ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    คีตมายา

    ลำดับตอนที่ #2 : เงื่อนไขที่ไม่อาจปฏิเสธ

    • อัปเดตล่าสุด 14 ต.ค. 55


     

    บทที่ ๑

     

                ราศี ทักษิณาวรรณ รู้สึกถึงแรงระรัวของหัวใจ มันกระตุกเต้นจนแทบหลุดออกมานอกเนื้อ สายตาพร่าจนเห็นแถวอักษรในแผ่นกระดาษนั้นซ้อนกันเป็นหลายแถว แดดสายแผดแสงให้กระดาษขาววาวแสงขึ้นจนบาดตา อาการทั้งหมดอึกอักอึดอัดจนพูดอะไรไม่ออก

                เหมือนจะเป็นลม จนต้องรีบเท้ามือลงบนโต๊ะ แล้วทรุดตัวลงนั่น

                “ทั้งที่เริ่มแล้วแท้ๆ ทำไมไม่ทำให้มันจบๆ ไปล่ะ ยัยเชื้อรางี่เงา”

                ยามทำสิ่งใดไม่ถูกใจตน ราศีมักจะบ่นว่าตัวเองเช่นนั้น

                “เอาเถอะ แค่ไม่กี่ประโยค ทำไมจะทำไม่ได้”

                และก็มักจะให้กำลังตัวเองเช่นนี้เสมอ

                “ไม่ได้ขึ้นไปแสดงละครเวทีเสียหน่อย แค่อ่านตามไปทีละตัวก็ยังได้...”

                เมื่อคำปลอบแรกไม่สามารถผลักดันให้ร่างกายลุกขึ้นยืนได้ ก็ต้องมีถ้อยคำอื่นๆ ตามมา

                ราศีสูดหายใจลึกๆ ระบายลมหายใจออกมายาวๆ ปรับสายตาให้ตัวอักษรที่ดูลอยซ้อนกันไปมานั่นหยุดขยับเสียที

                คุณ “นารทลิขิต” ขอขอบคุณสื่อมวลชนสายวรรณกรรมทุกท่าน ที่ช่วยสนับสนุน “วิมานเทวา เดอะ ซีรี่ย์” ให้ได้รับเสียงตอบรับจากผู้อ่านอย่างรวดเร็ว สามารถขึ้นครองอันดับหนึ่งหนังสือขายดีในทุกหน้าร้านได้ภายในสองสัปดาห์ เสาร์สุดท้ายปลายเดือน จึงขอเรียนเชิญทุกท่าน มาเป็นเกียรติในงานฉลองการเปิดตัว “วิมานเทวา เดอะ ซีรี่ย์” ด้วยกันอีกครั้ง...

                “ก็แค่นี้ ทำไมเธอถึงจะทำไม่ได้!

                หล่อนชักโกรธตัวเองจริงจัง

                “มันก็แค่ประกาศ ยากเย็นตรงไหนล่ะ”

                จนแล้วจนรอดราศีก็ไม่สามารถยืนขึ้นได้อีกครั้ง เหงื่อเริ่มซึมไปทั่วแผ่นหลัง ทั้งที่มีร่มไม้ใบบัง แถมยังมีสายลมอ่อนๆ พาพัดกลิ่นหอมของดอกไม้นานาพรรณที่เจ้าของบ้านชื่นชอบนักหนา แต่หล่อนก็ยังรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไปทั้งตัว โดยเฉพาะที่ใจนั้น มันร้อนรนจนบอกตัวเองได้เลยว่ากำลังกระวนกระวายอย่างหนัก

                “ยัยเชื้อรา!!! แกต้องทำให้ได้!!

                ราศีกัดฟัน ยันตัวขึ้นอีกครั้ง หายใจลึกๆ อัดลมหายใจไว้ในอก นึกถึงขั้นตอนการพูดต่อที่ประชุมชนที่เคยอ่านผ่านตามาจากหนังสือหลายต่อหลายเล่ม

                “หัวผัก หัวปลา หัวผัก หัวปลา...”

                เริ่มท่องซ้ำๆ ขณะกวาดสายตาไปรอบๆ เสมือนกำลังทุกทักทายกับนักข่าวทุกคนและกล้องทุกตัว

                “ก็หัวคนทั้งนั้น หัวผักหัวปลาที่ไหนกันล่ะ นั่นก็รู้จัก นั่นก็เคยเห็น คนนั้นที่เคยเขียนด่าคุณนารท นั่นก็อีตาขี้หลีจอมลามก”

                รู้สึกเหมือนจะอาเจียน หัวหมุนติ้ว เม็ดเหงื่อผุดพราวใบหน้า ความกลัวกับความอับอายกำลังต่อสู้กันอย่างหนัก และไม่เห็นวี่แววว่าตัวความกล้าจะเข้ามาช่วยยุติศึกภายในใจนี้ได้ตอนไหน

                “เป็นอะไรไป!

                คำถามจากเสียงที่ราศีไม่อยากได้ยินดังขึ้นจนได้ เป็นเสียงแหบๆ ของคนที่ดื่มหนัก สูบบุหรี่จัดและอดนอน ที่ดังขึ้นข้างหลังหล่อน

                แล้วเขาก็ก้าวขึ้นมานั่งข้างๆ ดึงไมค์เข้าใกล้ตัว พูดด้วยถ้อยคำสั้นๆ แล้วก็ลุกขึ้น เดินหายกลับเข้าไปในบ้าน... ง่ายๆ... สั้นๆ...

                “แค่นี้น่ะเหรอ”

                ราศียังมองค้างอยู่ที่ไมโครโฟน

                ขอบคุณที่มาร่วมงาน อีกสามสัปดาห์ค่อยพบกันใหม่

                    ก็... หล่อนไม่ได้เป็นเขานี่นะ

                ราศีพยายามหาเหตุผลให้ตนเอง หลังจากตั้งสติได้อีกครั้ง ลุกขึ้นและถอยลงจากเวทีซึ่งเป็นแค่ยกพื้นเตี้ยๆ ที่ตั้งอยู่กลางลานหน้าบ้านของนักเขียนคนดัง

                พอพาตัวเองหลุดพ้นจากประตูหน้าบ้านเข้ามา ก็ถึงกับหมดแรง ใช้แผ่นหลังยันไว้กับบานประตู หัวใจที่เต้นตึกตักตูมตามนั้น ปรับจังหวะได้ดีขึ้นแล้ว เหงื่อที่ราวกับหลั่งออกมาได้จากทุกขุมขนเริ่มแห้ง กลิ่นหอมอ่อนๆ แม้จะปนอยู่กับความอับชื้น แต่ก็ยังทำให้หล่อนอารมณ์เย็นลงได้ ส่วนแสงอ่อนๆ เพราะภายในบ้านส่วนใหญ่รูดม่านปิดหมด ก็ดูเหมือนจะทำให้สายตาของหล่อนใช้การได้ดีขึ้น

                ตอนนี้เหลือเพียงอย่างเดียวที่ยังไม่จางหาย...

                นั่นคือ

                ความอับอายขายหน้าล้วนๆ

                “คุณศี เราต้องคุยกัน”

                เสียงของคุณนารท ที่ยืนดูอากัปกิริยาของหล่อนตั้งแต่แรกเริ่มพูด หลังจากรอให้หญิงสาวตรงหน้า ค่อยๆ เรียกสติให้กลับคืนมา

                    คนถูกเรียกไม่ชอบเลยที่ชื่อตนถูกเอ่ยขึ้นอย่างนั้น แต่เป็นครั้งแรกที่หล่อนไม่ได้บอกให้เขาแก้คำเรียกนั้นให้ถูกต้องเหมือนอย่างที่เคย

                ตอนนี้ราศีทำได้แค่เพียงเดินตามเขาเข้าไปในห้องด้านใน ห้องที่อาจเรียกว่าถ้ำของสิงเฒ่าจำศีลมากกว่า เพราะมันทั้งมืดทึมและอับทึบ มีตู้ ชั้นและโต๊ะใหญ่ ที่วางเรียงเต็มไปด้วยหนังสือ หนังสือ แล้วก็หนังสือ ที่ไม่ต้องคิดจะมองหาความเป็นระเบียบเรียบร้อยในห้องนี้

                คุณนารถเดินนำไปทางโซฟาหนังสีเบอร์กันดีตัวใหญ่ ที่ทั้งดูขึงขังและคร่ำคร่าในเวลาเดียวกัน มันตั้งอยู่ด้านในสุดของห้อง ติดกับหน้าต่างที่มีม่านสีเขียวมะกอกตุ่นๆ แขวนปิดไว้ตลอดเวลา

                เขาแวะตรงเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม รินบรั่นดีลงในแก้วเจียระไนทรงเตี้ย สีสันของสุราชั้นดีนี้งามระยับจับตา เมื่อถูกแสงจากโคมไฟบนโต๊ะทำงานส่องผ่าน บุหรี่ยี่ห้อนำเข้าราคาแพง เป็นมวนกลมเล็กๆ เหมือนหลอดกาแฟ ส่งกลิ่นฉุนขึ้นทันทีที่เขาดึงออกมาจากซอง

                ยังไม่ทันได้จุดด้วยซ้ำตอนที่ราศีเข้ามาดึงมันไปจากมือ แล้วโยนทิ้งลงตะกร้าข้างโต๊ะไป โดยไม่ไยดีกับแววอาลัยในดวงตาของชายตรงหน้า

                และก่อนที่คุณนารทจะได้ยกแก้วบรั่นดีขึ้นจิบเพื่อดับความขุ่นข้องที่เพิ่งบังเกิด แก้วนั้นก็ถูกหล่อนฉวยไปจากมือ เททิ้งลงในกระถางบอนไซตายซากที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเตี้ยอีกตัว รินน้ำเปล่าใส่แทน แล้วค่อยยื่นกลับคืนให้เขา

                “นี่มันเรื่องอะไรกันคุณศี”

                อีกเป็นอึดใจทีเดียว กว่าที่เขาจะเอ่ยประโยคนี้ออกมาได้

                “ราศีค่ะ กรุณาเรียกดิฉันว่า ราศี ก็เหมือนกับที่คุณไม่ชอบให้ใครๆ เรียกคุณว่าคุณนารท (นาด)  ใช่ไหมล่ะคะคุณนา-รท และถ้าจะถามเรื่องนี้...” หล่อนปรายตาไปที่แก้วทรงสวยที่บัดนี้บรรจุน้ำเปล่าอยู่ค่อนแก้ว “...คุณสั่งไว้เองนะคะ ก่อนหนึ่งทุ่มห้ามให้คุณดื่มหรือสูบเด็ดขาด”

                    พฤติกรรมที่คุ้ยเคยของคุณนารท บวกกับการไม่ต้องยืนอยู่ต่อหน้าผู้คน โดยมีไมโครโฟนจ่ออยู่ที่ปาก ทำให้หญิงสาวกลับมาเป็นตัวของตัวเองได้อีกครั้ง นอกจากเรื่องการต้องออกไปพูดจาต่อหน้าไมค์นั่นแล้ว หล่อนก็มั่นใจว่าทำการงานอื่นใดที่ได้รับมอบหมาย ได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง

                “ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องเหล้ายาบ้าบออะไรนี่... คุณก็รู้ว่าผมจะไม่ออกไปทำอย่างนั้นเด็ดขาด ถ้าไม่จำเป็นอย่างถึงที่สุด แต่นั่น... คุณทำให้ภาพพจน์ที่ผมสร้างขึ้นมาเสียหาย คุณเกิดประสาทเสียอะไรขึ้นมาล่ะ”

                ราศีใจแป้วไปตังแต่คำแรกนั่นแล้ว หล่อนต้องทำเป็นหันไปมองทางอื่น รอให้เขาพูดคำสุดท้ายจนจบ จึงค่อยหันกลับมาส่งยิ้มเจื่อนๆ กลับไป รอจะให้เขาเอ่ยอะไรออกมาอีก แต่ก็เปล่า... ซ้ำตาคู่คมก็หรี่ลง อย่างกับกำลังจ้องจะเค้นหาความจริงจากฆาตกรต่อเนื่อง

                “เอ่อ...” พอหล่อนเริ่มต้น สายตาอย่างที่เห็นนั่นจึงค่อยคลี่คลาย

                “ดิฉันมีปัญหานิดหน่อยกับการออกไปพูดต่อหน้าคนเยอะๆ ที่จริง...หลายคนก็กลัวเรื่องอย่างนี้นะคะ แบบที่ว่าให้ไปกระโดดบันจี้จั๊มยังง่ายกว่า...”

                “มันก็จริง แต่คนส่วนใหญ่ หรือที่จริง...”

    คุณนารทเลียนแบบคำพูดของหญิงสาวเอาบ้าง

    “ที่จริง... ทุกคนที่มีหน้าที่อย่างคุณ ก็ไม่ทำท่าเหมือนคลื่นเหียนอาเจียน จะเป็นลมกะทันหันอย่างนั้น และ...ถึงบางคนอาจจะมีอาการอย่างนั้นบ้าง พวกเขาก็พยายามสู้กับมัน ทำต่อไปให้สำเร็จ แต่คุณกลับไม่... ที่สำคัญคือ คุณไม่ยอมบอกผมก่อนว่าคุณทำไม่ได้”

                “ก็ คิดว่า... แค่... แค่ขึ้นไปพูดข้อความแค่สองสามประโยค...”

                ราศีไม่ได้สบสายตากับเขาอีก มือหนึ่งเริ่มพยายามคลี่รอยพับตรงขอบชายแขนเสื้ออีกข้าง พร้อมกับการต้องพยายามข่มความรู้สึกอับอายขายหน้าต่อการกระทำของตนเอง ที่คนตรงหน้าพูดออกมาตรงๆ ขนาดนั้น

                “คือ... ดิฉันคิดว่าตัวเองจะทำได้ เรื่องกลัวไมค์อาจจะหายไปแล้ว”

                หล่อนมองตาเขาอีกครั้ง พอพบกับสายตาที่ยังจ้องเขม็งอยู่ ทำให้ต้องพูดต่อ

                “ขอโทษค่ะ... ฉันเสียใจ... ที่จริงฉันน่าจะบอกคุณก่อน”

                “ผมก็ไม่คิดมาก่อนว่าคุณจะเป็นแบบนี้”

                น้ำเสียงของคุณนารทคลายความเข้มข้นลงบ้างแล้ว

                “ค่ะ ดิฉันไม่ได้ต้องทำอะไรอย่างนั้นมานานแล้ว เอ่อ... คุณนารทคะ คราวหน้ายกหน้าที่อย่างนี้ให้สำนักพิมพ์ช่วยจัดการให้น่าจะสะดวกกว่านะคะ”

                “คุณก็รู้ว่าพวกนั้นเขาอยู่แถวลาดพร้าวโน่น ซึ่งก็ดีกับผมอยู่แล้ว จะได้ไม่ต้องมายุ่งยากอะไรกับผมถึงแถวพุทธมณฑลนี้ และเรื่องอย่างนี้ ผมต้องการให้คนของผมที่นี่จัดการให้ได้ สรุปก็คือ มันคือหน้าที่ที่คุณต้องรับผิดชอบ”

                เสียงที่เข้มข้นนั้นอ่อนลงอีก แต่สายตายังจ้องตรงมาอยู่ไม่วาย

                “แต่ฉันถนัดทำงานอยู่เบื้องหลังมากกว่า...”

    รอยพับเจ้ากรรมที่แขนเสื้อที่พยายามคลี่เท่าไรก็ไม่ยอมเรียบ จนหล่อนเผลอกระตุกมันไปมา จนกลายเป็นท่าทางแปลกๆ ที่ผู้ชายที่อยู่ข้างหน้านี้ก็คงสังเกตเห็นได้ไม่ยาก

    “...เถอะค่ะ ไว้คราวหน้า... ส่วนบทความเกี่ยวกับเทวทูตยุโรปเหนือ ดิฉันแปลแล้วพิมพ์ใส่แฟ้มข้อมูลให้คุณไว้แล้ว เดี๋ยวต้องเริ่มตอบจดหมายผู้อ่าน แล้วยังต้องร่างจดหมายข่าวเกี่ยวกับผลงานเล่มใหม่ของคุณอีก...”

    “ไม่ต้องแล้ว ไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น”

    คนพูดมองที่แก้วน้ำอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

    “ผมคงต้องปล่อยให้คุณได้ไปทำงานที่ถนัด...”

    “อะไรนะคะ”

    ราศีไม่เชื่อหูตัวเอง

    “ผมไล่คุณออก”

    “ล้อเล่น คุณต้องล้อเล่นแน่ๆ”

    “ผมก็อยากจะล้อเล่นหรอกนะ แต่...”

    พอเขาเงยหน้าขึ้นมองหล่อนอีกครั้ง ราศีจึงเข้าใจได้แน่ชัด ว่าเขาจริงจังกับคำพูดนี้แค่ไหน หล่อนถึงกับเข่าอ่อน ทรุดตัวลงนั่งบนโซตาเดี่ยวที่ตั้งอยู่ข้างกัน

    “มันง่ายดายอย่างนี้เชียวหรือคะ คุณนารท”

    “คุณก็รู้ดีว่าตัวเองยังอยู่ในช่วงทดลองงานW

    “ทราบค่ะ แต่นึกว่า...”

    ราศีไม่ได้พูดอะไรต่อไป เพราะรู้สึกอัดอั้นเหลือกำลัง จากสองเดือนเป็นสี่เดือน และจวนจะเข้าหกเดือนนี้แล้ว ที่เขายังบอกว่าหล่อนยังอยู่ในขั้นการพิจารณาให้ร่วมงานกันอย่างเป็นหลักเป็นฐาน จากตอนแรกที่เขาจ้างให้ช่วยแปลบทความหรือเอกสารต่างๆ ทั้งภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส เพราะหล่อนสามารถใช้ทั้งสองภาษานั้นได้อย่างคล่องแคล่ว เรื่องนี้ของขอบคุณคุณริศา ผู้เป็นมารดา ที่สนับสนุนให้ได้เรียนในโรงเรียนที่เข้มงวดและจริงจังในด้านนี้

    การงานที่ผ่านมาก็ราบรื่นดีอยู่ไม่ใช่หรือ การที่เขาให้หล่อนช่วยงานมาจนแทบจะกลายเป็นเลขนุการินีส่วนตัวนี้ ไม่ได้แสดงหรอกหรือว่า หล่อนผ่านขั้นตอนการทดลองงานเรียบร้อยแล้ว

    “ผมเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่หรือว่า ผมต้องการผู้ช่วย”

    เมื่อคุณนารทย้ำอีกครั้ง หญิงสาวจึงพยายามคาดเดาว่า เขาอาจแกล้งอำหล่อนเล่นๆ ที่ให้ไปทำงานที่ถนัด ก็น่าจะหมายถึงหน้าที่ที่เขาเอ่ยออกมานี้เอง

    “ก็... จัดเอกสาร แปลเอกสาร ตอบจดหมาย ทำจดหมายข่าว เลื่อนนัดคู่ควงให้คุณ ส่งช่อดอกไม้ จ่ายบิลค่าน้ำค่าไฟ และอีกสารพัด ดิฉันก็ว่าทำทุกอย่าง...”

    “ถ้าคุณเป็นผู้ช่วย ผมหมายถึงคุณสามารถช่วยจัดการเรื่องทุกอย่างให้ผมได้ แต่เมื่อกี้ ข้างนอกนั่น นั่นน่ะหรือคือสิ่งที่ผู้ช่วยทำลงไป คุณทำให้ผมผิดหวังมากนะคุณราศี”

    เขายอมเอ่ยชื่อเต็มของหล่อนแล้ว แต่ยิ่งได้ยิน กลับยิ่งทำให้หล่อนยิ่งเจ็บปวด ก็หล่อนภูมิใจในตัวเองมาตลอดว่า สามารถทำงานที่เขาสั่งได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์

    “แต่... เรื่องนัดพบนักข่าว เรื่องประกาศข่าวของคุณแบบนี้ คุณน่าจะจ้างคนที่เชี่ยวชาญ ก็...เพื่อภาพลักษณ์ของคุณเอง”

    ราศีพยายามหาทางออกให้ตนเอง ยังให้กำลังกับตัวอยู่ว่า แค่ความผิดพลาดเล็กน้อยแค่นั้น ไม่น่าจะถึงกับต้องตกงาน

    “ตอนที่จ้างคุณปัทมานั่น ผมก็หลงกลคุณครั้งหนึ่งแล้ว”

    “แต่ปัทมาเธอเก่งจริงๆ นะคะ ในเรื่องสำรวจวิจัยข้อมูลต่างๆ ซึ่งมันก็ดีกับคุณ ช่วยให้รู้ลู่ทางการตลาด รู้ว่าคนอ่านอยากจะอ่านอะไร เมื่อไหร่...”

    “พุทโธ่! คุณราศี  เรื่องนั้นผมก็รู้ ปัทมาเขาก็ทำงานได้ไม่มีอะไรบกพร่อง”

    คุณนารทถึงกับลุกขึ้นยืน เดินไปทางประตูห้อง แง้มออกไปดูก่อนจะปิดไว้ตามเดิม แล้วหันกลับมาพูดกับหล่อนต่อไป

    “ตัวผม ตัวคุณ ปัทมา กับแม่บ้านอีกคน นี้มันมากเกินไปสำหรับผม แค่สามคนผมก็ว่าชีวิตมันวุ่นวายเกินไปแล้วละ”

    เรื่องนี้ราศีเข้าใจดี นายจ้างของหล่อนเป็นพวกเก็บตัว ไม่สุงสิงกับใคร เข้มงวดมากในเรื่องของความเป็นส่วนตัว ไม่เคยมีใครได้ย่างกรายเข้ามาในบ้านนอกจากหล่อน เขา แม่บ้านและปัทมา เขาอ้างว่าลานหน้าบ้านนั้นกว้างพอจะทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งงานสังสรรค์และประชาสัมพันธ์ผลงานเรื่องใหม่

    กระทั่งบรรดาสาวคลั่งรัก คู่ควงหลายคนของเขา คุณนารทก็จะเป็นฝ่ายไปหาเท่านั่น ไม่มีคนไหนเลย ที่จะเคยได้มาถึงบ้านหลังนี้

    “อย่างนั้นก็เปลี่ยนให้ปัทมาเป็นคนจัดการเรื่องประชาสัมพันธ์ ดิฉันไปทำหน้าที่หาข้อมูลกับวิจัยตลาดแทน”

    ราศียื่นข้อเสนออีกครั้ง มันเป็นข้อเสนอที่ไม่เอาไหน และหล่อนก็รู้ดีว่ามันแทบไม่มีโอกาสที่จะเป็นไปได้

    “หน้าตาอย่างกับดอกบัวตูมแห้งตายอย่างปัทมาน่ะหรือ คุณก็รู้ดีว่าหน้าที่ในการประชาสัมพันธ์ แค่รูปร่างหน้าตาคนแจ้งข่าว เนื้อหาก็น่าฟังไปมากกว่าครึ่งนึงแล้ว”

    “แต่ปัทมาอัธยาศัยดี พูดจาอ่อนหวาน...”

    หล่อนพยายามต่อไป

    “นักข่าวพวกนั้นจะได้ฆ่าเธอทั้งเป็น หรือว่าคุณอยากผลักให้เพื่อนไปตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้น”

    เขาเอื้อมมือไปทางซองบุหรี่ คราวนี้ราศีไม่ได้หวงห้ามเคร่งครัดตามคำสั่งที่เคยได้รับ

    “ผู้ช่วยผม ไม่ใช่แค่แปลหนังสือ ตอบจดหมาย... เรื่องพวกนั้นผมจ้างใครก็ได้ ผู้ช่วยที่ผมต้องการคือใครสักคนที่ตามหาคนที่ผมอยากจะรู้ข้อมูล จัดการสัมภาษณ์ ตอบคำถามสื่อมวลชน หรือกระทั่งจัดการเลี้ยงขอบคุณ โดยไม่มีปัญหาฆ่าตัวตายกลางอากาศอย่างวันนี้”

    “หรืออย่างวิมารเทวาเดอะซีรีย์เล่มใหม่ นารีผล คุณสัมภาษณ์คุณวิมลจันทร์ได้เลยนะคะ”

    คุณนารทยิ้มกับข้อเสนอใหม่ของหล่อน

    “ถ้าเรื่องนารีผล ก็ต้องคุณวิมลจันทร์ นั่นถูกต้องที่สุด เพียงแต่ตอนนี้เรื่องนั้นไม่ได้สำคัญอีกแล้ว ผมต้องบอกคุณกี่ครั้งนะ ที่ว่าผมไม่ชอบโผล่ออกไปข้างนอก ในที่สาธารณะ ผู้ช่วยผมจึงต้องจัดการแทน รวมทั้งการรักษาภาพพจน์ของผมด้วย”

    “ภาพพจน์... ภาพลักษณ์ที่ว่าคุณต้องเป็นนักเขียนในเงามืดน่ะหรือคะ”

    “วิศรุต เวฆินทร์... ตัวละครเอกของผมเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์ อ่อนโยนและดึงดูด แต่เขาจะออกมาท่องโลกเฉพาะในราตรี ซึ่ง... คนที่สร้างเขาขึ้นมาก็เช่นเดียวกัน”

    “วิศรุต เวฆินทร์ เป็นสมิงพราย แต่คุณไม่ใช่”

    “คุณจะแน่ใจได้ยังไง”

    พร้อมกับคำถามนี้ คุณนารทยิ้ม เป็นยิ้มแบบเดียวกับที่ใช้ในสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ เป็นยิ้มที่คนที่พบเห็นต่างพากันสงสัยและอยากรู้ความจริงว่า เรื่องราวที่เขาสร้างขึ้นมาในวิมานเทวานั้นเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน จริงหรือที่ชาวทิพย์ทั้งหลาย แท้ที่จริงก็มีไม่น้อยที่มาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมนุษย์ธรรมดานี่ละ

    แน่นอนว่าหล่อนเองก็เคยนึกสงสัยเช่นนั้นเช่นกัน แม้ในขณะที่เขายิ้มอยู่ในตอนนี้ ก็ยังอดสงสัยในเรื่องความจริงไม่จริงนั้นไม่ได้ เพียงแต่ความนึกคิดอย่างนั้นค่อยจางหายไป เมื่อเขาเริ่มยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม และถอยกลับไปเอนหลังพิงพนักโซฟา... ก็คนธรรมดา ถึงต้องดื่ม ต้องกิน ต้องพักผ่อน มีเรี่ยวแรงมีอ่อนล้า...

    “ผู้ช่วยของผมจึงต้องสวย มีเสน่ห์ดึงดูดผู้คน น่าเชื่อถือ ที่สำคัญคือต้องมีปฏิภาณไหวพริบและเชาว์ปัญญา”

    ระหว่างที่พูด เขาก็ไล่สายตามองตามเครื่องแต่งกายของหล่อนตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า จากปกเสื้อคอบัว มีโบเล็กๆ ทำจากผ้าเนื้อเดียวกับตัวเสื้อ แขนยาวจีบพองตรงโคนไหล่และปลายข้อมือ เอวปล่อยแบบมีสาบให้พักชายไว้บนแนวสะโพก กับกระโปรงจีบรอบตัวเรียบกริบสีเดียวกัน ที่ยาวคลุมเข่าได้อย่างน่ารำคาญ

    “เป็นเดือนๆ มาแล้วที่ผมพยายามทำให้คุณดูทันยุคทันสมัยกับเขาบ้าง นึกว่าคุณจะเข้าใจความหมายของผมเสียอีก”

    “ตั้งแต่เมื่อไหร่นะคะ” ราศีไม่แน่ใจในความหมายของเขาเท่าไรนัก

    “แซนดี้เคยแนะนำร้านทำผมแถวสยามสแควร์ให้คุณ ปรียาก็เคยชวนคุณไปเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ดิเอ็มโพเรียม รวมทั้งที่มาริษาเคยอาสาจะพาคุณไปสปาคลับ”

    “บรรดาแฟนๆ ของคุณ...”

    “ใช่ ผมเป็นคนขอร้องให้พวกเธอช่วยปรับลุคให้คุณ”

    ราศีนึกถึงเหล่าหญิงสาวที่นายจ้างเอ่ยชื่อออกมาแล้วก็รู้สึกขนลุกขนพอง ยังจำความคิดน่ากลัวของผู้หญิงพวกนั้นได้ดี

    “ดิฉันไม่ต้องการเอาผมไปเข้าเตาอบทีละครึ่งค่อนวัน เพียงเพื่อจะให้มันมีสีมีแสงมีเงาที่ผิดธรรมชาติ กับเสื้อผ้าที่ห้างนั้น มันออกจะเกินฐานะไปมากมาย หรือสปาคลับอะไรนั่น คุณรู้หรือเปล่าว่าเขาชวนให้ดิฉันเปิดหนังหน้า จะเอาค้อนกับสิ่วแซะกรามให้หน้าเรียวลง แล้วค่อยแปะเนื้อหนังที่ถลกขึ้นไป ลงมาปิดไว้ตามเดิม”

    หล่อนรู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อรู้ว่าแท้ที่จริง ก็ผู้ชายตรงหน้านี่เองที่เป็นคนบงการเรื่องราวทั้งหมด

    “ก็ได้ๆ สาวๆ พวกนั้นอาจมีรสนิยมไม่เหมือนคุณ แต่ ผมอยากจะให้คุณได้ผ่อนคลายบ้าง เลิกจริงจังกับชีวิตมากเกินไปขนาดนี้ ถามจริงๆ คุณเคยคิดถึงเรื่องแบบ รักชั่วคราว รักข้ามคืน มีอะไรกันให้สุดเหวี่ยง เหงื่อโซมตัว แล้วต่างคนก็ต่างไป โดยยังไม่ได้รู้จักชื่อกันด้วยซ้ำ บ้างไหม”

    ราศีตกตะลึงในคำพูดนั่น ริมฝีปากที่เผลออ้าค้างเพราะความอึ้ง ต้องรีบหุบลงเมื่อได้สติ

    “คุณ... คุณนารท คงไม่ได้หมายถึงจะให้ดิฉันยอมให้... คุณ...”

    “จะบ้าเรอะ! ผมแค่จะพูดถึงเมื่อเดือนที่แล้ว ที่เคยให้ไปสัมภาษณ์คุณเวฟ เดอะวอยซ์”

    เวฟ เดอะวอยซ์เป็นนักร้องผู้มีนำเสียงทรงพลัง และมีลีลาการร้องที่จับจิตจับใจคนฟัง ได้ชื่อว่าเป็นศิลปินคุณภาพในวงการเพลง และได้ชื่อว่าเป็นเสือผู้หญิงขนานแท้

    “แล้วเกี่ยวอะไรกับเขาหรือคะ”

    “คุณสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์”

    “ก็เขาบอกให้ฉันสวมชุดแซคสายเดี่ยว นัดที่โรงแรมแถวศรีนครินทร์ แถมยังบอกว่าจะทำให้ฉันมีความสุขจนต้องกรีดร้องออกมาอย่างลืมอาย เป็นคุณคุณจะรู้สึกยังไงคะ”

    หล่อนคิดว่าเขาจะเห็นใจ แต่สายตาที่ส่งมานั้น ทำให้ถึงกับต้องรีบพูดต่อไป

    “คงไม่ได้หมายความว่า จะให้ฉันกับไอ้นั่น...”

    “คุณไม่เคยบอกผมเรื่องนี้ และผมก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นถึงขนาดนั้น เรื่องเสือผู้หญิงนั่นผมรู้ แต่ก็นะ ที่จริงมันไม่เกี่ยวกับเขา มันเกี่ยวกับการแต่งเนื้อแต่งตัวของคุณมากกว่า ยิ่งถ้าใครได้รู้คุณเป็น...”

    “ทำไมคะ! ถ้าใครๆ รู้ว่าฉันเป็นใคร มาจากไหน เป็นลูกใคร แล้วมันยังไง ฉันก็ฉัน ครอบครัวฉันก็เป็นอีกเรื่อง”

    ราศีรู้สึกโกรธขึ้นมาจริงๆ เมื่อเขาพยายามโยงเรื่องของหล่อนกับทางบ้าน มันไม่เกี่ยวกันสักนิด กับการที่ทั้งชีวิตครอบครัวของหล่อนได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนมาตลอด ก็นั่นมันเรื่องของแม่ เขาติดตามมารดาหล่อน ไม่ใช่ตัวหล่อน

    อยากจะเดินออกไปจากชีวิตเขาเสียเดี๋ยวนี้เลย หาไม่ติดอยู่สองข้อ คือเรื่องที่เขาเป็นคนใจกว้าง จ่ายเงินเดือนให้หล่อนมากกว่าที่ควรจะได้รับในระดับความรู้ด้านอักษรศาสตร์ถึงสามเท่าตัว

    กับอีกเรื่องคือค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษามารดา ที่กำลังป่วยหนัก เงินจำนวนมากที่ได้มาจากการทำงานให้เขา ได้มาแล้วก็ใช้ไปแบบเดือนชนเดือน อีกทั้งจะได้มากกว่านี้หากเขาตกลงให้เธอเป็นผู้ช่วยประจำการ ถ้าไม่รวมเรื่องที่คุยกันมายืดยาวร่วมครึ่งชั่วโมงนี้ หล่อนก็ไม่ได้นึกรังเกียจเดียดฉันท์อะไรเขามากนัก

    ถึงนายจ้างของหล่อนจะเป็นพวกเห็นตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล พูดตรงๆ และออกจะดื้อรั้น แต่เขาก็เป็นคนสุภาพและน่าสนใจ ที่สำคัญคือเขาจริงใจและเชื่อใจหล่อน เขาไว้ใจและเชื่อใจทุกคนที่อยู่รอบตัว คงเข้าตำรา ให้ไปมากก็อยากได้กลับมามากเหมือนกัน เมื่อหล่อนทำตามที่เขาต้องการไม่ได้ ก็คงต้องเดินจากไปแต่โดยดีนั่นเอง

    เขาบอกหมดแล้วว่าต้องการอะไรจากการต้องมีผู้ช่วย ต้องสวย ต้องมีเสน่ห์ ฉลาดและมีไหวพริบ หรือกระทั่งรับมือกับความต้องการแปลกๆ ของพวกสื่อมวลชนได้

    สำหรับราศี เพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันมาก็เคยบอกชัด หล่อนสวย แต่ไม่มีเสน่ห์ แรงดึงดูดทางเพศนั้นไม่ต้องพูดถึง หล่อนไม่ตามแฟชั่น ออกจะเป็นแนวอนุรักษ์นิยมด้วยซ้ำ

    แต่ถ้าจำเป็น หล่อนก็อาจจะติดตามบ้างก็ได้ เปลี่ยนทรงผม เปลี่ยนสีสันการแต่งเนื้อแต่งตัว อ่านข่าวหน้าบันเทิง หรือหน้าแฟชั่นให้รู้ว่าโลกปลอมๆ นั่นเขาจะหลอกล่อผู้ซื้อยังไงบ้าง

    และถ้าหล่อนจัดการเรื่องการประกาศประชาสัมพันธ์ในงานสังสรรค์เล็กๆ พวกนี้ได้ คุณนารทก็คงไม่หาเรื่องไล่หล่อนออก แต่ก็นั่นละ... เรื่องนี้เป็นเหมือนภูเขาสูงเสียดฟ้าที่ขวางกั้นหน้าที่การงานที่หล่อนพึงพอใจ และอยากจะอยู่กับมันไปอีกนานๆ

    ตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนมาแล้ว ที่ราศีไม่กล้าออกไปพูดหน้าชั้น มันเป็นความกลัวที่อธิบายไม่ได้ และแน่ละ ไม่เคยแก้ไขได้...

    ราศีต้องพยายามต่อไปเพื่อให้เขาเห็นว่าหล่อนต้องการงานนี้จริงๆ

    “คุณนารทคะ ใครๆ ก็ต้องมีข้อด้อยด้วยกันทั้งนั้น ให้โอกาสดิฉันแก้ตัวอีกสักครั้ง ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่คุณอยากให้ทำอยากให้เป็น ก็จะพยายามปรับตัว แล้วอีกอย่างหนึ่ง เท่าที่เราได้ร่วมงานกันมา คุณคงหาใครที่ไว้ใจได้เท่าดิฉันอีกแล้ว...”

    คราวนี้หล่อนจ้องหน้าเขาตรงๆ และไม่ยอมหลบสายตาคมวาวที่จ้องกลับมานั้น

    “คุณแน่ใจนะว่ายังต้องการทำงานกับผม”

    “ค่ะ” ราศีรับคำแข็งขัน งานนี้ดีที่สุดแล้ว เมื่องานที่หล่อนหวังจะได้เข้าไปสนุกหรือมีความสุขอยู่กับมันนั่น ไม่มีโอกาสจะไปได้จริง

    “เอาละ... ตกลง ผมจะยอม” ในที่สุดเขาก็พูดในสิ่งที่หล่อนอยากฟังเสียที

    “แต่ก็ยังจะต้องมีประกาศเรื่องเปิดตัวตอนใหม่ของซีรีย์วิมานเทวา ใน...เสาร์ปลายเดือน หรืออีกสามสัปดาห์ข้างหน้าแน่ๆ”

    เป็นเงื่อนไขเดิมๆ ที่ราศีอดคิดไม่ได้ว่า เขาไม่ได้จริงจังหรอก ที่จะยอมให้หล่อนทำงานด้วยต่อไป ท้องไส้รู้สึกผิดปกติขึ้นมาอีกแล้ว แต่หล่อนต้องฝืนเอาไว้

    “ก็เรื่องประกาศนั่น ดิฉันนึกว่าคุณจะเข้าใจ...”

    แทนคำตอบ นายจ้างของหล่อนยืดตัวขึ้นตรง ทำท่าทางให้เห็นว่า ที่จะพูดต่อไปนี้จริงจังกว่าที่ผ่านมา

    “ผมจะให้คนอื่นขึ้นไปประกาศแทนก็ได้ หากคุณทำงานชิ้นหนึ่งให้ผมสำเร็จ”

    “เรื่องอะไรกันคะ”

    “ตามหา ภาคิน วงษ์ราพณ์ ให้เขามาร่วมงานในวันนั้น และยอมให้สัมภาษณ์อย่างละเอียดยิบ”

    ภาคิน วงษ์ราพณ์ งั้นรึ! ราศีหูอื้อขึ้นมาดื้อๆ รู้ว่าใบหน้าร้อนผ่าวไปด้วยโทสะ เพลิงแห่งความโกรธลุกโพลงขึ้นมาจากความทรงจำเลวร้ายในอดีต เข้าใจเลยว่าพวกแรงงานต่างด้าวรู้สึกอย่างไร ก่อนที่จะลงมือฆาตกรรมพวกเจ้านายชั่วช้าพวกนั้น

    “คุณนารท คุณนี่มัน... ผุดมาจากนรกหรือยังไงกัน”

    “ก็มีแต่แม่ผมเท่านั้นที่ไม่เห็นด้วยกับได้เรื่องผุดมาจากนรกอะไรนี่”

    “ทั้งหมดที่คุยกันมานี่ เพื่อเรื่องนี้ใช่ไหม คุณเอาไอ้เรื่องไร้สาระบ้าบอนั่นมาบีบบังคับฉันเรื่องของนายภาคิน”

    ราศีทั้งแช่งชักหักกระดูก กรวดน้ำคว่ำขันไปหมดแล้ว ว่าจะไม่หวนกลับไปยังโลกแห่งเสียงดนตรีนั่นอีก รวมถึงเรื่องเวทย์มนตร์คาถาอะไรนั่นด้วย

    คุณนารถจุดบุหรี่ แล้วอัดควันของมันเข้าปอดติดๆ กันหลายครั้ง และมีเพียงกลุ่มควันน้อยนิดที่เขาระบายออกมา

    “ใช่... แต่เป็นคุณเองที่เปิดโอกาส ซึ่งเป็นคุณเองที่ทำพลาด...”

    “ไอ้!...” หล่อนโกรธจนกระทั่งหาคำมาด่าไม่ถูก

    “แต่ที่พูดมานี้เป็นเรื่องจริง ผมต้องการผู้ช่วย ทันสมัย สวย ทรงเสน่ห์และน่าเชื่อถือ แต่เหตุการณ์เมื่อกี้ จะได้ผมเรียกว่าความน่าเชื่อถือได้หรือเปล่า”

    เขาอัดควันบุหรี่เข้าปอดอีกครั้ง ก่อนจะพูดต่อไป

    “ส่วนภาคิน ถ้าผมจะได้เบาะแสของเขา ก็ต้องเป็นคุณใช่ไหมเล่า เป็นคนเดียวเท่านั้นที่พอจะติดตามข่าวคราวของเขาได้ ที่จริงบุคลิกหรือการแต่งกายของคุณ ที่คุณชอบนี้ผมอาจจะยอมตามใจคุณก็ได้ ถ้าพาตัวภาคินมาให้ผมได้”

    “เป็นพระคุณเหลือเกินละค่ะที่ช่วยกรุณา”

    ราศีตั้งใจประชดประชันเต็มที่ แต่เหมือนเขาจะไม่ใส่ใจสักนิด

    “หรือว่าคุณจะเลือกทางอื่น แบบ...ประมาณว่า เดินออกไปง่ายๆ”

    “แต่ฉันก็ไม่มีทางที่จะยอมเอาเนื้อตัวเข้าไปเสี่ยงกับพ่อเลี้ยงเลวๆ อย่างนั้นแน่ๆ”

    “วิมานเทวาตอนใหม่ พระเอกของผมจะสืบเรื่องมนตรามหาเสน่ห์ คาถามหานิยม น เมตตา อะไรประมาณนั้น แล้วภาคินจะเป็นตัวละครสำคัญ คุณเองก็รู้ว่าเขาเชี่ยวชาญเรื่องที่ว่านี่ขนาดไหน”

    บุหรี่หมดมวนไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาอัดติดๆ กันอีกสามสี่ครั้ง บี้ส่วนที่เหลือติดก้นกรองกับที่เขี่ย แล้วค่อยหันมาพูดต่อ

    “อะไรกันนะที่ทำให้คนหลงใหล หรือกระทั่งใฝ่ฝัน อะไรที่ทำให้ผู้คนถวิลหา หรือยอมให้เขาทุกสิ่งทุกอย่างขนาดนั้น ผมอยากรู้ทั้งหมด รวมทั้งที่ทำยังไงแม่คุณถึงเปลี่ยนจากนักไวโอลินคลาสสิค ไปเป็นร็อคเก้อร์สาวดุดันได้ขนาดนั้น หรือไม่ก็... ภาคินเขาเกี่ยวข้องอะไรกับการล้มป่วยของแม่คุณหรือไม่ และหลายปีมานี้เขาหายไปอยู่ที่ไหน”

    โลกหมุนติ้ว เหมือนจะเหวี่ยงให้หล่อนหลุดออกนอกวงโคจร แล้วกลับโถมทุ่มทั้งโลกลงมาทับ มันอาจจะเป็นความฝันที่เลวร้าย แต่ตอนนี้หล่อนต้องพิสูจน์ให้คนตรงหน้าเห็นให้ได้ว่า หล่อนก็มืออาชีพพอเหมือนกันกับการทำงานแบบนี้

    “ได้ ถ้าฉันทำสำเร็จ ฉันต้องได้เซ็นสัญญาทำงานเป็นผู้ช่วยของคุณ ได้เงินเดือนเพิ่มอีกเท่าตัว ต้องให้งานประชาสัมพันธ์ให้คนอื่นทำ และต้อง... เรียกชื่อเต็มของฉันทุกครั้ง!

    คราวนี้ผู้เป็นนายจ้างกลับเริ่มลังเลบ้างแล้ว

    “คุณก็รู้ ไม่เคยมีใครได้ภาพถ่ายของภาคิน ไม่เคยมีใครได้สัมภาษณ์เขา”

    ราศีรีบฉวยโอกาสที่เขาเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ รุกหน้าต่อไป

    “แม้แต่ดิฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่ก็อย่างที่คุณพูด เป็นดิฉันคนเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เขายอมทำทุกอย่าง คุณต้องรู้เรื่องนี้ดีแน่ๆ”

    “พวกสำนักพิมพ์อื่นๆ ต้องไม่ส่งคนมายุ่มย่ามถึงที่นี่ คุณต้องไปจัดการเอาเอง และเลิกใส่ชุดสีตุ่นๆ อย่างนี้ด้วย”

    ที่เอ่ยออกมานี้ เหมือนเขาไม่รู้จะพูดอะไรอีกแล้วมากกว่า

    “อย่างนั้น อาจต้องขึ้นเงินเดือนให้ฉันมากกว่าอีกเท่าตัว”

    “ก็ได้ คุณราศี ผมให้คุณสามสัปดาห์ ถ้าไม่ได้ตัวภาคิน ก็ไม่ต้องกลับมา!

    เขาผุดลุกขึ้นก่อนจะจบคำ และหล่อนก็รีบยืนขึ้นประจันหน้ากับเขาเช่นกัน

    “ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะคุณนารท ฉันต้องกลับมาแน่ๆ!!!

     

    ****************************

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    บทที่ ๑

     

     

     

     

     

     

                ราศี ทักษิณาวรรณ รู้สึกถึงแรงระรัวของหัวใจ มันกระตุกเต้นจนแทบหลุดออกมานอกเนื้อ สายตาพร่าจนเห็นแถวอักษรในแผ่นกระดาษนั้นซ้อนกันเป็นหลายแถว แดดสายแผดแสงให้กระดาษขาววาวแสงขึ้นจนบาดตา อาการทั้งหมดอึกอักอึดอัดจนพูดอะไรไม่ออก

     

     

     

     

     

     

                เหมือนจะเป็นลม จนต้องรีบเท้ามือลงบนโต๊ะ แล้วทรุดตัวลงนั่น

     

     

     

     

     

     

                “ทั้งที่เริ่มแล้วแท้ๆ ทำไมไม่ทำให้มันจบๆ ไปล่ะ ยัยเชื้อรางี่เงา”

     

     

     

     

     

     

                ยามทำสิ่งใดไม่ถูกใจตน ราศีมักจะบ่นว่าตัวเองเช่นนั้น

     

     

     

     

     

     

                “เอาเถอะ แค่ไม่กี่ประโยค ทำไมจะทำไม่ได้”

     

     

     

     

     

     

                และก็มักจะให้กำลังตัวเองเช่นนี้เสมอ

     

     

     

     

     

     

                “ไม่ได้ขึ้นไปแสดงละครเวทีเสียหน่อย แค่อ่านตามไปทีละตัวก็ยังได้...”

     

     

     

     

     

     

                เมื่อคำปลอบแรกไม่สามารถผลักดันให้ร่างกายลุกขึ้นยืนได้ ก็ต้องมีถ้อยคำอื่นๆ ตามมา

     

     

     

     

     

     

                ราศีสูดหายใจลึกๆ ระบายลมหายใจออกมายาวๆ ปรับสายตาให้ตัวอักษรที่ดูลอยซ้อนกันไปมานั่นหยุดขยับเสียที

     

     

     

     

     

     

                คุณ “นารทลิขิต” ขอขอบคุณสื่อมวลชนสายวรรณกรรมทุกท่าน ที่ช่วยสนับสนุน “วิมานเทวา เดอะ ซีรี่ย์” ให้ได้รับเสียงตอบรับจากผู้อ่านอย่างรวดเร็ว สามารถขึ้นครองอันดับหนึ่งหนังสือขายดีในทุกหน้าร้านได้ภายในสองสัปดาห์ เสาร์สุดท้ายปลายเดือน จึงขอเรียนเชิญทุกท่าน มาเป็นเกียรติในงานฉลองการเปิดตัว “วิมานเทวา เดอะ ซีรี่ย์” ด้วยกันอีกครั้ง...

     

     

     

     

     

     

                “ก็แค่นี้ ทำไมเธอถึงจะทำไม่ได้!

     

     

     

     

     

     

                หล่อนชักโกรธตัวเองจริงจัง

     

     

     

     

     

     

                “มันก็แค่ประกาศ ยากเย็นตรงไหนล่ะ”

     

     

     

     

     

     

                จนแล้วจนรอดราศีก็ไม่สามารถยืนขึ้นได้อีกครั้ง เหงื่อเริ่มซึมไปทั่วแผ่นหลัง ทั้งที่มีร่มไม้ใบบัง แถมยังมีสายลมอ่อนๆ พาพัดกลิ่นหอมของดอกไม้นานาพรรณที่เจ้าของบ้านชื่นชอบนักหนา แต่หล่อนก็ยังรู้สึกร้อนๆ หนาวๆ ไปทั้งตัว โดยเฉพาะที่ใจนั้น มันร้อนรนจนบอกตัวเองได้เลยว่ากำลังกระวนกระวายอย่างหนัก

     

     

     

     

     

     

                “ยัยเชื้อรา!!! แกต้องทำให้ได้!!

     

     

     

     

     

     

                ราศีกัดฟัน ยันตัวขึ้นอีกครั้ง หายใจลึกๆ อัดลมหายใจไว้ในอก นึกถึงขั้นตอนการพูดต่อที่ประชุมชนที่เคยอ่านผ่านตามาจากหนังสือหลายต่อหลายเล่ม

     

     

     

     

     

     

                “หัวผัก หัวปลา หัวผัก หัวปลา...”

     

     

     

     

     

     

                เริ่มท่องซ้ำๆ ขณะกวาดสายตาไปรอบๆ เสมือนกำลังทุกทักทายกับนักข่าวทุกคนและกล้องทุกตัว

     

     

     

     

     

     

                “ก็หัวคนทั้งนั้น หัวผักหัวปลาที่ไหนกันล่ะ นั่นก็รู้จัก นั่นก็เคยเห็น คนนั้นที่เคยเขียนด่าคุณนารท นั่นก็อีตาขี้หลีจอมลามก”

     

     

     

     

     

     

                รู้สึกเหมือนจะอาเจียน หัวหมุนติ้ว เม็ดเหงื่อผุดพราวใบหน้า ความกลัวกับความอับอายกำลังต่อสู้กันอย่างหนัก และไม่เห็นวี่แววว่าตัวความกล้าจะเข้ามาช่วยยุติศึกภายในใจนี้ได้ตอนไหน

     

     

     

     

     

     

                “เป็นอะไรไป!

     

     

     

     

     

     

                คำถามจากเสียงที่ราศีไม่อยากได้ยินดังขึ้นจนได้ เป็นเสียงแหบๆ ของคนที่ดื่มหนัก สูบบุหรี่จัดและอดนอน ที่ดังขึ้นข้างหลังหล่อน

     

     

     

     

     

     

                แล้วเขาก็ก้าวขึ้นมานั่งข้างๆ ดึงไมค์เข้าใกล้ตัว พูดด้วยถ้อยคำสั้นๆ แล้วก็ลุกขึ้น เดินหายกลับเข้าไปในบ้าน... ง่ายๆ... สั้นๆ...

     

     

     

     

     

     

                “แค่นี้น่ะเหรอ”

     

     

     

     

     

     

                ราศียังมองค้างอยู่ที่ไมโครโฟน

     

     

     

     

     

     

                ขอบคุณที่มาร่วมงาน อีกสามสัปดาห์ค่อยพบกันใหม่

     

     

     

     

     

     

                    ก็... หล่อนไม่ได้เป็นเขานี่นะ

     

     

     

     

     

     

                ราศีพยายามหาเหตุผลให้ตนเอง หลังจากตั้งสติได้อีกครั้ง ลุกขึ้นและถอยลงจากเวทีซึ่งเป็นแค่ยกพื้นเตี้ยๆ ที่ตั้งอยู่กลางลานหน้าบ้านของนักเขียนคนดัง

     

     

     

     

     

     

                พอพาตัวเองหลุดพ้นจากประตูหน้าบ้านเข้ามา ก็ถึงกับหมดแรง ใช้แผ่นหลังยันไว้กับบานประตู หัวใจที่เต้นตึกตักตูมตามนั้น ปรับจังหวะได้ดีขึ้นแล้ว เหงื่อที่ราวกับหลั่งออกมาได้จากทุกขุมขนเริ่มแห้ง กลิ่นหอมอ่อนๆ แม้จะปนอยู่กับความอับชื้น แต่ก็ยังทำให้หล่อนอารมณ์เย็นลงได้ ส่วนแสงอ่อนๆ เพราะภายในบ้านส่วนใหญ่รูดม่านปิดหมด ก็ดูเหมือนจะทำให้สายตาของหล่อนใช้การได้ดีขึ้น

     

     

     

     

     

     

                ตอนนี้เหลือเพียงอย่างเดียวที่ยังไม่จางหาย...

     

     

     

     

     

     

                นั่นคือ

     

     

     

     

     

     

                ความอับอายขายหน้าล้วนๆ

     

     

     

     

     

     

                “คุณศี เราต้องคุยกัน”

     

     

     

     

     

     

                เสียงของคุณนารท ที่ยืนดูอากัปกิริยาของหล่อนตั้งแต่แรกเริ่มพูด หลังจากรอให้หญิงสาวตรงหน้า ค่อยๆ เรียกสติให้กลับคืนมา

     

     

     

     

     

     

                    คนถูกเรียกไม่ชอบเลยที่ชื่อตนถูกเอ่ยขึ้นอย่างนั้น แต่เป็นครั้งแรกที่หล่อนไม่ได้บอกให้เขาแก้คำเรียกนั้นให้ถูกต้องเหมือนอย่างที่เคย

     

     

     

     

     

     

                ตอนนี้ราศีทำได้แค่เพียงเดินตามเขาเข้าไปในห้องด้านใน ห้องที่อาจเรียกว่าถ้ำของสิงเฒ่าจำศีลมากกว่า เพราะมันทั้งมืดทึมและอับทึบ มีตู้ ชั้นและโต๊ะใหญ่ ที่วางเรียงเต็มไปด้วยหนังสือ หนังสือ แล้วก็หนังสือ ที่ไม่ต้องคิดจะมองหาความเป็นระเบียบเรียบร้อยในห้องนี้

     

     

     

     

     

     

                คุณนารถเดินนำไปทางโซฟาหนังสีเบอร์กันดีตัวใหญ่ ที่ทั้งดูขึงขังและคร่ำคร่าในเวลาเดียวกัน มันตั้งอยู่ด้านในสุดของห้อง ติดกับหน้าต่างที่มีม่านสีเขียวมะกอกตุ่นๆ แขวนปิดไว้ตลอดเวลา

     

     

     

     

     

     

                เขาแวะตรงเคาน์เตอร์เครื่องดื่ม รินบรั่นดีลงในแก้วเจียระไนทรงเตี้ย สีสันของสุราชั้นดีนี้งามระยับจับตา เมื่อถูกแสงจากโคมไฟบนโต๊ะทำงานส่องผ่าน บุหรี่ยี่ห้อนำเข้าราคาแพง เป็นมวนกลมเล็กๆ เหมือนหลอดกาแฟ ส่งกลิ่นฉุนขึ้นทันทีที่เขาดึงออกมาจากซอง

     

     

     

     

     

     

                ยังไม่ทันได้จุดด้วยซ้ำตอนที่ราศีเข้ามาดึงมันไปจากมือ แล้วโยนทิ้งลงตะกร้าข้างโต๊ะไป โดยไม่ไยดีกับแววอาลัยในดวงตาของชายตรงหน้า

     

     

     

     

     

     

                และก่อนที่คุณนารทจะได้ยกแก้วบรั่นดีขึ้นจิบเพื่อดับความขุ่นข้องที่เพิ่งบังเกิด แก้วนั้นก็ถูกหล่อนฉวยไปจากมือ เททิ้งลงในกระถางบอนไซตายซากที่ตั้งอยู่บนโต๊ะเตี้ยอีกตัว รินน้ำเปล่าใส่แทน แล้วค่อยยื่นกลับคืนให้เขา

     

     

     

     

     

     

                “นี่มันเรื่องอะไรกันคุณศี”

     

     

     

     

     

     

                อีกเป็นอึดใจทีเดียว กว่าที่เขาจะเอ่ยประโยคนี้ออกมาได้

     

     

     

     

     

     

                “ราศีค่ะ กรุณาเรียกดิฉันว่า ราศี ก็เหมือนกับที่คุณไม่ชอบให้ใครๆ เรียกคุณว่าคุณนารท (นาด)  ใช่ไหมล่ะคะคุณนา-รท และถ้าจะถามเรื่องนี้...” หล่อนปรายตาไปที่แก้วทรงสวยที่บัดนี้บรรจุน้ำเปล่าอยู่ค่อนแก้ว “...คุณสั่งไว้เองนะคะ ก่อนหนึ่งทุ่มห้ามให้คุณดื่มหรือสูบเด็ดขาด”

     

     

     

     

     

     

                    พฤติกรรมที่คุ้ยเคยของคุณนารท บวกกับการไม่ต้องยืนอยู่ต่อหน้าผู้คน โดยมีไมโครโฟนจ่ออยู่ที่ปาก ทำให้หญิงสาวกลับมาเป็นตัวของตัวเองได้อีกครั้ง นอกจากเรื่องการต้องออกไปพูดจาต่อหน้าไมค์นั่นแล้ว หล่อนก็มั่นใจว่าทำการงานอื่นใดที่ได้รับมอบหมาย ได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง

     

     

     

     

     

     

                “ผมไม่ได้หมายถึงเรื่องเหล้ายาบ้าบออะไรนี่... คุณก็รู้ว่าผมจะไม่ออกไปทำอย่างนั้นเด็ดขาด ถ้าไม่จำเป็นอย่างถึงที่สุด แต่นั่น... คุณทำให้ภาพพจน์ที่ผมสร้างขึ้นมาเสียหาย คุณเกิดประสาทเสียอะไรขึ้นมาล่ะ”

     

     

     

     

     

     

                ราศีใจแป้วไปตังแต่คำแรกนั่นแล้ว หล่อนต้องทำเป็นหันไปมองทางอื่น รอให้เขาพูดคำสุดท้ายจนจบ จึงค่อยหันกลับมาส่งยิ้มเจื่อนๆ กลับไป รอจะให้เขาเอ่ยอะไรออกมาอีก แต่ก็เปล่า... ซ้ำตาคู่คมก็หรี่ลง อย่างกับกำลังจ้องจะเค้นหาความจริงจากฆาตกรต่อเนื่อง

     

     

     

     

     

     

                “เอ่อ...” พอหล่อนเริ่มต้น สายตาอย่างที่เห็นนั่นจึงค่อยคลี่คลาย

     

     

     

     

     

     

                “ดิฉันมีปัญหานิดหน่อยกับการออกไปพูดต่อหน้าคนเยอะๆ ที่จริง...หลายคนก็กลัวเรื่องอย่างนี้นะคะ แบบที่ว่าให้ไปกระโดดบันจี้จั๊มยังง่ายกว่า...”

     

     

     

     

     

     

                “มันก็จริง แต่คนส่วนใหญ่ หรือที่จริง...”

     

     

     

     

     

     

    คุณนารทเลียนแบบคำพูดของหญิงสาวเอาบ้าง

     

     

     

     

     

     

    “ที่จริง... ทุกคนที่มีหน้าที่อย่างคุณ ก็ไม่ทำท่าเหมือนคลื่นเหียนอาเจียน จะเป็นลมกะทันหันอย่างนั้น และ...ถึงบางคนอาจจะมีอาการอย่างนั้นบ้าง พวกเขาก็พยายามสู้กับมัน ทำต่อไปให้สำเร็จ แต่คุณกลับไม่... ที่สำคัญคือ คุณไม่ยอมบอกผมก่อนว่าคุณทำไม่ได้”

     

     

     

     

     

     

                “ก็ คิดว่า... แค่... แค่ขึ้นไปพูดข้อความแค่สองสามประโยค...”

     

     

     

     

     

     

                ราศีไม่ได้สบสายตากับเขาอีก มือหนึ่งเริ่มพยายามคลี่รอยพับตรงขอบชายแขนเสื้ออีกข้าง พร้อมกับการต้องพยายามข่มความรู้สึกอับอายขายหน้าต่อการกระทำของตนเอง ที่คนตรงหน้าพูดออกมาตรงๆ ขนาดนั้น

     

     

     

     

     

     

                “คือ... ดิฉันคิดว่าตัวเองจะทำได้ เรื่องกลัวไมค์อาจจะหายไปแล้ว”

     

     

     

     

     

     

                หล่อนมองตาเขาอีกครั้ง พอพบกับสายตาที่ยังจ้องเขม็งอยู่ ทำให้ต้องพูดต่อ

     

     

     

     

     

     

                “ขอโทษค่ะ... ฉันเสียใจ... ที่จริงฉันน่าจะบอกคุณก่อน”

     

     

     

     

     

     

                “ผมก็ไม่คิดมาก่อนว่าคุณจะเป็นแบบนี้”

     

     

     

     

     

     

                น้ำเสียงของคุณนารทคลายความเข้มข้นลงบ้างแล้ว

     

     

     

     

     

     

                “ค่ะ ดิฉันไม่ได้ต้องทำอะไรอย่างนั้นมานานแล้ว เอ่อ... คุณนารทคะ คราวหน้ายกหน้าที่อย่างนี้ให้สำนักพิมพ์ช่วยจัดการให้น่าจะสะดวกกว่านะคะ”

     

     

     

     

     

     

                “คุณก็รู้ว่าพวกนั้นเขาอยู่แถวลาดพร้าวโน่น ซึ่งก็ดีกับผมอยู่แล้ว จะได้ไม่ต้องมายุ่งยากอะไรกับผมถึงแถวพุทธมณฑลนี้ และเรื่องอย่างนี้ ผมต้องการให้คนของผมที่นี่จัดการให้ได้ สรุปก็คือ มันคือหน้าที่ที่คุณต้องรับผิดชอบ”

     

     

     

     

     

     

                เสียงที่เข้มข้นนั้นอ่อนลงอีก แต่สายตายังจ้องตรงมาอยู่ไม่วาย

     

     

     

     

     

     

                “แต่ฉันถนัดทำงานอยู่เบื้องหลังมากกว่า...”

     

     

     

     

     

     

    รอยพับเจ้ากรรมที่แขนเสื้อที่พยายามคลี่เท่าไรก็ไม่ยอมเรียบ จนหล่อนเผลอกระตุกมันไปมา จนกลายเป็นท่าทางแปลกๆ ที่ผู้ชายที่อยู่ข้างหน้านี้ก็คงสังเกตเห็นได้ไม่ยาก

     

     

     

     

     

     

    “...เถอะค่ะ ไว้คราวหน้า... ส่วนบทความเกี่ยวกับเทวทูตยุโรปเหนือ ดิฉันแปลแล้วพิมพ์ใส่แฟ้มข้อมูลให้คุณไว้แล้ว เดี๋ยวต้องเริ่มตอบจดหมายผู้อ่าน แล้วยังต้องร่างจดหมายข่าวเกี่ยวกับผลงานเล่มใหม่ของคุณอีก...”

     

     

     

     

     

     

    “ไม่ต้องแล้ว ไม่ต้องทำอะไรแล้วล่ะ ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น”

     

     

     

     

     

     

    คนพูดมองที่แก้วน้ำอย่างไม่ค่อยพอใจนัก

     

     

     

     

     

     

    “ผมคงต้องปล่อยให้คุณได้ไปทำงานที่ถนัด...”

     

     

     

     

     

     

    “อะไรนะคะ”

     

     

     

     

     

     

    ราศีไม่เชื่อหูตัวเอง

     

     

     

     

     

     

    “ผมไล่คุณออก”

     

     

     

     

     

     

    “ล้อเล่น คุณต้องล้อเล่นแน่ๆ”

     

     

     

     

     

     

    “ผมก็อยากจะล้อเล่นหรอกนะ แต่...”

     

     

     

     

     

     

    พอเขาเงยหน้าขึ้นมองหล่อนอีกครั้ง ราศีจึงเข้าใจได้แน่ชัด ว่าเขาจริงจังกับคำพูดนี้แค่ไหน หล่อนถึงกับเข่าอ่อน ทรุดตัวลงนั่งบนโซตาเดี่ยวที่ตั้งอยู่ข้างกัน

     

     

     

     

     

     

    “มันง่ายดายอย่างนี้เชียวหรือคะ คุณนารท”

     

     

     

     

     

     

    “คุณก็รู้ดีว่าตัวเองยังอยู่ในช่วงทดลองงานW

     

     

     

     

     

     

    “ทราบค่ะ แต่นึกว่า...”

     

     

     

     

     

     

    ราศีไม่ได้พูดอะไรต่อไป เพราะรู้สึกอัดอั้นเหลือกำลัง จากสองเดือนเป็นสี่เดือน และจวนจะเข้าหกเดือนนี้แล้ว ที่เขายังบอกว่าหล่อนยังอยู่ในขั้นการพิจารณาให้ร่วมงานกันอย่างเป็นหลักเป็นฐาน จากตอนแรกที่เขาจ้างให้ช่วยแปลบทความหรือเอกสารต่างๆ ทั้งภาษาอังกฤษและฝรั่งเศส เพราะหล่อนสามารถใช้ทั้งสองภาษานั้นได้อย่างคล่องแคล่ว เรื่องนี้ของขอบคุณคุณริศา ผู้เป็นมารดา ที่สนับสนุนให้ได้เรียนในโรงเรียนที่เข้มงวดและจริงจังในด้านนี้

     

     

     

     

     

     

    การงานที่ผ่านมาก็ราบรื่นดีอยู่ไม่ใช่หรือ การที่เขาให้หล่อนช่วยงานมาจนแทบจะกลายเป็นเลขนุการินีส่วนตัวนี้ ไม่ได้แสดงหรอกหรือว่า หล่อนผ่านขั้นตอนการทดลองงานเรียบร้อยแล้ว

     

     

     

     

     

     

    “ผมเคยบอกคุณแล้วไม่ใช่หรือว่า ผมต้องการผู้ช่วย”

     

     

     

     

     

     

    เมื่อคุณนารทย้ำอีกครั้ง หญิงสาวจึงพยายามคาดเดาว่า เขาอาจแกล้งอำหล่อนเล่นๆ ที่ให้ไปทำงานที่ถนัด ก็น่าจะหมายถึงหน้าที่ที่เขาเอ่ยออกมานี้เอง

     

     

     

     

     

     

    “ก็... จัดเอกสาร แปลเอกสาร ตอบจดหมาย ทำจดหมายข่าว เลื่อนนัดคู่ควงให้คุณ ส่งช่อดอกไม้ จ่ายบิลค่าน้ำค่าไฟ และอีกสารพัด ดิฉันก็ว่าทำทุกอย่าง...”

     

     

     

     

     

     

    “ถ้าคุณเป็นผู้ช่วย ผมหมายถึงคุณสามารถช่วยจัดการเรื่องทุกอย่างให้ผมได้ แต่เมื่อกี้ ข้างนอกนั่น นั่นน่ะหรือคือสิ่งที่ผู้ช่วยทำลงไป คุณทำให้ผมผิดหวังมากนะคุณราศี”

     

     

     

     

     

     

    เขายอมเอ่ยชื่อเต็มของหล่อนแล้ว แต่ยิ่งได้ยิน กลับยิ่งทำให้หล่อนยิ่งเจ็บปวด ก็หล่อนภูมิใจในตัวเองมาตลอดว่า สามารถทำงานที่เขาสั่งได้อย่างครบถ้วนสมบูรณ์

     

     

     

     

     

     

    “แต่... เรื่องนัดพบนักข่าว เรื่องประกาศข่าวของคุณแบบนี้ คุณน่าจะจ้างคนที่เชี่ยวชาญ ก็...เพื่อภาพลักษณ์ของคุณเอง”

     

     

     

     

     

     

    ราศีพยายามหาทางออกให้ตนเอง ยังให้กำลังกับตัวอยู่ว่า แค่ความผิดพลาดเล็กน้อยแค่นั้น ไม่น่าจะถึงกับต้องตกงาน

     

     

     

     

     

     

    “ตอนที่จ้างคุณปัทมานั่น ผมก็หลงกลคุณครั้งหนึ่งแล้ว”

     

     

     

     

     

     

    “แต่ปัทมาเธอเก่งจริงๆ นะคะ ในเรื่องสำรวจวิจัยข้อมูลต่างๆ ซึ่งมันก็ดีกับคุณ ช่วยให้รู้ลู่ทางการตลาด รู้ว่าคนอ่านอยากจะอ่านอะไร เมื่อไหร่...”

     

     

     

     

     

     

    “พุทโธ่! คุณราศี  เรื่องนั้นผมก็รู้ ปัทมาเขาก็ทำงานได้ไม่มีอะไรบกพร่อง”

     

     

     

     

     

     

    คุณนารทถึงกับลุกขึ้นยืน เดินไปทางประตูห้อง แง้มออกไปดูก่อนจะปิดไว้ตามเดิม แล้วหันกลับมาพูดกับหล่อนต่อไป

     

     

     

     

     

     

    “ตัวผม ตัวคุณ ปัทมา กับแม่บ้านอีกคน นี้มันมากเกินไปสำหรับผม แค่สามคนผมก็ว่าชีวิตมันวุ่นวายเกินไปแล้วละ”

     

     

     

     

     

     

    เรื่องนี้ราศีเข้าใจดี นายจ้างของหล่อนเป็นพวกเก็บตัว ไม่สุงสิงกับใคร เข้มงวดมากในเรื่องของความเป็นส่วนตัว ไม่เคยมีใครได้ย่างกรายเข้ามาในบ้านนอกจากหล่อน เขา แม่บ้านและปัทมา เขาอ้างว่าลานหน้าบ้านนั้นกว้างพอจะทำกิจกรรมต่างๆ ทั้งงานสังสรรค์และประชาสัมพันธ์ผลงานเรื่องใหม่

     

     

     

     

     

     

    กระทั่งบรรดาสาวคลั่งรัก คู่ควงหลายคนของเขา คุณนารทก็จะเป็นฝ่ายไปหาเท่านั่น ไม่มีคนไหนเลย ที่จะเคยได้มาถึงบ้านหลังนี้

     

     

     

     

     

     

    “อย่างนั้นก็เปลี่ยนให้ปัทมาเป็นคนจัดการเรื่องประชาสัมพันธ์ ดิฉันไปทำหน้าที่หาข้อมูลกับวิจัยตลาดแทน”

     

     

     

     

     

     

    ราศียื่นข้อเสนออีกครั้ง มันเป็นข้อเสนอที่ไม่เอาไหน และหล่อนก็รู้ดีว่ามันแทบไม่มีโอกาสที่จะเป็นไปได้

     

     

     

     

     

     

    “หน้าตาอย่างกับดอกบัวตูมแห้งตายอย่างปัทมาน่ะหรือ คุณก็รู้ดีว่าหน้าที่ในการประชาสัมพันธ์ แค่รูปร่างหน้าตาคนแจ้งข่าว เนื้อหาก็น่าฟังไปมากกว่าครึ่งนึงแล้ว”

     

     

     

     

     

     

    “แต่ปัทมาอัธยาศัยดี พูดจาอ่อนหวาน...”

     

     

     

     

     

     

    หล่อนพยายามต่อไป

     

     

     

     

     

     

    “นักข่าวพวกนั้นจะได้ฆ่าเธอทั้งเป็น หรือว่าคุณอยากผลักให้เพื่อนไปตกอยู่ในสถานการณ์อย่างนั้น”

     

     

     

     

     

     

    เขาเอื้อมมือไปทางซองบุหรี่ คราวนี้ราศีไม่ได้หวงห้ามเคร่งครัดตามคำสั่งที่เคยได้รับ

     

     

     

     

     

     

    “ผู้ช่วยผม ไม่ใช่แค่แปลหนังสือ ตอบจดหมาย... เรื่องพวกนั้นผมจ้างใครก็ได้ ผู้ช่วยที่ผมต้องการคือใครสักคนที่ตามหาคนที่ผมอยากจะรู้ข้อมูล จัดการสัมภาษณ์ ตอบคำถามสื่อมวลชน หรือกระทั่งจัดการเลี้ยงขอบคุณ โดยไม่มีปัญหาฆ่าตัวตายกลางอากาศอย่างวันนี้”

     

     

     

     

     

     

    “หรืออย่างวิมารเทวาเดอะซีรีย์เล่มใหม่ นารีผล คุณสัมภาษณ์คุณวิมลจันทร์ได้เลยนะคะ”

     

     

     

     

     

     

    คุณนารทยิ้มกับข้อเสนอใหม่ของหล่อน

     

     

     

     

     

     

    “ถ้าเรื่องนารีผล ก็ต้องคุณวิมลจันทร์ นั่นถูกต้องที่สุด เพียงแต่ตอนนี้เรื่องนั้นไม่ได้สำคัญอีกแล้ว ผมต้องบอกคุณกี่ครั้งนะ ที่ว่าผมไม่ชอบโผล่ออกไปข้างนอก ในที่สาธารณะ ผู้ช่วยผมจึงต้องจัดการแทน รวมทั้งการรักษาภาพพจน์ของผมด้วย”

     

     

     

     

     

     

    “ภาพพจน์... ภาพลักษณ์ที่ว่าคุณต้องเป็นนักเขียนในเงามืดน่ะหรือคะ”

     

     

     

     

     

     

    “วิศรุต เวฆินทร์... ตัวละครเอกของผมเป็นผู้ชายที่มีเสน่ห์ อ่อนโยนและดึงดูด แต่เขาจะออกมาท่องโลกเฉพาะในราตรี ซึ่ง... คนที่สร้างเขาขึ้นมาก็เช่นเดียวกัน”

     

     

     

     

     

     

    “วิศรุต เวฆินทร์ เป็นสมิงพราย แต่คุณไม่ใช่”

     

     

     

     

     

     

    “คุณจะแน่ใจได้ยังไง”

     

     

     

     

     

     

    พร้อมกับคำถามนี้ คุณนารทยิ้ม เป็นยิ้มแบบเดียวกับที่ใช้ในสื่อประชาสัมพันธ์ต่างๆ เป็นยิ้มที่คนที่พบเห็นต่างพากันสงสัยและอยากรู้ความจริงว่า เรื่องราวที่เขาสร้างขึ้นมาในวิมานเทวานั้นเป็นจริงมากน้อยแค่ไหน จริงหรือที่ชาวทิพย์ทั้งหลาย แท้ที่จริงก็มีไม่น้อยที่มาใช้ชีวิตอยู่ร่วมกับมนุษย์ธรรมดานี่ละ

     

     

     

     

     

     

    แน่นอนว่าหล่อนเองก็เคยนึกสงสัยเช่นนั้นเช่นกัน แม้ในขณะที่เขายิ้มอยู่ในตอนนี้ ก็ยังอดสงสัยในเรื่องความจริงไม่จริงนั้นไม่ได้ เพียงแต่ความนึกคิดอย่างนั้นค่อยจางหายไป เมื่อเขาเริ่มยกแก้วน้ำขึ้นดื่ม และถอยกลับไปเอนหลังพิงพนักโซฟา... ก็คนธรรมดา ถึงต้องดื่ม ต้องกิน ต้องพักผ่อน มีเรี่ยวแรงมีอ่อนล้า...

     

     

     

     

     

     

    “ผู้ช่วยของผมจึงต้องสวย มีเสน่ห์ดึงดูดผู้คน น่าเชื่อถือ ที่สำคัญคือต้องมีปฏิภาณไหวพริบและเชาว์ปัญญา”

     

     

     

     

     

     

    ระหว่างที่พูด เขาก็ไล่สายตามองตามเครื่องแต่งกายของหล่อนตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า จากปกเสื้อคอบัว มีโบเล็กๆ ทำจากผ้าเนื้อเดียวกับตัวเสื้อ แขนยาวจีบพองตรงโคนไหล่และปลายข้อมือ เอวปล่อยแบบมีสาบให้พักชายไว้บนแนวสะโพก กับกระโปรงจีบรอบตัวเรียบกริบสีเดียวกัน ที่ยาวคลุมเข่าได้อย่างน่ารำคาญ

     

     

     

     

     

     

    “เป็นเดือนๆ มาแล้วที่ผมพยายามทำให้คุณดูทันยุคทันสมัยกับเขาบ้าง นึกว่าคุณจะเข้าใจความหมายของผมเสียอีก”

     

     

     

     

     

     

    “ตั้งแต่เมื่อไหร่นะคะ” ราศีไม่แน่ใจในความหมายของเขาเท่าไรนัก

     

     

     

     

     

     

    “แซนดี้เคยแนะนำร้านทำผมแถวสยามสแควร์ให้คุณ ปรียาก็เคยชวนคุณไปเลือกซื้อเสื้อผ้าที่ดิเอ็มโพเรียม รวมทั้งที่มาริษาเคยอาสาจะพาคุณไปสปาคลับ”

     

     

     

     

     

     

    “บรรดาแฟนๆ ของคุณ...”

     

     

     

     

     

     

    “ใช่ ผมเป็นคนขอร้องให้พวกเธอช่วยปรับลุคให้คุณ”

     

     

     

     

     

     

    ราศีนึกถึงเหล่าหญิงสาวที่นายจ้างเอ่ยชื่อออกมาแล้วก็รู้สึกขนลุกขนพอง ยังจำความคิดน่ากลัวของผู้หญิงพวกนั้นได้ดี

     

     

     

     

     

     

    “ดิฉันไม่ต้องการเอาผมไปเข้าเตาอบทีละครึ่งค่อนวัน เพียงเพื่อจะให้มันมีสีมีแสงมีเงาที่ผิดธรรมชาติ กับเสื้อผ้าที่ห้างนั้น มันออกจะเกินฐานะไปมากมาย หรือสปาคลับอะไรนั่น คุณรู้หรือเปล่าว่าเขาชวนให้ดิฉันเปิดหนังหน้า จะเอาค้อนกับสิ่วแซะกรามให้หน้าเรียวลง แล้วค่อยแปะเนื้อหนังที่ถลกขึ้นไป ลงมาปิดไว้ตามเดิม”

     

     

     

     

     

     

    หล่อนรู้สึกโกรธขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เมื่อรู้ว่าแท้ที่จริง ก็ผู้ชายตรงหน้านี่เองที่เป็นคนบงการเรื่องราวทั้งหมด

     

     

     

     

     

     

    “ก็ได้ๆ สาวๆ พวกนั้นอาจมีรสนิยมไม่เหมือนคุณ แต่ ผมอยากจะให้คุณได้ผ่อนคลายบ้าง เลิกจริงจังกับชีวิตมากเกินไปขนาดนี้ ถามจริงๆ คุณเคยคิดถึงเรื่องแบบ รักชั่วคราว รักข้ามคืน มีอะไรกันให้สุดเหวี่ยง เหงื่อโซมตัว แล้วต่างคนก็ต่างไป โดยยังไม่ได้รู้จักชื่อกันด้วยซ้ำ บ้างไหม”

     

     

     

     

     

     

    ราศีตกตะลึงในคำพูดนั่น ริมฝีปากที่เผลออ้าค้างเพราะความอึ้ง ต้องรีบหุบลงเมื่อได้สติ

     

     

     

     

     

     

    “คุณ... คุณนารท คงไม่ได้หมายถึงจะให้ดิฉันยอมให้... คุณ...”

     

     

     

     

     

     

    “จะบ้าเรอะ! ผมแค่จะพูดถึงเมื่อเดือนที่แล้ว ที่เคยให้ไปสัมภาษณ์คุณเวฟ เดอะวอยซ์”

     

     

     

     

     

     

    เวฟ เดอะวอยซ์เป็นนักร้องผู้มีนำเสียงทรงพลัง และมีลีลาการร้องที่จับจิตจับใจคนฟัง ได้ชื่อว่าเป็นศิลปินคุณภาพในวงการเพลง และได้ชื่อว่าเป็นเสือผู้หญิงขนานแท้

     

     

     

     

     

     

    “แล้วเกี่ยวอะไรกับเขาหรือคะ”

     

     

     

     

     

     

    “คุณสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์”

     

     

     

     

     

     

    “ก็เขาบอกให้ฉันสวมชุดแซคสายเดี่ยว นัดที่โรงแรมแถวศรีนครินทร์ แถมยังบอกว่าจะทำให้ฉันมีความสุขจนต้องกรีดร้องออกมาอย่างลืมอาย เป็นคุณคุณจะรู้สึกยังไงคะ”

     

     

     

     

     

     

    หล่อนคิดว่าเขาจะเห็นใจ แต่สายตาที่ส่งมานั้น ทำให้ถึงกับต้องรีบพูดต่อไป

     

     

     

     

     

     

    “คงไม่ได้หมายความว่า จะให้ฉันกับไอ้นั่น...”

     

     

     

     

     

     

    “คุณไม่เคยบอกผมเรื่องนี้ และผมก็ไม่คิดว่าเขาจะเป็นถึงขนาดนั้น เรื่องเสือผู้หญิงนั่นผมรู้ แต่ก็นะ ที่จริงมันไม่เกี่ยวกับเขา มันเกี่ยวกับการแต่งเนื้อแต่งตัวของคุณมากกว่า ยิ่งถ้าใครได้รู้คุณเป็น...”

     

     

     

     

     

     

    “ทำไมคะ! ถ้าใครๆ รู้ว่าฉันเป็นใคร มาจากไหน เป็นลูกใคร แล้วมันยังไง ฉันก็ฉัน ครอบครัวฉันก็เป็นอีกเรื่อง”

     

     

     

     

     

     

    ราศีรู้สึกโกรธขึ้นมาจริงๆ เมื่อเขาพยายามโยงเรื่องของหล่อนกับทางบ้าน มันไม่เกี่ยวกันสักนิด กับการที่ทั้งชีวิตครอบครัวของหล่อนได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนมาตลอด ก็นั่นมันเรื่องของแม่ เขาติดตามมารดาหล่อน ไม่ใช่ตัวหล่อน

     

     

     

     

     

     

    อยากจะเดินออกไปจากชีวิตเขาเสียเดี๋ยวนี้เลย หาไม่ติดอยู่สองข้อ คือเรื่องที่เขาเป็นคนใจกว้าง จ่ายเงินเดือนให้หล่อนมากกว่าที่ควรจะได้รับในระดับความรู้ด้านอักษรศาสตร์ถึงสามเท่าตัว

     

     

     

     

     

     

    กับอีกเรื่องคือค่าใช้จ่ายในการดูแลรักษามารดา ที่กำลังป่วยหนัก เงินจำนวนมากที่ได้มาจากการทำงานให้เขา ได้มาแล้วก็ใช้ไปแบบเดือนชนเดือน อีกทั้งจะได้มากกว่านี้หากเขาตกลงให้เธอเป็นผู้ช่วยประจำการ ถ้าไม่รวมเรื่องที่คุยกันมายืดยาวร่วมครึ่งชั่วโมงนี้ หล่อนก็ไม่ได้นึกรังเกียจเดียดฉันท์อะไรเขามากนัก

     

     

     

     

     

     

    ถึงนายจ้างของหล่อนจะเป็นพวกเห็นตัวเองเป็นจุดศูนย์กลางของจักรวาล พูดตรงๆ และออกจะดื้อรั้น แต่เขาก็เป็นคนสุภาพและน่าสนใจ ที่สำคัญคือเขาจริงใจและเชื่อใจหล่อน เขาไว้ใจและเชื่อใจทุกคนที่อยู่รอบตัว คงเข้าตำรา ให้ไปมากก็อยากได้กลับมามากเหมือนกัน เมื่อหล่อนทำตามที่เขาต้องการไม่ได้ ก็คงต้องเดินจากไปแต่โดยดีนั่นเอง

     

     

     

     

     

     

    เขาบอกหมดแล้วว่าต้องการอะไรจากการต้องมีผู้ช่วย ต้องสวย ต้องมีเสน่ห์ ฉลาดและมีไหวพริบ หรือกระทั่งรับมือกับความต้องการแปลกๆ ของพวกสื่อมวลชนได้

     

     

     

     

     

     

    สำหรับราศี เพื่อนที่เคยเรียนด้วยกันมาก็เคยบอกชัด หล่อนสวย แต่ไม่มีเสน่ห์ แรงดึงดูดทางเพศนั้นไม่ต้องพูดถึง หล่อนไม่ตามแฟชั่น ออกจะเป็นแนวอนุรักษ์นิยมด้วยซ้ำ

     

     

     

     

     

     

    แต่ถ้าจำเป็น หล่อนก็อาจจะติดตามบ้างก็ได้ เปลี่ยนทรงผม เปลี่ยนสีสันการแต่งเนื้อแต่งตัว อ่านข่าวหน้าบันเทิง หรือหน้าแฟชั่นให้รู้ว่าโลกปลอมๆ นั่นเขาจะหลอกล่อผู้ซื้อยังไงบ้าง

     

     

     

     

     

     

    และถ้าหล่อนจัดการเรื่องการประกาศประชาสัมพันธ์ในงานสังสรรค์เล็กๆ พวกนี้ได้ คุณนารทก็คงไม่หาเรื่องไล่หล่อนออก แต่ก็นั่นละ... เรื่องนี้เป็นเหมือนภูเขาสูงเสียดฟ้าที่ขวางกั้นหน้าที่การงานที่หล่อนพึงพอใจ และอยากจะอยู่กับมันไปอีกนานๆ

     

     

     

     

     

     

    ตั้งแต่สมัยเป็นนักเรียนมาแล้ว ที่ราศีไม่กล้าออกไปพูดหน้าชั้น มันเป็นความกลัวที่อธิบายไม่ได้ และแน่ละ ไม่เคยแก้ไขได้...

     

     

     

     

     

     

    ราศีต้องพยายามต่อไปเพื่อให้เขาเห็นว่าหล่อนต้องการงานนี้จริงๆ

     

     

     

     

     

     

    “คุณนารทคะ ใครๆ ก็ต้องมีข้อด้อยด้วยกันทั้งนั้น ให้โอกาสดิฉันแก้ตัวอีกสักครั้ง ส่วนเรื่องอื่นๆ ที่คุณอยากให้ทำอยากให้เป็น ก็จะพยายามปรับตัว แล้วอีกอย่างหนึ่ง เท่าที่เราได้ร่วมงานกันมา คุณคงหาใครที่ไว้ใจได้เท่าดิฉันอีกแล้ว...”

     

     

     

     

     

     

    คราวนี้หล่อนจ้องหน้าเขาตรงๆ และไม่ยอมหลบสายตาคมวาวที่จ้องกลับมานั้น

     

     

     

     

     

     

    “คุณแน่ใจนะว่ายังต้องการทำงานกับผม”

     

     

     

     

     

     

    “ค่ะ” ราศีรับคำแข็งขัน งานนี้ดีที่สุดแล้ว เมื่องานที่หล่อนหวังจะได้เข้าไปสนุกหรือมีความสุขอยู่กับมันนั่น ไม่มีโอกาสจะไปได้จริง

     

     

     

     

     

     

    “เอาละ... ตกลง ผมจะยอม” ในที่สุดเขาก็พูดในสิ่งที่หล่อนอยากฟังเสียที

     

     

     

     

     

     

    “แต่ก็ยังจะต้องมีประกาศเรื่องเปิดตัวตอนใหม่ของซีรีย์วิมานเทวา ใน...เสาร์ปลายเดือน หรืออีกสามสัปดาห์ข้างหน้าแน่ๆ”

     

     

     

     

     

     

    เป็นเงื่อนไขเดิมๆ ที่ราศีอดคิดไม่ได้ว่า เขาไม่ได้จริงจังหรอก ที่จะยอมให้หล่อนทำงานด้วยต่อไป ท้องไส้รู้สึกผิดปกติขึ้นมาอีกแล้ว แต่หล่อนต้องฝืนเอาไว้

     

     

     

     

     

     

    “ก็เรื่องประกาศนั่น ดิฉันนึกว่าคุณจะเข้าใจ...”

     

     

     

     

     

     

    แทนคำตอบ นายจ้างของหล่อนยืดตัวขึ้นตรง ทำท่าทางให้เห็นว่า ที่จะพูดต่อไปนี้จริงจังกว่าที่ผ่านมา

     

     

     

     

     

     

    “ผมจะให้คนอื่นขึ้นไปประกาศแทนก็ได้ หากคุณทำงานชิ้นหนึ่งให้ผมสำเร็จ”

     

     

     

     

     

     

    “เรื่องอะไรกันคะ”

     

     

     

     

     

     

    “ตามหา ภาคิน วงษ์ราพณ์ ให้เขามาร่วมงานในวันนั้น และยอมให้สัมภาษณ์อย่างละเอียดยิบ”

     

     

     

     

     

     

    ภาคิน วงษ์ราพณ์ งั้นรึ! ราศีหูอื้อขึ้นมาดื้อๆ รู้ว่าใบหน้าร้อนผ่าวไปด้วยโทสะ เพลิงแห่งความโกรธลุกโพลงขึ้นมาจากความทรงจำเลวร้ายในอดีต เข้าใจเลยว่าพวกแรงงานต่างด้าวรู้สึกอย่างไร ก่อนที่จะลงมือฆาตกรรมพวกเจ้านายชั่วช้าพวกนั้น

     

     

     

     

     

     

    “คุณนารท คุณนี่มัน... ผุดมาจากนรกหรือยังไงกัน”

     

     

     

     

     

     

    “ก็มีแต่แม่ผมเท่านั้นที่ไม่เห็นด้วยกับได้เรื่องผุดมาจากนรกอะไรนี่”

     

     

     

     

     

     

    “ทั้งหมดที่คุยกันมานี่ เพื่อเรื่องนี้ใช่ไหม คุณเอาไอ้เรื่องไร้สาระบ้าบอนั่นมาบีบบังคับฉันเรื่องของนายภาคิน”

     

     

     

     

     

     

    ราศีทั้งแช่งชักหักกระดูก กรวดน้ำคว่ำขันไปหมดแล้ว ว่าจะไม่หวนกลับไปยังโลกแห่งเสียงดนตรีนั่นอีก รวมถึงเรื่องเวทย์มนตร์คาถาอะไรนั่นด้วย

     

     

     

     

     

     

    คุณนารถจุดบุหรี่ แล้วอัดควันของมันเข้าปอดติดๆ กันหลายครั้ง และมีเพียงกลุ่มควันน้อยนิดที่เขาระบายออกมา

     

     

     

     

     

     

    “ใช่... แต่เป็นคุณเองที่เปิดโอกาส ซึ่งเป็นคุณเองที่ทำพลาด...”

     

     

     

     

     

     

    “ไอ้!...” หล่อนโกรธจนกระทั่งหาคำมาด่าไม่ถูก

     

     

     

     

     

     

    “แต่ที่พูดมานี้เป็นเรื่องจริง ผมต้องการผู้ช่วย ทันสมัย สวย ทรงเสน่ห์และน่าเชื่อถือ แต่เหตุการณ์เมื่อกี้ จะได้ผมเรียกว่าความน่าเชื่อถือได้หรือเปล่า”

     

     

     

     

     

     

    เขาอัดควันบุหรี่เข้าปอดอีกครั้ง ก่อนจะพูดต่อไป

     

     

     

     

     

     

    “ส่วนภาคิน ถ้าผมจะได้เบาะแสของเขา ก็ต้องเป็นคุณใช่ไหมเล่า เป็นคนเดียวเท่านั้นที่พอจะติดตามข่าวคราวของเขาได้ ที่จริงบุคลิกหรือการแต่งกายของคุณ ที่คุณชอบนี้ผมอาจจะยอมตามใจคุณก็ได้ ถ้าพาตัวภาคินมาให้ผมได้”

     

     

     

     

     

     

    “เป็นพระคุณเหลือเกินละค่ะที่ช่วยกรุณา”

     

     

     

     

     

     

    ราศีตั้งใจประชดประชันเต็มที่ แต่เหมือนเขาจะไม่ใส่ใจสักนิด

     

     

     

     

     

     

    “หรือว่าคุณจะเลือกทางอื่น แบบ...ประมาณว่า เดินออกไปง่ายๆ”

     

     

     

     

     

     

    “แต่ฉันก็ไม่มีทางที่จะยอมเอาเนื้อตัวเข้าไปเสี่ยงกับพ่อเลี้ยงเลวๆ อย่างนั้นแน่ๆ”

     

     

     

     

     

     

    “วิมานเทวาตอนใหม่ พระเอกของผมจะสืบเรื่องมนตรามหาเสน่ห์ คาถามหานิยม น เมตตา อะไรประมาณนั้น แล้วภาคินจะเป็นตัวละครสำคัญ คุณเองก็รู้ว่าเขาเชี่ยวชาญเรื่องที่ว่านี่ขนาดไหน”

     

     

     

     

     

     

    บุหรี่หมดมวนไปอย่างรวดเร็ว เมื่อเขาอัดติดๆ กันอีกสามสี่ครั้ง บี้ส่วนที่เหลือติดก้นกรองกับที่เขี่ย แล้วค่อยหันมาพูดต่อ

     

     

     

     

     

     

    “อะไรกันนะที่ทำให้คนหลงใหล หรือกระทั่งใฝ่ฝัน อะไรที่ทำให้ผู้คนถวิลหา หรือยอมให้เขาทุกสิ่งทุกอย่างขนาดนั้น ผมอยากรู้ทั้งหมด รวมทั้งที่ทำยังไงแม่คุณถึงเปลี่ยนจากนักไวโอลินคลาสสิค ไปเป็นร็อคเก้อร์สาวดุดันได้ขนาดนั้น หรือไม่ก็... ภาคินเขาเกี่ยวข้องอะไรกับการล้มป่วยของแม่คุณหรือไม่ และหลายปีมานี้เขาหายไปอยู่ที่ไหน”

     

     

     

     

     

     

    โลกหมุนติ้ว เหมือนจะเหวี่ยงให้หล่อนหลุดออกนอกวงโคจร แล้วกลับโถมทุ่มทั้งโลกลงมาทับ มันอาจจะเป็นความฝันที่เลวร้าย แต่ตอนนี้หล่อนต้องพิสูจน์ให้คนตรงหน้าเห็นให้ได้ว่า หล่อนก็มืออาชีพพอเหมือนกันกับการทำงานแบบนี้

     

     

     

     

     

     

    “ได้ ถ้าฉันทำสำเร็จ ฉันต้องได้เซ็นสัญญาทำงานเป็นผู้ช่วยของคุณ ได้เงินเดือนเพิ่มอีกเท่าตัว ต้องให้งานประชาสัมพันธ์ให้คนอื่นทำ และต้อง... เรียกชื่อเต็มของฉันทุกครั้ง!

     

     

     

     

     

     

    คราวนี้ผู้เป็นนายจ้างกลับเริ่มลังเลบ้างแล้ว

     

     

     

     

     

     

    “คุณก็รู้ ไม่เคยมีใครได้ภาพถ่ายของภาคิน ไม่เคยมีใครได้สัมภาษณ์เขา”

     

     

     

     

     

     

    ราศีรีบฉวยโอกาสที่เขาเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ รุกหน้าต่อไป

     

     

     

     

     

     

    “แม้แต่ดิฉันเองก็ยังไม่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน แต่ก็อย่างที่คุณพูด เป็นดิฉันคนเดียวเท่านั้นที่จะทำให้เขายอมทำทุกอย่าง คุณต้องรู้เรื่องนี้ดีแน่ๆ”

     

     

     

     

     

     

    “พวกสำนักพิมพ์อื่นๆ ต้องไม่ส่งคนมายุ่มย่ามถึงที่นี่ คุณต้องไปจัดการเอาเอง และเลิกใส่ชุดสีตุ่นๆ อย่างนี้ด้วย”

     

     

     

     

     

     

    ที่เอ่ยออกมานี้ เหมือนเขาไม่รู้จะพูดอะไรอีกแล้วมากกว่า

     

     

     

     

     

     

    “อย่างนั้น อาจต้องขึ้นเงินเดือนให้ฉันมากกว่าอีกเท่าตัว”

     

     

     

     

     

     

    “ก็ได้ คุณราศี ผมให้คุณสามสัปดาห์ ถ้าไม่ได้ตัวภาคิน ก็ไม่ต้องกลับมา!

     

     

     

     

     

     

    เขาผุดลุกขึ้นก่อนจะจบคำ และหล่อนก็รีบยืนขึ้นประจันหน้ากับเขาเช่นกัน

     

     

     

     

     

     

    “ไม่ต้องกลัวหรอกค่ะคุณนารท ฉันต้องกลับมาแน่ๆ!!!

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

     

    ****************************

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×