่นี่ได้แล้วมากมาย
“ตกลงตามนี้นะคะ งั้นตอนเที่ยงเราค่อยเจอกันที่ห้องครัว”
รอยยิ้มชวนหลงใหล ทำให้ราศีใจเต้นตึกๆ ขึ้นมาอีกอย่างช่วยไม่ได้
คีตธรมองเธอที่ลับตัวไปพร้อมกับการช่วยหับประตูให้เขาได้อยู่ตามลำพัง ไม่แน่ใจนักว่าสองชั่วโมงของภพนี้จะยาวนานสักแค่ไหน แต่อย่างน้อยก็น่าจะนานพอที่จะปรับแต่งห้องนี้สักหน่อย ให้พร้อมพอสำหรับการป้องกันไสยเวทย์ และชวนอภิรมย์ชมชื่น ก่อนที่ความรู้สึกอย่างที่เรียกว่า “รักที่ต้องมนตรา” ของเขาจะเรียกร้องให้พาหล่อนเข้ามาเนาแนบแอบอิง ร่วมเสพรสสมพาสด้วยเวทย์คาถาแห่งคนธรรพ์
สายตากวาดแลไปยัง...น่าจะเป็นที่นอน มันเป็นก้อนสี่เหลี่ยมแบนๆ แข็งๆ มีหมอนสองใบวางเรียงชิดตรงริมบน เท่านั้นจะพออะไร มันควรจะปูลาดด้วยพรมผืนนุ่ม มีหมอนโตๆ อีกสักหลายใบ ให้อิงให้เอนได้อย่างสบายในทุกอิริยาบถที่จะเกิดขึ้นบนนั้น
แต่ก่อนอื่นต้องจัดการป้องกันเสียก่อน ผู้มีอาคมหรือกำลังญาณในมนุษยภพนี้ ไม่ได้มีแต่มณฑานางเดียว เขาสัมผัสได้ตั้งแต่แรก ถึงโมหะหรือความมัวเมาลุ่มหลงกับฤทธิอำนาจของอีกหลายคน ที่บางคนซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นพวกสมณะ ยังพยายามควบคุมและสลัดให้หลุดพ้น แต่ก็มีไม่น้อยที่มัวเมา ใช้กำลังทิพย์นั้นในทางไม่ชอบ
เจ้าแต้มเพิ่งโผล่ออกมาจากใต้เตียง ท่าทางมันคงชอบหลงฝูงอยู่เสมอ และเห็นชัดว่ามันไม่อยากจะอยู่ในนี้ เขาจึงรีบไปเปิดประตู รอจนมันเดินสะบัดหางออกไป แล้วค่อยหับบานประตูให้สนิทดีอีกครั้ง
ห้องขนาดยาว มีเครื่องเรือนขนาดใหญ่ คือเตียง ตู้และโต๊ะเครื่องแป้ง ตั้งเป็นหมู่ไว้ฝั่งหนึ่ง อีกด้าน ตรงสุดมุม มีตู้กระจกผอมสูงจัดตั้งไว้ด้วยตุ๊กตาชาววังเป็นชุดๆ กับกำปั่นเถาหนึ่ง เรียงซ้อนไว้ตั้งแต่ใบใหญ่สุดขนาดต้องกางแขนโอบ จนถึงขนาดเล็กแค่ฝ่ามือ
ที่เหลือ เป็นพื้นที่กว้างพอให้เขาได้ทำพิธี...
ทิพยอาภรณ์ที่ถูกเสกให้มีเยื่อใยเช่นเดียวกับเสื้อผ้าในโลกมนุษย์ ถูกเปลื้องออกจนเหลือแต่ร่างเปล่า กับสร้อยศอและรูปอุณาโลมสีทอง ล้วงหินสีหลายก้อนซึ่งที่จริงคือดวงมณีล้ำค่าที่ยังมิได้เจียระไน บรรจงวางเรียงเป็นวงจนครบเก้า รัศมีนั้นกว้างแค่ศอกหนึ่ง
เขาหันหาเศษไม้สักชิ้นหรืออะไรก็ได้สำหรับทำเชื้อไฟ จนได้กระดาษเนื้อนุ่มนิ่มบางเบาจากกล่องกระดาษแข็งลายดอกไม้มาแผ่นหนึ่ง เป็นกระดาษเนื้อยุ่ยที่มีกลิ่นหอมอันน่าสะอิดสะเอียนดีทีเดียว เหมาะนักที่จะเผาเสียให้สิ้นซาก
นักดนตรีแห่งวินธรเขตรค่อยทรุดร่างเปลือยเปล่าลงข้างวง วางกระดาษขาวพิมพ์ลายดอกไม้แข็งกระด้างลงกลางวง แล้วเริ่มโปรยเกล็ดผงสีเงินพรมลงไป
เป็นคาถาป้องกันเภทภัยจากมนตร์อาคมแปลกปลอม หรือจากใครที่ไม่ได้รับอนุญาตให้ผ่านล่วงล้ำเข้ามาในอาณาเขต
คีตธรร่ายมนตราด้วยเสียงทุ่มๆ แต่ไพเราะยิ่งยวด เกล็ดผงสีเงินที่โปรยปราย พอสัมผัสกับผิวกระดาษก็เริ่มลุกไหม้ เกิดเป็นประกายไฟสีทองและสีฟ้า
ผู้ร่ายเวทย์วาดมือเป็นวง เริ่มถักทอข่ายมนตราห้อมล้อมที่พำนักชั่วคราวของตนเอาไว้ ด้วยเปลวควันที่เริ่มคลุ้งอวล
ยิ่งเปลวไฟโชนแสง กลุ่มควันก็ยิ่งหนาแน่น มันลอยเวียนตามแรงคาถา พร้อมกับที่ยกตัวขึ้นสู่ฝ้าเพดาน
ทันใดนั้น!
เสียงหวีดแหลมก็กรีดดังขึ้นบนศีรษะ มันก้องกังวานจนแสบแก้วหู
คีตธรสะดุ้งเพราะตกใจ ผุดลุกขึ้น เพ่งกำลังญาณ ปล่อยพลังทิพยาจากปลายนิ้ว พุ่งขึ้นสู่เบื้องบน
สัญญาณไฟไหม้! หวีดดังขึ้นจนราศีตกใจทำโทรศัพท์ร่วงลงข้างตัว ต้องยกสองมือขึ้นปิดหู ขณะพยายามควบคุณสติ
แค่แซนวิช ยังไม่ได้หุงต้มอะไร ไม่สิ! ไม่ได้มาจากห้องครัว เสียงมันดังมาจากห้องของคีตธร
รีบคว้าโทรศัพท์แล้วถลามาถึงหน้าประตู ตอนพอดีกับที่เสียงกรีดแหลมหยุดลง
หล่อนผลักประตูเข้าไป เพื่อที่จะพบกับสิ่งน่าอกสั่นขวัญหายยิ่งกว่า
ชายหนุ่มรูปงามยืนหันหลังให้ในสภาพเปลือยกายล่อนจ้อน ท่าทางก็กำลังตกใจกับเสียงที่เกิดขึ้นอยู่ไม่น้อย พอเขาหันมาพร้อมกับชี้ขึ้นด้านบน หล่อนต้องรีบละสายตาจากส่วนสำคัญ มองตามนิ้วที่ชี้ขึ้นไป เครื่องจับควันห้อยร่องแร่งยับเยินอยู่บนนั้น
แต่ภาพทั้งร่างคีตธรยังติดตา มีหรือที่หล่อนจะไม่เคยเห็นรูปร่างเหล่านี้ตามสื่อไม่พึงประสงค์ ที่ผุดแทรกเข้ามาได้แทบจะในทุกการพิมพ์คำค้นหาภาพลงในโปรแกรมออนไลน์ แต่ความหล่อเหลาสมบูรณ์แบบ อย่างหาที่ติหรือหาตำหนิใดๆ ไม่ได้อย่างผู้ชายตรงหน้านี่ หล่อนไม่เคยพบ
ราศีปากคอแห้งผาก พยายามสลัดภาพนั้นให้พ้น ลำดับความคิดว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ วูบหนึ่งหล่อนรู้สึกเหมือนได้เห็นสายแสงระยิบระยับขึงเป็นโครงข่ายอยู่รอบห้อง แต่แค่พริบตาเดียวก็วาบหาย จึงพยายามเลื่อนสายตาผ่านเรือนกายของเขาลงมาที่พื้นให้เร็วที่สุด
หินสีสวยใสหลายก้อนถูกเรียงเป็นวง ตรงกลางมีร่องรอยของการเผาไหม้ นี่ละคือต้นเหตุ!
“คุณเผาอะไร...”
เสียงสั่น เพราะจำเป็นต้องมองเขาตรงๆ อีกครั้ง ผู้เป็นแขกของคุณป้ามณฑาไม่มีท่าทางเขินอายเลยสักนิด แต่หล่อนอาย
เขาชี้มองไปยังกล่องกระดาษบนโต๊ะเครื่องแป้งแทนคำตอบ
“กระดาษทิชชู คุณเผากระดาษทิชชูหรือคะ”
“มันเป็นสื่อ ให้อาคมคุ้มครองกระจายได้รอบห้อง”
ราศีปวดหัวจี๊ดขึ้นมาเฉยๆ ถึงกับต้องยกมือหนึ่งขึ้นนวดขมับ ถือโอกาสใช้ฝ่ามือปิดบังสายตาตนเสียจากภาพร่างระทึกใจตรงหน้า
“คุณพระคุณเจ้า นี่ฉันต้องอยู่ร่วมบ้านกับหมอผีสติแตก ที่ชอบแก้ผ้าเผากระดาษเล่นในบ้านที่ติดสัญญาณเตือนไฟไหม้ไว้เต็มอัตราศึกเนี่ยนะ”
“ทำไมคุณไม่มองผม”
คำถามที่ดังแทรกเข้ามายิ่งกวนโมโห
“ฉันเป็นผู้หญิงนะ จะให้มายืนคุยหน้าตาเฉยกับผู้ชายแก้ผ้าหรือยังไงล่ะ”
“อย่างนี้ดีขึ้นไหม”
เสียงเขาดังขึ้นอีกครั้งหลังจากผ่านไปอีกสองสามอึดใจ
ราศีค่อยมองลอดระหว่างนิ้ว เขาสวมกางเกงหนังตัวเดิมนั่นแล้ว
ไม่ดีขึ้นเท่าไหร่หรอก แต่ก็น่าจะปลอดภัยกับจิตใจของหล่อนขึ้นบ้างละ
“ขอบคุณค่ะ คุณทำอะไรกับสัญญาณเตือนไฟไหม้นั่น”
เขาเงยหน้าขึ้นมอง
“ไม่ได้มีไฟไหม้ แค่ควันไฟแค่นั้น”
“ก็นั่นละค่ะ ถ้าไม่มีไฟจะมีควันได้ยังไง ถึงจะเป็นไฟกองเล็กๆ ถ้าเครื่องจับควันได้ ก็ต้องแสดงว่ามีไฟ ก็ต้องส่งเสียงเตือนว่าห้องนี้มีไฟไหม้”
“แต่... แค่นี้เท่านั้น”
ชายหนุ่มทำมือให้เห็นว่าเล็กน้อยมาก
“บ้านเมืองคุณไม่เคยมีหรือยังไง”
“ไม่มี”
เขาตอบคำประชดได้ง่ายๆ
“แล้วทำไมควันแค่นี้ ต้องเตือนภัยเรื่องไฟไหม้”
“ก็เราจะได้รู้ตัว ไม่ถูกไฟคลอกตายไงล่ะ”
ราศียิ่งเดือด พูดจาง่ายๆ เหมือนจะเข้าใจกัน แต่ก็กลับไม่เข้าใจเสียที
เสียงเรียกข้าวของโทรศัพท์ในมือดังแทรกขึ้นเบาๆ หล่อนยกขึ้นกดปุ่มรับสาย
“ค่ะคุณป้า”
“พูดดังหน่อยหนูราศี...”
“ค่ะหนูได้ยิน คุณป้าได้ยินหนูไหมคะ”
พร้อมกับที่เร่งเสียงดังขึ้น ราศีรีบออกมาให้พ้นจากในห้องของเขา พอหันกลับไปมอง ก็เห็นว่าชายหนุ่มก็รีบปิดประตูตามหลัง มีแต่เทวดาละมั้ง ที่รู้ว่าอีตานั่นจะทำอะไรในนั้นอีกบ้าง
“คุณป้าคะ คือว่า... เกี่ยวกับแขกของคุณป้าน่ะค่ะ”
หล่อนแทบไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไรดี
“ได้เจอกับคีตธรแล้วหรือจ๊ะ”
ฟังดูเหมือนคนโทร.เข้ามาจะพอใจนัก
“ถ้าหมายถึงคนผมยาวๆ ที่เล่นพิณ...”
“คนที่หล่อๆ ไงล่ะ ใช่ไหมจ๊ะ”
เสียงของหญิงชรายิ่งรื่นเริง
“แล้วก็เสียงทุ้มๆ นุ่มๆ ที่แสนใจไพเราะบาดหัวใจ”
“งั้นก็ใช่แล้วค่ะ”
ราศีตั้งใจทำเสียงเนือยๆ ตอบกลับไป
“มีปัญหาอะไรหรือเปล่าจ๊ะราศี”
“คือ...” หล่อนคิดว่าจำเป็นต้องถามกันตรงๆ เสียแล้ว
“เขาปกติดีหรือเปล่าคะ หมายถึง พอเขามาถึงก็เริ่มทำอะไรแปลกๆ”
คราวนี้ที่ตอบกลับมากลายเป็นเสียงหัวเราะ
“คีตธรเขาสบายดีหรอกจ๊ะ ไม่ได้บ้าบออะไรหรอก ที่จริงเขาฉลาดมากต่างหากล่ะจ๊ะ หรือว่า... เขาทำอะไร”
“เขาเพิ่งพังสัญญาณเตือนไฟไหม้ในห้องค่ะ”
แล้วก็ได้ฟังเสียงหัวเราะก่อนจะได้รับคำตอบอีกครั้ง
“เขายังไม่คุ้นกับเครื่องอำนวยความสะดวกของบ้านเมืองเรา คงไม่ลำบากเกินไปที่หนูจะช่วยค่อยๆ แนะนำ”
“แต่เขาเหมือนทำพิธีอะไรอยู่ในห้องด้วยนะคะ”
“ไม่เป็นไรจ๊ะ พิธีนั่นป้าก็ทำ”
ราศีขัดใจนัก ทำไมคำตอบของหญิงชราเจ้าของบ้านช่างง่ายดายขนาดนี้
“และป้าอยากจะขอร้อง ให้หนูราศีช่วยดูแลเขาให้ด้วย ช่วยแนะนำเขา พาเขาไปเที่ยวดูอะไรต่อมิอะไร ป้าเชื่อว่าหนูทำได้ ไม่แน่หรอกนะ เขาอาจจะสอนอะไรดีๆ ให้เป็นการตอบแทนก็ได้...”
แล้วหญิงชราก็ตัดสายไปเฉยๆ ปล่อยราศียืนใจคอไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอยู่คนเดียวต่อไป
“จะสอนอะไรดีๆ ได้บ้างล่ะ ถ้าเริ่มต้นด้วยการแก้ผ้าให้ดูอย่างนั้นน่ะ!”
**********************
ความคิดเห็น