คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #3 : บทที่ ๒ มนตราจัดสรร
บทที่ ๒
อากาศอึมครึมและอบอ้าว ทำให้ราศียิ่งวุ่นวายใจ ตลอดทางกลับมาบ้าน หล่อนยังนึกไม่ออกเลยว่า จะจัดการเรื่องที่ได้รับคำสั่งนั่นอย่างไรต่อไป
เนื้อตัวเหนียวเหนอะ รู้สึกได้ถึงเหงื่อชื้นที่ซึมอยู่ตามแผ่นหลัง อากาศช่วงนี้ไม่น่าพิสมัยเลยสักนิด ดีแต่ว่ามันช่วยให้ความรู้สึกโมโหโกรธาที่เกิดจากความเจ้าเล่ห์ของคุณนารท ได้ผ่อนคลายจนหมดสิ้น ตอนนี้ก็เหลือเพียงแค่ ปัญหาสองสามอย่างที่อย่างไรเสียหล่อนก็หลีกเลี่ยงไม่พ้น คือ เรื่องการปรับเปลี่ยนตัวเองให้ดูดีมีรสนิยม การต้องขึ้นเวทีไปเผชิญหน้าผู้คน และ... ตามหานายภาคินให้พบ
มีจดหมายสองสามฉบับรออยู่ในตู้รับจดหมาย ส่วนใหญ่เป็นใบโฆษณาสินค้า ราศีรวบหยิบ ขณะสายตาเหลือบไปพบเพื่อนบ้านที่คุ้นเคย
“พาเจ้าขุนออกมาเดินเล่นหรือคะคุณสร้อย ร้อนหน่อยนะคะ ที่ร้านเป็นอย่างไรบ้าง"
เพราะความกังวลที่ยังวนเวียน ทำให้หล่อนไม่รู้หรอกว่าตัวเองยิงไปกี่คำถาม
พอมองเห็นคุณสร้อยเต็มตา ความรู้สึกที่เคยชื่นชมเธอมาตลอดก็ผุดขึ้นอีก สุภาพสตรีตรงหน้านี้ ช่างดูดีมีรสนิยม ผมรวบเรียบเกล้าเป็นมวยปักปิ่นเงินและช่อดอกไม้ไหวลายละเอียดยิบ ขนาดและรูปร่างของมันทำให้ดูสวยรับกันไปหมดทั้งเรือนผม เสื้อคอสั้นทบสาบอย่างญี่ปุ่น แขนยาวถึงกลางแขน ตัดเย็บประณีตด้วยผ้าทอเส้นใสเนื้อเบาบาง ต่อลายปักบนผ้าทึบไว้ปกปิดส่วนสงวนได้อย่างแนบเนียน ผ้าซิ่นผืนสั้นเสมอเข่าแลคล้ายกระโปรง เป็นผ้าทอลายน้ำไหลสอดไหมแดงบนพื้นดำ มีเชิงเส้นเป็นลายลูกแก้วถี่ๆ แบบไว้ฝีมือของผู้ทออย่างเต็มที่
“แต่งตัวสวยทุกวันเลยนะคะ”
ไม่ทันที่คุณสร้อยจะได้ตอบคำ ราศีก็เอ่ยขึ้นอีก
“ขอบคุณค่ะ แต่คุณราศีดูเหนื่อยๆ อ้อ... ขอบคุณมากนะคะที่ช่วยดูเจ้าขุนให้เมื่ออาทิตยที่แล้ว มันกะทันหันจริงๆ แล้วเจ้าขุนก็โยเยมาก”
“ไม่เป็นไรค่ะ เราก็บ้านใกล้กันแค่นี้ ช่วงโพล้ๆ เพล้ๆ เด็กอ่อนก็งอแงเป็นธรรมดา”
“ใช่ค่ะ นี่ก็ออกอาการเดิม ต้องพามาเดินเล่น เลยนิ่งลงได้”
คุณสร้อยก้มลงเขี่ยแก้มยุ้ยของบุตรชายที่กำลังนอนหลับสบายอยู่ในรถเข็น
เด็กชายหน้าตาหน้าเอ็ดดู ดูเหมือนกำลังหลับสนิท แต่พอราศีก้มลงไปใกล้ เขากลับลืมตาขึ้นทันที แล้วก็เริ่มร้องไห้จ้าแบบไม่มีต้นสายปลายเหตุ
ผู้เป็นแม่ต้องรีบปลอบ แต่ยังไงก็ไม่เงียบ
“ขอโทษนะคะ แกเป็นอย่างนี้ตลอด ต้องได้เห็นหรือได้ยินเสียงพ่อเขานั่นละ ถึงจะเงียบ”
คุณสร้อยก้มมองนาฬิกาที่ข้อมือตนนิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างเกรงใจ
“พ่อเขาคงจะกลับแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ”
ล่ำลากันอีกสองสามคำ แล้วคุณสร้อยก็พาลูกชายเลี้ยวลับไปตรงมุมซอย ราศีหันมาไขกุญแจเข้าบ้าน เป็นบ้านเช่าหลังเล็ก ชั้นเดียวขนาดกะทัดรัด ไม่ไกลจากป้ายรถประจำทาง มีแปลงดอกไม้หน้าบ้านที่หล่อนแสนจะพอใจ และที่สำคัญคือเจ้าของบ้านยอมให้หล่อนเลี้ยงเจ้าเหมียวแสนรักทั้งสองตัว
อากาศในบ้านเย็นสบายกว่าข้างนอกมากมาย ราศีหย่อนนิตยสารแฟชั่นล้ำสมัยสองสามเล่มลงบนโซฟา อุ้มเจ้าสองเหมียวคือถุงเงินกับถุงทองขึ้นมากอด หลังจากมันเคล้าแข้งเคล้าขาตั้งแต่เปิดประตูเข้ามา
“คิดว่าไงล่ะ ที่แม่แกเกิดคิดจะแต่งตัว แต่งหน้าทำผมให้สวยล้ำนำสมัยขึ้นมาน่ะ”
เจ้าสองแมวครางในลำคอเบาๆ อย่างที่หล่อนไม่แน่ใจหรอกว่า เป็นการตอบรับของมัน หรือมันรีบบอกว่ากำลังหิวกันแน่
ราศีหันไปมองตัวเองในกระจกตรงใกล้ประตู ลองมองหาสิ่งที่คุณนารทอยากให้เป็น สวยมีเสน่ห์ และดึงดูดใจ...
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มเป็นสีเดียวกับสีผม เป็นสีธรรมชาติที่หล่อนเองก็พอใจ ไม่ใช่ผมที่สีอ่อนลงเพราะสุขภาพไม่ดี มันเงางามมีน้ำหนักและยาวกำลังพอเหมาะ การยืนหรือนั่งด้วยหลังที่หยัดตรงเสมอเพราะถูกฝึกมาแต่เล็กแต่น้อย ทำให้รูปร่างที่ได้สัดส่วนเพราะออกกำลังกายเป็นประจำ ยิ่งน่ามอง
ส่วน... เสื้อผ้า อย่างนี้ละที่คุณนารทบอกว่าสีตุ่นๆ ทรงเชยๆ ที่หล่อนขัดแย้งอยู่ในใจเสมอว่า มันคือแพทเทิ่นคลาสสิคต่างหาก และสำหรับชุดนี้หล่อนก็ยังยืนยัน ว่ามันเหมาะสมกับตัวเองทุกประการ
ราศีลองหลับตา กลั้นหายใจอยู่อึดใจใหญ่ ก่อนจะลืมตาขึ้น มองเงาในกระจกอีกครั้งแบบไม่ได้หลอกตัวเอง
ชุดสีซีดจะสีกากีก็ไม่ใช่ สีครีมเข้มก็ไม่เชิง แบบก็แสนเชย เหมือนหลุดมาจากสมัยมิตรกับเพชรายังเป็นซูเปอร์สตาร์ของประเทศ นึกเลยไปถึงบรรดาเสื้อผ้าในตู้ ที่แขวนเรียงกันไว้นั้น ไม่ได้มีสีสันแตกต่างไปจากนี้สักเท่าไรเลย
แม้หล่อนจะไม่สบอารมณ์ในความเจ้าเล่ห์เพทุบายของนายจ้างอย่างคุณนารท แต่ก็ต้องยอมรับว่าเขาตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม
และนี้ก็ไม่ใช่การแต่งเนื้อแต่งตัวที่ราศีเคยวาดฝันเอาไว้ ความโกรธผุดขึ้นมาอีกครั้ง เป็นการโมโหตัวเองที่ยอมให้มีเสื้อผ้าพวกนี้อยู่บนร่างกาย ซ้ำยังรู้สึกเฉิดฉายเวลาไปไหนต่อไหน ในตลอดหลายปีที่ผ่านมา
เสื้อตัวบางเบาถูกกระชากออกจนกระดุมร่วงกราว ก่อนที่กระโปรงจะตามลงไปกองกับพื้น สลัดรองเท้าส้นเตี้ยตัน กระเด็นเฉียดเจ้าถุงทอง แล้วหล่อนก็ถอดชั้นในทั้งบนและชั้นล่างออกจนหมด
ราศีเริ่มสำรวจเรือนกายของหล่อนอีกครั้ง ยกสองแขนขึ้นเขย่า ไม่มีความหย่อนคล้อยของท้องแขนหรือเปลวเนื้อแถวชายโครง เขย่าตัวเองเบาๆ อีกครั้งเพื่อให้กล้ามเนื้อผ่อนคลาย
หลับตาลง...
ก่อนที่เสียงดนตรีในหัวจะดังขึ้น... เป็นท่วงทำนองที่คุ้นเคย
ท่อนขาเริ่มขยับเป็นจังหวะ วาดสองแขนไปตามลีลาของความรู้สึก ปลายเท้าพาร่างกายเคลื่อนไปทางซ้ายทางขวาอย่างพลิ้วไหว ส่วนบนเอนโอนไปตามท่วงทำนอง ขณะที่ร่างกายส่วนล่างก็คอยประคับประคองท่วงท่าได้อย่างพอดิบพอดี
หล่อนบังคับตัวเองไม่ให้ลืมตา... ก็ลีลานี้มันออกมาจากความรู้สึก ไม่จำเป็นต้องคอยจับจ้องว่า องศาแขนขาจะผิดเพี้ยนจากทฤษฎีการเต้นร่ำที่เคยร่ำเรียนมา
เมื่ออยากกระโดด ก็จะกระโดด... แต่พอจะกระโดด
ความรู้สึกต่อต้านอย่างรุนแรงก็แผลงฤทธิ์ขึ้น!
เจ็บร้าวขึ้นมาตั้งแต่ที่ปลายส้นและร้อยหวาย ไล่ตามท้องน่องขึ้นมาจนปวดหนึบ สะบักหลังและสะโพกเจ็บร้าวขึ้นพร้อมกัน จนทั้งร่างทรุดฮวบ เข่ากระแทกพื้นดังกึง เหงื่อที่ผุดขึ้นทั่วตัว กระจายพราวลงกับพื้น
“ทำไมล่ะ ทำไม!”
หล่อนรัวกำปั้นลงกับพื้นราวไม่รู้สึกเจ็บปวด น้ำตาไหลพรากเพราะขัดใจตัวเอง
นานจนจำไม่ได้เสียแล้วว่า จิตใต้สำนึกสั่งให้ตัวเองเลิกเต้นรำอย่างเด็ดขาดตั้งแต่เมื่อไร ทั้งที่แต่ก่อนนั้น การเต้นคือชีวิตจิตใจของตน
พอได้ระบาย ทั้งด้วยหยาดน้ำตาและแรงสะอื้น ครู่ต่อมาราศีจึงค่อยดีขึ้น ค่อยๆ ปรับลมหายใจ ช่วยให้จังหวะของหัวใจเริ่มเข้าที่ หล่อนค่อยยันตัวขึ้น หยัดตัวตรงจ้องมองทั้งเรือนร่างผ่านกระจกเงาบานใหญ่อีกครั้ง
แก้มและปลายจมูกยังแดงปลั่ง ดวงตาทั้งคู่ดูช้ำนิดๆ หลังจากหล่อนปาดน้ำตาที่ยังค้างแก้ม ผมยุ่งเป็นกระเซิงจนต้องใช้สองมือสางให้พอเข้ารูป...
การเป็นนักเต้นระดับโลกนั่น... มันก็แค่ความฝัน เป็นความฝันที่หล่อนตัดสินใจละทิ้งมาเนิ่นนาน จากเพราะสาเหตุที่จำเป็น จนถึงตอนที่ตนเป็นฝ่ายเลือกว่าจะเลิก หยุดเต้นหยุดเริงระบำ เพื่อจะหนีให้พ้นจากอำนาจมนตราของภาคิน หลีกให้พ้นจากเสียงดนตรีอันชั่วร้ายของเขา และสาบานไว้เลยว่าจะไม่กลับไปสู่โลกมายาอันเจ็บปวดชั่วร้ายนั้นอีกแล้ว
แต่นั่นเหมือนกับการละทิ้งชีวิต ชีวิตที่เคยมีชีวิตชีวา มีความสุขเพราะการเต้น
เอาเถิด ความมีชีวิตชีวาอาจหาได้จากที่อื่น
“บางทีคุณนารทอาจมองเราได้ทะลุปรุโปร่ง เลยคะยั้นคะยอเรื่องพวกนี้”
ราศีเหลือบไปมองนิตยสารแฟชั่นล้ำสมัยที่ยังกองนิ่งอยู่บนโซฟา
“การแต่งตัวให้ดูดีมีสไตล์ก็ไม่ใช่เรื่องเลวร้ายอะไรนี่นะ ทำไมเราจะทำไม่ได้... ไม่สิ... เราจะต้องทำให้ได้...”
ทั้งที่พยายามจุดไฟในใจตัวเองอยู่อย่างนี้ แต่ร่างกายก็ยังไม่วายแสดงออก ว่าทั้งหมดที่จะต้องเผชิญต่อไป มันช่างยากเย็น สองไหล่ของหล่อนลู่ลง เมื่อนึกมาถึงตรงนี้ ท่าทางมั่นใจหรืออาจหาญต่อหน้านายจ้างไม่เหลืออยู่อีกแล้ว
การตามหานายภาคินหรืออีกนัยหนึ่งคือพ่อเลี้ยงของหล่อน ซ้ำเขายังต้องยอมให้สัมภาษณ์อย่างหมดเปลือก นั่นน่าจะยากมากกว่าที่จะผลักให้หล่อนไปยืนพูดอยู่ต่อหน้าผู้คน และแน่นอน... การแต่งตัวให้สวยมีเสน่ห์ ดึงดูดหรือจับใจผู้คนให้ได้นั้น ง่ายดายกว่าเยอะ...
น้ำอุ่นในอ่างกับเทียนหอมกลิ่นส้ม ทำให้อารมณ์ของราศีสดชื่นขึ้นบ้างในอีกหนึ่งชั่วโมงต่อมา กางเกงขาสั้นกับเสื้อกล้ามเนื้อนิ่มทำให้ทั้งร่างยิ่งรู้สึกผ่อนคลาย...
แต่แล้วก็กลับเครียดหนัก!
เพราะเมื่อทยอยเปิดอ่านจดหมายทีละฉบับ ฉบับหนึ่งมาจากบริษัทตัวแทนเจ้าของบ้านเช่า ก็หลังเล็กๆ ที่หล่อนอาศัยอยู่นี้ละ ที่จะหมดสัญญาในสิ้นเดือนนี้ และจะขอขึ้นค่าเช่าอีกเกือบเท่าตัว... อย่างนี้มันจะบีบไม่ให้ต่อสัญญาชัดๆ
“มันเป็นวันโลกามหาวินาศหรือยังไงล่ะเนี่ย!”
ที่เลือกใช้วิธีเช่าบ้านผ่านบริษัทตัวแทน เพราะพวกนี้จะดูแลบริเวณภายนอกให้สม่ำเสมอ แค่หล่อนรักษาความเป็นภายในที่เขาจัดตกแต่งไว้ไม่ให้บกพร่อง ความมั่นคงมั่นใจในความปลอดภัย มีคนคอยสอดส่องดูแล ก็ถือว่าราคาเดิมที่ค่อนข้างแพงนั้นคุ้มค่า
อาศัยว่าไม่ต้องกังวลกับที่อยู่มากนัก จะได้ทำงานได้เต็มที่ มีเรี่ยวแรงเหลือไปเยี่ยมมารดาได้บ้าง เงินเก็บที่ละลายไปกับการรักษาพยาบาลจนเกลี้ยงบัญชี ตอนนี้ก็มีแค่เพียงรายได้จากเงินเดือน ที่เป็นแบบเข้ามือซ้ายจ่ายมือขวา...
“แล้ว... ถ้า... ตกงาน...”
ราศีไม่อยากจะคิด ว่าชีวิตต้องตกระกำลำบากถึงขนาดไหน
นอกจากจะต้องตามล่าตัวนายภาคิน ต้องหัดแต่งตัวให้ทันยุคทันสมัยแล้ว หล่อนต้องเพิ่มการหาบ้านเช่าราคาถูกเข้าไปด้วย และต้องด่วนไม่แพ้เรื่องอื่นๆ ส่วนเรื่องย้ายโรงพยาบาลของมารดานั้นไม่เคยอยู่ในความคิด เพราะอย่างน้อยแม้อาการจะทรุดหนักขนาดนี้ ผู้เป็นแม่ของหล่อนก็ยังพอจดจำได้ว่า หมอคนนั้นเป็นใคร พยาบาลคนนี้เป็นใคร เรียกว่านั่นคือเยื่อใยที่ยังผูกให้แม่ได้สัมผัสกับโลกแห่งความจริง
เสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น ราศีต้องไปเปิดรับอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไร
คุณสร้อยก็คนหนึ่ง ที่แต่งตัวดูดีมีสไตล์ เหมาะสมและส่งเสริมให้ตัวเองยิ่งดูงดงาม แล้วยังจะผู้หญิงตรงหน้านี้อีกคน สมรแต่งตัวเรียบแต่เก๋จัดด้วยคัตติ้งแปลกตา ตามแบบสาวออฟฟิศมีรสนิยม ชุดสามชิ้นที่กางเกงกับเสื้อนอกตัดเย็บจากผ้าลินินสีบีช กับเสื้อตัวในคอวีสีขาวจุดน้ำตาลวาว ดูเข้ากันได้อย่างเพลินตา
เพื่อนที่รู้จักคบหากันมานาน พอเห็นว่าคนเปิดประตูรับยังนิ่ง ก็ต้องเอ่ยถาม
“พอดีผ่านมา เลยแวะมาดู เป็นไงบ้างล่ะราศี”
สมรเอ่ยชื่อเพื่อนไม่ตกหล่นเหมือนอย่างคุณนารถผู้เป็นเจ้านายของราศี
“ก็... สบายดี...”
“แต่ที่บ้านคุณนารท... เห็นหน้าซีดตัวซีดบนเวที”
พอได้ยินคำถามนี้ ราศีคิดว่าต้องรีบตัดบท เพราะเรื่องการซอกแซกซักไซ้ สมรถือเป็นมืออันดับต้นๆ ในวงการคนคุ้ยข่าว ถึงบุคลิกภายนอกจะดูเรียบๆ นิ่งๆ เก๋ๆ แต่อย่าให้หล่อนได้สนใจจะขุดคุ้ยอะไรขึ้นมาเชียว
“ฉัน... เป็นโรคกลัวการพูดในที่ชุมชนน่ะ”
“ไม่เห็นเคยบอกกันเลย”
สมรทำสีหน้าแปลกใจได้จริงจัง
“มันน่าเล่าให้ใครฟังไหมล่ะ ถ้าพูดกันตัวต่อตัวอย่างนี้ฉัน บ่ ยั่น แต่นั่นมันหลังไมโครโฟน ต่อหน้าคนมากมาย มันดูเป็นทางการเกินไป เธอเองก็เถอะ...จะไม่มีมั่งเลยหรือ ที่ว่ากลัวจนพูดไม่ออกน่ะ”
คนฟังนิ่งไปอีก ริมฝีปากที่เม้มเข้าหากันทำให้ราศีดูออกว่า หล่อนคงอยากพูดอะไร แต่ต้องไตร่ตรองเสียก่อน... อย่างจริงจัง
แล้วสมรก็คลี่ยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มบางๆ ดูเป็นมิตรและจริงใจอย่างไม่มีอะไรให้เคลือบแคลงสงสัย
“งานที่สมาคม ที่จะประมูลของดารา ตั้งใจว่าจะให้เธอเป็นพิธีกร คงไม่ว่ากันนะถ้าฉันจะบอกผู้จัดให้เขาลองเลือกคนอื่น”
“ให้เป็นแค่คนขายตั๋วก็ได้ ยังไงก็ช่วยเต็มที่อยู่แล้ว”
สองสาวเป็นสมาชิกของสมาคมเพื่อสิทธิมนุษยชนแห่งหนึ่ง แต่การเป็นอาสาสมัครช่วยงานให้ที่นั่น ก็ไม่ได้ช่วยให้ราศีหายจากอาการกลัวไมโครโฟน
“เอ้อ!... สมร เธอเก่งเรื่องตามหาคน ถามหน่อยสิ ถ้าจะตามหาใครสักคนนี่ เราควรเริ่มต้นทางไหน กับพวกที่ไม่อยากให้ใครตามเจอน่ะ”
ราศีเปลี่ยนเรื่องพูด เมื่อนึกขึ้นได้ว่าสมรมีความสามารถด้านนี้เป็นพิเศษ
“ก็ตามเครดิตของเขาสิจ๊ะ เขาจ่ายด้วยบัตรที่ไหนบ้าง เสียค่าค้นข้อมูลหน่อยเดียว เดี๋ยวก็เจอะ”
คนตอบ ตอบราวกับเป็นเรื่องง่ายดายเสียเต็มประดา
แต่มันไม่ง่ายสำหรับราศี ก็นายภาคินเป็นใคร หล่อนย่อมรู้อยู่แก่ใจ
“กับคนนี้ การตามรายการใช้จ่ายเป็นอันเลิกคิด”
“ก็ยังมีอีกตั้งหลายวิธี ที่ง่ายที่สุดก็คือไปสืบจากคนที่รู้จัก พวกเขาอาจยังติดต่อกันอยู่ หรืออย่างน้อยก็คงพอจะได้เบาะแสอะไรบ้าง ว่าแต่... ใครกันล่ะที่จะทำตัวลึกลับได้ขนาดนั้น”
“ภาคิน นายภาคิน วงษ์ราพณ์ ... คุณนารทอยากพบกับเขา”
สีหน้าของสมรเปลี่ยนไปทันทีที่ได้ยินชื่อนี้ และเสียงที่เอ่ยประโยคต่อมาก็แข็งกร้าวขึ้นจนน่าขนลุก
“ราศี เธอต้องระวังตัวให้มาก เราต่างก็รู้ดีว่า นายภาคินเป็นใคร... หรือ เป็นอะไร พวกมีทิพยากับไสยมนตร์เวทย์คาถาน่ะ มีแต่อันตราย ไว้ใจใครไม่ได้... หากจะต้องหาเขาให้เจอ ที่สำคัญที่สุดคือเธอต้องไม่ไว้ใจพวกเขา”
เป็นคำเตือนอย่างตรงไปตรงมา และตรงกับที่ราศีพยายามเตือนตัวเองอยู่ตั้งแต่แรก หล่อนได้แต่รับคำของผู้หวังดีเบาๆ
“ฉันจะไม่ประมาทเด็ดขาด”
สมรชวนคุยเรื่องจิปาถะอีกครู่หนึ่งก็ลากลับ ราศีเข้าครัว อีกสามนาทีถัดมาก็ได้สปาเก็ตตี้หอยลายผัดกระเพราควันกรุ่นหอมฉุยจากเตาไมโครเวฟ ระหว่างรับประทานก็เริ่มไล่เรียงรายชื่อบรรดาคนที่น่าจะเคยรู้จักหรือติดต่อคบหาอยู่กับนายภาคิน
กริ่งประตูหน้าบ้านดังขึ้นอีก อาจเป็นพนักงานขายหนังสือสารานุกรม หรือไม่ก็พวกขายเครื่องกรองน้ำอายุวัฒนะ หล่อนจึงหมกมุ่นกับการจัดเรียงรายชื่อตรงหน้าต่อไป จนกริ่งครั้งที่สองที่สามดังขึ้นไล่ๆ กัน ก็ยังไม่ขยับ
ในที่สุด เสียงหนึ่งจึงตะโกนผ่านเข้ามา
“นี่ป้าเอง มณฑา มีธุระจะคุยด้วยหน่อยจ๊ะ”
ราศีรีบวางปากกา โผไปเปิดประตู รู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูกเมื่อเห็นหญิงชราผู้มาเยือน
คุณมณฑาเป็นป้าสามีของคุณสร้อย มีที่ดินและเรือนส่วนตัวอยู่ในสุดซอยถัดไป และใครๆ ก็รู้จักว่าเป็นคนดั้งเดิมของแถวละแวกย่านนี้ รวมทั้งชินตากันดีกับสำเนียงและผิวพรรณที่ผิดแผกออกไป เพราะแต่ละคำพูดของหญิงชรานั้นมีเสียงสูงต่ำของแต่ละถ้อยคำชัดเจน ชนิดที่ว่าคนฟังจะได้ยินครบทุกอักขระ จะว่าเป็นเสียงเหน่อของบางท้องถิ่นก็ไม่ใช่ จะว่าเป็นสำเนียงของชนชาติเพื่อนบ้านก็ไม่เชิง
ส่วนสีผิวนวลลออ แลระยับคล้ายมีเปลวทองระเรื่ออยู่เป็นนิจนั้นก็เช่นกัน ดีที่ว่าเครื่องนุ่งห่มแต่งกายสีงาช้างที่มีทั้งผ้าพาดผ้าพันดูรุงรัง กับประคำมุกดาสายยาวและกำไลงาที่ซ้อนกันอยู่กว่าสิบวงบนท่อนแขนซ้าย ทำให้ทั้งตัวของหญิงชราดูเหมาะสมกลมกลืน ยามถูกพูดถึงตอนลับหลังว่า “ยายมณฑาแกขาดๆ เกินๆ อย่างนั้นละ”
คุณมณฑาเกษียณตัวเองจากงานประจำตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบได้ ราศีรู้เพียงแค่ว่าตั้งแต่รู้จักกันมา หญิงชรามีงานอดิเรกอยู่อย่างหนึ่งคือ คอยจับผิดชี้พิรุธของพวกทรงเจ้าเก๊กับพวกผู้วิเศษญาณทิพย์จอมปลอม
ราศีเปิดประตู้อ้าออกเต็มที่ เพื่อให้ผู้มากวัยเข้ามาได้สะดวก เจ้าสองแมวกระโดดแผล็วจากโซฟาลงมาสมทบกับเจ้าของ
“ว่าไงจ๊ะถุงเงินถุงทอง ได้กลิ่นเจ้าแซมละซี มันก็คิดถึงเหมือนกัน นานแล้วที่ไม่ได้ไปเยี่ยมหา แต่ถ้าจะไปเจ้าต้องไม่ไปรุมแกล้งเจ้าแต้มรู้ไหมล่ะ”
ระหว่างที่สนทนาอยู่กับเจ้าสองแมว คุณมณฑาก็ใช้ก้านดอกหญ้าปล้องที่เด็ดติดมือมาจากหน้าบ้าน หยอกเล่นกับพวกมันอย่างเอ็นดู ราศีต้องรอ จนพอใจแล้วหญิงชราจึงค่อยหันกลับมาเอ่ยกับหล่อนอีกครั้ง
“ป้าว่า... รีบพากันไปหาเจ้าแซมกับเจ้าแต้มเร็วๆ เลยสิ ที่จริงก็นี่ละธุระของป้า”
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ คุณป้ามาตั้งไกล เชิญนั่งก่อนค่ะ หนูมีน้ำผลไม้ ดื่มให้ชุ่มคอแล้วค่อยคุยกันก็ได้”
“ขอบใจจ๊ะ แต่ไม่ต้องหรอก ป้าก็กำลังรีบๆ นี่บอกไปหรือยังว่าป้าจะไปอยู่หลวงพระบางสักพัก”
“ผีบุญอีกหรือคะ”
“ใช่ เอาอีกแล้ว แล้วผู้คนที่นั่นก็เชื่อถือกันเป็นจริงเป็นจัง”
น้ำเสียงของผู้มากวัยทำให้คนฟังเข้าใจได้ทันทีว่า “ผีบุญ” รายล่าสุดนี้เป็นของปลอม
“เขาว่ามีกำลังญาณ นึกเห็นได้ย้อนภพย้อนชาติ ช่วยตัดบาปแก้กรรมให้ใครต่อใครก็ได้ เขาว่าจุติลงมาบำเพ็ญบารมี...”
กำไลงาช้างทั้งแถวเคลื่อนกระทบกันไปมาเกิดเป็นเสียงไพเราะประหลาด ยามเมื่อหญิงชรารวบชายแขนเสื้อกว้างใหญ่ให้ทบขึ้นมาบนข้อศอก ทำท่าอย่างหมั่นเขี้ยวผีบุญนั่นเต็มที่
“มีนักเรียนศิลปากรคนหนึ่งเขารับปากว่าจะมาอยู่เฝ้าบ้านให้ แลกกับได้อ่านหนังสือเก่าๆ ของป้า หนูก็รู้ว่าบ้านหลังเปลี่ยวอยู่โดดเดี่ยวก้นซอย คนที่จะผ่านเลยไปถึงนั่น ถ้าไม่ใช่พวกหลงทางก็ต้องเป็นนักตัดช่องย่องเบา...”
เจ้าสองแมวพร้อมใจกันโดดปุขึ้นมานอนเขี่ยกำไลเล่นอยู่บนตักกว้างของคนพูด หญิงชราก้มลงไปคุยกับพวกมันอีกสามสี่คำ ก่อนจะพูดกับหล่อนต่อไป
“นัดกันเป็นดิบดี ก็พอดีว่าหนูคนนั้นเขาป่วยกะทันหัน ทางบ้านโทร.มาบอกว่าต้องนอนโรงพยาบาล”
“คุณป้าเลยอาจต้องเลื่อนการเดินทาง...ออกไปก่อน หรือเปล่าคะ”
“ตอนแรกก็กลัวอยู่ เพราะทางโน้นเขาก็นัดหมายตระเตรียมการต่างๆ ไว้ให้พร้อมหมดแล้ว ป้า... ก็เลยลองเพ่งขันน้ำมนตร์ พูดไปก็ไม่น่าเชื่อ... ป้าเห็นหนูราศียิ้มกระจ่างอยู่ หรือว่ายังไรดี ช่วยไปดูแลบ้านให้ป้าสักพักได้ไหมจ๊ะ”
หญิงสาวนิ่งไป ตกใจกับข้อเสนอที่เหมือนตกลงมาจากฟ้า จนหล่อนตั้งตัวไม่ทัน เพราะนึกไม่ออกว่า ใบหน้าของตนจะไปลอยอยู่ในขันน้ำมนตร์ที่เรือนมณฑานั่นได้อย่างไร
“ไป...อยู่... ดูแลบ้าน... หรือคะ”
หล่อนต้องทวนคำช้าๆ
“ใช่จ้ะ พวกบิลต่างๆ ป้าให้เขาหักผ่านบัญชีธนาคารอยู่แล้ว เอาเจ้าถุงเงินถุงทองไปด้วยนะ สองตัวที่เรือนจะได้มีเพื่อนเล่น ไม่แน่หรอก... ถ้ามันลุกลามไปถึงผู้มีอิทธิพลขึ้นมา ป้าอาจต้องอยู่ที่โน่นเนิ่นนานออกไป...”
คราวนี้หญิงชราหยุดพูด เพราะเห็นราศีเงียบไปอีก
ที่จริงเพราะหล่อนกำลังดีใจต่างหาก นึกถึงคำพูดของใครบางคน ที่ว่าในเคราะห์หามยามร้าย ย่อมต้องมีสิ่งดีเกิดขึ้นเสมอ
“คือ... ด้วยความยินดีค่ะคุณป้า อันที่จริงที่นี่กำลังจะขึ้นค่าเช่าแบบขูดเลือดขูดเนื้อ หนูคงต้องหาที่อยู่ใหม่ จะได้ไปอาศัยอยู่ที่เรือนคุณป้าก่อน จะได้มีเวลาหาลู่ทางอะไรๆ ได้มากขึ้น”
“เป็นอันตกลงกันละนะ อย่างนั้นค่ำๆ แวะไปหาป้า จะได้บอกว่าอะไรอยู่ตรงไหนกับให้กุญแจไว้เลย ป้าต้องออกเดินทางตั้งแต่เช้ามืด จะได้สะดวกหนูจะย้ายเข้าไปอยู่เมื่อไหร่ก็ได้”
“ได้เลยค่ะ”
ก็ตั้งสามสัปดาห์ที่คุณนารทห้ามไม่ให้หล่อนกลับเข้าไปทำงาน หากไม่ได้ตัวนายภาคินกลับไปด้วย
และพอนึกถึงผู้เป็นนายจ้าง ราศีก็นึกบางอย่างขึ้นมาได้
“คุณป้ามณฑาคะ คือ... เท่าที่เห็นหนูมา คิดว่าหนูเชยมากไหมคะ”
ก่อนจะตอบคำ ผู้มากวัยสบสายตากับหญิงสาวด้วยแววตาปรานียิ่ง
“จ้ะ... แต่ก็ดูเรียบร้อยดี สาวสมัยนี้มันปรู๊ดปร๊าดยังไงก็ไม่รู้ ป้าชอบอย่างหนูมากกว่าจ้ะ”
เป็นไงล่ะ!
คนแก่วัยกว่าเจ็ดสิบที่ชอบเกล้ามวยปักปิ่น ยังคิดเลยว่าหล่อนเชย
“อ้อ ยังมีอีกบางเรื่อง...”
คุณมณฑาหันกลับมาตอนเดินถึงหน้าประตู
“พวกตำรากับเครื่องรางต่างๆ ส่วนมากป้าลงคาถากำกับไว้ ถ้าหนูสนใจก็ต้องระวังนิดนึง”
“เรื่องนี้คุณป้าไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ”
หญิงชรามองหล่อนตรงๆ อีกครั้ง คราวนี้ส่งแววทั้งเมตตา กรุณา กระทั่งมุทิตาปรานีมาเลยทีเดียว
“เชื่อป้าเถอะ ภาพนิมิตไม่เคยโกหก ที่พลาดก็เพราะคนมองเองต่างหาก ที่ปรุงแต่งให้ใช่หรือไม่ใช่ตามที่ใจเขาอยากหรือไม่อยากให้เป็น... อีกอย่างหนึ่งคือ... จะมีแขกของป้ามาพักอยู่ด้วย พอเขามาถึง หนูก็ให้พักที่ห้องพักแขกได้เลยนะจ๊ะ”
อาจเป็นคนรู้ใจของคุณป้าก็ได้ใครจะรู้...
“คุณป้าไม่ให้เขาอยู่ดูแลบ้านให้เสียเลยล่ะคะ”
“คีตธรน่ะรึ ไม่เหมาะหรอกน่า ต้องหนูนี่ละ และป้าคิดว่าสองคนน่าจะเข้ากันได้ดี”
พูดจบคุณมณฑาก็ลาไป หล่อนให้ราศียืนสงสัยอยู่ไม่วายว่า นอกจากที่เห็นหล่อนในขันน้ำมนตร์นั่นแล้ว ยังมีอะไรอย่างอื่นอีกหรือเปล่าหนอ
ราศียังสับสนกับความฝันอันแสนอุตลุด ซึ่งจำไม่ได้เสียแล้วว่ามันคืออะไร จึงยังมึนๆ งงๆ ตอนรู้สึกตัวตื่น สะดุ้งเมื่อรู้สึกว่ามีอะไรแหลมๆ คมๆ กำลังตะกุยกรีดอยู่ที่นิ้วเท้า
หล่อนชักขาเข้าในผ้าห่ม เพ่งมองให้เห็นชัดก็ยิ่งแปลกใจ เจ้าแซม แมวของคุณมณฑามาทำอะไรอยู่ที่นี่
แล้วก็ค่อยระบายลมหายใจอย่างปลอดโปร่งโล่งอก...
ใช่ซี... เราจะได้อยู่บ้านนี้ไปอีกอย่างน้อยก็สามสี่เดือน
ที่นอนนุ่มสบาย ห้องโปร่งกว้างเพดานสูง กับมีอีกสองเหมียวเป็นเพื่อนใหม่
ใช่แล้ว... เมื่อคืน หล่อนเพิ่งย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านนี้ บ้านของคุณมณฑา โสมสวรรค์ พร้อมกับแมวอีกสองตัว
สองเหมียวเจ้าของบ้านคงเห็นเป็นเรื่องสนุก กับการได้มุดผ้าห่ม ไล่ตั้งอกตั้งใจเขี่ยปลายเท้าของหล่อนต่อไป แล้วอีกสองแมวคือเจ้าถุงเงินกับถุงทองก็กระโจนขึ้นร่วมวงด้วย
“พอเถอะน่า เลิกสนุกกันได้แล้ว”
ราศีแกล้งตลบผ้าห่มคลุมพวกแมวๆ เอาไว้ ยันตัวลุกขึ้น ยืดสองแขนออกไปสุดล้า แล้วบิดไปมาอย่างสบายอารมณ์ ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียง สวมยีนขาสั้นชายลุ่ยตัวเก่ง กับเสื้อยืดตัวโคร่งพิมพ์ลายอักษรฮินดีเป็นคำ “นะโม” ตัวโต เสยผมให้เข้าที่แล้วค่อยพาตัวเองไปทางห้องครัว
มองจากภายนอก เรือนมณฑา เป็นเรือนไทยปลูกอย่างเรือนคหบดีโบราณ คือมีห้องหับล้อมอยู่รอบชานกลาง กลางชานยังมีศาลาโถงอีกหลัง ตั้งไว้ด้วยตั่งเตี้ยบนเสื่อเตยผืนนุ่ม มีหีบใหญ่ตั้งอยู่สองใบกับมีตู้กระจกผอมสูง จัดโชว์เครื่องแก้วเจียระไน เครื่องเคลือบกังไส สังคโลก จนกระทั่งเบญจรงค์
และโถงศาลากลางเรือนนี้เอง ที่ยังสำแดงความเก่าแก่ของข้าวของเครื่องใช้ เพราะนอกนั้น ภายในห้องทุกห้องล้วนตกแต่งใหม่ เป็นอย่างทันสมัยและสะดวกสบายสำหรับผู้ใช้สอย ราศีคิดว่าเพราะคุณมณฑาแก่ชรา หากต้องดูแลซอกมุมมากมาย ตามโครงสร้างห้องหับโบราณของเรือนไทยขนานแท้คงไม่ไหว เธอเลยให้ช่างมาตกแต่งภายในเสียใหม่ ให้สะดวกพร้อมใช้ไปเสียทุกห้อง
ห้องครัวก็ทันสมัย ไม่ใช่เรือนครัวตามบ้านไทยที่ต้องแยกออกไปจากเรือนใหญ่ ห้องครัวที่อยู่บนตัวเรือน เป็นห้องยาวด้านทิศตะวันตก กั้นส่วนหนึ่งไว้ตั้งโต๊ะรับประทานอาหาร อีกส่วนบิวท์อินทั้งหมดให้ปลอดภัยทันยุค พร้อมสรรพด้วยเครื่องใช้ไฟฟ้าสารพัน ตั้งแต่เครื่องชงกาแฟ กาน้ำร้อน จนถึงเครื่องดูดอากาศ ตู้เย็น เตาอบและเตาไมโครเวฟ
ราศีได้กาแฟสดหอมกรุ่นมาถ้วยหนึ่ง ในเวลาไม่ถึงห้านาทีหลังจากก้าวเข้ามาในนี้
หล่อนถือแก้วออกมาที่ชานกลางอีกครั้ง อยากจะเดินสำรวจให้ละเอียดอีกรอบ กับบ้านหลังใหม่แบบชั่วคราวของตนเอง
เสียงกระดานลั่น กับเสียงสลักไม้ขัดเสียดกันดังแอดอาด คงเป็นอีกสัญลักษณ์ของบ้านนี้ อย่างที่คนโบราณเขาว่า เรือนไทยอย่างดีไม่ต้องมีตะปูสักดอก ก็ทรงตัวคุมเครื่องเป็นเรือนหมู่อยู่ได้เป็นร้อยปี และกับกลิ่นหอมจางนวลอ่อน คล้ายกำยานกำจายกลิ่น หากแต่นุ่มนวลหวนหอมกว่ากันมาก นี้ก็เป็นเฉพาะกับเรือนมณฑาเท่านั้น
เหมือนมีเสียงกระซิบเรียกหา นำพาให้หันไปทางหอห้องด้านในสุด รู้ว่าประตูด้านซ้ายคือห้องนอนของคุณมณฑา ขณะที่หลังประตูสุดห้องทางด้านขวา ภายในคือหอพระ
เสียงกระซิบแผ่ว เชิญชวนให้หล่อนก้าวใกล้เข้าไปตรงนั้น
เมื่อคืนคุณมณฑาไม่ได้เปิดให้ดู แต่ก็ไม่ได้ห่วงห้าม เพียงแค่ย้ำให้ระมัดระวังให้มาก ก็แค่นั้น
และราศีก็บอกตัวเองแล้วว่าจะไม่ย่างกรายเข้าใกล้ ไม่ยุ่งเกี่ยวกับสิ่งลึกลับใดๆ อีกแล้ว เพราะเคยเห็นผลของมันอย่างชัดแจ้ง ทั้งมารดาทั้งพ่อเลี้ยงต่างพากันหลงใหลชื่นชม แต่ตนไม่เคยไว้วางใจ แม้ไม่ได้เกลียดกลัวเหมือนสมร แต่ก็ไม่ได้เคยรู้สึกสบายใจเมื่อได้อยู่ใกล้ชิด
แต่หล่อนก็ยังผลักบานประตู มันเปิดเข้าไปอย่างง่ายดายและปราศจากเสียงของความเก่าแก่ กลิ่นหอมอวลคลุ้งเข้ามาแตะจมูก ราศีเพิ่งนึกออกว่ามันคือกลิ่นของไม้หอมบางชนิด อาจเป็นแก่นจันทน์หรือไม่ก็กฤษณา
ห้องนี้ก็ทันสมัย ผนังด้านหนึ่งมีช่องชั้นหลั่นลด บรรจงจัดวางพระพุทธรูปปางต่างๆ อย่างได้จังหวะงดงาม ต่ำลงมามีชุดโต๊ะหมู่ตั้งรายไปด้วยเทวรูปสำคัญ มีคนโทและแก้วมีเชิงบรรจุน้ำใสสะอาดถวายบูชาอยู่ครบถ้วน ผนังด้านติดกันเป็นชั้นหนังสือ มีตำราหรือคัมภีร์ต่างๆ วางนอนซ้อนหันสันออกให้สะดวกเลือกหา ถัดมาอีกด้านเป็นโซฟาทรงเหลี่ยมที่นั่งสบาย หรือจะชักเท้าขึ้นมาขัดสมาธิก็ง่ายดายไม่เอนเอียง ข้างโซฟามีโต๊ะเตี้ย ตั้งไว้ด้วยเครื่องเล่นซีดี กับชุดขวดน้ำมันหอมระเหยสีสันต่างๆ กัน
ขวดหนึ่งเป็นสีฟ้าล้ำลึก คล้ายมีประกายวาวระยิบล่องลอยอยู่ภายใน ราศีลองเปิดฝา อวลไอพลุ่งขึ้นมาทันที เป็นกลิ่นอะไรก็บอกไม่ถูก รู้แต่ว่าหอม หอมอย่างลึกซึ้ง รวมทั้งรู้สึกได้ทันทีว่า ความหอมนั้นแผ่ซ่านเข้าไปได้ถึงทุกอณูเนื้อ จนกระตุ้นความปรารถนาบางประการให้ลุกโชน
ราศีรีบปิดฝา... อันตรายอย่างที่คุณมณฑาบอกไว้จริงๆ
หล่อนเอื้อมมือไปกดปุ่มเล่นเครื่องเสียง น่าสนใจเหมือนกันว่าในหอพระอย่างนี้ หญิงชราจะเปิดบทเพลงเช่นไร แล้วเสียงที่คุ้นเคยก็ดังขึ้น เป็นเสียงอ่อนโยนของเครื่องสาย ไม่ใช่ไวโอลิน แต่เป็นวิโอล่า ขนาดใหญ่กว่ากันเล็กน้อย และเสียงทุ้มนุ่มกว่า ราศีมองหาปกอัลบั้ม พอเห็นก็ยิ้มออกมา นี้เป็นฝีมือการบรรเลงเฉพาะกิจ ของ ริศา ทักษิณาวรรณ ผู้เป็นมารดาของหล่อนเอง
หญิงสาวโยกตัวตามจังหวะทำนอง นั่งลงบนโซฟาตัวสบาย แล้วเริ่มไล่สายตาไปตามชั้นหนังสือ ที่มีตั้งแต่คัมภีร์มหายาน เคล็ดลับแก้กรรม วิธีตัดบ่วงถ่วงชีวิต และแน่นอน พวกหนังสือสแกนกรรมของทุกอาจารย์ที่ผู้คนรู้จัก ก็มีวางเรียงไว้เป็นตั้งๆ ราศีมองผ่านเลยไปจนสะดุดเข้ากับเล่มหนึ่ง
คัมภีร์ภูต หน้าปกเขียนไว้แค่นั้น ไม่มีรายละเอียดอื่นใดอีก จนต้องลองพลิกเปิดเข้าไปด้านใน อักขระนั้นเป็นภาษาไทยอย่างที่ใช้อ่านเขียนกันทั่วไป เพียงแต่เป็นลายมือเขียนเล่นหัวหางเหมือนพวกอาลักษณ์ในพระราชวัง มีภาพประกอบเป็นลายเส้นแรเงา คมชัดดุดัน
‘คนธรรพ์คือภูตา มันจักมาขยี้ใจ สาวเจ้า ณ หนใด ระวังระไวให้จงดี มนตร์เล่ห์เสน่ห์หนัก จะตรึงรักไม่ถอยหนี กระทำและย่ำยี จนสาที่หัวใจมัน แล้วละให้นางร้าง เปลี่ยวอ้างว้างทุกคืนวัน สังวรไว้ทุกนางนั้น คือทาสมัน...ทาสหัวใจ’
คำบรรยายใต้ภาพที่ราศีอ่านออกเสียงเบาๆ จับได้ว่าผู้เขียนข้อความนี้ คิดอย่างไรกับพวกคนธรรพ์ นักดนตรีแห่งสรวงสวรรค์ ยิ่งเมื่อพิจารณาดูภาพประกอบให้ดี ก็เห็นว่าหากฆ่าพวกนี้ได้คงต้องฆ่า แม้ว่าจะเป็นการกรุ้มรุมก็จะกระทำ
หล่อนรีบพลิกผ่าน หน้าถัดมาน่าสนใจขึ้นนิดหนึ่ง มันเขียนว่า “คาถาสะกดพลังภูต” แล้วก็มีรายละเอียดยิบย่อย ที่ราศีนึกไม่ออกว่า ก้อนดิน สายสิญจน์ และตะปูเจ็ดป่าช้าจะเข้มขลังได้ขนาดนั้นเชียวหรือ
เผลอพึมพำอ่านคำตามคาถา อยู่ๆ ขนก็ลุกเกลียวขึ้นมา
คล้ายมีลมผ่าน เป่าแผ่วกระทบต้นคอ ราศีถึงกับสะดุ้ง เหลียวมองไปรอบตัว ไม่มีใครหรือสิ่งอื่นใด ต้องสูดลมหายใจเข้าช้าๆ... เริ่มตระหนักชัด... แม้ไม่น่าเชื่อถือ แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะเอามาล้อเล่น
แต่ปรากฏการณ์เล็กๆ ที่เกิด ก็ทำให้ คัมภีร์ภูต มีความน่าสนใจเพิ่มขึ้น หล่อนพลิกอ่านผ่านๆ เรื่อยไป จนสะดุดเข้ากับคาถาอีกบทหนึ่ง “คาถามหาเสน่ห์” ...ปลุกความมั่นใจที่หลับใหล ให้ฟื้นคืน...
อาจจะเหมาะกับตน
ถ้าคาถานี้เข้มขลังจริง อาการหวาดกลัวการขึ้นไปอยู่หลังไมโครโฟน อาจหายไปก็เป็นได้
กระจกเงา ปอยผม กับเทียนขี้ผึ้งแท้หนักสามบาท...
ง่ายไปไหม...
พอมองหา เทียนขาวแพหนึ่งก็วางอยู่ให้เห็น ไม่แน่ใจในสีและน้ำหนัก แต่พออ่านฉลาก คำว่า เทียนขี้ผึ้งแท้ น้ำหนักเล่มละ ๓ บาท ก็ปรากฏแก่ตา ทำให้หล่อนถึงกับอมยิ้ม กับเหตุการณ์ที่บังเอิญจัดสรร ราวกับอยากให้หล่อนกลับกลายเป็นคนมั่นใจในตัวเองได้ตั้งแต่วินาทีนี้
กระจกเงากรอบเงินแบบมีด้ามจับ วางแอบอยู่หลังเคลื่องเล่น ราศีหยิบขึ้นมาหมายจะลองส่องดู ผมเส้นหนึ่งก็ร่วงลง
เอาละ... เป็นไงก็เป็นกัน
.................................
ความคิดเห็น